แม้แต่ชีจิ่นก็ยังเบิกตากว้างอยู่ด้านข้าง ถอยหลังไปหนึ่งช่วงนางปิดปาก มองชีหยวนด้วยความเหลือเชื่อ: “เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้า! เจ้ายังลงมือได้ลงคอจริงๆ หรือ?!”......ชีหยวนส่งสายตาซับซ้อนให้นาง แล้วเลิกคิ้วนับรูบนร่างชีอวิ๋นถิง แล้วแค่นเสียงหัวเราะเยาะ: “ตอนเกิดเรื่องเขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของข้า แต่ตอนเจ้าจะใช้เขาเป็นเครื่องมือ เขาก็เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้าแล้วใช่ไหม?”พี่ชายแท้ๆ อะไรกัน?ถุย!ชาติก่อนนางเคยทำอะไรผิดงั้นหรือ?!นางผ่านความทุกข์ยากมาอย่างแสนสาหัส คิดว่าการถูกตระกูลโหวรับกลับมา จะเป็นการพ้นจากความลำบากเสียที คิดว่าในที่สุดนางก็จะมีครอบครัวให้พึ่งพิงแต่สิ่งที่รอคอยนางอยู่คืออะไร?!คือคำด่าทอนังสารเลว ลูกนอกคอกจากปากของชีอวิ๋นถิงไม่เคยเว้นว่างคือฝ่ามือของชีอวิ๋นถิง คือความเย็นชาห่างเหินและความระแวงจากนางหวังในทุกวันพวกเขาใช้การกระทำบอกนางว่า นางไม่มีคุณค่า นางไม่เป็นที่ต้อนรับแม้กระทั่งรู้ทั้งรู้ว่าชีจิ่นล้มลงไปเอง แล้วโยนความผิดให้ว่านางเป็นคนผลัก ชีอวิ๋นถิงก็ยังลงมือหักขานางโดยตรงความเจ็บปวดจากขาที่หัก นางจำไปชั่วชีวิตนางเคยวิงวอนชีอวิ๋นถิงอย่างไร หวังว่าชี
ในเมื่อถอยก็ต้องตาย เช่นนั้นสู้สุดชีวิตยังจะดีกว่าชีจิ่นจ้องชีหยวนที่ก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าวอย่างแน่วแน่ แอบกำปิ่นที่ฉวยโอกาสดึงออกมาตอนช่วงชุลมุนเมื่อครู่ เอาไว้ใต้แขนเสื้อแน่น รอจนกระทั่งชีหยวนเข้ามาใกล้ นางก็พุ่งตัวออกไปอย่างกะทันหัน และกระโดดขึ้นมา หวังจะปักปิ่นเข้าไปที่ลำคอของชีหยวนแต่น่าเสียดาย ชีหยวนไม่ให้โอกาสนั้นกับนางเลย ในเสี้ยววินาทีที่ชีจิ่นกระโจนขึ้นมา ชีหยวนก็รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวนั้นแล้ว นางเหยียดขาออกไปถีบเข้ากลางท้องของชีจิ่นอย่างแรง ส่งร่างของนางลอยกระเด็นไปร่างของชีจิ่นปลิวกระแทกเข้ากับผนังด้านหลัง ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจากแผ่นหลัง ภายใต้ความเจ็บที่ด้านหน้าและด้านหลังประเดประดังเข้าหากัน ทำให้นางกระอักเลือดออกมาในทันที ร่างกายของนางเริ่มกระตุกและอาเจียนออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ชีหยวนย่อตัวลง แงะมือของนางออก หยิบปิ่นทองในมือของนางขึ้นมา แล้วแกว่งมันไปมาต่อหน้านาง: “ดูเจ้าสิ ไร้ค่าเสียจริง อย่างน้อยข้ายังได้เรียนรู้วิธีฆ่าหมูจากพ่อแท้ๆ ของเจ้ามาบ้าง อย่าดูถูกการฆ่าหมูนะ มันต้องใช้ทั้งแรงและทักษะ ต้องรู้ว่าจะเชือดอย่างไรให้ตายสนิทในครั้งเดียว ไม่ให้เสียเวลาให้น้ำ
