ตอนนั้นคุณหนูใหญ่สกุลหลิ่วนางยังกล้าปล่อยให้คนร่วงตกจากหลังม้าเกือบตายได้เลย นับประสาอะไรกับตนเอง? นางกัดริมฝีปากแล้วเงียบไปทันที ท่านหญิงลั่วชวนเอ่ยปากขึ้นในเวลาที่เหมาะสม “คุณหนูใหญ่ชีพูดถูก ไม่สู้เลิกประชันการเขียนอักษรก่อนเถิด คุณหนูเฝิงดีดพิณเป็นหรือไม่? พอดีข้าเพิ่งได้พิณชั้นดีมาหนึ่งตัว…” พูดเป็นเล่น นางไม่อยากให้จวนอ๋องโจวต้องเกิดเรื่องทุกครั้งที่จัดงานเลี้ยงหรอกนะ สายตาของนางมองไปยังชีหยวนอีกครั้งด้วยความรู้สึกซับซ้อนเล็กน้อย เด็กผู้หญิงคนนี้ช่างเหมือนกับถั่วทองแดงเสียจริงจะทุบก็ไม่แบนจะตีก็ไม่แหลก ชีหยวนกลับไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย สายตาของนางทิ้งมองไปยังบทพระสูตรว่าด้วยกาบรรลุธรรมโดยการภาวนาถึงพระอมิตาภะพุทธเจ้าทุกห้วงขณะจิตของพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ที่เพิ่งเขียนเสร็จแผ่นนั้น ก่อนจะถามเฝิงไฉ่เวยด้วยเสียงแผ่วเบา “คุณหนูเฝิงศรัทธาในองค์พระอมิตาภะพุทธเจ้าหรือไม่?” เฝิงไฉ่เวยมองบ่าวรับใช้ที่กำลังเก็บภาพเขียนอักษรของตนเองอย่างระมัดระวัง ก่อนจะอมยิ้มพลางส่ายศีรษะ “พูดไปก็กลัวว่าคุณหนูใหญ่ชีจะหัวเราะเยาะ แต่ข้าไม่เชื่อในองค์พระพุทธเจ้า เพราะข้าเชื่อเพียงว่าคนต้องชน
นางยืนอย่างเงียบสงัด ราวกับเป็นต้นไผ่มรกตที่ตั้งตระหง่านก่อนพายุใหญ่จะมาเยือน แม้แต่ท่านหญิงลั่วชวนยังทำเป็นมองข้ามนางไปไม่ได้ จึงอมยิ้มพลางถามว่า “คุณหนูใหญ่ชี ทุกคนต่างกำลังแลกเปลี่ยนฝีมือกัน เจ้าอยากจะลองด้วยสักครั้งหรือไม่?” ชีหยวนส่ายศีรษะ ทันใดนั้นก็มีคนหลุดขำพรืดออกมา หวังฉานและเซี่ยงหรงก็เดินเข้ามาในตอนนั้นด้วยเช่นกัน พอได้ยินเสียงหัวเราะของคนผู้นั้น ใบหน้าก็ฉายประกายไม่พอใจออกมาทันที โดยเฉพาะเซี่ยงหรง นางถึงกับโพล่งถามขึ้นมาทันทีเลยว่า “เว่ยชิงยาง ขำอะไรของเจ้า?” เฝิงไฉ่เวยในตอนนี้ก็เขียนอักษรตัวสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่นางเขียนก็คือพุทธคัมภีร์บทหนึ่ง ซึ่งว่าด้วยการบรรลุธรรมโดยการภาวนาถึงพระอมิตาภะพุทธเจ้าทุกห้วงขณะจิตของพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ เมื่อจรดปลายพู่กันเขียนอักษรตัวสุดท้ายออกมาแล้ว เว่ยชิงยางก็เลิกคิ้วพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันขึ้นมาว่า “เปล่านี่ ข้าก็แค่รู้สึกว่า การรู้แจ้งย่อมมีลำดับก่อนหลัง ศาสตร์แต่ละแขนงย่อมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง คุณหนูใหญ่ชีอาจจะขี่ม้าได้ไม่เลว แต่เรื่องการคัดอักษร เกรงว่าอย่าฝืนจะดีกว่า” สกุลเว่ยมีชาติกำเนิดมาจากอวิ๋น
