แต่ที่หลี่หมิ่นถังเองคาดไม่ถึงก็คืออีกสิบห้าวันต่อมาจวนติ้งอันโหวก็ส่งแม่สื่อมาทาบทามสู่ขอบุตรสาวของเสนาบดีหลี่ ให้กับซื่อจื่อติ้งอันโหวและแน่ว่าย่อมสู่ขอบุตรสาวคนรองหรือก็คือนางอยู่แล้วเนื่องจากบุตรสาวคนโตของใต้เท้าหลี่เพิ่งจะออกเรือนไปบุตรสาวอีกสองคนก็เกิดจากอี้เหนียงแต่อายุเพิ่งเจ็ดปีกับแปดปีเท่านั้น
ส่วนจวนติ้งอันโหวแน่นอนว่าต้องเป็นพี่ชายคนโตที่ออกเรือนก่อน ส่วนน้องชายคนรองนั้นต้องรอไปก่อน ซึ่งพอทราบมีหรือที่หลี่หมิ่นถังจะไม่ตอบตกลงออกไปในเมื่อนับจากแรกพบหน้าผ่านมาหลายเดือนนางยังปักใจรักอยู่แต่กับบุรุษนามเย่จื่อเฉินเท่านั้น และบัดนี้ก็เป็นวันแต่งงานที่หลี่หมิ่นถังเฝ้ารอคอยมาสามเดือนนับจากวันสู่ขอ
"ฝนหยุดแล้วเคลื่อนขบวนได้"
เสียงแม่สื่อเอ่ยสั่งการดังลอยเข้ามาให้นางได้ยิน นั่นแหละเจ้าสาวเช่นหลี่หมิ่นถังจึงพรั่งพรูลมหายใจออกมาเต็มที่ด้วยความโล่งใจ แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดนางรู้สึกใจคอไม่ดีนักในวันนี้ ทั้งที่ได้แต่งงานกับบุรุษที่เป็นรักแรกแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่รู้สึกยินดีเอาเสียเลย นอกจากไม่ยินดีหลี่หมิ่นถังยังรู้สึกใจหายแปลกๆ ทั้งที่ไม่สมควรจะรู้สึกเช่นนี้เลย
"คิดมากไปแล้วหมิ่นถัง มันไม่มีอันใดหรอกก็แค่ฝนตก มันจะเป็นลางร้ายไปได้อย่างไร คิดมากๆ เจ้าแค่คิดมากไปเท่านั้น"
เด็กสาวยกมือลูบลงบนหน้าอกตนเอง ก่อนจะพึมพำปลอบใจซ้ำอีกด้วย ถึงเย่จื่อเฉินจะไม่เคยบอกว่ารักนางแม้ครึ่งคำ ทว่าตลอดสามเดือนที่เตรียมงานแต่ง เขาก็ดูใส่ใจนางอย่างมาก ไม่มีอันใดหลอก มันคงไม่มีอันใด…
ไม่มีเสียเมื่อใดกันเล่า!
"นี่มันเรื่องอันใดกันเจ้าค่ะพี่จื่อเฉิน"
หลังเสร็จสิ้นพิธีการต่างๆ ยังไม่ทันถูกส่งตัวเข้าห้องหอพระราชโองการกลับถูกส่งตรงมาจากวังหลวงให้ติ้งอันโหวเร่งนำทหารไปสนับสนุนกองทัพหลวงที่ไปปราบกบฏยังแคว้นเป่ยฉีที่มีชินอ๋องซ่างกวนไท่เป็นแม่ทัพใหญ่บัญชาการรบอยู่ที่ชายแดนก่อนแล้ว สถานการณ์ทางชายแดนเป่ยฉีไม่ดีฉางตี้ฮ่องเต้จึงได้มีพระราชโองการให้ติ้งอันโหวนำกองทัพอีกแสนนายไปสมทบ
แน่นอนว่าเจ้าบ่าวเช่นเย่จื่อเฉินที่เป็นติ้งอันโหวซื่อจื่อกับคุณชายรองเย่ต้องติดตามผู้เป็นบิดาไปออกรบในครั้งนี้ด้วยเช่นนี้เขาจึงมิอาจเข้าหอกับเจ้าสาวเช่นหลี่หมิ่นถังได้ เพราะพระราชโองการในครั้งนี้ฉางตี้ฮ่องเต้นั้นมีคำสั่งเด็ดขาดว่าต้องออกเดินทัพไปในทันทีหลังได้รับซึ่งก็ย่อมต้องเป็นค่ำคืนนี้อยู่แล้ว เดินทัพโดยที่เจ้าสาวเช่นนางเพิ่งได้รับรู้เอาในยามที่พระราชโองการมาถึงจวนติ้งอันโหว แต่ความจริงแล้วหลี่หมิ่นถังย่อมรู้ทั้งเจ้าบ่าวกับครอบครัวของเขาต้องรู้แจ้งมาก่อนอยู่แล้วเคลื่อนทัพด้วยกำลังกว่าแสนนายย่อมต้องเตรียมการนานเป็นครึ่งเดือน ทว่าฝ่ายเจ้าบ่าวกลับไม่ยอมแจ้งให้นางหรือครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวทราบแต่แรก
นี่มันเรื่องบัดซบอันใดกัน?!