ชีหยวนนิ่งสงบ ไม่สะทกสะท้านใด ๆ ถึงขั้นลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้ามานั่ง พลางยิ้มตาหยีจ้องมองชีจิ่น: “เป็นอะไรไป กำลังคาดหวังสิ่งใดอยู่หรือ? คาดหวังให้โหวผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าลงลงทัณฑ์ข้าที่นี่?” คิดไม่ถึงว่านางจะตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ สามคนภายในห้องต่างทอดสายตามองมาทางนาง โดยเฉพาะชีจิ่น นางใบหน้าแดงก่ำ เดิมทีก็บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว บัดนี้ยังถูกชีหยวนยั่วให้เกิดโทสะ ยิ่งเจ็บแปลบที่หน้าอก จนต้องสูดลมหายใจเย็นเยียบ ฮูหยินผู้เฒ่าตั้งสติได้ ก็เหวี่ยงชีอวิ๋นถิงออกไปและหยัดกายขึ้นยืน ก่อนจะวิ่งรี่เข้าไปถึงเบื้องหน้าชีจิ่น ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เหวี่ยงฝ่ามืออย่างสุดแรง ฟาดกกหูของชีจิ่นเข้าไปหนึ่งฉาดอย่างทารุณ นางอดทนจนอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ก็ชี้หน้าชีจิ่นพลางต่อว่าด้วยเสียงสั่นเครือ: “เจ้ามันเดรัจฉาน ตัวทำลายความสงบสุขครอบครัว! เรือนพวกข้าแม้มิอาจเรียกได้ว่ามีบุญคุณหนักเท่าขุนเขาสำหรับเจ้า แต่ก็นับว่าให้ความเมตตาและรักษาสัจจะอย่างถึงที่สุดแล้ว! หลายปีที่ผ่านมาพวกข้าเคยด้วยหรือที่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างอยุติธรรม? ต่อให้รู้เรื่องชาติกำเนิดของเจ้าแล้ว แต่มารดาและพี่ชายของเจ้าก็ทะนุถนอมปกป้องเจ้าอย่างสุ
หากว่าชีอวิ๋นถิงพอจะมีมโนสำนึกสักเสี้ยวหนึ่ง มีสมองสักเสี้ยวหนึ่ง วางตัวให้เหมาะสมกับฐานะของตนเอง เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้นแล้ว ทว่าบัดนี้ จะพูดอะไรก็สายไปเสียแล้ว ชีหยวนหยัดกายลุกขึ้นยืน: “ในเมื่อข้ากล้าทำ ก็พร้อมจะยอมรับผลของการกระทำทั้งหมด หากโหวผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าต้องการให้ข้าชดใช้ ข้าก็จะยอมรับ” ทว่าโหวผู้เฒ่ากลับโบกมือทันทีโดยไม่ลังเล: “อาหยวน! เจ้าทำถูกต้องแล้ว! เขาหูเบา ทั้งยังโง่เขลาและโหดเหี้ยม คนพรรค์นี้หากปล่อยให้เป็นซื่อจื่อของจวนโหวข้าต่อไป ไม่ช้าก็เร็วจวนหย่งผิงโหวของพวกข้าจะต้องพบหายนะใหญ่เป็นแน่แท้” เขาย่อมรู้ว่าควรจะคัดเลือกอย่างไร ชีอวิ๋นถิงสิบคนก็ยังสำคัญไม่เท่าชีหยวนเพียงคนเดียว! ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ซับน้ำตาพลางเอ่ยด้วยเสียงสะอึกสะอื้น: “เป็นเช่นนั้นจริง ไม่ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยเตือนเขามาก่อน แต่เป็นเขาเองที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ เลือกเดินในทางที่บิดเบี้ยวเกินไป” เห็นเขาสองคนพูดถึงขั้นนี้ ชีหยวนเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี นางเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า: “ที่ข้ามิได้สังหารเขา นับว่าให้เกียรติและไว้หน้าพวกท่านผู้เฒ่าทั้งสองแล้ว” หากเป็นคนอื
