ความโง่เขลานั้น บางครั้งก็เป็นความชั่วร้ายที่ร้ายแรงที่สุดดูอย่างเช่นเฝิงจวิ้นการได้คุยกับคนฉลาด มักทำให้วางใจได้มากกว่า เพราะอย่างน้อยคนฉลาดก็เข้าใจหลักการที่ว่า เมื่อทำผิดแล้วย่อมต้องชดใช้เซียวอวิ๋นถิงยื่นมือออกไปรับการคารวะของเฝิงอวี้จาง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่านลุง เรื่องนี้หากจัดการให้เป็นอุบัติเหตุได้ก็ย่อมดีกว่า ท่านว่าเช่นไร?”เฝิงอวี้จางจะตอบอะไรได้อีก?เขาย่อมเข้าใจนัยแฝงในคำพูดของเซียวอวิ๋นถิงดีอยู่แล้ว จึงหลับตาลงก่อนจะพยักหน้า “ใช่แล้ว เป็นอุบัติเหตุ เด็ก ๆ เล่นกันเกินขอบเขต ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นมา แล้วก็พาลให้บ่าวชายของจวนองค์หญิงใหญ่ต้องพลอยซวยไปด้วย”เซียวอวิ๋นถิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยในที่สุดเขาก็เริ่มเห็นแววบางอย่างจากตระกูลเฝิงเสียทีใบหน้าเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เอ่ยเสียงราบเรียบ “หวังว่าท่านลุงจะคิดอย่างที่พูด ไม่ใช่เพียงเพื่อตบตาอ๋องอย่างข้าเท่านั้น”เฝิงอวี้จางหลับตาอีกครั้ง ก่อนโค้งศีรษะต่ำลง “มิกล้า! ท่านอ๋องโปรดวางพระทัย นับแต่นี้เป็นต้นไป กระหม่อมจะควบคุมคนในตระกูลให้ดี ไม่ให้พวกเขาทำสิ่งใดพลาดพลั้งไปอีก!”เซียวอวิ๋นถิง
สีหน้าของเฝิงอวี้จางเขียวคล้ำสลับซีดขาว เขาถูกเซียวอวิ๋นถิงตอกกลับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ได้ระบายความโกรธไม่พอ ยังต้องกล้ำกลืนความอัดอั้นเข้าไปอีกเต็มอก ศีรษะแทบจะมีควันพวยพุ่งออกมาอยู่รอมร่อเซียวอวิ๋นถิงหาได้สนใจเขาไม่ เขาโน้มตัวลงไปมองเฝิงไฉ่เวย ก่อนจะกดเสียงต่ำเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “คุณหนูเฝิง ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะไม่เห็นค่าของบุญคุณชีวิตนั่นจริง ๆ หรือแค่แกล้งทำเป็นไม่เห็น ตอนนั้นเจ้ายังเด็ก ตอนนั้นข้าเองก็ยังเด็ก เจ้าไม่ใช่คนตัดสินใจ ข้าเองก็เช่นกัน”“บุญคุณที่ว่า ข้าจะตอบแทนให้เจ้ากับตระกูลเฝิงเท่าที่ควรจะได้รับ” เขามองนางอย่างเย็นชา “ไม่ง่ายกว่าจะได้หวนกลับเมืองหลวง หากไม่อยากให้ทั้งตระกูลต้องโดนเนรเทศอีกหน ให้ทางฝั่งอวิ๋๋๋นหนานมีโลงศพเพิ่มอีกหลายใบละก็ นับแต่นี้ไป อย่าได้คิดแตะต้องชีหยวนอีก!”ทุกถ้อยคำที่เขาเอ่ย ใบหน้าของเฝิงไฉ่เวยก็ซีดลงทีละส่วน จนกระทั่งซีดจนกลายเป็นสีเขียวคล้ำนางอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนีบุรุษคนนี้ คนที่นางเฝ้าคิดว่าในวันหนึ่งนางจะต้องแต่งให้เขามาตั้งแต่เด็ก บัดนี้เพื่อสตรีอื่น เขากลับมาเอ่ยคำเตือนที่รุนแรงเช่นนี้ บอกให้นางอย่าได้วางแผนทำร้ายสตรีนางนั้นอ
