ดังนั้นตอนนี้ แม้ว่าจะถูกพระชายาหลิ่วเปิดโปงในที่นี้ แต่เขากลับยังคงแสดงท่าทีองอาจมีคุณธรรม เพียงแค่ถอนหายใจหนักๆ เท่านั้นฮ่องเต้หย่งชางทั้งทรงตกพระทัยและทรงกริ้วถึงกับไม่รู้ว่าจะรับเรื่องนี้ได้อย่างไรในทันทีเดิมทีที่พระองค์ยอมรับให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวัง ก็เป็นเพราะต้องการชดเชยให้กับจวนฉู่กั๋วกง ใครจะคิดว่าเรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนี้!หากเป็นเช่นนั้นจริง เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแม้จะถือว่าเป็นน้องสาวของพระชายาหลิ่ว แต่แท้จริงแล้วนางคือศัตรูของพระชายาหลิ่ว!เป็นศัตรูที่ทำให้มารดาของพระชายาหลิ่วตรอมใจตายพระองค์ที่ทรงตกพระทัยและพิโรธ เค้นถามฉู่กั๋วกงว่า “ฉู่กั๋วกง เรื่องนี้มันเป็นมาอย่างไรกันแน่?!”กั๋วกงหลับตาลง ยกชายเสื้อขึ้นแล้วคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะกับพื้นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท เรื่องนี้เป็นเช่นที่พระชายากล่าว…...”เขายอมรับแล้ว! เขายอมรับมันจริงๆ แล้ว!สีหน้าของพระชายาหลิ่วบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ “ท่านแม่ข้ามีแต่ความจริงใจให้ท่าน! นางถึงกับยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อตามท่านไปถึงเมืองจางโจว เพื่อท่านแล้วนางต้องแท้งลูกไปหลายครั้งจนสุดท้ายไม่สามารถมีลูกได้อีก! แต
เมืองหลวงแทบจะเกิดแผ่นดินไหว พระชายาหลิ่วที่หายตัวไปหลายปี ตอนนี้กลับมาอย่างปลอดภัย แล้วฮองเฮาองค์ปัจจุบันจะทำเช่นไร?ตามกฎบรรพบุรุษ พระชายาหลิ่วเป็นชายาเอกโดยชอบธรรม และนางก็ไม่เคยกระทำผิด ดังนั้นบัดนี้เมื่อนางกลับมาแล้ว นางก็ควรได้รับตำแหน่งฮองเฮาอย่างถูกต้อง!สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่ตระกูลเฝิง ต่างกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของรัชทายาทองค์ปัจจุบัน แต่เดิมทีฮงเฮาและรัชทายาทก็ไม่ได้รับความโปรดปรานอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะมีพระราชนัดดาที่เก่งกาจ เกรงว่าตำแหน่งมกุฎราชกุมารคงรักษาไว้ไม่ได้ตั้งนานแล้วแต่ตอนนี้พระชายาหลิ่วกลับมาแล้ว เช่นนั้นทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปใครบ้างไม่รู้ว่าอดีตตอนที่ฮ่องเต้หย่งชางยังอยู่ที่ดินแดนศักดินา ทรงผ่านความลำบากมาด้วยกันกับพระชายาหลิ่ว ทั้งสองเป็นสามีภรรยาที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา?ขณะเดียวกัน ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาความโชคดีของตระกูลหลิ่วก่อนหน้านี้ตระกูลหลิ่วก็มีกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานอย่างสูง ถือเป็นเกียรติสูงสุดในช่วงหนึ่งและตอนนี้พระชายาหลิ่วก็กลับมาอีก มีแนวโน้มว่าจวนฉู่กั๋วกงอาจจะได้ฮองเฮาอีกองค์ นั่นหมายความว่าตระกูลหลิ่วจะมีทั้งฮ
