แต่ที่หลี่หมิ่นถังเองคาดไม่ถึงก็คืออีกสิบห้าวันต่อมาจวนติ้งอันโหวก็ส่งแม่สื่อมาทาบทามสู่ขอบุตรสาวของเสนาบดีหลี่ ให้กับซื่อจื่อติ้งอันโหวและแน่ว่าย่อมสู่ขอบุตรสาวคนรองหรือก็คือนางอยู่แล้วเนื่องจากบุตรสาวคนโตของใต้เท้าหลี่เพิ่งจะออกเรือนไปบุตรสาวอีกสองคนก็เกิดจากอี้เหนียงแต่อายุเพิ่งเจ็ดปีกับแปดปีเท่านั้น
ส่วนจวนติ้งอันโหวแน่นอนว่าต้องเป็นพี่ชายคนโตที่ออกเรือนก่อน ส่วนน้องชายคนรองนั้นต้องรอไปก่อน ซึ่งพอทราบมีหรือที่หลี่หมิ่นถังจะไม่ตอบตกลงออกไปในเมื่อนับจากแรกพบหน้าผ่านมาหลายเดือนนางยังปักใจรักอยู่แต่กับบุรุษนามเย่จื่อเฉินเท่านั้น และบัดนี้ก็เป็นวันแต่งงานที่หลี่หมิ่นถังเฝ้ารอคอยมาสามเดือนนับจากวันสู่ขอ
"ฝนหยุดแล้วเคลื่อนขบวนได้"
เสียงแม่สื่อเอ่ยสั่งการดังลอยเข้ามาให้นางได้ยิน นั่นแหละเจ้าสาวเช่นหลี่หมิ่นถังจึงพรั่งพรูลมหายใจออกมาเต็มที่ด้วยความโล่งใจ แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดนางรู้สึกใจคอไม่ดีนักในวันนี้ ทั้งที่ได้แต่งงานกับบุรุษที่เป็นรักแรกแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่รู้สึกยินดีเอาเสียเลย นอกจากไม่ยินดีหลี่หมิ่นถังยังรู้สึกใจหายแปลกๆ ทั้งที่ไม่สมควรจะรู้สึกเช่นนี้เลย
"คิดมากไปแล้วหมิ่นถัง มันไม่มีอันใดหรอกก็แค่ฝนตก มันจะเป็นลางร้ายไปได้อย่างไร คิดมากๆ เจ้าแค่คิดมากไปเท่านั้น"
เด็กสาวยกมือลูบลงบนหน้าอกตนเอง ก่อนจะพึมพำปลอบใจซ้ำอีกด้วย ถึงเย่จื่อเฉินจะไม่เคยบอกว่ารักนางแม้ครึ่งคำ ทว่าตลอดสามเดือนที่เตรียมงานแต่ง เขาก็ดูใส่ใจนางอย่างมาก ไม่มีอันใดหลอก มันคงไม่มีอันใด…
ไม่มีเสียเมื่อใดกันเล่า!
"นี่มันเรื่องอันใดกันเจ้าค่ะพี่จื่อเฉิน"
หลังเสร็จสิ้นพิธีการต่างๆ ยังไม่ทันถูกส่งตัวเข้าห้องหอพระราชโองการกลับถูกส่งตรงมาจากวังหลวงให้ติ้งอันโหวเร่งนำทหารไปสนับสนุนกองทัพหลวงที่ไปปราบกบฏยังแคว้นเป่ยฉีที่มีชินอ๋องซ่างกวนไท่เป็นแม่ทัพใหญ่บัญชาการรบอยู่ที่ชายแดนก่อนแล้ว สถานการณ์ทางชายแดนเป่ยฉีไม่ดีฉางตี้ฮ่องเต้จึงได้มีพระราชโองการให้ติ้งอันโหวนำกองทัพอีกแสนนายไปสมทบ
แน่นอนว่าเจ้าบ่าวเช่นเย่จื่อเฉินที่เป็นติ้งอันโหวซื่อจื่อกับคุณชายรองเย่ต้องติดตามผู้เป็นบิดาไปออกรบในครั้งนี้ด้วยเช่นนี้เขาจึงมิอาจเข้าหอกับเจ้าสาวเช่นหลี่หมิ่นถังได้ เพราะพระราชโองการในครั้งนี้ฉางตี้ฮ่องเต้นั้นมีคำสั่งเด็ดขาดว่าต้องออกเดินทัพไปในทันทีหลังได้รับซึ่งก็ย่อมต้องเป็นค่ำคืนนี้อยู่แล้ว เดินทัพโดยที่เจ้าสาวเช่นนางเพิ่งได้รับรู้เอาในยามที่พระราชโองการมาถึงจวนติ้งอันโหว แต่ความจริงแล้วหลี่หมิ่นถังย่อมรู้ทั้งเจ้าบ่าวกับครอบครัวของเขาต้องรู้แจ้งมาก่อนอยู่แล้วเคลื่อนทัพด้วยกำลังกว่าแสนนายย่อมต้องเตรียมการนานเป็นครึ่งเดือน ทว่าฝ่ายเจ้าบ่าวกลับไม่ยอมแจ้งให้นางหรือครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวทราบแต่แรก
นี่มันเรื่องบัดซบอันใดกัน?!
