วุ่นวายมาตั้งนาน สุดท้าก็แค่ทำแทนคนอื่นเสียเปล่า ๆ“ไม่เป็นไร” อ๋องฉีกล่าวด้วยอารมณ์ดี สีหน้าก็แลดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ พลางยกคิ้วถามขันทีสวีอย่างเรียบเฉย “ข่าวที่ข้าให้เจ้าไปส่งนั้น ได้ส่งออกไปหรือยัง?”พูดถึงเรื่องนี้ ขันทีสวีก็รู้สึกแปลกใจ ข่าวที่ท่านอ๋องสั่งให้เขาส่งออกไปนั้นคือส่งไปยังตระกูลเฝิงแต่ตระกูลเฝิงแต่เดิมก็เป็นแค่โคลนบนพื้น ใครจะเหยียบก็ได้อีกทั้งท่านอ๋องกับตระกูลเฝิงก็หาได้มีความเกี่ยวพันใด ๆ มาก่อน เหตุใดจึงอยู่ ๆ ถึงส่งข่าวไปหาพวกเขาได้ล่ะ?แต่พอคิดไม่ออก เขาก็ไม่คิดต่อ เพียงแต่ก้มหน้าพูดกับอ๋องฉีเสียงเบา “ท่านอ๋อง เกรงว่าจะชักช้าไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว พวกเราควรรีบออกจากสถานที่อันยุ่งเหยิงนี้จะดีกว่า!”อ๋องฉีไม่เคยมีสติเช่นในตอนนี้มาก่อน แม้ว่าเขาอยากจะไปพบชีหยวนอีกสักครั้งก่อนจาก แล้วถามให้รู้แน่ว่า ชีหยวนลืมตระกูลเฝิงไปจริง ๆ แล้วหรือ ลืมเฝิงไฉ่เวยในชาติปางก่อนแล้วจริงหรือจากนั้นก็ดูด้วยตาตัวเองว่าชีหยวนมีปฏิกิริยาอย่างไรทว่าในใจเขาก็รู้ดีเช่นกันหากเขาทำเช่นนั้นจริง เกรงว่าเขาจะไม่ได้เห็นปฏิกิริยาของชีหยวน กลับจะถูกชีหยวนแ
จนกระทั่งจัดการเรื่องราวทางนี้เสร็จสิ้นแล้ว ชีหยวนจึงกลับไปยังจวนตระกูลชีฮูหยินผู้เฒ่าชีเฝ้ารอแต่นางอยู่แต่เนิ่น ๆ พอเห็นหน้านางก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง พลางลดเสียงลงกล่าวว่า “ใต้เท้าชุยมาแล้ว บอกว่าองค์หญิงเป่าหรงปลอดภัยดี เพียงแต่พระวรกายไม่แข็งแรง จึงพักฟื้นอยู่ที่วัดหวงเจวี๋ย……”ฮ่องเต้หย่งชางทรงจัดการชีหยวนเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกตั้งแต่เซียวอวิ๋นถิงพูดกับนางว่า การตายขององค์หญิงเป่าหรงจะเป็นเพียงการฆ่าตัวตาย นางก็ทราบดีแล้วว่าผลลัพธ์จะลงเอยอย่างไรสำหรับองค์หญิงเป่าหรง ฮ่องเต้หย่งชางเรียกได้ว่าเมตตาแล้วถึงที่สุดพระองค์ทรงทำถึงขนาดแล้ว แต่องค์หญิงเป่าหรงกลับยังอกตัญญูและเนรคุณ ไม่ต่างอะไรกับการแทงข้างหลังพระองค์อย่างไร้ปรานีนางหัวเราะเบา ๆ เอ่ยอย่างมีเลศนัยว่า “นี่ก็เพื่อให้ทุกคนจำเอาไว้ ว่าคืนวันนั้นที่วัดหวงเจวี๋ยมิได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นเลย องค์หญิงเป่าหรงก็ย่อมมิได้ประสบเหตุอันใด”ฮูหยินผู้เฒ่าชีย่อมเข้าใจความหมายเช่นกัน ท่านจึงตบหน้าอกตัวเองเบา ๆ พลางมองชีหยวนด้วยแววตาวิตก “แต่แม่หนูหยวน อ๋องฉีก็เข้าวังไปประทับแล้ว เจ้า......”นางกังวลจริง ๆ!ก่อนหน้านี้ชีหยวนเคยพูดไ
