เมื่อหลิงอวี๋เห็นใบหน้างดงามของหลิงหว่านซีดเผือด นางจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหลิงหว่านไม่มีวรยุทธ์ จึงแอบยื่นโอสถสร้างรากฐานปราณให้ขวดหนึ่งอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับกระซิบบอกวิธีการฝึกตนให้นางฟังหลิงหว่านรับมากลืนลงไปหนึ่งเม็ด แล้วปรับลมหายใจตามวิธีที่หลิงอวี๋สอน เพียงครู่เดียวอาการของนางก็ดีขึ้นมากเมื่อเข้าสู่แดนเทพ เซียวหลินเทียนเคยมาแล้วครั้งหนึ่งจึงมีประสบการณ์ เขาพาทุกคนมุ่งหน้าเดินทางฝ่าสายฝนทันทีตลอดเส้นทาง หลิงอวี๋เห็นเพียงท้องฟ้าที่มืดครึ้มไปหมดจนแยกมิออกว่าเป็นยามพลบค่ำหรือกลางวันท้องฟ้าราวกับมีรูรั่ว สายฝนอันไร้ที่สิ้นสุดเทกระหน่ำลงมามิขาดสายพวกเขาเดินทางไปหลายสิบลี้ก็พบหมู่บ้านแห่งหนึ่งถูกน้ำท่วมพัดทำลายจนสิ้นซาก บ้านเรือนจำนวนมากพังทลายลงและจมอยู่ในน้ำท่วมที่ยังมิลดระดับทั่วทุกสารทิศมีแต่ความรกร้างว่างเปล่า นอกจากน้ำก็มีเพียงน้ำ มองมิเห็นพื้นที่การเกษตรแม้แต่น้อยเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไปก็จมอยู่ในม่านฝน มองไปเห็นเพียงภาพที่พร่าเลือนอยู่ในสายหมอกมิเพียงแต่หลิงหว่าน แม้แต่เหล่ากองทหารในขบวนที่เซียวหลินเทียนพามา เมื่อได้เห็นทิวทัศน์อันน่าสังเวชนี้ก็ต่างรู้สึกหนักอึ้งในใจ
หลิงอวี๋กล่าวมอบหมายภารกิจให้แก่เหล่ารองแม่ทัพทั้งหลายอย่างฉะฉานและมั่นใจ พลางสั่งให้นายทะเบียนจดบันทึกคำสั่งเหล่านี้เป็นราชสาส์น ท้ายที่สุดให้เซียวหลินเทียนประทับตราแผ่นดินหยกส่งไปยังราชสำนัก พร้อมทั้งแจกจ่ายไปยังทุกหัวเมืองและมณฑลหัวเมืองที่ยังไม่มีฝนตกต้องใส่ใจเก็บรักษาเสบียงอาหารไว้บนที่สูง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายจากน้ำท่วมที่ดินรกร้างทุกแห่งต้องรีบทำการเพาะปลูกพืชผลให้ทันท่วงที มิอนุญาตให้มีที่ดินรกร้างว่างเปล่าเป็นอันขาดหลิงอวี๋ยังกำชับเป็นพิเศษว่า “เขียนข้อนี้เพิ่มเข้าไปด้วย ให้ส่งเสริมการบุกเบิกที่ดินรกร้าง ธัญพืชที่เพาะปลูกได้ ทางการจะรับผิดชอบในการรับซื้อทั้งหมด โดยจะให้ราคาสูงกว่าปีก่อน ๆ ถึงห้าส่วน!”เมื่อเหล่านายทะเบียนได้ฟังก็ถึงกับตกตะลึง การรับซื้อในราคาที่สูงขึ้นถึงห้าส่วนเช่นนี้ มิใช่เป็นการทำให้ราชสำนักต้องสิ้นเปลืองหรอกหรือ?นายทะเบียนผู้หนึ่งสุดจะทนไหวจึงโพล่งขึ้นมาว่า “ฮองเฮา ท่านมิเคยบริหารการคลังจึงมิทรงทราบว่าทุกสิ่งล้วนมีราคาค่างวดใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“การเพิ่มราคาขึ้นถึงห้าส่วน หากราษฎรเพาะปลูกธัญพืชได้มากเกินไป เงินคลังย่อมไม่มีปัญญาจะรับซื้อไห
