ตึกๆ ตึกๆ
เสียงรองเท้าย้ำไปกับพื้นถนน ก่อนที่ร่างบอบบางสวมแว่น จะขึ้นไปยืนบนฟุตบาททันทีที่ข้ามถนนได้ ยืดอกให้ดูผ่าเผยขึ้น มือกำเอกสารสำคัญของตัวเองไว้แน่น สูดลมหายใจลึกๆ จึงก้าวเดินอย่างมาดมั่น เข้าไปในตึกขนาดใหญ่ เพื่อไปสัมภาษณ์งาน
“สวัสดีค่ะ มาตามนัดสัมภาษณ์งานค่ะ”
นิรายกมือไหว้คนที่เคยเจอแล้วตอนมากรอกใบสมัคร
“ตอนนี้ท่านไม่อยู่ มีธุระด่วน เดี๋ยวติดต่อไปใหม่ หรือไม่ก็ไปสมัครที่อื่นเถอะ” คนสวยตรงหน้าพูดด้วยรอยยิ้มเหยียด ใช่ รอยยิ้มเหยียดหยัน! ที่นิรามองเห็นชัดเจน
“แต่พี่คนที่อยู่ข้างๆ เมื่อวานนัดมานะคะ หนูขอรอได้ไหมคะ” เธอเอ่ยขอร้องอีกครั้ง ถ้าเธอกลับไป เธออาจจะพลาดงานนี้ก็ได้ ทั้งที่เมื่อวานพี่คนที่รับเรื่องเธอ พูดเหมือนว่าจะรับเธอเข้าทำงานแล้วด้วยซ้ำ
“ท่านไม่กลับเข้ามาง่ายๆหรอก น่าจะอีกนานอะ” เธอพูดอย่างหงุดหงิด เมื่อยัยเฉิ่มข้างหน้าดูท่าจะเข้าใจอะไรยาก
“งั้นเหรอคะ งั้นหนูลาเลยนะคะ” นิรารีบยกมือไหว้แล้วเดินออกไปทันที เธอเสียเวลามามากแล้ว ไม่ได้ที่นี่ก็ต้องหาที่ใหม่ต่อ แต่ในใจก็นึกโกรธคนเป็นเจ้าของที่นี่ ถ้าไม่พร้อมจะสัมภาษณ์เธอ ไม่รู้จะนัดเธอมาทำไมแต่เช้าแบบนี้
“โอ้ย! !” นิราเดินออกมาตะโกนหน้าตึกขนาดใหญ่ ไม่สนใจรอบข้างเลยสักนิด ตอนนี้เพิ่งจะ 07.50 น. เธอมาก่อนเวลาตั้งชั่วโมง แต่กลับไม่ได้งาน มันทำให้เธอหงุดหงิดมาก
แต่ก่อนที่จะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ เสียงเครื่องมือสื่อสารของนิราก็ดังขึ้น
Tru Tru Tru
[ยัยนิรา~ มาอยู่กรุงเทพทำไมไม่บอกเพื่อนสักคำ] เสียงตะโกนอย่างดีใจดังลอดออกมา จนนิราแทบไม่ต้องแนบโทรศัพท์ไปกับหูเลย
“ก็เพิ่งมา เลยยังไม่ได้บอก” นิรายืมเจื่อนๆ ให้โทรศัพท์ เธอลืมบอกเพื่อนไปเลย
[แล้วนี่มาอยู่คนเดียวเหรอ ได้งานทำหรือยัง มาทำกับเราไหม มีตำแหน่งว่าง เย็นนี้มาเจอกันหน่อยไหม คิดถึง] ปลายสายพูดอย่างอารมณ์ดี
“นิวอยู่กับพี่ที่เคยทำงานด้วยจ้า คอนโดพี่เขาต้องการคนเช่าพอดี นิวกำลังหางานอยู่ แต่คืนนี้นิวไม่ว่างจ้า” บอกเพื่อนสาวไปเสียงเบา ตอนนี้กำลังก้าวเท้าออกเดิน จากหน้าตึกที่มีเจ้าของเฮงซวยนี้
[งั้นวันไหนที่นิว หางานด้วยตัวเองแล้ว แต่ยังไม่ได้ ติดต่อมานะ เรายินดีช่วยเสมอ] ปลายสายพูดด้วยความหวังดี รู้ดีว่าเพื่อนไม่อยากพึงพาเธอ เพราะเกรงใจเธอมาตลอด แต่เธอกลับอยากช่วยด้วยความเต็มใจเสมอ