เพราะโดยปกติแล้วเป็นธรรมเนียมของชาวต้าเซี่ยที่ยึดถือกันมายาวนานก็คือ หากจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องแจ้งให้ฝ่ายเจ้าสาวได้ทราบอย่างเร่งด่วน ทางเจ้าสาวจะได้มีสิทธิ์เลือกหนทางว่าจะแต่งงานจนเสร็จสิ้นแล้วรอสามีกลับจากไปทำศึกอย่างสงบที่บ้านของสามี กับเลือกจะยุติงานแต่งงานเอาไว้ก่อน รอให้เจ้าบ่าวรอดปลอดภัยกลับมาจากชายแดนเสียก่อนค่อยสานต่อพิธีแต่งงานให้สำเร็จ เพราะทหารไปทำศึกอาจตายมากกว่าอยู่ ดังนั้นฝ่ายสตรีจะได้ไม่ต้องกลายเป็นหญิงหม้ายสามีตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้ร่วมห้องหอ แต่นี่...
"เหตุใดพี่จื่อเฉินจึงไม่บอกกับหมิ่นถังหรือท่านพ่อและท่านแม่ว่าวันนี้พระราชโองการจากฝ่าบาทจะมาถึงจวนติ้งอันโหวของท่าน เหตุใดครึ่งคำท่านก็ไม่พูดเล่าเจ้าค่ะ?"
หลี่หมิ่นถังถามออกไปด้วยน้ำเสียงและใบหน้าแสนจะร้าวราน หากเขาพูดออกมานางมีหรือจะยอมรับไม่ได้ นางรักเขาออกปานนี้ให้รอนางก็จะรอ แต่การไม่ยอมปริปากบอกเล่ากันมันหมายถึงว่าเขาไม่เห็นนางกับครอบครัวสำคัญมิใช่หรอกหรือ คนจะเป็นสามีภรรยากันเรื่องจะเล็กหรือใหญ่สมควรต้องเปิดเผย หากแต่นี่เย่จื่อเฉินกลับไม่พูดออกมาทั้งที่การไปออกศึกนั้นเป็นเรื่องทั้งใหญ่และสำคัญเป็นชีวิตหนึ่งของคนสองคนที่ต้องผูกพัน นี่ไม่ใช่เย่จื่อเฉินไม่เคยมองเห็นนางอยู่ในสายตาหรอกหรือ
"ขอโทษนะหมิ่นถัง ข้าเฉินผิดต่อเจ้าแล้ว แต่สัญญาว่าหลังเสร็จศึกนี้จะรีบกลับมาชดเชยให้เจ้าแน่นอน"
แล้วหมิ่นถังยังจะกล่าวอันใดได้อีกเล่า ในเมื่อเคลื่อนทัพไปแคว้นเป่ยฉีคราวนี้มีติ้งอันโหวผู้เป็นพ่อสามีของนางเป็นแม่ทัพใหญ่ซื่อจื่อเช่นจื่อเฉินจะไม่ติดตามบิดาได้อย่างไรยิ่งเย่จื่อเฉินนั้นไม่บอกไม่กล่าวอะไรนางล่วงหน้าด้วยแล้วหลี่หมิ่นถังยังจะแก้ไขอันใดได้อีกหรือ?
ทุกข์ใจและเศร้าโศกเพียงใดกลับไม่มีโอกาสแม้แต่จะตัดพ้อกับสามีให้ดีสักสองสามคำด้วยซ้ำ สามีที่เพิ่งกราบไหว้บรรพชนฟ้าดินและบิดามารดาทั้งสองฝ่ายได้ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเท่านั้นก็จะจากไปชายแดนที่กำลังมีศึกใหญ่วุ่นวาย
ดีจริงๆ ประเสริฐแท้หลี่หมิ่นถัง!...