แม้จะไม่ส่งอาวุธปืนให้พวกมัน แต่พวกมันก็ยังสามารถซื้อเหล็ก เส้นเอ็นวัว เขาวัว และของพวกนี้ที่ใช้ทำธนูจากต้าโจวได้อยู่ดีไล่เฉิงหลงก็พลันเข้าใจขึ้นมาไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมชีหยวนถึงได้ฆ่าชินอ๋องหวยเหลียง แถมยังมั่นใจนักว่าทางราชสำนักจะไม่สอบสวนเรื่องนี้อย่างเข้มงวดแน่นอน ที่แท้นางก็หาคนรับผิดชอบชินอ๋องหวยเหลียงเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว!สตรีคนนี้จะเกินไปแล้ว สมองของนางทำมาจากสิ่งใดกัน?ไฉนเดินไปแค่ก้าวเดียว แต่กลับวางแผนล่วงหน้าถึงสิบก้าวแล้ว?ตอนที่นางนอนก็ยังลืมตาคิดแผนอยู่กระมัง?ชีหยวนคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม มองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขา “ดังนั้น ตอนนี้ใต้เท้าไล่เข้าใจแล้วใช่หรือไม่? ข้าชวนท่านมาวันนี้ก็เพื่อให้การตายของชินอ๋องหวยเหลียง มีคนยอมแบกรับความผิดอย่างเต็มใจ ให้พวกมันฆ่ากันเอง ไม่ดีกว่าหรือ?”ไล่เฉิงหลงก็พลันเข้าใจเจตนาของชีหยวนให้ตระกูลยามานะ แบกรับข้อหาฆ่าชินอ๋องหวยเหลียง เมื่อข่าวนี้ไปถึงตงอิ๋ง กลุ่มที่อยู่ฝ่ายชินอ๋องหวยเหลียงจะต้องชิงชังตระกูลยามานะเข้าไส้ถึงตอนนั้น ต้าโจวเพียงแค่ยื่นมือช่วยเหลือตระกูลยามานะพอตอนที่ตระกูลยามานะเริ่มได้เปรียบ ก็ช่วยฝ่ายชินอ๋องหวยเหลีย
ไล่เฉิงหลงขมวดคิ้วแน่น สะกดกลั้นความตกตะลึงในใจไว้แล้วเอ่ยถามชีหยวน “พวกเขาเป็นใคร?”แต่ที่จริงแล้วก็แทบไม่ต้องถามเลยด้วยซ้ำ ในใจของเขาก็พอจะเดาออกอยู่แล้วก่อนหน้านี้ เขายังเคยแอบคิดในใจว่าหากคุณหนูใหญ่ชีจะฆ่าใครก็ฆ่าได้ขนาดนี้ แล้วไยไม่ขึ้นเป็นฮ่องเต้เสียเลยแต่ตอนนี้คุณหนูใหญ่ชีคงไม่คิดจะเป็นฮ่องเต้จริง ๆ หรอกกระมัง?!ไฉนนางถึงเกี่ยวข้องกับพวกคนจากตงอิ๋งได้?!และเป็นไปตามคาด ชีหยวนรู้จักที่มาที่ไปของพวกนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง นางกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ขุนพลของตงอิ๋ง ก็เหมือนอ๋องของต้าโจวเรา และยังเป็นอ๋องที่มีอำนาจมากเสียด้วย คนผู้นี้คือนายน้อยของตระกูลยามานะ นามว่ายามานะ มัตสึ”ไล่เฉิงหลงถึงกับสูดลมหายใจเข้าลึก เขาอดไม่ได้ที่จะถามซักไซ้ชีหยวน “คุณหนูใหญ่ชี ท่านอ๋องทราบเรื่องนี้หรือไม่? หรือว่าท่านอ๋องก็เห็นดีเห็นงามด้วย?!”นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?!พวกโจรสลัดจากตงอิ๋ง ตลอดหลายปีมานี้พวกมันฆ่าชาวต้าโจวไปตั้งเท่าไร!ชาวบ้านตามแนวชายฝั่งของต้าโจว ส่วนใหญ่ล้วนเคยถูกรุกรานโดยพวกโจรสลัด ที่น่าชิงชังยิ่งกว่าก็คือ พวกมันโจมตีแล้วก็กลับมาอีก โจมตีแล้วก็กลับมาอีก ช่างน่ารังเกียจถ