บางทีอาจเป็นเพราะความไม่ราบรื่นในช่วงนี้มีเยอะมากเกินไปจริง ๆ สภาพจิตใจของนางหวังหนักอึ้งมาตลอด แม้แต่หัวใจก็ยังรู้สึกไม่สบายอยู่สักหน่อยด้วย โดยเฉพาะหลังจากตอนที่ได้เห็นแม่นมสวีตายไปกับตา นางถึงขั้นฝันร้ายติดต่อกัน หลายวันที่ผ่านมานี้นอนหลับไม่สนิทนัก บัดนี้แค่เดินเพียงไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกแล้วว่าแน่นหน้าอกหายใจติดขัด ทั่วทั้งร่างกายรู้สึกอึดอัดไปหมด เห็นท่านโหวผู้เฒ่าชีและฮูหยินผู้เฒ่าชีสองคนต่างนั่งรอคอยตนเองอยู่ การตอบสนองแรกของนางคือสงสัยว่าใช่ชีอวิ๋นถิงไปก่อเรื่องอะไรอีกแล้วหรือไม่ มิเช่นนั้นพวกโหวผู้เฒ่าจะมีท่าทีเช่นนี้ได้อย่างไร? นางเปล่งเสียงถามหยั่งเชิงออกไป: “ท่านพ่อ ท่านแม่ มีเรื่องอันใดหรือ?” แสงเปลวเทียนรุบรู่ สีหน้าของโหวผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าดูคลุมเครือภายใต้แสงตะเกียง หัวใจของนางหวังยิ่งประหม่าเป็นกังวล แม้แต่หายใจเข้าออกยังรู้สึกลำบากเล็กน้อย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด โหวผู้เฒ่าถึงจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า: “มีเรื่องจำต้องบอกกับเจ้าไว้…” หัวคิ้วของเขาก็ดูจะไม่เคยคลายออกจากกันมาก่อนเช่นกัน มองไปแล้วเห็นถึงความดุดันและเข้มงวด ครู่หน
จะไม่รู้สึกเจ็บปวดจริง ๆ ได้อย่างไรกันเล่า?! ถึงอย่างไรก็เป็นหลานชายในสายเลือดที่เติบโตในสายตาของตนเอง ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าชีก็ทราบดีที่เรื่องมาถึงจุดนี้จะโทษชีหยวนไม่ได้คนที่สมควรกล่าวโทษที่สุดก็คือตัวชีอวิ๋นถิงเอง ที่จิตใจบิดเบี้ยว หัวใจไร้ซึ่งคุณงามความดีและความเมตตากรุณาต่อน้องสาว รองลงมาก็คือชีจิ่น ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น ลืมบุญคุณ บีบจุดอ่อนของชีอวิ๋นถิง มาล่อลวงให้เขาก้าวเดินไปในทางที่ผิด ทว่ายามนี้พวกเขาสองคนคนหนึ่งก็พิการอีกคนก็ตายไปแล้ว พวกเขาได้ชดใช้ในสิ่งที่สมควรจะต้องชดใช้แล้ว เหลือก็แต่นางหวัง ฮูหยินผู้เฒ่าชีคว้าคอเสื้อของนางหวังไว้ บัดนี้ไม่มีฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนโหวผู้เย่อหยิ่งอีกแล้ว มีเพียงผู้อาวุโสคนหนึ่งที่กำลังเดือดดาล นางจ้องมองนางหวังอย่างเย็นชา: “เมื่อปีนั้นข้าเคยพูดแล้ว ให้ข้าอบรมเลี้ยงดูชีอวิ๋นถิงไว้ข้างกาย ท่านโหวผู้เฒ่าเองก็เคยบอกว่าต้องการพาเขาเข้าไปในกองทัพ มิใช่ว่าเจ้าแสร้งป่วยเพื่อปฏิเสธหรอกหรือ? มิใช่ว่าเจ้าจงใจแช่เขาเอาไว้ในน้ำเย็น ให้เขาป่วยและหมดสิ้นหนทางตามไปด้วยหรอกหรือ?!” เรื่องที่ผ่านไปนานมากแล้วเหล่านี้ บัดนี้กลับถูกรื้อฟื้นขึ้นมา