หลิงอวี๋และเซียวหลินเทียนต่างก็มีเรื่องหนักอึ้งในใจเช่นเดียวกัน ทว่าหลิงอวี๋นั้นได้เปรียบกว่าเล็กน้อย ตรงที่นางได้เห็นโศกนาฏกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นในมิติมายาของเย่ซงเฉิงมีเพียงหลิงหว่านที่ยังมิล่วงรู้เรื่องราวใด ๆ ในแดนเทพ เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของคนทั้งสอง นางจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “พี่หญิงหลิงหลิง ท่านพี่เขย เกิดเรื่องร้ายแรงอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ?แม่ทัพกู่เองก็มองไปยังหลิงอวี๋และเซียวหลินเทียนด้วยความอยากรู้เช่นกันเซียวหลินเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “ฝนที่ตกหนักติดต่อกันสิบกว่าวันเช่นนี้ และด้วยคันกั้นที่น้ำพังทลาย ต่อให้เป็นในฉินตะวันตก ก็นับเป็นมหันตภัยครั้งใหญ่หลวง!”“ราษฎรนับมิถ้วนจะต้องล้มตายในกระแสน้ำท่วม อีกทั้งน้ำท่วมยังทำลายหมู่บ้านและเรือกสวนไร่นา นั่นหมายความว่าผลผลิตตลอดทั้งปีของพวกเขาต้องสูญสิ้นไป!”“หากนี่เป็นเพียงชายแดนที่ประสบน้ำท่วมและพายุฝน ส่วนที่อื่นมิได้รับผลกระทบ ก็ยังพอมีหนทางช่วยเหลือ สามารถจัดสรรเสบียงอาหารจากที่อื่นมาสนับสนุนได้!”“ทว่า หากทั่วทั้งแดนเทพต้องเผชิญกับสถานการณ์เดียวกันเช่นนี้ ก็จะมีราษฎรนับมิถ้วนต้องอดตาย!”ครั้นแม่ทัพกู่ได้ฟังก
เมื่อบุรุษร่างสูงโปร่งได้ยินว่าเสียงของหลิงอวี๋เป็นสตรี ก็อดมิได้ที่จะพิจารณานางอีกสองแวบ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เรียนฮูหยิน ข้าน้อยนามว่าเฉาจือขอรับ!”“ก่อนหน้านี้ข้าน้อยเดินทางรอนแรมไปทั่วทุกสารทิศ ทำการค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ขอรับ!”หลิงอวี๋เอ่ยถาม “ที่บ้านยังมีผู้ใดอยู่อีกหรือไม่?”สีหน้าของเฉาจือปรากฏแววเจ็บปวด “เรียนฮูหยิน ที่บ้านของข้าน้อยยังมีภรรยาและมารดาชรา ทั้งยังมีบุตรอีกสองคนขอรับ!”“ข้าน้อยเดินทางมาค้าขายสมุนไพรที่ชายแดน แต่กลับประสบภัยพิบัติน้ำท่วม เห็นพวกเขาหนีมาทางนี้ ข้าน้อยจึงตามมาด้วยขอรับ!”หลิงอวี๋ถามต่อ “เจ้ามีวรยุทธ์ถึงดินแดนที่สาม เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อนหรือ?”เฉาจือยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าน้อยเดินทางร่อนเร่ไปทั่วสารทิศ เพื่อป้องกันตัวจึงได้ฝึกฝนวรยุทธ์มาบ้าง แต่ด้วยพรสวรรค์ที่โง่เขลาจึงมิอาจทะลวงดินแดนได้ ทำได้เพียงใช้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ร่างกายเท่านั้นขอรับ!”หลิงอวี๋เห็นว่าท่าทีของเฉาจือจริงใจ ใบหน้าปราศจากแววเจ้าเล่ห์ นางจึงพยักหน้าเล็กน้อยเซียวหลินเทียนเห็นว่าชาวบ้านคนอื่น ๆ เป็นเพียงคนธรรมดา จึงสั่งให้แม่ทัพกู่พาคนเหล่านั้นลงไปสอบสวนให้แน่ชัดว่ามิใช่สาย
