Masukฮูหยินหยางดูเหมือนจะล่วงรู้ความคิดของหลิงอวี๋ นางจึงยิ้มบาง ๆ แล้วกล่าวว่า “เมื่อก่อนหม่อมฉันคิดไว้ว่า รอให้ชิงเสวียนออกเรือนไปแล้ว หม่อมฉันกับลุงซินจะออกเดินทางไปยังป่าหมื่นอสูรด้วยกัน!”“ในเมื่อยามนี้หม่อมฉันกับหยางหนานสิ้นเรื่องหมางใจต่อกันแล้ว มีเขาคอยช่วยดูแลชิงเสวียน หม่อมฉันกับลุงซินจากไปก็คงหมดห่วงเสียที!”“ฮองเฮาหลิง เรื่องนี้หม่อมฉันตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ต่อให้มีท่านไปด้วยหรือไม่ หม่อมฉันก็จะไปอยู่ดี ท่านมิต้องเกลี้ยกล่อมข้าหรอก!”หลิงอวี๋ยังมิทันได้เอ่ยปาก หยางรั่วหลานที่เดินเข้ามาได้ยินบทสนทนาพอดีก็โพล่งขึ้นมาว่า “ท่านแม่ ข้าจะไปด้วยเจ้าค่ะ!”“ท่านห้ามปฏิเสธนะเจ้าคะ หากให้ข้ายืนมองท่านกับลุงซินไปเสี่ยงอันตราย มิสู้ฆ่าข้าให้ตายเสียยังดีกว่า!”หยางรั่วหลานได้รับการเลี้ยงดูฟูมฟักจากฮูหยินหยางมาตั้งแต่เล็ก แม้มิใช่บุตรแท้ ๆ แต่ในใจของนาง ฮูหยินหยางก็คือมารดาจะให้นางทนดูมารดาไปเสี่ยงอันตรายในป่าหมื่นอสูร นางจะยอมได้อย่างไรกัน!ฮูหยินหยางทำตัวมิถูก ทั้งขบขันทั้งระอาใจ เดิมทีนางตั้งใจจะแอบจากไปเงียบ ๆ กับลุงซิน นึกมิถึงว่าจะถูกหยางรั่วหลานได้ยินเข้า“ท่านแม่ อย่างไรท่านก็ห้
หลิงอวี๋ชะงักไปเล็กน้อย เผยอวี้มาที่นี่ด้วยตัวเองงั้นหรือ?เซียวหลินเทียนเอ่ยขึ้นว่า “อาอวี๋ เจ้าลองถามหลิงหว่านดูเถิด หากนางสมัครใจ รอให้เผยอวี้มาถึง เราก็จัดพิธีสมรสให้พวกเขาที่ปากั๋วโจวนี่เลย!”“หากต้องรั้งอยู่ที่แดนเทพอีกสักปีครึ่งปี ก็มิรู้ว่าต้องรออีกนานเพียงใดกว่าจะได้กลับไปแต่งงาน!”“พวกเราอยู่ในแดนเทพที่เต็มไปด้วยภยันตรายรอบด้าน การพลัดพรากแต่ละครั้งอาจเป็นการลาจากชั่วชีวิต ข้ามิอยากให้ใครต้องมีเรื่องติดค้างในใจให้เสียดายอีก!”หลิงอวี๋หวนนึกถึงท่าทีของมารดาเผยอวี้ตอนกลับไปฉินตะวันตกคราวนั้น ก็รู้สึกว่ามิน่าจะเป็นเรื่องดีนักการจัดงานแต่งงานลับหลังบิดามารดาและผู้อาวุโสเช่นนี้ เท่ากับเป็นการมัดมือชกหากฮูหยินเผยล่วงรู้เข้า มีแต่จะยิ่งชิงชังหลิงหว่านมากขึ้น“ข้าจะลองถามนางดู!”หลิงอวี๋เองก็สุดจะรู้ว่าหลิงหว่านจะยินยอมหรือไม่ จึงทำได้เพียงรับปากไปเช่นนั้นเมื่อทั้งสองกลับมาถึงยอดเขาเกาหลิ่ง หลิงอวี๋ก็มิรอช้า นางให้เซียวหลินเทียนไปพักผ่อนก่อน ส่วนตนก็รีบไปรักษาอาการให้ฟางเจ๋อฟางเจ๋อซาบซึ้งใจยิ่งนัก หลิงอวี๋ออกไปวิ่งเต้นธุระมาทั้งวัน ครั้นกลับมายังมิทันได้พักผ่อน ก็รีบร้อ