“ขอบคุณจ้าทับทิม เดี๋ยวถ้านิวหางานไม่ได้ นิวจะให้ทับทิมช่วยคนแรกเลย” นิรายิ้มแย้มขึ้นมาทันที ทับทิมคือเพื่อนสมัยเด็ก ที่พ่อแม่พาย้ายมาอยู่กรุงเทพตอนเข้ามหาลัย แม้จะเรียนคนละที่ แต่ความรักและหวังดีก็ยังมีให้นิราไม่เปลี่ยนแปรง
[จ้า ว่างๆ เข้ามาหาที่บ้านบ้างนะ คิดถึง พ่อกับแม่ก็บ่นหานิวทุกวันเลย] ทับทิมเจ้าของเสียงหวานๆ ที่เข้ากับใบหน้าพูดอย่างอารมณ์ดี นี่ถ้าเธอไม่อ่านเจอสตอรี่ของนิรา ก็คงไม่มีทางรู้ว่าเพื่อนกำลังลำบากหางานอยู่ในเมืองกรุงคนเดียว
“จ้า โอ้ย!” เพราะมัวแต่คุย นิราเลยสะดุดล้มเพราะพื้นต่างระดับ แว่นตาหลุดกระเด็นไปที่ไหนสักที่ทันที
กร๊อบ!
“อ๊า~ แว่นจ๋า” นิรามองแว่นของตัวเอง อยากจะร้องไห้ออกมาเสียงดัง ให้แว่นสุดรักของตัวเองที่มันไปกองอยู่แทบเท้าของใครสักคน แถมอยู่ในสภาพที่แหลกละเอียดเป็นที่เรียบร้อย
“เป็นอะไรไหมครับ” ชายคนนั้นไม่สนใจแว่นของนิราเลย เพราะเขารีบเข้ามาพยุงร่างของนิราให้ลุกขึ้น ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมามอง
“คุณ ฮือ แว่นฉัน” เธอไม่ได้ด่าแต่คำพูดเหมือนฟ้องผู้ชายรูปหล่อที่เอาแต่ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
“ผมไม่ได้ตั้งใจ แว่นคุณมันวิ่งเข้ามาใต้เท้าผมเองนะ” เขาทอดสายตาลงมองใบหน้าที่ปราศจากแว่นยิ้มๆ ทำไมคนตรงหน้าเขา ถึงเลือกใส่แว่นอันใหญ่บดบังดวงตาสีสวยขนาดนี้ด้วยนะ
“ฉันสะดุดเถอะ ใครมันจะไปตั้งใจให้แว่นวิ่งไปอยู่ใต้เท้าคุณละ” นิรายังคงเถียงใบหน้าที่อยู่ใกล้ๆ ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าถูกร่างสูงประคองไว้ เพราะมัวแต่เถียงกับเขา เรื่องแว่นของเธอที่ถูกเขาเหยียบจนมันแตกละเอียด
“ท่านค่ะ เดี๋ยวต้องเข้าประชุมแทนท่านประธานนะคะ”
ขณะที่นิรากำลังจะเค้นหาคำมาเถียงคนตรงหน้า ก็ได้ยินเสียงหวานๆ เรียกอยู่ไม่ไกลนัก เห็นผู้ชายคนนี้พยักหน้าหงึกหงัก ทั้งยังปล่อยมือออกจากร่างนุ่มนิ่มของเธอ
“มาสมัครงานที่นี่เหรอ” ชายหนุ่มถามเธอนิ่งๆ เห็นเธอกอดเอกสารไว้แน่น เธอไม่ใช่คนในบริษัทเขาแน่ๆ เขาไม่เคยเห็นเธอ เพราะเขาไม่มีทางพลาดจากของสวยๆ งามๆ ตรงหน้านี้แน่
“อืม แต่ไม่ได้งานหรอก คนที่นัดสัมภาษณ์เทฉันไปแล้ว” นิราแค่อยากบ่นให้ใครสักคนฟัง ถึงความไม่ยุติธรรมที่เธอได้รับ และพอดีชายหนุ่มคนนี้ยืนอยู่ตรงนี้ก็แค่นั้น
“งั้นไปกับผม ผมจะสัมภาษณ์เอง ชดเชยที่ทำแว่นคุณพัง”
พูดจบก็จับมือนิรา เดินเข้าไปในตึกใหญ่นี่ทันที ตามด้วยผู้หญิงสวยๆ ที่ทำหน้าเรียบนิ่ง เดินตามคนทั้งคู่ไป