ณ จวนอ๋องฉี เป็นอีกครั้งที่อ๋องฉีบันดาลโทสะใส่หมอเทวดา: “เจ้าเป็นหมอเทวดาอะไร? นานเพียงนี้แล้ว เจ้ารักษาโรคอะไรให้ข้ากันแน่ บัดนี้แล้วข้ายังไม่หายอีก!” ความอดทนของเขาล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าท่ามกลางความแตกสลาย ในทุกวันเขาล้นปลอบตนเองเสมอ ว่าอีกสองวันก็น่าจะดีขึ้นแล้ว นี่คือหมอเทวดา นี่คือหมอที่ดีที่สุด! อีกไม่นานเขาจะหายกลับมาเป็นปกติได้ในเร็ววัน อีกไม่นานเขาจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง ทว่าทุกครั้งที่เต็มไปด้วยความหวัง ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นความผิดหวังที่ลึกลงมากกว่าเดิม เขาอดทนจนอดทนจนอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว แม้ว่าฉู่กั๋วกงที่อุตส่าห์ลากสังขารป่วยปวกเปียกมาปลอบโยนและเกลี้ยกล่อมเขาสุดชีวิตแล้ว ก็ยังมิอาจห้ามเขาไม่ให้คลุ้มคลั่งบันดาลโทสะ หมอเทวดาเซวียเองก็เริ่มจะหมดความอดทนแล้วเช่นกัน เขาลูบเส้นผมที่แห้งแตกและพันกันของตนเอง พลางเอ่ยด้วยความหงุดหงิด: “ข้าน้อยก็ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว! ทั้งฝังเข็มและนวดรักษาข้าน้อยก็ลองมาหมดแล้ว ทว่าขาของท่านถึงขั้นกระดูกขาหักขาดจากกัน เส้นลมปราณได้รับความเสียหาย มิได้รักษาง่ายดายปานนั้น…” และเขาก็ไม่เคยตบหน้าอกประกาศกร้าวว่าตนเองสามารถรักษาใ
...... อ๋องฉีกัดฟันแน่น ถามพลางหัวเราะเยาะ: “ชีจิ่นเล่า?! นางยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดอีกหรือ?!” สวะไร้ประโยชน์! เขามอบทรัพยากรให้นางไปมากมายเพียงนั้น อีกทั้งยังยกเกาทัณฑ์แขนเสื้อให้นาง ผ่านไปนานเพียงนี้แล้วนางกลับยังไม่ส่งข่าวดีกลับมาอีกหรือ! ขันทีสวียังไม่ทันเอ่ยวาจา จินเป่าก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาจากด้านนอกด้วยสีหน้าซีดเผือด ไม่สนแม้กระทั่งการเคาะประตูเสียด้วยซ้ำ เขาเข้ามาด้านในห้องก็คุกเข่าลงและโขกศีรษะกับพื้นทันที: “ท่านอ๋อง ชีจิ่น ชีจิ่นนางแขวนคอตายอยู่หน้าประตูจวนของพวกเราแล้วขอรับ!” อ๋องฉีเดิมเตรียมจะจิบชา บัดนี้ได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ก็บีบถ้วยชาจนแตกกระจายเป็นเสี่ยงทันที มิเพียงถ้วยชา ทว่าอ๋องฉีรู้สึกว่าฟันของตนเองกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงด้วยเช่นกัน สวรรค์เป็นบ้าอะไรกัน ชีหยวนนางเป็นธิดาแห่งสวรรค์หรืออย่างไร? เหตุใดนางทำอะไรถึงได้แต่ชัยชนะตลอด?! สวรรค์แซ่ชีด้วยหรืออย่างไร?! จินเป่าเห็นโลหิตไหลออกมาจากซอกนิ้วของอ๋องฉีไม่หยุด ก็ยิ่งตกใจหวาดวิตกกว่าเดิม: “ท่านอ๋อง ศพน่าจะถูกนำมาแขวนไว้ตอนกลางดึก เมื่อเช้าตอนพบร่างแข็งไปหมดทั้งตัวแล้ว ใบหน้าเขียวคล้ำ คนจำนวนไม่น้อยล้วนเห