เซียวอวิ๋นถิงตอบรับด้วยเสียงหนักแน่นฟ่านเหลียงตี้ยังไม่ทันให้รัชทายาทเอ่ยปาก ก็ยิ้มพลางถามว่า “ในเมื่อพระราชนัดดาองค์โตเสด็จไปยังตำหนักไท่จี๋แล้ว เช่นนั้นเรื่องคราวนี้คงไม่มีปัญหาอะไรแล้วสินะ?”หากเป็นเมื่อก่อน เซียวอวิ๋นถิง ค่อนข้างถนัดในการรับมือกับคำพูดอ้อมค้อมเหล่านี้ แต่ตอนนี้ เขากลับไม่อยากเสแสร้งอีกต่อไปเขาจ้องมองฟ่านเหลียงตี้ด้วยสายตาเรียบนิ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบา “พูดถึงเรื่องนี้ เมื่อวานคนที่ต้องไปชมดอกเหมยที่วัดหวงเจวี๋ยพร้อมเสด็จพ่อ ควรเป็นฟ่านเหลียงตี้มิใช่หรือ? แต่เหตุใดจู่ๆ จึงเปลี่ยนเป็นหวังเหม่ยเหรอแทน?”ใบหน้าของฟ่านเหลียงตี้เปลี่ยนสีทันที นางฝืนยิ้มแล้วแก้ตัวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “นี่ แน่นอนว่าเพราะอาการปวดศีรษะเรื้อรังของหม่อมฉันกำเริบขึ้นมาน่ะเพคะ”“อย่างนั้นหรือ?” เซียวอวิ๋นถิง ไม่ได้แสดงท่าทีเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่กลับหันไปมองรัชทายาทที่มีสีหน้าดุดัน“เสด็จพ่อ ควรไตร่ตรองให้ดีเถิด เรื่องบังเอิญเช่นนี้ ดูเหมือนจะเกิดขึ้นกับฟ่านเหลียงตี้ไม่ใช่เพียงครั้งเดียวใช่หรือไม่?”ฟ่านเหลียงตี้ตาแดงคลอเบ้า รีบลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงกับพื้น “รัชทายาทเพคะ…...”เซียวอวิ๋นถิงแค่
ในชาติก่อนท้ายที่สุดแล้วเพราะองค์รัชทายาทเสียมารยาทในพิธีรับเสด็จ จึงเป็นเหตุให้ถูกฮ่องเต้หย่งชางทอดทิ้ง กอปรกับอ๋องฉีในตอนนั้นยิ่งได้รับความโปรดปรานเพิ่มขึ้นทุกขณะ ฮ่องเต้หย่งชางทรงมีดำริจะปลดรัชทายาทหลายครั้ง ครั้งหนึ่งฮ่องเต้หย่งชางเคยถึงขั้นตั้งคำถามกับฉู่ป๋อราชเลขาธิการสำนักขุนนางหลวงในตอนนั้น โดยถามว่าหากเขาปลดรัชทายาท ควรจะแต่งตั้งผู้ใดเป็นรัชทายาทแทน? ตัวฉู่ป๋อเองแม้ยึดมั่นในระบบสืบทอดราชวงศ์ แต่กระนั้นก็ทราบดีว่าฮ่องเต้หย่งชางในขณะนั้นกำลังพิโรธถึงที่สุด ก็ใช้ไหวพริบ ตอบกลับไปว่า: “นับแต่โบราณกาลแต่งตั้งมกุฎราชกุมารนั้นหากมิใช่แต่งตั้งโอรสพระองค์โตแล้ว ก็ต้องแต่งตั้งโอรสสายตรงพ่ะย่ะค่ะ หากว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์จะปลดรัชทายาทและแต่งตั้งวังบูรพาอีกพระองค์ขึ้นดำรงตำแหน่งแทนแล้ว กระหม่อมเห็นควรว่าต้องหาตัวพระชายาหลิ่วให้พบ และแต่งตั้งโอรสพระองค์โตที่เกิดจากพระชายาเอกขึ้นเป็นรัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!” เมื่อถ้อยคำนี้ถูกเอ่ยออกมา แม้แต่คนที่สนับสนุนฝ่ายรัชทายาทเองก็ยังส่งเสริมแนวคิดนี้ กราบทูลให้ฮ่องเต้หย่งชางทรงมีราชโองการตามหาตัวพระชายาหลิ่วและโอรสพระองค์โตให้พบ ฮ่องเต้หย่งชางเดิม