ฮ่องเต้หย่งชางเคยตัดสินคดีคล้ายคลึงกันมาก่อน เมื่อครั้งยังเยาว์วัยพระองค์ชอบเสด็จออกไปเที่ยวเล่นนอกวัง วันหนึ่งแวะกินเต้าหู้ที่ร้านข้างทาง รู้สึกว่าอร่อยมาก กำลังจะให้รางวัล แต่แล้วจู่ ๆ เถ้าแก่เนี้ยก็ถูกทางการจับตัวไปดำเนินคดี บอกว่านางเป็นฆาตกรตอนนั้นฮ่องเต้หย่งชางจึงตามไปยังศาลว่าการปรากฏว่าเถ้าแก่เนี้ยผู้นั้นก็ยอมรับว่านางฆ่าคนจริง นางทำเต้าหู้เลี้ยงลูกสองคนเพียงลำพัง แต่กลับถูกคนขายเนื้อร้านฝั่งตรงข้ามคอยรังควานหลายครั้ง วันหนึ่งคนขายเนื้อผู้นั้นถึงขั้นพยายามจะใช้กำลังกับนางต่อหน้าลูกทั้งสองคนสุดท้ายนางต่อสู้ขัดขืน และพลั้งมือฆ่าคนขายเนื้อไปโดยไม่ตั้งใจหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ฮ่องเต้หย่งชางจึงมีรับสั่งให้เจ้าเมืองตัดสินว่านางไม่มีความผิดเซียวอวิ๋นถิงจ้องมองเฝิงอวี้จางด้วยสายตาเย็นเยียบ “หากท่านลุงอยากไปก็เชิญ สามารถไปตอนนี้ได้เลย ติดสินบนคนในจวนองค์หญิงใหญ่ แอบลอบเข้ามาในเรือนหลังของจวน แล้วบอกว่าเขาแค่จะล่วงเกินแขกฝ่ายสตรีคนหนึ่ง ในสายตาท่านมันเป็นคำว่า ‘แค่’ จริง ๆ หรือ?!”เฝิงอวี้จางเซถอยหลังไปสองก้าว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเซียวอวิ๋นถิงต้องการจะบอกอะไรเขามาเ
คำพูดประโยคนี้ของเซียวอวิ๋นถิง ทำเอาเฝิงอวี้จางรู้สึกราวกับมีลมเย็นวูบหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากฝ่าเท้า แข้งขาแข็งชาจนขยับไม่ออกไปชั่วขณะเขารีบส่ายหน้ารัว ๆ “ท่านอ๋อง เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด...”แต่เซียวอวิ๋นถิงหาได้สนใจไม่ เขาหัวเราะเยาะ “เข้าใจผิดงั้นหรือ? กระดาษขาวหมึกดำเขียนเอาไว้ชัดเจน บ่าวรับใช้ในจวนได้รับเงินไปเท่าไร แม่นมที่เฝ้าประตูรองได้รับเท่าไร แม้แต่สาวใช้ที่เอาน้ำชาไปให้ได้รับเงินเท่าไร ทุกอย่างเขียนไว้อย่างชัดเจน!”เขาถามเสียงเฉียบ “ถ้าสิ่งนี้ส่งไปถึงเสด็จปู่ พระองค์จะคิดว่านี่คือความเข้าใจผิดหรือไม่? หรือไม่ก็ให้ไปถามเสด็จพ่อของข้า ว่าพระองค์จะคิดว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือเปล่า?!”คำพูดไม่กี่ประโยคของเซียวอวิ๋นถิง ทำเอาเฝิงอวี้จางถึงกับหน้าดำคร่ำเครียดเขาเอ่ยปากพูดออกมา “ต่อให้เป็นเช่นนั้น พวกเขาทำผิดจริง ก็ให้ราชสำนักมาลงโทษพวกเขา ลงมือฆ่าคนโดยพลการแบบนี้ก็ผิดเช่นกัน การฆ่าคนผิดกฎหมาย หลานชายข้าก็โทษไม่ได้ถึงกับต้องตาย!”เฝิงไฉ่เวยดวงตาสว่างวาบขึ้นมา จ้องมองเซียวอวิ๋นถิงอย่างแน่วแน่ คล้ายรอฟังคำตอบของเขาเซียวอวิ๋นถิงแสยะยิ้มที่มุมปากเล็ก