หลิงอวี๋ตกใจเล็กน้อย รู้สึกลำบากใจอยู่บ้างพวกเขามายังแดนเทพยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องทำ เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเพิ่งจะเริ่มต้นได้เพียงครึ่งทางยิ่งไปกว่านั้น ในยามนี้เซียวหลินเทียนสูญเสียการมองเห็นของดวงตาทั้งสองข้าง นางยังต้องคิดหาทางรักษาเซียวหลินเทียน ไหนเลยจะมีเวลาเดินทางไปแคว้นซิงลั่วได้?“เรื่องนี้..” หลิงอวี๋มองไปยังเซียวหลินเทียนอย่างลังเลใจภายในใจของนางเต็มไปด้วยความเห็นใจต่อหยวนเฉี่ยนเฉี่ยน ตามหลักแล้วนางก็ควรจะช่วยเหลือจริง ๆเซียวหลินเทียนได้ยินความลำบากใจในน้ำเสียงของหลิงอวี๋ จึงกล่าวขึ้นทันทีว่า “อาอวี๋ ไปเถิด! ข้าจะติดตามเจ้าไปด้วย!” เซียวหลินเทียนเข้าใจหลิงอวี๋ หากครั้งนี้นางมิได้ไป นางจะรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตความเป็นตายของหยวนเฉี่ยนเฉี่ยนและท่านอ๋องเหลียนเกี่ยวพันกับชีวิตของผู้คนมากมายพวกเขาสามารถช่วยเหลือได้ ทว่าหากมองดูอยู่เฉย ๆ นั่นมิใช่สิ่งที่คนอย่างหลิงอวี๋จะกระทำโดยเด็ดขาดหลิงอวี๋ก็เข้าใจเซียวหลินเทียน เมื่อเห็นเขากล่าวเช่นนี้ ก็หมายความว่าเขาสนับสนุนให้นางไป นางคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “ตกลง ข้าจะไปตรวจดู แต่ให้เวลาข้าสามวัน สามวันให้หลัง เราจะออกเด
หลิงอวี๋ฟังแล้วก็มองไปที่เซียวหลินเทียน ในใจคิดว่า หากเป็นตัวนางเอง แล้วสำนักเซียนแพทย์ไร้น้ำใจเช่นนี้ นางก็คงจะทำลายสำนักเซียนแพทย์เช่นกันในขณะเดียวกัน หลิงอวี๋ก็ยิ่งนับถือในตัวหยวนเฉี่ยนเฉี่ยน เพื่อช่วยท่านอ๋องเหลียนแล้วนางทุ่มเทจนถึงกับคุกเข่าถึงสามวันสามคืน นางคงรักท่านอ๋องเหลียนเข้ากระดูกเลยกระมัง!ทว่าอาหญิงเล็กของหยวนป๋อเป็นศิษย์ของสำนักเซียนแพทย์ กล่าวเช่นนี้มิถือเป็นการทรยศและอกตัญญูต่อสำนักหรอกหรือ?ไฉนคนจากสำนักเซียนแพทย์จะยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้?หลิงอวี๋ถามคำถามที่เต็มไปด้วยข้อสงสัยออกมาหยวนป๋อพูดอย่างหนักแน่น “ในยามนั้นอาหญิงเล็กของข้าน้อยสาบานไว้ว่าจะถอนตัวออกจากสำนักเซียนแพทย์ สำนักเซียนแพทย์ย่อมมิยอมรับเป็นธรรมดา!” “พวกท่านอาจมิรู้ว่า สำนักเซียนแพทย์มีกฎ มิว่าจะถอนตัวออกจากสำนักเอง หรือถูกขับออก ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องฝ่าสามด่าน” “สามด่านนี้ยากลำบากนัก อาหญิงเล็กของข้าน้อยก็มิรู้ว่าสามด่านที่ว่านี้คือกระไร แต่ในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมา มีคนที่ต้องการถอนตัวออกจากสำนักเซียนแพทย์ห้าคน ทุกคนล้วนต้องฝ่าสามด่านนี้ แต่ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตออกมาเลย!” “เจ้าสำนักเซี