เพราะโดยปกติแล้วเป็นธรรมเนียมของชาวต้าเซี่ยที่ยึดถือกันมายาวนานก็คือ หากจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องแจ้งให้ฝ่ายเจ้าสาวได้ทราบอย่างเร่งด่วน ทางเจ้าสาวจะได้มีสิทธิ์เลือกหนทางว่าจะแต่งงานจนเสร็จสิ้นแล้วรอสามีกลับจากไปทำศึกอย่างสงบที่บ้านของสามี กับเลือกจะยุติงานแต่งงานเอาไว้ก่อน รอให้เจ้าบ่าวรอดปลอดภัยกลับมาจากชายแดนเสียก่อนค่อยสานต่อพิธีแต่งงานให้สำเร็จ เพราะทหารไปทำศึกอาจตายมากกว่าอยู่ ดังนั้นฝ่ายสตรีจะได้ไม่ต้องกลายเป็นหญิงหม้ายสามีตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้ร่วมห้องหอ แต่นี่...
"เหตุใดพี่จื่อเฉินจึงไม่บอกกับหมิ่นถังหรือท่านพ่อและท่านแม่ว่าวันนี้พระราชโองการจากฝ่าบาทจะมาถึงจวนติ้งอันโหวของท่าน เหตุใดครึ่งคำท่านก็ไม่พูดเล่าเจ้าค่ะ?"
หลี่หมิ่นถังถามออกไปด้วยน้ำเสียงและใบหน้าแสนจะร้าวราน หากเขาพูดออกมานางมีหรือจะยอมรับไม่ได้ นางรักเขาออกปานนี้ให้รอนางก็จะรอ แต่การไม่ยอมปริปากบอกเล่ากันมันหมายถึงว่าเขาไม่เห็นนางกับครอบครัวสำคัญมิใช่หรอกหรือ คนจะเป็นสามีภรรยากันเรื่องจะเล็กหรือใหญ่สมควรต้องเปิดเผย หากแต่นี่เย่จื่อเฉินกลับไม่พูดออกมาทั้งที่การไปออกศึกนั้นเป็นเรื่องทั้งใหญ่และสำคัญเป็นชีวิตหนึ่งของคนสองคนที่ต้องผูกพัน นี่ไม่ใช่เย่จื่อเฉินไม่เคยมองเห็นนางอยู่ในสายตาหรอกหรือ
"ขอโทษนะหมิ่นถัง ข้าเฉินผิดต่อเจ้าแล้ว แต่สัญญาว่าหลังเสร็จศึกนี้จะรีบกลับมาชดเชยให้เจ้าแน่นอน"
แล้วหมิ่นถังยังจะกล่าวอันใดได้อีกเล่า ในเมื่อเคลื่อนทัพไปแคว้นเป่ยฉีคราวนี้มีติ้งอันโหวผู้เป็นพ่อสามีของนางเป็นแม่ทัพใหญ่ซื่อจื่อเช่นจื่อเฉินจะไม่ติดตามบิดาได้อย่างไรยิ่งเย่จื่อเฉินนั้นไม่บอกไม่กล่าวอะไรนางล่วงหน้าด้วยแล้วหลี่หมิ่นถังยังจะแก้ไขอันใดได้อีกหรือ?
ทุกข์ใจและเศร้าโศกเพียงใดกลับไม่มีโอกาสแม้แต่จะตัดพ้อกับสามีให้ดีสักสองสามคำด้วยซ้ำ สามีที่เพิ่งกราบไหว้บรรพชนฟ้าดินและบิดามารดาทั้งสองฝ่ายได้ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเท่านั้นก็จะจากไปชายแดนที่กำลังมีศึกใหญ่วุ่นวาย
ดีจริงๆ ประเสริฐแท้หลี่หมิ่นถัง!...