พระที่ถูกจี้ด้วยธูปร้องเสียงหลงกลางป่าเขาที่เงียบสงัด เสียงกรีดร้องของพระรูปนั้นดังสนั่นแทบทะลุทะลวงเมฆบนฟ้าพระรูปอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอเห็นชีหยวนก็พากันทำหน้าเหมือนเห็นผีนี่ผีหรือ หญิงสาวผู้นี้ ไฉนถึงออกมาได้อย่างปลอดภัย?!ไม่น่าเชื่อว่าฉือซานจะไม่ลงมือกับหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้?!แต่พวกเขาไม่มีเวลาคิดหาคำตอบอีกต่อไปแล้ว เพราะชีหยวนได้ชักกระบี่อ่อนจากเอวออกมาใช้วรยุทธ์ของนางเพื่อฆ่าสวะพวกนี้ถือเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนโดยแท้ เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป พระสิบกว่ารูปก็ตายหมดจิ้งคงถึงกับอึ้งงันเขาขดตัวเป็นก้อน ยื่นมือออกมาบังอย่างขลาดกลัว “อย่านะ อย่า อย่าสังหารข้า อย่าสังหารข้าเลย!”ชีหยวนเก็บกระบี่อ่อนไป เอ่ยถามเสียงขรึม “ลุกขึ้นเองไหวหรือไม่?”จิ้งคงถึงเพิ่งรู้ว่าชีหยวนไม่มีเจตนาจะฆ่าเขา เขาฝืนรับคำ แล้วค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากพื้น แล้วมองไปที่ชีหยวนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ลังเลชีหยวนเอ่ยถามเขาตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม “รู้หรือไม่ว่าหญิงสาวพวกนั้นถูกขังอยู่ที่ใด?”จิ้งคงน้ำตาคลอทันที ที่แท้นางมาที่นี่เพื่อช่วยพวกหญิงสาวพวกนั้นเขารีบพยักหน้า “รู้ ทุกค
ด้านนอก บรรดาพระกำลังรุมสั่งสอนจิ้งคงผู้ที่ขัดขวางไม่ให้ชีหยวนเข้าวัดเมื่อครู่จิ้งคงกลิ้งอยู่กับพื้น สองมือกอดศีรษะ ปกป้องจุดสำคัญของร่างกาย พร้อมเรียกศิษย์พี่ไม่ขาดปาก พยายามคลานขึ้นมาคุกเข่าขอร้องแต่เขาเพิ่งจะลุกขึ้นได้ พระอีกรูปก็เตะเขาล้มลงไปอีก แล้วพูดเสียงเย็นชา “ข้าก็ว่าอยู่ พักนี้เหตุใดหญิงสาวแรกรุ่นถึงมาที่วัดน้อยลง ที่แท้ในวัดเราก็มีคนทรยศ!”จิ้งคงถูกซ้อมจนใบหน้าเขี้ยวช้ำบวมปูด ปากกับจมูกมีเลือดไหล แต่กลับไม่กล้าเช็ด ตาโปนจนแทบลืมไม่ขึ้น เริ่มโขกศีรษะกับพื้นไม่หยุด “เป็นความผิดของศิษย์น้องเอง ศิษย์น้องไม่กล้าอีกแล้ว ขอศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย ขอให้ศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย!”“ไว้ชีวิตเจ้าหรือ?!” พระที่เป็นหัวโจกอีกคนคว้ากำธูปจากกระถางธูปใกล้มือ แล้วพลิกกลับด้าน จี้ลงบนหัวของจิ้งคงอย่างกะทันหันจิ้งคงพลันกรีดร้องโหยหวน พลางร้องไห้กลิ้งไปมาบนพื้นพระพวกนั้นกลับพากันหัวเราะเสียงดังพระที่ใช้ธูปจี้หัวจิ้งคงเอ่ยเสียงดูแคลน “พวกเราก็รู้กันดี พระอาจารย์ชอบเก็บหญิงสาวที่ดีที่สุด หน้าตาสวยที่สุดไว้ให้ ‘บรรพบุรุษเบื้องบน’ เสวยสุข คนที่มาวันนี้น่ะ งามไม่เป็นสองรองใคร เห็นแวบเดียวก