หลังจากหลิงอวี๋และเซียวหลินเทียนจัดการราชกิจของฉินตะวันตกจนเข้าที่เข้าทางแล้วก็มิกล้ารั้งรอแม้แต่น้อย รีบพาหลิงหว่านออกเดินทางทันทีเดิมทีอันเจ๋อเองก็อยากจะติดตามไปเปิดหูเปิดตาด้วย แต่ถึงแม้ท่านอ๋องเฉิงจะถอนพิษได้แล้ว ร่างกายก็ยังคงต้องการการพักฟื้นดูแลอีกทั้งท่านอดีตเสนาบดีก็ชราภาพมากแล้ว ราชกิจต่าง ๆ ในราชสำนักยังคงต้องพึ่งพาอันเจ๋อและองค์ชายเย่ช่วยดูแลจัดการ จึงมิอาจร่วมเดินทางไปด้วยได้ตอนที่หลิงอวี๋และเซียวหลินเทียนเดินทางมา ได้อาศัยพลังที่ปะทุขึ้นของหยกหล้าสุขาวดีจึงสามารถมาถึงฉินตะวันตกได้ในพริบตาแต่ขากลับ แม้หลิงอวี๋จะคิดใช้หยกหล้าสุขาวดีอีกครั้ง ทว่านางกังวลว่าการบิดเบือนห้วงมิติเวลาอาจส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศของฉินตะวันตกได้ท้ายที่สุดแล้ว การบิดเบือนห้วงมิติเวลานั้นต้องใช้พลังงานมหาศาล และไม่มีผู้ใดบอกได้แน่ชัดว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงเช่นใดตามมาดังนั้น ทั้งสามจึงตัดสินใจเดินทางผ่านโม่เหอซึ่งชายแดนที่ครั้งหนึ่งเซียวหลินเทียนเคยใช้เพื่อเข้าสู่แดนเทพเซียวหลินเทียนได้คัดเลือกกองกำลังทหารฝีมือเยี่ยมอีกยี่สิบนายร่วมเดินทางไปด้วยคณะเดินทางเร่งรุดทั้งวันทั้งคืน เพียง
ฉินซานและเผยอวี้คิดจะหัวเราะเยาะหลิงเฟิงที่มีเป้าหมายในชีวิตเพียงแค่นี้ แต่เมื่อคำพูดมาจ่ออยู่ที่ริมฝีปาก ทั้งสองกลับนิ่งเงียบไปคำพูดของหลิงเฟิงได้กระตุ้นความรู้สึกคิดถึงบ้านของคนทั้งสองขึ้นมาโดยเฉพาะฉินซาน ตระกูลฉินในตอนนี้เหลือเขาเป็นทายาทชายเพียงคนเดียว หากเขาเป็นอะไรไป ในภายภาคหน้าใครเล่าจะดูแลมารดาของเขา!หากตนได้แต่งงาน ในภายหน้าเมื่อต้องออกไปทำศึกสงครามก็ยังมีภรรยาและลูกคอยอยู่เป็นเพื่อนมารดา มารดาของตนก็คงมิเดียวดายอ้างว้างนัก“ครั้นกลับไป ข้าก็จะแต่งงานเช่นกัน”ฉินซานพยักหน้าเห็นด้วยเผยอวี้หัวเราะพลางกล่าว “เช่นนั้นข้าก็จะแต่งงานด้วย!”“ฉินซาน หลิงเฟิง มิสู้พวกเรากลับไปจัดงานแต่งพร้อมกันเลยเป็นอย่างไร? ในภายหน้าเมื่อลูก ๆ เกิดมา ยังสามารถดองกันเป็นทองแผ่นเดียวกันได้!”พวกเขาเป็นพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา ย่อมหวังว่ามิตรภาพเช่นนี้จะคงอยู่ตลอดไป“ข้าจะดองกับแม่ทัพฉินเท่านั้น!”หลิงเฟิงกล่าวอย่างมีเลศนัย “เผยอวี้ สตรีที่เจ้าอยากแต่งงานด้วยคือหลิงหว่าน นางเป็นน้องสาวข้า!”“ว่าตามศักดิ์แล้ว เจ้าก็ต้องเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ข้ามิจำเป็นต้องผูกสัมพันธ์ซ้อนสัมพันธ์กับเจ้า