ตลอดทางที่ชายคนนี้กับนิราเดินผ่านจนกระทั่งขึ้นลิฟไปชั้นบนสุด มีแต่คนทักทายและก้มหัวให้ เขาทำแค่พยักหน้ารับ ส่วนนิราตัวลีบตัวหดหมดแล้ว เขาคนนี้เป็นใครกันแน่
“เอ่อ ท่านรองค่ะ จะพาเด็กคนนั้นไปไหน” หญิงสาวที่ยืนอยู่โต๊ะก่อนถึงหน้าห้องที่เขียน ‘ว่ารองประธาน’ พูดขึ้น
ผู้หญิงที่นิราเพิ่งเจอ
“ผมจะสัมภาษณ์เธอเอง หลังจากประชุมเสร็จแล้ว หาน้ำไปให้เธอด้วย อย่าให้คนไล่เธอไปไหน คุณเจน ผมขอเอกสารการประชุมด้วยครับ” ชายหนุ่มสั่งเลขาชั่วคราวของท่านประธาน ก่อนจะหันมายิ้มให้เลขาตัวเอง แล้วรับเอกสารที่เธอยื่นมาให้
“ไปรอผมในห้องนั้น แล้วเตรียมตัวให้ดี หวังว่าผมจะไม่ผิดหวังที่พาคุณมาด้วยตัวเอง” เขาชี้มือบอกนิราไปรอที่ห้องของรองประธาน ก่อนจะยิ้มนิดๆ แล้วเดินจากไปทางห้องประชุมที่เธอกับเขาเพิ่งเดินผ่านมา
“เข้าไปสิ จะยืนเช่อทำไม ยัยบ้านนอก” พูดเสียงดังให้ได้ยิน ก่อนจะเหยียดปากใส่เด็กสาวตรงหน้า ดูยังไงก็บ้านนอกชัดๆ เสื้อผ้าที่ใส่ก็เชยแสนเชย แถมผิวก็คล้ำกว่าเธอมาก
“เห้อ!”
นิราเดินเข้าไปนั่งรอในห้องทันที ไม่หวังน้ำดื่มอย่างที่ชายคนนั้นบอก แค่ไม่โดนไล่ออกไปตอนนี้ก็ดีแล้ว นิรานั่งอยู่เงียบๆ เธอไม่ต้องเตรียมตัวอะไรหรอก เพราะเตรียมมาแล้วนั่นเอง
นิราก้มมองร่างกายตัวเองอีกครั้ง สภาพเธอไม่ได้แย่สักหน่อย เธอใส่เสื้อสีขาวกับกางเกงสีดำ ซึ่งมันก็ดูเหมาะสมกับการสัมภาษณ์งานนี่นา แล้วเธอบ้านนอกตรงไหน หรือเพราะไอ้สีผิวของเธอที่มันโผล่พ้นเสื้อแขนยาวสีขาวนี่เหรอ มันคล้ำกว่าคนอื่นๆที่อยู่ในนี้ เลยดูบ้านนอกเหรอ นิราคิดอย่างสงสัยในคำพูดของผู้หญิงคนนั้น
เธอยอมรับว่าตัวเองมาจากต่างจังหวัด ไม่ได้มีผิวสีขาวเนียนละเอียดเหมือนคนในกรุงเทพ แต่เธอคิดว่าถ้าเธออยู่กรุงเทพนานกว่านี้ เธอต้องขาวขึ้นแน่นอน บางทีเธออาจจะขาว และสวยกว่าผู้หญิงที่ดูถูกเธอด้วยซ้ำ
นิรามองมือตัวเองที่มันคล้ำ เพราะตากแดดช่วยแม่ทำงาน แต่ไม่เคยนึกรังเกียจความดำของมันสักนิด ยิ่งมองดูมัน ยิ่งคิดถึงคนเป็นแม่ ถ้าไม่ใช่เพราะหนี้ก้อนโต เธอคงไม่ต้องทิ้งแม่มาหางานทำในกรุงเทพคนเดียว