เซียวหลินเทียนในฐานะองค์จักรพรรดิแห่งแคว้น คอยกำกับควบคุมทุกสถานการณ์ ได้ฟังคำพูดของหยวนป๋อแล้วก็คิดถึงเรื่องเดียวกันกับหลิงอวี๋เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “สำนักเซียนแพทย์ของพวกเจ้าทะเยอทะยานนัก ผูกขาดทรัพยากรทางการแพทย์เช่นนี้ ชาวบ้านทั่วไปคนใดจะสามารถรักษาอาการป่วยไข้ได้!” หยวนป๋อมองไปที่เซียวหลินเทียน พูดเสียงต่ำว่า “นายท่านอู่ กล่าวได้ถูกต้อง ยามนี้ผู้คนมากมายล้วนมองมิเห็นคุณค่าของการรักษาโรคแล้ว!” “สำนักเซียนแพทย์ในยามนี้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันภายใน! ฝ่ายอาหญิงเล็กของข้าน้อยก็เป็นฝ่ายหนึ่ง พวกเราสนับสนุนให้ท่านอ๋องเหลียนปฏิรูป เปิดกว้างให้ราษฎรเรียนวิชาแพทย์และเปิดโรงหมอของตนเองได้!” “แต่ทว่าองค์รัชทายาทและฮองเฮาทรงคัดค้านอย่างหนัก พวกเขาบอกว่า การที่ศิษย์ของสำนักเซียนแพทย์เปิดโรงหมอ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาหลายร้อยปีแล้ว จะยกเลิกมิได้เด็ดขาด!” หยวนป๋อหัวเราะเย็น “เพราะเหตุนี้ อาหญิงเล็กของข้าน้อยและอาเขยของข้าน้อยจึงถูกกดดัน ศิษย์หลายคนของนางที่เปิดโรงหมอถูกคุกคามอยู่บ่อย ๆ จนถึงขั้นใกล้จะทนมิไหวแล้ว!” หลิงอวี๋ถามอย่างอยากรู้ “ท่านอ๋องเหลียนคือผู้ใด? เขามิใช่พระโอรสของฮองเฮาหร
เซียวหลินเทียนให้ความสนใจกับการตายของลั่วจื่อเป็นพิเศษ “ลั่วจื่อตายจริงหรือ?” “เกิดเรื่องนี้ขึ้นเมื่อปีไหน?” หลิงอวี๋มองเซียวหลินเทียนอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง เหตุใดถึงใส่ใจเรื่องการตายของลั่วจื่อถึงเพียงนี้?ลุงต้วนคิดสักครู่แล้วกล่าวว่า “น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนกระมัง!” “ในยามนั้นการจับกุมลั่วจื่อเป็นเรื่องที่โจษจันกันในยุทธภพ บรรดาครอบครัวของผู้ตายยังเสนอรางวัลราคาสูง แล้วก็เป็นยามนั้นเองที่ข้าน้อยได้รู้จักหลี่ว์เฉิงผู้นี้ เช่นนั้นจึงจดจำได้ค่อนข้างชัดเจน!” “จริงสิ ข้าน้อยยังได้ยินมาว่าเหตุใดศิษย์พี่ชายผู้นั้นถึงหักหลังลั่วจื่อ สาเหตุก็น่าจะมาจากเรื่องความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงระหว่างคนทั้งสองกระมัง!” “ลือกันว่าในสายตาของทุกคน ลั่วจื่อคือศิษย์ของหลี่ว์เฉิง แต่แท้จริงแล้วนางได้เป็นฮูหยินหลี่ว์แล้ว ฮูหยินหลี่ว์คนเก่าของหลี่ว์เฉิงถูกลั่วจื่อวางยาพิษจนตาย!” “ศิษย์พี่ผู้นี้ถือคติคุณธรรมเหนือสิ่งใด เป็นเพราะเขาคิดว่าหลี่ว์เฉิงและลั่วจื่อทารุณฮูหยินหลี่ว์”เซียวหลินเทียนถามไปตามเรื่องว่า “แล้วภายหลังศิษย์พี่ผู้นั้นเป็นเช่นไร?” ลั่วจื่อถูกศิษย์พี่ผู้นั้นทร