ช่างโหดเหี้ยมเสียจริง เสือถึงร้ายยังไม่กินลูกตัวเอง ฉู่กั๋วกงเพื่อเกียรติยศและความมั่งคั่งร่ำรวยของตนเองแล้ว กล้าใจแข็งสังหารพระชายาหลิ่วไปแล้วหนึ่งครั้ง บัดนี้ยังมีใจโหดเหี้ยมพอจะปลิดชีวิตนางทิ้งอีกเป็นครั้งที่สอง และยังมีฮ่องเต้หย่งชางด้วยอีกคน เขาอาจจะสนใจพระชายาหลิ่วจริง และอาจจะคิดถึงพระชายาหลิ่วจริง หรืออาจจะถึงขั้นไม่สนใจพื้นเพชีวิตของพระชายาหลิ่วจริง ทว่า พระชายาหลิ่วจะยังเทียบกับเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยที่เขารักและทะนุถนอมมานานหลายปีคนนั้นได้จริงหรือ? และเซียวโม่ที่สติปัญญาโง่เขลาจะเทียบกับธิดาที่ฉลาดเฉียบแหลมได้หรือ? ชีหยวนหยุดที่หน้าประตูเรือนสกุลเจียงอย่างเย็นชา ครั้นมองเห็นกับตาว่าขันทีในวังมาถึงเรือนสกุลเจียงพร้อมกับพานายท่านใหญ่ของสกุลเจียงมาด้วยกัน ซึ่งนั่นก็คือลุงแท้ ๆ ของพระชายาหลิ่ว ก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้ จริงดังที่คาด นางเดาไว้ไม่ผิดเลย นางสีหน้าไม่สื่ออารมณ์ ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นนานครู่ใหญ่ ก่อนจะหมุนตัวและเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร เมื่อนางกลับมาถึงเรือนสกุลชี โหวผู้เฒ่าชีก็ถามนางด้วยความสงสัยเล็กน้อย: “ท่านอ๋องยังไม่มาพบเจ้าอีกหรือ?” ท่านอ๋อง? ชีห
หลายปีที่ผ่านมา องค์หญิงใหญ่ไม่เคยเชื่อว่าราชบุตรเขยลู่จะเสียชีวิตไปแล้ว สกุลลู่ในตอนนั้นปรารถนาจะตั้งป้ายวิญญาณให้กับลู่หมิงอัน และต้องการสร้างแผ่นศิลาจารึกให้กับลู่จิ่นถางบุตรของพวกนาง ทว่าทั้งหมดล้วนถูกองค์หญิงใหญ่คัดค้านอย่างเด็ดขาด นางไม่ยอมรับว่าลู่หมิงอันและลู่จิ่นถางตายไปแล้ว และยืนกรานปฏิเสธเรื่องนี้ด้วยท่าทีแข็งกร้าวมาตลอด ด้วยท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมท้อถอย กอปรกับความรู้สึกผิดอย่างจริงใจของฮ่องเต้หย่งชางที่มีต่อพระกนิษฐา ทำให้เรื่องนี้ถูกปล่อยให้ค้างคาและไม่มีข้อสรุปมาโดยตลอด ทว่าแม้นางจะมีท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมพ่ายแพ้ ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไปทีละเล็กทีละน้อย แม้นางจะยังคงแสดงท่าทีแข็งกร้าวออกมาเหมือนเก่า ทว่าภายในใจกลับสูญสิ้นความหวังไปนานแล้ว เนิ่นนานเพียงนี้ หากว่าลู่หมิงอันยังไม่ตายจริง ๆ ต่อให้คลานก็ควรจะคลานกลับมาถึงเมืองหลวงได้แล้ว กลับคิดไม่ถึงเลยว่า บัดนี้ในตอนที่นางสูญสิ้นความหวังไปนานแล้ว กลับกลายเป็นว่าลู่หมิงอันได้กลับมาอย่างปลอดภัยจริง ๆ! ลูกประคำในมือของนางพลันขาดสะบั้น เม็ดลูกประคำร่วงกระจัดกระจายบนพื้น ทันใดนั้น นางลุกพรวดขึ้นมาในทันที ความคิดในศี