“ผมรู้ว่าคุณไม่เชื่อง่ายๆ เพราะเพิ่งจะโดนหลอกมา ผมถึงให้เวลาคุณเรียนรู้ผมไง” มองใบหน้าสวยใต้ร่างด้วยสายตาจริงใจ จับมือซ้ายเธอขึ้นมากดจูบกลางฝ่ามือ หยืดตัวขึ้นนั่งทั้งที่เธอยังอยู่ใต้ร่าง ล้วงหากล่องแหวนที่ได้มาจากวีรญา เปิดกล่องหยิบแหวนด้านในออกมา สวมลงไปบนนิ้วนางเรียวสวย “จองแล้วนะ ผมขอจองคุณไว้ก่อน ถ้าคุณพร้อมเมื่อไหร่ ผมจะทำให้คุณเป็นภรรยาผมอย่างถูกต้อง” “มะ หมายความว่ายังไงคะ?” “หมั้นไว้ก่อนไง คุณลงวันลาไว้นี่ แจ้งในใบลาว่าจะกลับบ้าน ผมขอไปนะ ขอให้ผู้ใหญ่ฝั่งผม ไปหมั้นหมายคุณตามประเพณี” “คุณมั่นใจเหรอคะว่าเป็นรุ้งมันดีแล้ว รุ้งไม่มีอะไรที่เหมาะกับคุณเลย” วายุภักษ์ดึงคนใต้ร่างขึ้นมาอีกครั้ง คงต้องเคลียร์กับเธออีกนาน ทั้งที่ร่างกายต้องการทำเรื่องที่เคยทำกับเธอบ่อยๆ “มั่นใจ ผมมั่นใจว่าคุณจะเป็นเมียที่ดีที่สุดของผม และเป็นแม่ที่ดีที่สุดของลูกผม แล้วคุณล่ะ คิดยังไงกับผมเหรอ มั่นใจหรือเปล่า ดีหรือเปล่าที่ได้เป็นคนรักของผม” “ดีสิคะ ตอนนี้รุ้งดีใจจนไม่รู้จะพูดยังไงเลยค่ะ” รุ่งทิวาไม่รู้จะพูดยังไงจริงๆ สมองเธอขาวโพลนไปหมด รู้สึกมีความสุขราวกับนอนอ
“คุณอ้วก!” “อ่า!” ใบหน้าสวยสะอาดซับสีเลือดจนแดงก่ำ เธอสร้างเรื่องให้เขาแก้อีกแล้ว ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ยืนพิงกำแพงห้องอยู่อย่างนั้น “มานี่สิรุ้ง” มือใหญ่ตบลงบนต้นขา ใช้สายตากดดัน จนรุ่งทิวาก้าวขาเดินไปหา ร่างกายเธอเหมือนจะฟังคำสั่งเขา เพียงแค่เขาออกคำสั่งและส่งสายตากดดัน ร่างกายก็ทำตามทั้งที่สมองสั่งว่าไม่ หมับ! พรึ่บ! รุ่งทิวายกมือขึ้นดันแผ่นอกไว้ เมื่อโดนคนเอาแต่ใจ รวบขึ้นมานั่งบนตักพร้อมกับยกมือกดแผ่นหลังเข้าหาตัว เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะหลบสายตาลงต่ำ เธอไม่กล้ามองหน้าเขา ทั้งที่หัวใจเรียกร้องให้มองเพราะคิดถึง “เงยหน้าขึ้นมา!” “ไม่ค่ะ!” “เดี๋ยวนี้!” “อื้อ!” เพียงแต่เธอทำตาม ริมฝีปากกระจับสวยก็บดเข้าหาทันที ลิ้นร้อนตวัดเลียทั่วกลีบปากนุ่ม แยกมันออกจากกันช้าๆ คว้านลิ้นชิมด้านในก่อนจะครางฮึม เมื่อรสชาติและกลิ่นของเหล้ายังติดอยู่ในโพรงปาก ทั้งที่ตอนอาบน้ำ เขาแปรงฟันให้เธอไปแล้ว “เหม็นเหล้า! ไม่ชอบเลย” ที่ไม่ชอบ ม่ใช่ว่ามันเหม็นหรอก เพราะตัวเองกำลังหงุดหงิด ถ้าหากเธอไม่ดื่มจนเมามายไร้สติ ผู้ชายอย่างวชิราคงไม่มีช่องเข้าหา วันนี้ถ้าเขาไปช่วยไม่ทัน บอกได้คำ