แทนที่จะได้เข้าหอ หลี่หมิ่นถังกลับต้องสวมชุดแต่งงานออกมาส่งสามีไปออกรบ ใบหน้างามจึงมีแค่รอยเศร้าโศกกับน้ำตาเต็มแก้มเท่านั้น แต่งงานทั้งทีแต่เหตุใดจึงต้องพบเจออุปสรรคใหญ่เช่นนี้
"เจ้ารอข้านะหมิ่นถัง จงรอช้าอย่าเป็นเช่น…"
ถึงเขาไม่พูดหมิ่นถังย่อมทราบว่าจื่อเฉินต้องการจะสื่อสารกับตนเองว่าอย่างไรและหมายถึงผู้ใด เขาคงหวาดกลัวว่านางจะเป็นเช่นหลี่เหม่ยหลินกระมัง แต่นางก็คือนาง หลี่เหม่ยหลินก็คือหลี่เหม่ยหลินวูบหนึ่งที่นางรู้สึกโกรธขึ้นมา เนื่องจากเริ่มกระจ่างที่เย่จื่อเฉินไม่ยอมปริปากบอกกับนางแม้เพียงครึ่งคำว่าเขากำลังจะไปชายแดนล้วนเป็นเพราะเขาหวาดกลัวว่านางจะยกเลิกงานแต่งไปก่อนกระมัง ไม่พูดไม่ถามกลับตัดสินนางไปเสียแล้วว่านางกับพี่สาวจะเหมือนกันเช่นี้ไม่น่าปวดใจหรอกหรือ
"พี่จื่อเฉินวางใจได้ หมิ่นถังจะรอท่าน จะกี่ปีก็จะรอเจ้าค่ะ"
แต่สุดท้ายเพราะหัวใจรักที่มีให้กับบุรุษนามเย่จื่อเฉินนางก็ยังรับปากเขาออกไปแทนที่จะเอ่ยปากตัดพ้อต่อว่าให้ขุ่นเคืองต่อกัน ด้วยจากกันไปในครั้งนี้ไม่รู้ยามใดจะได้กลับมาศึกปราบกบฏคราวนี้ไม่ใช่จะง่ายยิ่งแผ่นดินต้าเซี่ยเพิ่งจะผลัดเปลี่ยนฮ่องเต้ได้ไม่นานรากฐานยังไม่มั่นคงดังนั้นการจากคราวนี้ กว่าจะได้พบหน้าใครเลยจะล่วงรู้จะพบกันด้วยร่างกายมีชีวิตหรืออาจจะกลับมาเพียงป้ายวิญญาณก็ยากจะคาดเดานางจึงเลือกจะปล่อยวางความขุ่นเคืองไปเสียร่ำราบุรุษที่ตนรักให้ดี
น้ำตาเม็ดโตกลิ้งออกจากสองตางดงาม ภาพแผ่นหลังกว้างของสามีห่างออกไปทุกขณะ แต่งงานยังไม่ทันข้ามคืนสามีกลับจากไกลไปนับพันลี้ เด็กสาวเช่นนางเจ็บปวดใจเหลือเกิน
"หยุดร้องไห้ได้แล้ว มันเป็นลางร้ายบิดามารดาของเจ้าไม่สั่งสอนหรือหมิ่นถังว่ายามที่มาส่งทหารไปชายแดนห้ามมีน้ำตา ช่างไม่ได้ความเอาเสียเลยเด็กคนนี้นี่!"