...เฝิงไฉ่เวยส่ายหัวอย่างรุนแรงด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน “เป็นไปไม่ได้! ต้องเป็นนางแน่ ๆ ต้องเป็นนาง!”ลู่หมิงอันก็คร้านจะต่อปากต่อคำกับนางอีกต่อไป หันไปพูดกับเฝิงอวี้จางแทน “ท่านโหว ตอนนี้ตระกูลเฝิงเพิ่งกลับมาเมืองหลวง ไม่รู้ว่ามีกี่สายตจับจ้องอยู่ ในครานั้นเหล่าขุนนางตรวจการเล่นงานตระกูลเฝิงเช่นไร ท่านคงยังไม่ลืมหรอกกระมัง? กว่าจะได้กลับมาก็ไม่ง่ายเลย อย่ากลับไปเดินซ้ำรอยเดิมในอดีตอีกเลย”ถ้อยคำนี้ทำให้สีหน้าของเฝิงอวี้จางยิ่งมืดครึ้มลงอีกเขากำลังจะเอ่ยปากโต้กลับ ทว่าในจังหวะนั้นเองก็เห็นน้องชายทั้งสอง นายท่านสามเฝิงกับนายท่านสี่เฝิงที่รีบร้อนเดินเข้ามาทั้งสองคนพอเข้ามาก็กระซิบเสียงต่ำ “พี่รอง พระราชนัดดาองค์โตเสด็จมาถึงแล้ว!”งานเลี้ยงของจวนองค์หญิงใหญ่ ต่อให้ตามมารยาทหรือความสัมพันธ์ก็ย่อมต้องเชิญเหล่าเชื้อพระวงศ์และฝ่ายวังบูรพาอยู่แล้ว ยิ่งเซียวอวิ๋นถิงเองก็สนิทกับองค์หญิงใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร การที่เขาจะมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเฝิงอวี้จางหันไปมองลู่หมิงอันแล้วกล่าว “เชิญท่านอ๋องมาด้านหลังนี้”เขาอยากรู้เหมือนกัน ญาติฝ่ายมารดาตายไปคนหนึ่ง พระนัดดารัชทายาทจะช่วยตระกูลเฝิงหรือไม
เฝิงไฉ่เวยใกล้จะทนไม่ไหวเต็มทีผู้ที่ไม่เคยเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ ย่อมไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของนางในยามนี้ได้เลย นางคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก ว่าทำไมเรื่องทุกอย่างที่ควรจะเป็นปกติดี กลับพลิกผันจนเป็นเช่นนี้ในชั่วพริบตาแต่มีสิ่งหนึ่งที่นางมั่นใจอย่างแน่นอน การที่พี่ชายเข้าไปในเรือนหลัง ต้องเกี่ยวข้องกับชีหยวนอย่างแน่นอนนางกัดฟันแน่น ขมับทั้งสองข้างเต้นตุบ ๆ มือกำชายเสื้อแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดโปนออกมาชัดเจนฮูหยินเฝิงร่ำไห้มานานจนตอนนี้ไม่มีแม้แต่แรงจะร้องไห้แล้วกว่าจะรอจนเฝิงอวี้จางมาถึง ฮูหยินเฝิงก็ถลาเข้าไปข้างหน้า ร้องไห้ปานใจจะขาด “ท่านพี่ ได้โปรดช่วยสะสางแทนจวิ้นเอ๋อร์ด้วยเถิดเจ้าค่ะ ท่านพี่!”เฝิงอวี้จางรีบร้อนมาถึง วันนี้เดิมทีเขาเพิ่งไปหาสหายเก่าที่กรมโยธาธิการ ไหนเลยจะคาดคิดว่าระหว่างทางกลับจวนจะได้ยินข่าวว่าหลานชายเกิดเรื่อง เขารีบรุดมาโดยไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้าจะอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ ทั้งยังเป็นบุรุษที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานักต่อนัก ย่อมมีสติดีกว่าฮูหยินเฝิงอยู่หลายส่วน เขาหลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว แล้วเปิดผ้าขาวคลุมศพออกเมื่อเห็นร่างที่ถ