เซียวอวิ๋นถิงขมวดคิ้วแน่น: “หากว่าจวนฉู่กั๋วกงมีแผนการเช่นนี้จริง เรื่องก็ยิ่งยุ่งยากแล้ว บัดนี้ฮูหยินฉู่กั๋วกงคนเดิมสิ้นชีวิตไปแล้ว มิหนำซ้ำยังตายโดยไร้หลักฐาน สกุลเจียงเองก็เลือกยืนข้างจวนฉู่กั๋วกงเพื่อผลประโยชน์ ย่อมทำตามทุกสิ่งที่ฉู่กั๋วกงว่า” องค์หญิงใหญ่แค้นสกุลหลิ่วเข้ากระดูกดำ นางกัดฟันกรอดพลางแค่นหัวเราะเสียงเย็นเยียบ: “ช่างลุ่มหลงในความรักเสียจริง เพื่ออนุภรรยานอกเรือนคนนั้น เขาถึงกับสังหารภรรยาและบุตรีสายตรง บัดนี้ยังคิดจะป้ายสีบุตรีสายตรงอีก แม้แต่บุตรีแท้ ๆ ของตนเองยังไม่รู้จัก เดรัจฉานสิ้นดี!” หากเก่งนักก็ไม่ต้องแต่งงานกับนางเจียงตั้งแต่แรกสิ เหตุที่สมรสกับนางเจียง ในตอนนั้นก็เป็นเพราะเห็นแก่อำนาจและบารมีของสกุลเจียง ต่อมาเมื่อสกุลเจียงตกอับ ก็ปฏิบัติกับภรรยาเอกเช่นนี้ ช่างเลวทรามสิ้นดี! แต่นอกจากด่ากราดแล้ว นางก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรดี ทว่าชีหยวนกลับเคาะโต๊ะพลางเอ่ยด้วยเสียงขรึมว่า: “พวกเขาพูดว่าอะไรก็ต้องเป็นเช่นนั้นหรือ? หากข้าบอกว่าข้าเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ พวกเขาก็ต้องก้มกราบสักการะข้าแล้วสิ?” ..... พูดกันอยู่ดี ๆ ชีหยวนพลันโพล่งประโยคแบบนี้ออกมา ทำใ
ภายในวังหลวง พระชายาหลิ่วเกร็งไปทั้งตัว ทั่วร่างกายสั่นเทิ้มไม่หยุด สวรรค์ย่อมรู้ว่าหลายปีที่ผ่านมานางต้องอดทนอย่างไรบ้าง ขณะที่ถูกไล่ล่า นางต้องอุ้มท้องโต ๆ วิ่งหนีตายกลางฤดูหนาวซ่อนตัวอยู่ในไหดองสุราของคนอื่น เปียกชุ่มโชกไปทั้งร่างกาย จนเกือบแข็งตาย ต่อมาท่ามกลางหิมะตกโปรยปรายภายใต้การคุ้มกันของคนสนิท นางได้ให้กำเนิดบุตรชายในเรือนของชาวบ้านกลางหุบเขา และยังต้องซ่อนตัวหลบหนีจากการไล่ล่าที่ไม่หยุดพัก ท้ายที่สุด พวกเขาก็หลบหนีไปจนถึงสถานที่แห่งหนึ่งในเมืองเจียงซีอันไกลโพ้น ซ่อนตัวโดยการปกปิดชื่อแซ่ แต่กระนั้นก็ยังเกือบถูกจับได้หลายครั้ง นางคิดว่าชีวิตมันเลวร้ายพอแล้ว ทว่าต่อมา ตอนที่บุตรชายวัยได้หนึ่งขวบกว่าเกิดอาการตัวร้อนไข้ขึ้นสูงไม่หยุด เพราะไม่สามารถหาหมอที่ดีมารักษาได้ จึงถูกพิษไข้เล่นงานอย่างสาหัสจนกลายเป็นเด็กสติปัญญาบกพร่องไป หลายปีที่ผ่านมา นางอาศัยเพียงแค่ลมหายใจประคองชีวิตให้รอดต่อไปได้ นางอยากจะถามกลับ ถามต่อหน้าฉู่กั๋วกง แม้แต่พยัคฆาดุร้ายยังไม่กินลูกของมัน แล้วเหตุใดเขาถึงได้เลวทรามต่ำช้าจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเพียงนี้? นางอยากจะถามสักคำ ว่าเหตุใดต้องทำกับนาง
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว
สกุลชีถูกโจรบุกปล้นในวันที่สามของปีใหม่ ที่พำนักของคุณหนูใหญ่สกุลชีถูกไฟเผาวอดไปครึ่งหนึ่ง หากมิใช่เพราะคุณหนูใหญ่สกุลชีบังเอิญไปอยู่ที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า และกำลังคัดเลือกถั่วปากอ้ากับฮูหยินผู้เฒ่าพอดี เกรงว่าคุณหนูใหญ่สกุลชีคงจะไม่รอดแล้ว เรื่องนี้ปิดบังไม่อยู่ ไม่นาน ก็แพร่สะพัดลือเล่ากันไปไกลแล้ว จะไม่ให้แพร่สะพัดไปไกลก็คงไม่ได้ สกุลชีเพิ่งถูกกล่าวหาว่าสมคบกับข้าศึกขายดินแดนให้อริราชศัตรู โหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นก็ถูกจับเข้าคุกหลวงไปแล้ว เห็นสกุลชีสภาพน่าเวทนาถึงเพียงนี้ แต่ใครจะรู้ว่ายังมีคนจ้องจะซ้ำเติมสกุลชีไม่ปล่อย หวังให้สกุลชีตายราบคาบ เฮอะ ๆ พวกชาวบ้านก็ยังมีแอบวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง “ไม่รู้ว่าใช่ฝีมือของครอบครัวทหารจากจี้โจวหรือไม่?” “จริงด้วย หากว่าเป็นอย่างที่พวกครอบครัวทหารเหล่านั้นว่ากันจริง เงินถูกสกุลชิงเอาไปแล้ว แต่กลับโยนความผิดให้พวกเขารับไว้แบบนั้น พวกเขาจะไปยอมได้อย่างไร?” “หากเป็นข้านะ ข้าก็คงทุ่มสุดตัวเหมือนกัน!” ดูเหมือนว่าคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกันนี้จะมิได้มีเพียงแค่พวกชาวบ้าน เทศกาลปีใหม่ปีนี้ถูกลิขิตไว้ไม่ให้เงียบสงบ ในวันที่เจ็ดของปีใหม่ ศ
สวีฮว่านเหงื่อเย็นไหลพลั่ก ตอนที่ได้ยินชีหยวนนับหนึ่ง สอง สาม ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดังออกไป “ข้าให้เจ้าก็ได้! ข้าให้เจ้าก็ได้! สาส์นลับอยู่ใน…อยู่ในชั้นวางลับหลังโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือของข้า!” ชีหยวนเปล่งเสียงอุทานออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะเก็บกริชและปิ่นทองคำกลับมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาฉุดเขาขึ้นมา และผลักให้เขาเดินไปที่ชั้นหนังสือ พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “เปิดมัน” สวีฮว่านลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นชีหยวนก็เตะข้อพับขาของเขาอย่างแรงไปหนึ่งที “เปิดออก!” สวีฮว่านดึงจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของตนเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะฝังมันเข้าไปในตำแหน่งที่เป็นช่องเว้าบนชั้นวางหนังสือ และหมุนมันหนึ่งรอบ ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ทว่าเสี้ยวพริบตาเดียวนี้ สวีฮว่านรีบสะบัดตัวออกจากชีหยวนหวังว่าจะหลบหนี เขารู้ดี โดยปกติคนเราเมื่อตกอยู่ในเสี้ยวขณะที่ได้รับสิ่งของที่ตนเองต้องการมากเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเผลอไผลไปได้ง่ายดายที่สุด เขาเฝ้ารอจังหวะนี้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดาย เขาเพิ่งจะกลิ้งตัวไปกับพื้น กลับเห็นชีหยวนใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งออกมาจากชั้นวางลับ