เย่ฮูหยินผู้เป็นมารดาสามีตำหนิด้วยถ้อยคำแสนหยาบคายเกิดมาถึงสิบห้าปีหลี่หมิ่นถังล้วนไม่เคยได้ยิน แต่บัดนี้นางแต่งงานเข้าจวนติ้งอันโหวแล้วไม่ชอบใจเพียงใดก็คงมีแต่ก้มหน้าฝืนทนกล้ำกลืนเอาไว้ไม่โต้เถียง…
ตอนพิเศษหลังแต่งงาน จีม่อชงก็ทำดังที่เคยบอกกับหลี่หมิ่นถังเอาไว้ คือไม่เคยเอ่ยปากให้ฮูหยินของตนเองเลิกทำการค้า ตรงกันข้ามเขายังส่งเสริมนางอีกด้วย ส่วนเหล่าฮูหยินจีมารดาของสามียิ่งไม่เคยเข้ามาวุ่นวายภายในจวนฉางเล่อกั๋วกง และการดำเนินชีวิตคู่ของบุตรชายคนโตเช่นเหล่าฮูหยินจวนอื่นดังนั้นชีวิตหลังแต่งงานของหลี่หมิ่นถังจึงสงบสุขเกินจากที่นางใฝ่ฝันไปมากโขยามเช้าตื่นมาพร้อมกันกินข้าวมื้อเช้าด้วยกัน จากนั้นจึงต่างแยกย้ายหลี่หมิ่นถังไปตรวจงานที่ร้านในบางวันบางวันก็ไปตรวจดูยังไร่และนาที่ปลูกข้าวปลูกผัก ส่วนจีม่อจงนั้นไปที่ค่ายทหารปกป้องเมือง บางวันก็ไปที่ศาลาว่าการ สลับก็เช่นหนี้เจ็ดวันสองสามีภรรยาจะหยุดพักอยู่ที่จวนสองวันเพราะหลี่หมิ่นถังนั้นต้องดูแลจวนรวมไปถึงดูแลสามีเช่นกันเรียกว่าถึงจะทำงานนอกจวนแต่งานในจวนและหน้าที่ภรรยานางก็ไม่เคยละเลย ถึงจะมีบ้างที่อาจความเห็นไม่ตรงกัน ตามประสาคนที่เติบโตมาต่างกัน แต่คงเพราะต่างคนต่างเป็นผู้ใหญ่แล้วทั้งคู่โกรธเคืองกันจึงไม่เคยข้ามวันข้ามคืนหนึ่งปีแรกทั้งสองสามีภรรยาตกลงกันว่าจะยังไม่รีบมีทายาท เพราะจีม่อชงเองนั้นอยากใช้เวลาอยู่กับเพียงสองคนหวานชื่นสักป
ตอนอวสานมือแกร่งสองข้างยกขึ้นประคองใบหน้างดงามเอาไว้อย่างมั่นคง เรียวปากแกร่งค่อยๆ แนบชิดลงไปบนริมฝีปากจิ้มลิ้มสีหวานคืนกลับไปช้าๆ แสนอ่อนโยน“ข้าอนุญาตจุมพิตเจ้านะหมิ่นเอ๋อร์”กระซิบชิดกับกลีบปากอวบอิ่มขออนุญาตนางสมกับเป็นจีม่อชงที่หลี่หมิ่นถังคุ้นเคยมาตลอดหนึ่งปีเศษเขาเป็นเช่นนี้อบอุ่นอ่อนโยนอีกทั้งสุภาพราวกับบัณฑิตผู้คงแก่เรียนทั้งที่แท้จริงเขาคือทหารมาทั้งชีวิตสังหารคนมายากจะนับซากศพได้หมดว่ามีเท่าใด แต่กับนางเขาถนอมราวกับว่านางคือไข่มุกล้ำค่า“อื้อ...”นางตอบรับคำเขาแล้วจุมพิตอ่อนหวานจึงเริ่มต้นขึ้น และหลี่หมิ่นถังเพิ่งถ่องแท้ว่าจุมพิตลึกซึ้งระหว่างชายหญิงนั้นแท้จริงแล้วหาใช่เพียงเรียวปากแนบกันอย่างที่ตนเองเข้าใจเท่านั้นร่างอรชรสะดุ้งในยามที่ลิ้นแกร่งสอดแทรกเข้ามาหยอกล้อลิ้นนุ่มของตนเอง นางเผลอกลั้นลมหายใจอย่างไม่รู้ตัว ผ่านไปครู่เดียวจีม่อชงจึงได้ถอยห่างเปิดโอกาสให้คนไม่ประสาได้หายใจ“อย่าเกร็ง ห้ามกลั้นหายใจ”เขายังกระซิบกระซาบชี้แนะผู้อ่อนด้อยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าแปร่งหูไปจากเดิมมาก ปีนี้หลี่หมิ่นถังยี่สิบเกือบยี่สิบเอ็ดแล้ว นางนับว่าเป็นสตรีแกร่งและมากความสามารถ ทว่าเรื่องระห