เซียวอวิ๋นถิงเล่าเรื่องที่พระชายาหลิ่วถูกจวนฉู่กั๋วกงทำร้ายให้ฮองเฮาเฝิงฟัง เล่าไปจนถึงเรื่องที่พระชายาหลิ่วขอไปบำเพ็ญเพียรจำศีลที่อารามเต๋าด้วยตนเองฮองเฮาเฝิงนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะปิดหน้าร้องไห้โฮเหล่าข้าราชบริพารที่เห็นต่างก็รู้สึกเจ็บปวดสะท้อนใจเซียวอวิ๋นถิงคุกเข่าอยู่ข้างฮองเฮาเฝิง พยายามเกลี้ยกล่อมให้นางใจเย็นลงฮองเฮาเฝิงกุมมือของเซียวอวิ๋นถิงแน่น “ครานั้นข้าก็บอกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นฝีมือของพ่อข้า ยิ่งไม่ใช่ฝีมือพี่ชายข้าแน่ วันนี้กาลเวลาล่วงเลยไปหลายปีแล้ว ในที่สุดตระกูลเฝิงก็ได้รับความยุติธรรมเสียที!”เซียวอวิ๋นถิงรีบพูด “ใช่แล้วขอรับ ดังนั้นเสด็จย่าอย่าได้เสียใจ...”ฮองเฮาเฝิงดวงตาแดงก่ำ กำมือเซียวอวิ๋นถิงแน่นกว่าเดิม “ข้าจะไม่เสียใจได้อย่างไร? ท่านพ่อของข้าอายุมากแล้ว แคว้นเตียนก็เต็มไปด้วยไอพิษ พวกอันหนานก็จ้องจะเล่นงาน ท่านพ่อไปแคว้นเตียนก็ไม่มีชีวิตได้กลับมาอีก! ไม่นานพี่ชายข้าก็จากไป... ญาติพี่น้องของข้า ตลอดหลายปีมานี้ตายกันไปแล้วกี่คนแล้วเล่า?”ที่เซียวอวิ๋นถิงมาหาได้ แน่นอนว่าต้องมาจากความคิดของฮ่องเต้หย่งชางอยู่กินกันมาหลายปี ฮองเฮาเฝิงย่อมเข้าใจด
แน่นอนว่าขันทีสวีรู้จักตระกูลเฝิงอยู่แล้วแต่ตระกูลเฝิงคือตระกูลของฮองเฮาเฝิง และก็เป็นที่พึ่งพิงที่มั่นคงของพระราชนัดดาเซียวอวิ๋นถิง ในอดีตตระกูลเฝิงเคยทรงอำนาจถึงขั้นทำให้คนทั้งเมืองหลวงต่างก็ยำเกรงการที่พวกเขากลับมา ก็หมายถึงว่าสถานะของเซียวอวิ๋นถิงจะมั่นคงยิ่งขึ้นเท่านั้นมีอะไรน่าให้ท่านอ๋องดีใจนักหรือ?ขันทีสวีรู้สึกงุนงงอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเห็นอ๋องฉีสีหน้าเรียบเฉย ไม่คิดจะพูดอะไรอีก เขาก็ก็รู้จักเจียมตัว ไม่ซักถามให้มากความในใจของเขาชัดเจนยิ่งนัก หากอยากมีชีวิตรอด เวลานี้ต้องไม่ก่อเรื่องใดทั้งสิ้น ต้องรีบหนี รีบออกจากเมืองหลวงโดยเร็วแต่อ๋องฉีครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก็ยิ่งหัวเราะออกมาดังขึ้นเรื่อย ๆไม่รู้เพราะอะไร พอได้ยินเสียงหัวเราะนั้น ขันทีสวีก็ขนลุกขึ้นมาทันที รู้สึกขนพองสยองเกล้าอย่างบอกไม่ถูกหรือว่าท่านอ๋องจะโมโหจนเสียสติไปแล้ว? ไม่อย่างนั้น คนที่เพิ่งถูกตะเพิดออกจากเมืองหลวงเหมือนสุนัขไร้เจ้าของ ยังจะหัวเราะได้อย่างมีความสุขแบบนี้ได้อีกหรือ?ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น อ๋องฉีก็ตะโกนเรียกขันทีสวี “ก่อนพวกเราออกจากเมืองหลวง เจ้าช่วยจัดการเรื่องหนึ่งให้ข้าก่อน”ขันทีส