“เอาไงดีอะจิน รุ้งโดนไอ้นั่นพาตัวไปแล้ว” วชิราเป็นผู้ชายดีแค่เปลือกนอก น้อยคนที่จะรู้ว่าเขาชอบทำร้ายร่างกายผู้หญิง ธารธาราเป็นเพื่อนกับผู้หญิงที่เคยถูกวชิราทำร้าย จึงไม่กล้ายื่นมือเข้าไปมาก กว่าเขาทำร้ายรุ่งทิวาให้ได้รับบาดเจ็บ “พี่ชายคุณ โทรหาพี่ชายคุณ” “โทรแล้ว พี่สายลมไม่รับ” “แจ้งตำรวจเลยไหม?” “กลัวตำรวจไม่รับแจ้งนี่สิ” “โอ้ย!” ธารธารายีผมจนฟู กดต่อสายหาพี่ชายอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่รับเหมือนเดิม จึงกดเข้าไปในไลน์ เมื่อเห็นว่าพี่ชายอ่านแต่ไม่ยอมตอบ ก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิด “อ่านแต่ไม่ตอบ! โอ้ย! โมโหแล้วนะ” “น้ำ จะไปไหนอะ!” “ไปจัดการเองไง ใครจะยอมปล่อยให้ว่าที่น้องสะใภ้โดนลากไปอย่างนั้นวะ!” “เห้ย! รอด้วย” จิรายุรีบตามคนรักไป ธารธาราวิ่งหายไปยังลานจอดรถ มองซ้ายขวาแต่ไม่เห็นใคร กำลังจะวิ่งไปหน้าร้าน ร่างทั้งร่างก็ถูกรวบไปกอดไว้ จิรายุจุ๊ปากเป็นเสียงปราม เมื่อคนในอ้อมกอดดิ้นรนหนี จนเหนื่อยหอบ “มีคนมาจัดการแล้ว” ธารธารามองตามสายตาคนตัวสูงกว่าไป เมื่อเห็นพี่ชายยืนอยู่ด้านหน้าวชิรากับรุ่งทิวา ก็หยุดดิ้นรนหนี ยอมอยู่นิ่งๆในอ้อมกอด ซบใบหน้าอยู่อย่างนั้น จนคนถูกซบห
“สวัสดีครับคุณเลขา” จิรายุนั่งลงเก้าอี้ว่างข้างๆ เขาเห็นเธอตั้งแต่อยู่หน้าร้าน เห็นว่าเป็นเลขาของว่าที่พี่เขยเลยเข้ามาทักทาย แอบสำรวจใบหน้าเศร้าหมองของเธอนิดๆ เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้สวยโดด แต่กลับมีเสน่ห์มาก จนไม่อยากละสายตา “สวัสดีค่ะ คุณจิรายุ?” “ครับ คุณชื่ออะไรน่ะ เหมือนผมจะยังไม่รู้ชื่อคุณเลย” “รุ่งทิวาค่ะ” รุ่งทิวาแนะนำตัวเสร็จ พนักงานก็ยกเหล้ามาเสริฟพอดี จิรายุหรี่ตามองขวดเหล้าสลับกับใบหน้าสวยหวาน ผู้หญิงท่าทางไม่เจนโลกอย่างเธอ ดื่มเหล้าไม่ผสมอะไรเลยเหรอ “คุณดื่มเหล้าไม่ผสมเหรอ” “มันต้องผสมเหรอคะ?” “อะห่ะ! ผมว่าดื่มแบบผสมดีกว่านะ คือว่าเหล้ามันแรงมาก” “เหรอคะ ฉันไม่รู้” “ผมขอแนะนำในฐานะเจ้าของร้านนะ คุณอย่าพูดแบบนี้ถ้าหากมาดื่มคนเดียว มันจะกลายเป็นเหยื่อให้เสือในร้านผมหมายตา” จิรายุขยิบตาให้ข้างหนึ่ง ท่าทางเจ้าเสน่ห์ของเขา ไม่มีผลต่อรุ่งทิวา เธอยังคงสีหน้าเดิม จนคนหว่านเสน่ห์รู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบ เพิ่งจะเคยโดนผู้หญิงเมิน “ค่ะ” “อ่า ถ้าต้องการอะไร เรียกผมได้นะ ผมจะบริการเอง” “ขอบคุณค่ะ แต่ฉันอยากอยู่คนเดียว” “อ่า! โอเค! เดี๋ยวผมให้พนักงานของผม