แทนที่จะได้เข้าหอ หลี่หมิ่นถังกลับต้องสวมชุดแต่งงานออกมาส่งสามีไปออกรบ ใบหน้างามจึงมีแค่รอยเศร้าโศกกับน้ำตาเต็มแก้มเท่านั้น แต่งงานทั้งทีแต่เหตุใดจึงต้องพบเจออุปสรรคใหญ่เช่นนี้
"เจ้ารอข้านะหมิ่นถัง จงรอช้าอย่าเป็นเช่น…"
ถึงเขาไม่พูดหมิ่นถังย่อมทราบว่าจื่อเฉินต้องการจะสื่อสารกับตนเองว่าอย่างไรและหมายถึงผู้ใด เขาคงหวาดกลัวว่านางจะเป็นเช่นหลี่เหม่ยหลินกระมัง แต่นางก็คือนาง หลี่เหม่ยหลินก็คือหลี่เหม่ยหลินวูบหนึ่งที่นางรู้สึกโกรธขึ้นมา เนื่องจากเริ่มกระจ่างที่เย่จื่อเฉินไม่ยอมปริปากบอกกับนางแม้เพียงครึ่งคำว่าเขากำลังจะไปชายแดนล้วนเป็นเพราะเขาหวาดกลัวว่านางจะยกเลิกงานแต่งไปก่อนกระมัง ไม่พูดไม่ถามกลับตัดสินนางไปเสียแล้วว่านางกับพี่สาวจะเหมือนกันเช่นี้ไม่น่าปวดใจหรอกหรือ
"พี่จื่อเฉินวางใจได้ หมิ่นถังจะรอท่าน จะกี่ปีก็จะรอเจ้าค่ะ"
แต่สุดท้ายเพราะหัวใจรักที่มีให้กับบุรุษนามเย่จื่อเฉินนางก็ยังรับปากเขาออกไปแทนที่จะเอ่ยปากตัดพ้อต่อว่าให้ขุ่นเคืองต่อกัน ด้วยจากกันไปในครั้งนี้ไม่รู้ยามใดจะได้กลับมาศึกปราบกบฏคราวนี้ไม่ใช่จะง่ายยิ่งแผ่นดินต้าเซี่ยเพิ่งจะผลัดเปลี่ยนฮ่องเต้ได้ไม่นานรากฐานยังไม่มั่นคงดังนั้นการจากคราวนี้ กว่าจะได้พบหน้าใครเลยจะล่วงรู้จะพบกันด้วยร่างกายมีชีวิตหรืออาจจะกลับมาเพียงป้ายวิญญาณก็ยากจะคาดเดานางจึงเลือกจะปล่อยวางความขุ่นเคืองไปเสียร่ำราบุรุษที่ตนรักให้ดี
น้ำตาเม็ดโตกลิ้งออกจากสองตางดงาม ภาพแผ่นหลังกว้างของสามีห่างออกไปทุกขณะ แต่งงานยังไม่ทันข้ามคืนสามีกลับจากไกลไปนับพันลี้ เด็กสาวเช่นนางเจ็บปวดใจเหลือเกิน
"หยุดร้องไห้ได้แล้ว มันเป็นลางร้ายบิดามารดาของเจ้าไม่สั่งสอนหรือหมิ่นถังว่ายามที่มาส่งทหารไปชายแดนห้ามมีน้ำตา ช่างไม่ได้ความเอาเสียเลยเด็กคนนี้นี่!"