เฝิงไฉ่เวยสวมเสื้อคลุมสตรีแขนยาวสีเหลืองอ่อน ด้านในเป็นเสื้อคอตั้งปักลายเมฆมงคล ส่วนท่อนล่างสวมกระโปรงหม่าเมี่ยนแปดจีบสีขาวนวล มองแล้วสะโอดสะองอ่อนช้อยยิ่งนัก เทียบกับแม่นางสกุลเฝิงคนอื่นแล้ว ผิวพรรณนางขาวเนียน ยิ่งอยู่กับสีเหลืองอ่อนยิ่งขับให้สว่างโดดเด่น นิสัยสงบเสงี่ยม กิริยามารยาทครบถ้วนไม่บกพร่อง ท่วงท่าการคารวะช่างงดงามน่าชื่นชม ยิ่งทำให้ดูโดดเด่นดั่งกระเรียนในฝูงระกา รอยยิ้มบนใบหน้าของพระชายาอ๋องโจวยิ่งกว้างขึ้น นางกุมมือของเฝิงไฉ่เวยไว้ แล้วถอดกำไรหยกขาวมัดไหมแบบสามวงหนึ่งเส้นบนข้อมือของตนเองส่งให้เฝิงไฉ่เวย “พบหน้ากันครั้งแรก สิ่งนี้ให้เจ้าไว้เป็นของขวัญแรกพบหน้า เอาไปสวมเล่นเถิด” เฝิงไฉ่เวยผินใบหน้าเหลือบสายตามองไปยังฮูหยินเฝิงที่อยู่ด้านข้าง เห็นฮูหยินเฝิงพยักหน้าให้ นางจึงกล่าวขอบคุณพระชายาอ๋องโจวอย่างสง่างาม พระชายาอ๋องโจวก็สั่งให้สาวใช้ที่รอคำสั่งอยู่ด้านข้างเชิญเหล่าแม่นางสกุลเฝิงไปเล่นสนุกที่พลับพลึงกลางทะเลสาบทันที ก่อนจะเอ่ยยิ้ม ๆ “พวกนางไปเล่นกันที่พลับพลึงกลางทะเลสาบแล้ว พวกเจ้าเองก็ไปเล่นด้วยกันสิ” พูดจบก็หันมามองชีหยวนด้วย “คุณหนูใหญ่ชีก็ไปเล่นกับพวกนางด
ฮูหยินรองชีกระทั่งขึ้นมาบนรถม้ากับชีหยวนแล้ว ทว่าหัวใจยังคงเต้นตุบ ๆ อย่างรุนแรงมากมาตลอด เมื่อครั้งก่อนหน้านั้น ตอนอยู่บนรถม้านางยังคิดว่าชีหยวนเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายฉลาดเฉลียวรู้สถานการณ์ ทว่านับแต่วันนั้นเป็นต้นมา นางก็รู้แล้วว่าทุกสิ่งไม่ควรตัดสินกันเพียงแค่ภายนอกคืออะไร เมื่อใดที่เจ้ามิได้ยั่วโทสะล่วงเกินชีหยวนก่อน นางก็จะสงบนิ่งจนดูราวว่าไร้ซึ่งพิษสง แต่ถ้าหากเจ้าเกิดไปยั่วโทสะล่วงเกินนางขึ้นมา นางก็จะเผยคมเขี้ยวของนางออกมาทันที และที่ไปครั้งนี้… ฮูหยินรองชีลองหยั่งเชิงเหลือบสายตามองไปที่ชีหยวน กลับค้นพบว่าชีหยวนกำลังมุ่นหัวคิ้วท่าทางเหม่อลอย นางอดไม่ได้ก็ส่งเสียงเรียกเบา ๆ “อาหยวน?” ชีหยวนหลุดจากห้วงภวังค์ เห็นฮูหยินรองชีมองตนเองอย่างตระหนกแล้ว ก็หัวเราะออกมาเบา ๆ พลางปลอบ ว่า “น้าสะใภ้รองอย่าได้เคร่งเครียดไปเลย ที่ข้าไปครั้งนี้ก็เพราะอยากคลี่คลายข้อสงสัยเรื่องหนึ่งให้กระจ่างเท่านั้น ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรหรอกเจ้าค่ะ” ฮูหยินรองเผลอถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรก็ดี กระทั่งพวกนางมาถึง ก็พบว่ามีคนจำนวนมากมาถึงก่อนแล้ว ด้วยตำแหน่งของจวนหย่งผิงโหวใน