“นั่น…ชงให้ผมก่อนนะ” “ถ้าท่านอยากได้ก่อน ดิฉันจะชงให้ก่อนค่ะ ประชุมใกล้เสร็จหรือยังค่ะ มีแขกมารอท่านอยู่ที่ห้องรับรองค่ะ” “ผู้หญิง?” “ค่ะ ผู้หญิง” “อืม อย่างนี้ต้องรีบจบการประชุมเร็วๆแล้วสิ” พูดจบก็เอื้อมมือไปหยิบแก้วกาแฟร้อนๆ ที่รองอยู่ใต้เครื่องชงกาแฟมาถือไว้ เอื้อมไปหยิบน้ำตาลมาเทใส่หนึ่งซอง จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องชงกาแฟ เลี้ยวหายเข้าไปในห้องประชุม เพื่อจบการประชุมลง “พอดีผมมีแขก ถ้าไม่มีอะไรด่วน ผมขอจบการประชุมวันนี้ก่อนนะ คุณริสา ช่วยจองร้านอาหารให้ผมหน่อยครับ” พูดจบก็ก้าวเดินไปพร้อมเลขาสาว แม้ริสาจะสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ของเจ้านายกับรุ่นน้อง แต่เจ้านายบอกเองว่าไม่มีอะไรให้ต้องกังวล เธอจึงได้แต่สงสัยและไม่กล้าถาม ได้แต่ทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด “เป็นร้านอาหารริมแม่น้ำดีไหมคะบอส?” “ดีเลย คุณจองให้ผมหน่อยนะ” “ค่ะท่าน” วายุภักษ์หยุดยืนอยู่หน้าห้องรับรอง แอบใช้หางตามองไปหน้าห้องทำงานของตัวเอง เห็นรุ่งทิวานั่งทำหน้าเรียบเฉยอยู่ตรงนั้น มุมปากก็ขยับขึ้น ถอนหายใจออกไปเบาๆ ผลักประตูเข้าไปด้านใน ปิดมันลงพร้อมกับอ้าแขนรับร่างของผู้หญิงในห้อง “คิดถึงมาก
กว่าจะกินข้าวเสร็จ ก็เป็นเวลาใกล้เลิกงานตามเวลาปกติพอดี วายุภักษ์ไม่มีคิดจะกลับเข้าไปในบริษัทอีก จึงขับรถชมวิวไปเรื่อย เมื่อขับมาถึงเขื่อนเก็บน้ำประจำจังหวัด ก็ขับรถไปจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ รุ่งทิวาลงจากรถไปก่อน ทอดสายตามองฝืนน้ำกว้างใหญ่ ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปตามการกระเพื่อมของน้ำ คิดหาคำพูดดีๆ มาใช้จบความสัมพันธ์กับเจ้านายหนุ่ม เมื่อคนตัวโตเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ก็ตัดสินใจพูดออกไปเสียงเบา “เรื่องของเรา ขอให้มันจบแค่นี้ได้ไหมคะ” “ทำไม?” เพราะสังเกตอยู่ตลอด จึงไม่แปลกใจที่ได้ยินแบบนั้น แม้เธอจะพยายามทำตัวเป็นปกติ แต่เขารู้ดีว่าเธอมีบางอย่างแปลกไป ร่างสูงขยับไปยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง วางคางลงบนไหล่เล็กอย่างที่ชอบทำ โอบกอดร่างเย้ายวนไว้หลวมๆ “รุ้งจะกลับไปคืนดีกับอดีตคนรักค่ะ” มันเป็นเหตุผลที่เธอคิดว่า น่าจะจบความสัมพันธ์ได้ดีที่สุด “ลืมเขาไม่ได้เหรอ” วายุภักษ์หลับตาลงแล้วลืมขึ้นใหม่ เรื่องของหัวใจเขาคงบีบบังคับเธอไม่ได้ ถ้าหากว่าเธอยังลืมผู้ชายคนนั้นไม่ได้ เขาก็พร้อมจะถอย และให้เกียรติการตัดสินใจของเธอ “…ค่ะ รุ้งลืมเขาไม่ได้” พูดจบน้ำตาก็เอ่อขึ้นมารอบดวงตา ที่เสียใจต