เย่ฮูหยินผู้เป็นมารดาสามีตำหนิด้วยถ้อยคำแสนหยาบคายเกิดมาถึงสิบห้าปีหลี่หมิ่นถังล้วนไม่เคยได้ยิน แต่บัดนี้นางแต่งงานเข้าจวนติ้งอันโหวแล้วไม่ชอบใจเพียงใดก็คงมีแต่ก้มหน้าฝืนทนกล้ำกลืนเอาไว้ไม่โต้เถียง…
ตอนที่5||ที่ใดจะสุขใจเท่าบ้านเราพอคิดตกและตัดสินใจจนแน่วแน่วันนั้นหลี่หมิ่นถังจึงเซซังออกจากจวนติ้งอันโหวตรงกลับเมืองเสียนหยางบ้านเดิมสกุลหลี่มาราวกับคนบาดเจ็บสาหัสใกล้สิ้นใจ แต่กลับไม่มีน้ำตาสักเพียงหยดเดียวตลอดการเดินทางสามชั่วยาม เพราะนางคิดตกแล้วว่าน้ำตาของตนเองสูงค่าราวกับไข่มุกเช่นนั้นจะมาเสียมันให้กับคนเช่นเย่จื่อเฉินนางคิดว่าไม่คู่ควร ที่เสียมาตลอดเกือบสี่ปีนับว่ามากพอแล้วยังดีที่นางยังมีท่านแม่ ท่านย่า ท่านพ่อและน้องชายกับน้องสาว นางยังมีคนในครอบครัวและบ่าวไพร่ที่จริงใจห่วงใยนางอย่างแท้จริงรออยู่ที่จวนสกุลหลี่ หนังสือหย่านางส่งไปแล้วหลังจากกลับถึงจวนสกุลหลี่ได้หนึ่งวัน ส่งไปโดยบิดาของนางเองแต่ทางฝ่ายนั้นกลับดึงดันไม่ยอมลงนาม ทว่าเรื่องนี้หลี่หมิ่นถังยังไม่รีบร้อน นางอยากขอเวลาเยียวยาจิตใจตนเองให้กล้าแกร่งเสียก่อนเพราะเจ็บในคราวนี้นางบาดเจ็บสาหัสนักเหลือเกินนางบาดเจ็บสาหัสจริงๆ ...แต่มิใช่ทางกายที่ได้บาดแผลยับเยินมา ทว่าเป็นทางใจ สินเดิมของนางหมดไปนานแล้วจึงมิได้นำกลับมาด้วย แต่กิจการของนางเองก็มีไม่ใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นกิจการร้านขายข้าวสารฝูเล่อที่มีอีกสาขาในเมืองเสียนหยา
ตอนที่4||หมดแล้ว ข้าหมดใจกับท่านแล้วหลี่หมิ่นถังถามตนเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่ถึงสามวัน เพราะนางยังตั้งสติไม่ได้ก็ผู้ใดมันจะคาดว่าตนเองจะได้รับคำตอบเช่นนี้ 'เจ้าดีเกินไป เพราะเจ้าดีเกินไป หากจะผิดก็ผิดที่เจ้าเป็นคนดีเกินไปหมิ่นถัง' เกิดมาจนถึงวันนี้นางอายุสิบแปดปีบริบูรณ์ได้หนึ่งเดือนแล้วเพิ่งจะเคยได้ยินว่าการเป็นคนดีเกินไปจึงถูกสามีหมางเมินไม่สติหลุดยังจะเป็นคนปกติได้อย่างไรและพอตั้งสติได้นางก็รู้สึกโกรธอยู่ไม่น้อย สองปีเศษที่แต่งงานกับอีกเจ็ดเดือนที่อยู่ร่วมจวนนางหลี่หมิ่นถังล้วนทุ่มเททั้งแรงกายและหัวใจทำดีกับเขาทำดีกับทุกคนที่เขารักและเคารพ ทว่าเย่จื่อเฉินกลับตอบคำถามคาใจของนางมาแค่ไม่กี่ประโยคแล้วหายหน้าออกจากจวนเสียร่วมสองเดือนมันออกจะเกินไปแล้วถึงนางจะเป็นคนใจดีมีเหตุมีผลแต่เช่นนี้นางก็โกรธเป็นเช่นกัน เขาสมควรตอบคำถามของนางให้รู้เรื่องเสียก่อน เช่นนี้ไม่สมกับการเป็นแม่ทัพปกป้องเมืองเทียนตูเลยแม้แต่น้อย ทว่าไม่พึงใจอย่างไรหลี่หมิ่นถังก็ทำได้เพียงแค่รอให้เขากลับจวนเท่านั้นทว่าอีกหนึ่งเดือนต่อมาเย่จื่อเฉินเขากลับมิได้กลับจวนติ้งอันโหวมาแค่เพียงผู้เดียวหากแต่สามีของนางเขาดันกลับมาพร้อมห