คุณหนูใหญ่ชีเข้ามาก็เพื่อถามเขาเพียงคำถามเดียวนี้ ชีหยวนไม่ต้องการคำตอบของเขาอีกแล้ว นางมองเซี่ยอิ๋งก่อนจะถามด้วยเสียงเบาว่า “คุณชายเซี่ยกับท่านอ๋องน่าจะคุ้นเคยกันดี?” ในเมืองหลวงคนที่จะถูกเรียกว่าท่านอ๋องได้มีอยู่มาก ทว่าตอนนี้พวกเขาทั้งสองต่างกระจ่างในใจว่าท่านอ๋องคนที่นางเอ่ยถึงหมายถึงใคร เซี่ยอิ๋งผงกศีรษะ “ย่อมเป็นเช่นนั้น ข้ากับท่านอ๋องต่างเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์คนเดียวกัน” ชีหยวนไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่ผงกศีรษะและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณคุณชายเซี่ยมาก” ..... เซี่ยอิ๋งรู้สึกงุนงงสับสนเพราะการกระทำของชีหยวนไปอย่างสมบูรณ์ ไม่รู้เลยว่านางหมายถึงอะไรกันแน่ สมองของชีหยวนเองก็มีเสียงอื้ออึงดังขึ้นมา หลายสิ่งหลายอย่างต่างจากภาพในความทรงจำของตนเองไปอย่างสิ้นเชิง มิน่าในชาติที่แล้วหลังจากเซี่ยอิ๋งตายไป นางก็ยังคงได้รับบุปผาอิงซานหงหนึ่งดอกในทุกปี ไม่ว่านางจะไปอยู่ที่ใดก็ตาม ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าคนที่ส่งบุปผามาให้นางแท้จริงแล้วไม่ใช่เซี่ยอิ๋ง นางใช้มือค้ำขอบประตูเอาไว้ จู่ ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่าดวงอาทิตย์ช่างสะท้อนแสงบาดตาเสียเหลือเกิน นางชะงักงันไปครู่หนึ่งก่อนจะส
นางมีท่าทีเหม่อลอยไปเล็กน้อย ทว่าสถานการณ์เช่นนี้พอเกิดขึ้นกับนางแล้วกลับเป็นภาพที่หาชมได้ยากยิ่งจริง ๆ ไม่เพียงฮูหยินเซี่ยที่รู้สึกเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าชีเองก็ยังสังเกตได้ นางอดไม่ได้ก็เปล่งเสียงเรียกสติเบา ๆ “แม่หนูหยวน?” ชีหยวนถึงจะดึงสติตนเองกลับมาได้ในตอนนี้ นางเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าชีอย่างเคร่งขรึม “ท่านย่า ข้าขอตัวไปพบคุณชายเซี่ยสักครู่” ฮูหยินผู้เฒ่าชีเข้าใจในทันที ก็ยิ้มและตอบกลับว่า “ไปเถิด” จากนั้นก็หันไปพูดคุยกับฮูหยินเซี่ยด้วยรอยยิ้มถึงเรื่องที่พบเจอระหว่างเดินทาง เล่าว่าบ้านเรือนในเมืองหลวงควรดูแลอย่างไร รวมถึงการเรียนของเซี่ยอิ๋ง ไม่นานก็ทำให้ความรู้สึกกังวลของฮูหยินเซี่ยหายไปอย่างรวดเร็ว ส่วนชีหยวนก็กำลังมุ่งตรงไปยังห้องหนังสือของโหวผู้เฒ่าชี โหวผู้เฒ่าชีรู้ว่าชีหยวนใส่ใจสกุลเซี่ย แต่กระนั้นก็คิดไม่ถึงว่าชีหยวนจะมาที่ห้องหนังสือ ทำให้ในใจอดคิดอะไรหลาย ๆ อย่างขึ้นมาไม่ได้ เหตุผลที่มองข้ามอ๋องฉีและพระราชนัดดาองค์โตไป ก็เพราะเซี่ยอิ๋งหรือ? เขามองเซี่ยอิ๋งอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง ไม่ใช่ว่าเซี่ยอิ๋งไม่ดี ในทางตรงข้ามหากเทียบเซี่ยอิ๋งก