ตอนที่20||วิวาห์ที่รอคอยหลังจากนั้นอีกเจ็ดวันทางสกุลจีก็ส่งแม่สื่อมาขอเทียบวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของหลี่หมิ่นถังซึ่งคือ3หนังสือ6พิธีการตรงตามธรรมเนียมทุกสิ่งทุกอย่างพอดวงชะตาของทั้งสองนับว่าเป็นคู่สวรรค์สร้างแล้วจีม่อชงจึงเข้าเฝ้าฉางตี้ฮ่องเต้เป็นการเฉพาะซึ่งก็ไม่มีอันใดมากเขาเพียงตรงไปขอสมรสพระราชทาน เนื่องจากต้องการให้เกียรติฝ่ายหลี่หมิ่นถังอย่างถึงที่สุด และสมรสพระราชทานนี้ แต่งงานแล้วชาตินี้ก็มิอาจหย่าขาดจากกันได้หากว่าฝ่ายเจ้าสาวไม่ได้ทำผิดด้วยโทษเจ็ดขับ“ได้สิ แต่นอกจากสมรสพระทานราช เจิ้นจะมอบบรรดาศักดิ์กั๋วกงให้กับเจ้าด้วย”เพราะสกุลจีนับว่ามีคุณต่อแผ่นดินต้าเซี่ยมากล้นไหนจะยังเป็นสกุลเดิมของฮองเฮา บรรดาศักดิ์กั๋วกงนี้ย่อมเหมาะสมยิ่ง ดังนั้นอีกสามวันต่อมานอกจากพระราชโองการสมรสพระราชทานให้แก่คุณหนูรองหลี่ได้แต่งงานกับใต้เท้าจีแล้ว ยังมีพระราชโองการออกมาอีกสองฉบับหนึ่งมอบบรรดาศักดิ์ให้กับจีไท่เว่ย เป็นฉางเล่อกั๋วกงซึ่งควบคุมกองกำลังหน่วยอวี้หลินมีกำลังพลเจ็ดหมื่น อีกหนึ่งฉบับนั้นก็มอบบรรดาศักดิ์ให้กับผู้บังคับการหน่วยพยัคฆ์ทมิฬซานจี หรือจีหย่วนโจวให้เป็นเซี่ยอันโหวผู้ควบคุ
ตอนที่19||อย่าโทษข้าล้วนเป็นพวกเจ้าที่เลือกเองพอถึงวันนัดหมายจีม่อชงก็ทำตามสัญญาโดยการมารับหลี่หมิ่นถังไปพบเย่จื่อเฉินและหลี่เหม่ยหลิน พร้อมกับข่าวที่ว่าทั้งสองจะไม่ตาย มีแต่นามเท่านั้นที่ถูกประหาร ทว่าตัวจริงยังมีชีวิตอยู่ แต่มีชีวิตอยู่แบบตายทั้งเป็นซึ่งเป็นดังนี้หลี่หมิ่นถังพึงใจเสียยิ่งกว่าให้ทั้งสองถึงแก่ความตาย คนพวกนั้นสมควรได้รับมัน เพราะนางเลือกจะจากมาแล้วแต่กลับเป็นคนสกุลเย่ที่ไม่ยอมปล่อยเอาแต่คิดจะดึงนางไปลงนรก ดังนั้นจีม่อชงคืนสนองด้วยนรกบนดินคืนกลับไปนางพึงใจยิ่งสถานที่กักขังทั้งสองไม่ใช่เรือนจำของหน่วยพยัคฆ์ทมิฬอีกแล้ว หากแต่เป็นเรือนรกร้างท้ายในที่ดินส่วนตัวของจีม่อชงเอง ที่ดินนั้นตั้งอยู่ทิศใต้ของเสียนหยาง ที่แห่งนี้มีเอาไว้ปลูกข้าวและพืชผักสำหรับเลี้ยงคนภายในจวนจีไท่เว่ย มีเวรยามเข้มงวดยากจะหลบหนีได้แต่ถึงจะคิดหลบหนีจริงทั้งเย่จื่อเฉินกับหลี่เหม่ยหลินก็คงยากจะทำได้เนื่องจากขาสองข้างถูกตีจนหัก เดินเหินยังยากคิดหนียังจะทำได้อย่างไร ทุกจวนที่มีอำนาจในมือล้วนมีด้านมืดอยู่ทั้งสิ้น จวนจีไท่เว่ยเองก็ไม่ยกเว้น“ไม่พบกันแค่ไม่ถึงสิบวัน ดูพวกเจ้าสุขสบายไม่น้อยเชียวนะ”แค่เพี