และหากหลี่หมิ่นถังคิดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเลวร้ายอย่างถึงที่สุดแล้วละก็นางคงคิดผิดไปไกลที่เดียว เพราะต่อจากนั้นอีกเพียงเดือนเดียวเย่จื่อเฉินกลับรับอนุภรรยามาเติมเรือนหลังอีกสองคน ผู้หนึ่งเป็นบุตรสาวของนายกองในกองทัพ อีกผู้คือหญิงคณิกาอันดับหนึ่งของหอหลินเซียง"เรือนหลังก็มีน้องซวงเอ๋อร์แล้ว เหตุใดจึงต้องรับคนมาเพิ่มอีกเจ้าค่ะท่านพี่จื่อเฉิน"คราวนี้หลี่หมิ่นถังไม่ได้ปิดปากเงียบอีกแล้ว นางต้องถามให้กระจ่าง ว่าเหตุใดต้องแต่งอี้เหนียงมาเพิ่มทั้งที่เขายังมีฉิงซวงและนางที่เป็นฮูหยินอยู่ทั้งคน"เจ้าอย่าใจแคบไปหน่อยเลยหมิ่นถัง บัดนี้จื่อเฉินเป็นถึงแม่ทัพปกป้องเทียนตู การมีอนุภรรยาเพิ่มนับว่าเป็นการเพิ่มบารมีให้กับสามี"แต่เย่จื่อเฉินนั้นยังไม่ทันเอ่ยปากเหล่าฮูหยินเย่กลับเอ่ยตัดหน้าเขาเสียก่อน หลี่หมิ่นถังถึงกับหันขวับไปมองมารดาของสามีด้วยสายตากังขาจากใจ"หากหมิ่นถังใจคอคับแคบเช่นนั้นที่ท่านพ่อไม่เคยรับอนุภรรยามาเพิ่มจะกล่าวว่าอย่างไรดีเล่าเจ้าค่ะท่านแม่?"จนกระทั่งเขาสิ้นใจจากไปอดีตติ้งอันโหวผู้เป็นบิดาของสามีนางมีเย่ฮูหยินเพียงคนเดียว หากจะกล่าวว่าอดีตติ้งอันโหวรักเดียวใจเดียวเห็นทีจะยาก แต่
สองปีผ่านไป…ในที่สุดข่าวจากแคว้นเป่ยฉีก็มาถึงมหานครเสียนหยางและจวนติ้งอันโหวในเทียนตูตามลำดับอีกครั้งซึ่งคราวนี้มิใช่ข่าวร้ายเช่นครั้งก่อนๆ แต่เป็นข่าวดี ข่าวที่บอกเล่าว่ากองทัพของชินอ๋อง ซ่างกวนไท่ ได้ชัยชนะเหนือฝ่ายกบฏอ๋องเผ่ากั๋วเซาพร้อมขับไล่เผ่าต่างๆ อีกสามเผ่า ที่ร่วมมือกับเผ่ากั๋วเซาให้แตกฝ่ายถอยร่นขึ้นไปทางเหนือกว่าห้าร้อยลี้สำเร็จแล้ว"ฮูหยินเจ้าค่ะ ฮูหยิน"เพ่ยเจียว สาวใช้คนสนิทของหลี่หมิ่นถัง รีบร้อนนำข่าวที่ได้ยินมาจากเรือนของเหล่าฮูหยินเย่มารายงานผู้เป็นนายของตนเองทันทีที่ได้ฟังว่ากองทัพของชินอ๋องคว้าชัยชนะศึกยาวนานสามปีสักครา"เอะอะอันใดกันเพ่ยเจียว"ผิงเซียง สาวใช้อีกคนของหลี่หมิ่นถังที่กำลังเช็ดฝุ่นตรงมุมห้องอดจะถามสหายของตนเองออกไปก่อนผู้เป็นนายเสียมิได้ ส่วนหลี่หมิ่นถังกำลังตรวจบัญชีกองสูงท่วมศีรษะด้วยใบหน้าอ่อนโยน"ข่าวดีเจ้าค่ะ เป็นข่าวดี"เพ่ยเจียวใบหน้าแดงก่ำ คาดว่าคงวิ่งมาเต็มกำลัง หลี่หมิ่นถังจึงปิดสมุดบัญชีที่ตรวจเสร็จเป็นเล่มสุดท้ายลงทันทีเพราะนางเองก็คาดหวังว่าจะเป็นข่าวดีจากชายแดนเสียที"ข่าวดีอันใด" เสียงหวานถามออกไป ถึงภายนอกของนางดูค่อนข้างใจเย็นแต่ใครเ
