“คนอย่างพวกเจ้า กลัวผีเด็กเยี่ยงข้าด้วยหรือ”
เด็กชายแสยะยิ้มเหี้ยม ภาพนี้มีเพียงสามคนร้ายเท่านั้นที่เห็น ว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ไร้เดียงสาตามวัยแม้แต่น้อย ทว่ามันเหมือนปีศาจจำแลงมาในร่างเด็กมากกว่า
“รีบลงมือเถอะ แค่เด็กปากมิสิ้นกลิ่นน้ำนม จะไปต่อคำให้เสียเวลาทำไม”
หนึ่งในสามคนร้ายรีบเอ่ยขึ้น เมื่อรู้สึกว่างานที่ควรง่าย มันอยากขึ้นอีกนับเท่าตัว มิพูดเปล่า...ชายหนุ่มล้วงเอาอาวุธลับออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะซัดออกไปยังเป้าหมาย ซึ่งก็คือเด็กชายตรงหน้า
ปัง! เคร้ง! แต่ก่อนที่อาวุธลับ จะทันได้ถึงตัวของสองตาหลาน ประตูถูกเปิดออกอย่างแรง พร้อมกับกระบี่ที่พุ่งมาสกัดเอาไว้ได้ทัน
“ท่านพ่อ! อี้หลาง!”
อี้หรู วิ่งเข้าไปยืนบังบิดากับบุตรชาย ให้พ้นสายตาของคนร้าย โดยไม่มีใครทันได้เห็นรอยยิ้มของเด็กชาย เขารู้อยู่แล้วว่ามารดามาถึง จึงได้ยอมยืนนิ่งเป็นเป้าให้คนร้ายลงมือ
“อย่าเสียเวลากำจัดพวกมันซะ!”
สิ้นคำลมหายใจคนพูดก็จบลงเช่นกัน และนั่นทำให้สองคนร้ายที่เหลือ ต้องมองหาทางหนีทีไล่แทน ผู้มาใหม่ยังยืนอยู่ที่เดิม แต่สามารถปลิดชีพสหายของพวกเขาได้ ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่พวกเขาจะสุ่มสี่สุ่มห้าลงมือ
“พวกเจ้าดวงดียิ่งนัก ที่มาเยี่ยมเยียน ในวันที่ท่านลุงของข้ากลับบ้านพอดี”
อี้หลางที่ยืนอยู่หลังมารดา พูดด้วยน้ำเสียงสดใส ราวกับอันตรายตรงหน้า ไม่ได้ทำให้เขาตื่นกลัวเลยแม้แต่น้อย
“วันนี้ข้าฝากไว้ก่อ...อึก!”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยค ลมหายใจของเขาก็หมดลงเสียก่อน อาวุธลับของพวกเขาว่าร้ายแล้ว ทว่าอาวุธลับของชายแปลกหน้าผู้นี้ กลับร้ายยิ่งกว่า…
“ในเมื่อวันนี้ เจ้าปิดทางหนีแก่ข้า เช่นนั้นอย่าได้หาว่าข้าโหดร้าย”
คนร้ายที่เหลือ ล้วงเอาขวดเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ พร้อมชูขึ้นสูงทว่า...เข่าของเขากลับทรุดลงกระแทกกับพื้น ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แต่ทำไมเขากลับรู้สึกราวกับขาทั้งสองข้าง ถูกบางอย่างกระทบเข้าอย่างแรง
“ที่นี่โรงหมอ พิษจะร้ายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าคนรับสามารถแก้พิษได้ไหม”
ขวดยาในมือกลับยังคงไม่หลุดออกมา ด้วยความเจ็บปวดตลอดร่างเกร็งค้าง จนไม่อาจจะขยับกายได้ จึงทำให้มือนั้นไม่อาจง้างออก เพื่อที่จะปล่อยขวดยาพิษลงสู่พื้นได้