ตอนที่18||อยู่มิสู้ตายจึงเหมาะสมซึ่งจีหย่วนโจวก็ไม่จำเป็นต้องรอดูสิ่งที่พี่ชายของเขาต้องการอยู่นาน เพราะแค่เพียงส่งตัวของหลี่เหม่ยหลินเข้าไปภายในห้องคุมขังที่เย่จื่อเฉินอยู่ไม่ถึงอึดใจ ก็ได้ยินเสียงของหลี่เหม่ยหลินสอบถามเอาความจริงจากฝ่ายเย่จื่อเฉินดังขึ้นทันที"หมายความว่าอย่างไร?"จีหย่วนโจวคิดว่าจะไม่ถามหากแต่ก็อดใจไม่ไหว จีม่อชงทำเพียงยกยิ้มเหี้ยมโหดแล้วกอดอกพิงกำแพงรอฟังเรื่องสนุก ทำเอาจีหย่วนโจวถึงกับขนลุกกับรอยยิ้มดังกล่าว เติบโตมาด้วยกันอีกฝ่ายเป็นคนเช่นไรมีหรือจะไม่ทราบยิ่งพวกเขาพี่น้องสนิทสนมกลมเกลียวยิ่งเท่าทันทันไปทุกสิ่งและไม่ต้องรอนาน เพราะสุดท้ายเสียงเอ็ดอึงทั้งด่าทอและตบตีของชายหญิงคู่ก็ดังก้องไปทั่ว ราวกับต่างฝ่ายต่างโกรธแค้นกันมานาน ทั้งที่ไม่นานมานี้สองคนนี้ยังร่วมมือกันทำชั่วอยู่โดยแท้ นี่กระมังจึงมีคำกล่าวว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร"ต้าเกอท่านอำมหิตเกินไปแล้ว"ถึงจะกล่าวดังนั้นแต่จีหย่วนโจวกับกล่าวออกมาด้วยสีหน้าพึงใจยิ่ง เข้าใจกระจ่างก็เป็นในยามนี้ที่เอง ไม่ต้องลงมือแต่กลับได้ผลที่ตนเองต้องการ เหี้ยมโหดสมกับเป็นมือขวาของปีศาจดำเสียจริง พี่ใหญ่ของเขาก็เป็นคน
ตอนที่17||ค่อยๆ เปิดใจเจรจาพอตกถึงปลายยามเว่ย จีม่อชงก็มาเยี่ยมหลี่หมิ่นถังดังที่เขากล่าวกับนางเอาไว้เมื่อช่วงสาย และไม่ใช่แค่เขาผู้เดียวที่มาหากแต่ยังมีเหล่าฮูหยินจีติดตามมาด้วยเพราะต่างคำนึงถึงความเหมาะสมอย่างไรระหว่างจีม่อชงกับหลี่หมิ่นถังยังไม่ได้หมั้นหมายไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งอาจถูกคนนำไปนินทาเอาได้และคนเช่นจีม่อชงย่อมพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อรักษาชื่อเสียงของสตรีในดวงใจ“ลำบากเหล่าฮูหยินจีแล้ว”ก่อนจะไปเยี่ยมหลี่หมิ่นถงย่อมต้องแวะไปเยี่ยมเหล่าฮูหยินหลี่ ตามมารยาทแต่ก็ไม่ทั้งหมดเพราะอย่างไรจีม่อชงกับเหล่าฮูหยินจีล้วนมาเยี่ยมคนป่วยทั้งสองจากใจ ถึงเหล่าฮูหยินหลี่จะฟื้นนานแล้วแต่หญิงชรายังดูอิดโรยอยู่มากเห็นแล้วเหล่าฮูหยินจีก็คิดว่าตนเองนั้นโชคดียิ่งที่บุตรชายและหญิงของตนรักใคร่กลมเกลียวตนจึงไม่เคยทุกใจเช่นนี้“เหล่าฮูหยินหลี่กล่าวเกรงใจไปแล้ว ไม่ลำบากแม้แต่น้อย นี่คือโสมแดงบำรุงโลหิตได้ดีเยี่ยมข้านำมาฝากทั้งเหล่าฮูหยินหลี่และหมิ่นถังคิดว่าทั้งสองสมควรบำรุงให้มาก”โสมแดงนี้นับเป็นของหายาก แต่เพราะจีเมี่ยวหลัวเป็นถึงฮองเฮาเมื่อได้ข่าวว่าเหล่าฮูหยินหลี่ล้มป่วยถึงนางเป็นหวู่โจวชอบผ่าศพ