แต่ที่เทียนตูนี้นั้นเมืองรองของต้าเซี่ยแห่งนี้นั้นหลี่หมิ่นถังหรือบัดนี้กลายเป็นเย่ฮูหยินคนใหม่แทนมารดาสามีที่ขยับฐานะขึ้นไปเป็นเหล่าฮูหยินเย่เพราะสามีของนางตายจากไปแล้วเมื่อหลายเดือนก่อนเองชีวิตก็ไม่ได้ง่ายเช่นกัน ยิ่งมารดาของสามีและน้องสาวของสามีเช่นคุณหนูสามเย่ เย่จื่ออิง ที่วันทั้งวันไม่ทำอันใดนอกจากเรื่องสิ้นเปลืองจับจ่ายฟุ่มเฟือยราวกับจวนติ้งอันโหวผติตั๋วเงินออกมาเองได้กับคอยแต่จะก่อเรื่องเดือดร้อนมาให้นางแก้ไขไม่ว่างเว้นแล้วบัดนี้พอคุณชายรองเย่ เย่จิ่เว่ยถูกส่งกลับมาพร้อมอาการบาดเจ็บหนักนั้นต้องใช้ยาทั้งตัวยาดีและท่านหมอที่เก่งกาจมาเพิ่มเป็นภาระหนักให้นางต้องแบกรับซึ่งย่อมแน่นอนว่าอาการบาดเจ็บหนักนี้ต้องใช้เงินมากตามไปด้วยนั้นยิ่งทำให้ชีวิตของหญิงสาววัยสิบเจ็ดปีนี้ไม่ง่ายยิ่งขึ้น"ถังถัง ลำบากมากหรือไม่"ดังนั้นในยามเมื่อนางกลับมาเยี่ยมมารดาและบิดากับเหล่าฮูหยินหลี่ผู้เป็นท่านย่าของตนเองที่จวนสกุลหลี่นางจึงมักจะถูกมารดาและท่านย่าสอบถามด้วยความห่วงใยเสียทุกครั้งไป"ดูสิเจ้าผ่ายผอมลงอีกแล้วกลับมาเสียนหยางยามใดเจ้าก็มีแต่ผอมลง ข้ากับท่านพ่อและท่านย่าของเจ้าเห็นแล้วปวดใจนักถังถังเ
สามเดือนผันผ่านชีวิตภายในจวนติ้งอันโหวนั้นไม่ได้ง่ายดายเลย คนมาก แต่กลับไม่มีเงินทองเช่นสกุลหลี่ของหลี่หมิ่นถังแม้แต่หนึ่งส่วนนอกจากไม่มีทรัพย์แล้วติดลบมีแต่หนี้มากมายอีกด้วย เนื่องจากผู้นำตระกูลรุ่นนี้หรือก็คือพ่อสามีของนางไม่ถนัดทำการค้า หรือแม้แต่บริหารที่ดินในมือของสกุลเย่ที่มีมานานสามชั่วอายุคนหลังจากได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ติ้งอันโหวมา จนมาถึงรุ่นของเย่จื่อเฉินกับน้องชายและน้องสาวก็ยิ่งไม่ชำนาญเช่นกันจึงไม่ต่างกับตัวของติ้งอันโหวคือไม่เคยใส่ใจกิจการและที่ดินในปกครองเอาแต่ยกให้เย่ฮูหยินที่ก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้านการค้าเช่นเหล่าฮูหยินเย่ที่จากไปนานวันเข้าทั้งกิจการและที่ดินจึงมีแต่ยิ่งถดถอยมากกว่าทำกำไรทรัพย์ที่มีน้อยในรุ่นของติ้งอันโหวผู้เฒ่าจึงมีแต่ขาดทุนและขาดทุนติ้งอันโหวนั้นไม่เก่งกาจด้านการค้านับว่าไม่แปลก ซึ่งก็นับว่าปกติในตระกูลขุนนางและทหาร เพราะท่านเสนาหลี่บิดาของหมิ่นถังเองก็ไม่เก่งด้านทำการค้าอีกหลายตระกูลใหญ่ที่บุรุษรับราชการส่วนใหญ่ในต้าเซี่ยก็เป็นเช่นกัน แต่มารดาของหมิ่นถังนั้นเก่งกาจบริหารสิ่งที่มีในมือจนงอกเงยเป็นเงินเป็นทองมาเลี้ยงดูจนในจวนได้สบายหลังจากท่านย