สุดท้ายแล้วลมหายใจ ของคนร้ายทั้งสามได้จบสิ้นลง โดยที่เจ้าของบ้านไม่มีส่วนใดบุบสลาย ชายหนุ่มเดินไปที่ร่างของคนร้าย ก่อนจะล้วงหาสิ่งที่จะเชื่อมต่อกับผู้จ้างวาน ต่อให้เขารู้แล้ว ว่าคนพวกนี้มีที่มาอย่างไร
แต่เพราะท่านหมอ ยังคงมีเรื่องปิดบังเขาอยู่ ฉะนั้นตัวเขาก็ต้องสืบหาต้นตอ เพื่อให้แน่ใจว่ามิได้ยืนผิดฝั่ง หาไม่แล้วสำนักคุ้มภัยของเขา ก็คงมีเรื่องให้สั่นคลอนเป็นแน่ บุญคุณย่อมทดแทน ทว่าบ้านเรือนก็ต้องรักษาให้มั่นคงเช่นกัน
“พวกท่านกลับเข้าไปด้านในเรือนก่อน ทางนี้ข้าจะให้คนของข้าจัดการต่อเอง”
“ท่านพ่อ อี้หลางเรากลับเข้าไปข้างในกันก่อนนะเจ้าคะ”
หญิงสาวไม่คิดที่จะร่ำรี้ร่ำไร ในเมื่อคนที่บิดาพากลับมา ต้องการที่จะหาหลักฐานเพิ่ม ก็ปล่อยให้เขาจัดการไป สิ่งที่นางต้องเร่งลงมือ ยังกองเท่าภูเขาจะมามัวเสียเวลา กับการสืบหาต้นตอคนจ้างวานไปทำไม ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจ อีกอย่างนี่คือหน้าที่ของผู้คุ้มกันอยู่แล้ว
“ท่านเจ้าสำนัก เรื่องนี้จะไม่เป็นการขัดแย้ง ต่อเหล่าขุนนางหรือขอรับ”
ลับหลังครอบครัวสกุลต้วนไปแล้ว คนสนิทที่ก้าวเข้ามา ได้เอ่ยถามผู้เป็นนายในทันที
“หลายปีก่อน เจ้าคิดว่าใครกันที่ลงมือต่อข้า หากมิใช่ขุนนาง”
“เช่นนั้น...ข้าน้อยจะวางกำลังไว้โดยรอบนะขอรับ”
“อย่างลับๆ รู้ไหม หากล้อมรั้วดีเกินไป ไก่ที่ไหนจะลอบเข้ามาคุ้ยเขี่ย”
“ข้าน้อยทราบแล้ว”
ชายหนุ่มสั่งการเสร็จสิ้น ก็เดินกลับไปในส่วนของตัวเรือน เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงคำถามของหลานชายสกุลต้วน แค่คำถามเดียวเขาก็พอจะเดาได้ ว่าต้วนอี้หลางต้องการสิ่งใด แล้วยิ่งมาเห็นสิ่งที่เด็กร้ายกาจนั่นพูดถึง เขาต้องยอมรับ ว่าเหนือกว่าที่คาดคิดมากนัก
“ขอบคุณที่ช่วยท่านพ่อ กับบุตรชายข้าในวันนี้”
หญิงสาวก้าวออกมาจากหลังเสา เพื่อพูดคุยกับชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะเข้าไปในตัวเรือน
“มันคือหน้าที่ของข้า”
“สิ่งที่ข้าอยากให้ท่านจดจำเอาไว้ ชีวิตของพ่อแม่และลูกข้า แม่นมของข้า สำคัญกว่าตัวข้า หากต้องเลือกในยามคับขัน ท่านคงรู้ว่าต้องทำเช่นไร”
“ข้าไม่เคยต้องเลือก เพราะข้าไม่ชอบให้มีความผิดพลาด คุณหนูต้วนโปรดวางใจ จนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย จะไม่มีใครหน้าไหน ได้แตะต้องพวกเจ้า”
“ท่านคงหิวแล้ว เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
หญิงสาวได้รับคำตอบที่น่าพอใจแล้ว จึงชักชวนชายหนุ่มเข้าไปในเรือน ต่อให้เพิ่งเห็นคนตายต่อหน้า แต่ท้องของนางใช่ต้องมาอดอยากไปกับคนตายเสียเมื่อไหร่กัน
“ขอรับ”
ชายหนุ่มรับคำ แล้วก้าวตามบุตรสาวเจ้าของบ้านไป ดูเหมือนเขามีเรื่องให้ค้นหาเพิ่มเติมแล้วสินะ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เดินนำหน้า หรือบุตรชายคนโตของนาง เพราะจากที่เขาได้สัมผัส กับแฝดที่เหลืออีกสองคน ช่างแตกต่างจากต้วนอี้หลางมากนัก
จะเป็นไปได้หรือ คนที่บาดเจ็บสาหัส ฟื้นขึ้นมาแล้วจะมีบุคลิกที่เปลี่ยนไป หากจะเปลี่ยนมันควรเป็นความทรงจำ หรือการแสดงความหวาดหวั่นต่ออันตราย แต่นี่เหมือนสองแม่ลูก พร้อมรบมากกว่าถอยหนี
คำพูดของรองพ่อบ้านจี้ ไม่ได้ทำให้ต้วนอี้หลาง รู้สึกตื่นกลัวอย่างที่เขาต้องการให้เป็นเช่นนั้น ทั้งที่เขาตั้งใจที่จะพูดเป็นนัยๆ สื่อไปถึงสตรีสูงศักดิ์ ว่าตอนนี้นางน่าจะตกอยู่ในอันตราย ไยราชบุตรเขย จึงดูไม่ยี่หระต่ออันตราย ที่จะเกิดขึ้นกับภรรยา หรือว่าต้วนอี้หลางจะมั่นใจ ว่าภรรยาของตนเอง ได้รับการคุ้มครองที่แน่นหนา “ใช่...ไม่ควรเสียเวลาที่จะคุยแล้ว ข้าคอแห้ง” ต้วนอี้หลางตอบกลับ ด้วยน้ำเสียงที่ดูละมุน เกินกว่าที่จะเป็นการตอบโต้ของศัตรู ทว่าในตอนท้ายประโยค เขากลับหันไปเอ่ยกับผู้ติดตาม ว่ากระหายน้ำเสียงอย่างนั้น ราวกับเป็นเรื่องที่กำลังเผชิญอยู่ ไม่ได้สลักสำคัญอันใดเลย “นี่ขอรับ” ผู้ติดตามรีบจัดหาตามคำของผู้เป็นนาย ด้วยนรอยยิ้มระรื่น ประหนึ่งนี่คือเรื่องปกติที่ทำจนคุ้นชิน เจ้าบ้านทั้งหลายต่างพากันดวงตาเบิกกว้าง ด้วยไม่คิดว่าผู้ติดตามทั้งสองของราชบุตรเขย คนหนึ่งจะนำถ้วยชาออกมา อีกคนก็เอาขวดน้ำเต้าที่ห้อยข้างเอว มาเปิดรินน้ำให้แก่ผู้เป็นนาย นี่มันจะหยามกันเกินไปแล้วนะ! ทำเหมือนพวกเขาเป็นเพียงอากาศธาตุไปได้อย่างไร “เจ้าเห็นพวกข้าเป
“ท่านมาที่นี่ ด้วยเรื่องอันใด เราหาได้เคยพบปะกันมาก่อน ข้าจึงคิดไม่ออกเลย ว่าเหตุผลใดที่ท่านจะเข้ามาในบ้านผู้อื่น โดยที่เรามิได้เชื้อเชิญเช่นนี้” ชายคนเดิมเอ่ยถามต้วนอี้หลาง ทว่าแววตาที่จ้องมองมานั้น มันชัดเจนว่าอีกฝ่าย แค่รอจังหวะในการลงมือ แต่ต้วนอี้หลางมีหรือ! จะไม่เล่นสนุกกับอีกฝ่ายเพิ่มอีกสักหน่อย ไหนๆ ก็ตั้งใจที่จะรวบทั้งหมดแล้ว “ข้ามาเยือนโดยพลการ ย่อมเป็นการเสียมารยาท แต่ข้ามารับตัวคนกลับไปก็เท่านั้น จึงได้มารบกวนพวกท่านในวันนี้” ในขณะที่เอ่ยถึงคนที่เขามารับตัว สายตาของชายหนุ่ม ก็เบนไปยังชายวัยกลางคนที่ผู้ติดตามได้บอกมา อ่า...คนผู้นี้เขาเคยพบอยู่หลายหน ในตอนที่ท่านเจ้าเมือง ชักชวนให้เขาไปรวมดื่มกินที่จวนเจ้าเมือง เป็นคนที่บงการทั้งหมด แต่อยู่คราบบ่าวรับใช้ ไม่สะดุดตาดีนี่... “ท่านรู้จักใครในนี้หรือ จึงได้บอกว่ามารับคน” ชายคนเดิมย้อนถามกลับ ทว่าคนที่ถูกมองนั้น แม้ดูใบหน้าไม่แสดงท่าทีใด ทว่าร่างกายเริ่มมีปฏิกิริยายาบ้างแล้ว “นักโทษที่หนีการจับกุม” เชร้ง! อาวุธของทั้งสองฝ่าย ต่างถูกชักออกจากฝัก เพราะคำนี้ก็เป็นอันรู้ก
ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นยามบ่ายแก่ ณ เมืองหน้าด่าน ต้วนอี้หลาง ที่ออกจากจวนท่านเจ้าเมือง ได้มุ่งหน้าไปยังที่หมายพร้อมผู้ติดตาม แน่นอนว่าเขาในตอนนี้ ไม่มีเวลาจะเล่นสนุกเช่นทุกครั้ง หรือทุกเมืองที่ผ่านมาได้อีกแล้ว ตราบใดที่ยังไร้ข่าวของน้องชาย เขาจะไม่วางใจอะไรทั้งสิ้น มิว่าเรื่องใดที่เกี่ยวกับผู้คิดคด ขอเพียงมีหลักฐานมากพอ เขาจะบั่นคอมันทิ้งเสีย อยู่ไปก็มิพ้นนำภัยกลับมาเยือน และสร้างความยุ่งยากให้ตัวเขามิรู้จบสิ้น คนที่เขาติดตามไปหาในตอนนี้ หากเขาเดาไม่ผิด ก็คงเป็นทายาทของราชวงศ์ก่อน ที่ยังคงเชื่อมั่นว่าตนเองสมควรเป็นฮ่องเต้ ราชวงศ์มู่มีมายาวนานนับร้อยปีแล้ว ราชวงศ์เดิมที่เสื่อมถ้อยไปเมื่อกว่าร้อยปี จะยังเอาอะไรมาคิดว่าตนสมควรก้าวสู่บัลลังก์ และนี่คือสิ่งที่ฮ่องเต้หลายๆ รุ่นยอมเป็นคนอำมหิต เพราะถ้ากำจัดไม่เด็ดขาด สายเลือดเหล่านั้นก็จะยังคงวนเวียน สร้างความวุ่นวายมิเลิกรา ทุกคนที่ก้าวสู่บัลลังก์ เป็นทั้งผู้มีบุญและบาปติดกายไปพร้อมกันทั้งสิ้น อยู่เหนือคนทั้งแผ่นดิน ก็ต้องเหยียบศพคนก้าวสู่อำนาจเช่นกัน “เขาอยู่ข้างในขอรับ และดูเหมือนจะมีคนจากแคว้นฉินด้วยขอรับ”ผู้ต
แม่ทัพหนุ่มทำเพียงพยักหน้ารับ ในน้ำใจนั้นของมือปราบชู ก่อนที่เขาจะหันไปสนใจคู่หมั้น ที่ตอนนี้ยังคงสิ้นสติอยู่ มือที่มีร่องรอยของบาดแผล ได้เอื้อมไปแตะที่ข้างแก้มของนางเบาๆ นิ้วสากไล้แก้มนั้นอย่างถนอม นางช่างทรหดนัก มิว่าเขาจะอยู่ในสนามรบ หรือแม้แต่ตกลงมาในเหวลึก นางก็ไม่เคยหวั่นที่จะตามหาเขา “เด็กบ้าคนนี้ เจ้าช่างมิห่วงตัวเองเอาเสียเลย” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยกับคนที่ยังไม่ได้สติ ด้วยน้ำเสียงเอ็นดู ก่อนจะพ่นลมหาใจออกมาช้าๆ มือหนาอีกข้างกุมอยู่ที่แผ่นอกกว้าง เพราะมันรู้สึกจุกเสียด คงเพราะเขามีกระดูกร้าวอยู่หลายแห่ง หายใจเพียงเบาๆ ก็เสมือนถูกค้อนทุบ “ท่านแม่ทัพ ขอให้ข้าน้อยได้ตรวจดูอาการ ของท่านแม่ทัพก่อนเถอะนะขอรับ อีกอย่างตอนนี้ก็บ่ายแก่แล้ว เราคงกลับขึ้นไปข้างบนไม่ทัน คืนนี้คงต้องตั้งค่ายพักแรมที่นี่กันก่อน เช้าพรุ่งนี้เราค่อยกลับขึ้นไปข้างบน และเข้าไปในเมืองกันนะขอรับ”นายทหารหนุ่มเอ่ยขึ้น เมื่อเขายื่นส่งยาสมุนไพร ให้แก่อี้เหมยแล้ว เพื่อใช้รักษาอาการของว่าที่ฮูหยินแม่ทัพ และเขาก็ต้องการให้แน่ใจ ว่าร่างกายของท่านมีทัพและสหายนั้น พร้อมสำหรับกลับขึ้นไปจากหุบเขานี้หรือ
หุบเขาเบื้องล่าง ภูเขาหิมะ ฉู่เมี่ยวที่เดินอย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อย เฝ้าร้องเรียกหาคนรัก โดยมีอี้เหมย สาวใช้ของพี่สะใภ้ ติดตามเคียงข้างมิห่าง ทหารทุกนายที่ร่วมค้นหา ต่างรู้สึกเห็นใจหญิงสาวยิ่งนัก ด้วยพวกเขาบางคนที่อายุมากว่าท่านแม่ทัพ และหญิงสาว ล้วนพากันเห็นการเติบโต ของท่านแม่ทัพกับสาวน้อยเมี่ยวเมี่ยว ยิ่งเห็นนางมีสภาพราวคนไร้ชีวิตเยี่ยงนี้ มันทำให้คนที่เสมือนพี่ชายอย่างพวกเขา เจ็บจุกไปตามๆ กัน ทุกคนล้วนภาวนา ให้ท่านแม่ทัพหยาง ยังคงปลอดภัยดีอยู่ “คุณหนูเมี่ยวเมี่ยว พักสักหน่อยเถอะนะเจ้าคะ เราเดินกันมาเกือบทั้งวันแล้ว” อี้เหมยรู้สึกเป็นห่วงหญิงสาว ด้วยน้องสาวบุญธรรมขององค์หญิง กำลังคล้ายคนจะสิ้นสติเลยก็ว่าได้ กินข้าวรึ! ก็เพียงแมวดม นอนก็ผวาตื่นอยู่ตลอดทั้งคืน หากยังฝืนต่อไป คงยากที่จะหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วยไปได้ “เราไปต่ออีกสักหน่อยเถิดนะเจ้าคะ พี่อี้เหมย ข้ารู้สึกว่าข้างหน้านี้ จะพบเบาะแสของท่านพี่อี้หลง” ฉู่เมี่ยวร้องขอต่ออี้เหมย ให้เดินค้นหากันต่ออีกสักหน่อย ทว่าอยู่ๆ ดวงตาของนาง ที่หันมองไปยังทิศทางนั้น มันกลับดูพร่ามัวอย่างไรไม่
“ดูท่าท่านเจ้าเมือง จะได้รับเบี้ยหวัดต่อปี ไม่น้อยเลยนะ”ต้วนอี้หลางถามออกไป คล้ายการพูดเย้าเล่น ไม่น่าจะมีปัญหาแคลงใจใดๆ นับเป็นคำถามที่ดูธรรมดามาก แต่มันกลับทำให้คนฟังเริ่มตื่นตัว เพราะสรุปแล้วราชบุตรเขย ต้องการสิ่งใดกันแน่ ไยจึงวกวนไปมา เหมือนกับตอนที่องค์หญิง พูดกับเขาที่เรือนหลักเลยเล่า ผัวเมียคู่นี้ตกลงแล้วมิลงรอยกันแน่หรือ“ข้าย่อมต้องมีงานอื่นๆ เสริมอยู่แล้วขอรับ เพราะถ้าไม่ทำเยี่ยงนั้น แค่เบี้ยหวัดจากราชสำนัก มีหรือจะพอเลี้ยงดูครอบครัว แต่ก็อย่างว่านะขอรับ ข้าราชการจะกระทำสิ่งใด ย่อมต้องคำนึงถึงตำแหน่งหน้าที่”ท่านเจ้าเมืองเลือกที่จะหงายไพ่ในมือ เพื่อที่จะได้ประเมินความละโมบของชายหนุ่มตรงหน้า ว่ามีมากน้อยแค่ไหน เขาจะได้เสนอสิ่งแลกเปลี่ยนได้อย่างเหมาะสม และไม่ทำให้ตนเองขาดทุน“น่าสนใจดี และข้าหวังว่ากิจการเสริมของท่านเจ้าเมือง มันคงไม่เกี่ยวกับการหายตัวไป ของหญิงสาวชนชั้นสูงหลายนาง ที่เดินทางขึ้นเหนือมาแล้ว มิได้กลับไปบ้านเกิดอีกเลย”เมื่ออีกฝ่ายตั้งใจเปิดไพ่ เพื่อทดสอบเขา ต้วนอี้หลางก็ไม่จำเป็นต้องโยกโย้อ้อมโลกอีก เรื่องการหายตัวไปของหญิงสาวหลายนาง มันยังมิใช่เป้าหมายในการเดิ