เขาก้าวเท้าไปด้วยรอยยิ้ม “อมิตา...”ยังไม่ทันกล่าวคำสวดจบ ชีหยวนก็เหยียบต้นไม้ส่งตัวเองลอยขึ้นไป แล้วฟาดเท้าเข้าใส่อกของฉือซานอย่างจัง ฉือซานกระเด็นลงไปกองกับพื้น กระอักเลือดออกมาเต็มปากจากนั้นก็ไม่หยุดการเคลื่อนแม้แต่น้อย นางพุ่งเข้าหาฉือซาน มีดสั้นในแขนเสื้อก็เผยออกมา จ่อเข้าที่อกของเขาฉือซานถึงกับมึนงงไปกับการเคลื่อนไหวนี้ไหนบอกว่าเป็นหญิงสาวที่ไร้หนทาง ไร้ที่พึ่ง ถูกบีบบังคับให้มาขอบุตรไงเล่า?นี่มันคืออะไรกันแน่?!ชีหยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา สายตานั้นไม่เหมือนกับมองคน แต่เหมือนมองดูหินก้อนหนึ่ง หรือไม่ก็ต้นไม้ต้นหนึ่ง เหมือนมองสิ่งที่ไร้ชีวิตนางไม่พูดพร่ำเพรื่อ ถามขึ้นตรง ๆ “หญิงสาวที่พวกเจ้าลักพาตัวมาจากเรือนพักนอกเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเจ้าพาไปซ่อนไว้ที่ใด?”ฉือซานเบิกตากว้างในทันที ริมฝีปากสั่นระริกปลายมีดของชีหยวนแทงอกของเขาลึกหนึ่งชุ่นโดยไม่รั้งรอ เลือดไหลพรวดออกจากแผลทันทีจากนั้นนางก็ถาม “ผู่อู๋ย่งเป็นลุงแท้ ๆ ของเจ้าใช่หรือไม่? เห็นได้ยากจริง ๆ หลานของไอ้หมาขันที เขาบอกเจ้าว่าให้เจ้าอยู่นิ่ง ๆ ไปพักหนึ่ง รออีกไม่นานจะให้เจ้าไปเป็นขุนนางที่สำนักพระพุทธศาส
ชีหยวนควบม้าเร็วออกจากเมือง โดยไม่พาคนติดตามไปแม้แต่คนเดียว ลมพัดแรงจนเสื้อคลุมสีแดงสดของนางปลิวสะบัด แต่นางกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แม้หมวกคลุมศีรษะจะเปิดออก นางก็ไม่คิดจะดึงกลับมาสวมอีกนางรู้ดีบนโลกนี้ไม่มีแม่ทัพไร้พ่ายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เว้นแต่จ้าวจื่อหลงผู้เป็นดั่งปาฏิหาริย์ ผู้อื่นแม้เป็นแม่ทัพที่เก่งกล้าสักเพียงใด ก็ล้วนเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้แต่สำหรับนาง ไม่มีทาง!โดยเฉพาะคนที่ฆ่านาง ทั้งยังทำให้คนที่นางพามาด้วยต้องเติบโตขึ้นโดยไม่มีแม่ ก็ยิ่งสมควรตาย!ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่นางไม่เคยเข้าใจก็คือเหตุใดหลี่ซิ่วเหนียงถึงไม่เหมือนแม่คนอื่นสิ่งที่นางอิจฉามากที่สุดก็คือเด็กคนอื่น ๆบัดนี้มีเด็กอีกคนหนึ่งที่ต้องกลายเป็นกำพร้าเพราะนาง ชีหยวนรู้สึกว่าตัวเองช่างบาปหนานักแน่นอนว่าความผิดของนางมีอยู่จริง แต่มันก็ยังมีบางคนที่สมควรจะลงนรกสิบแปดขุม!นางควบม้าเร็วเร่งรุดมาถึงวัดว่านอันที่ชานเมืองหลวง เอียงศีรษะเล็กน้อย จ้องคำว่าวัดว่านอันสามคำนั้นอย่างเย็นชา บนใบหน้าฉายแววเย็นเยียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนออกจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาค่ำแล้วยามดึกดื่นเช่นนี้ หญิงสาววัยแรกแย
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื