LOGINเพราะชายทั้งสามก็อดไม่ได้ ที่จะอุทานอยู่ในใจ ตอนแรกคิดว่าแค่แฝดสอง ทว่าพอเห็นเด็กอีกคน ก้าวลงจากรถม้า พวกเขาถึงกับตื่นตะลึงกันอยู่ไม่น้อย
“ไยวันนี้เจ้าดื้อกับตานักนะ” ชายชราอดดุหลานชายไม่ได้
“เขาอยู่กับท่านลุงดีแล้วขอรับ ข้าจะไปกับสองแสบนั่นเอง”
ปึกๆ มือใหญ่ตบหนักๆ ลงบนบ่าของอี้หลาง นี่คือความน่าสนใจ ที่ดึงดูดให้เขามาด้วยตนเอง เด็กคนนี้มีสายตาเฉียบคมเกินวัย ไม่สิ! นิสัยประเภทนี้ ส่วนมากลูกหลานฮ่องเต้ และทายาทเหล่าแม่ทัพมักจะเป็นกัน
เพราะต้องเป็นผู้นำ จึงถูกฝึกฝนการต่อสู้ และเรียนรู้ตำรามาอย่างเข้มงวด จึงไม่แปลกที่จะเห็นทายาท ของสายเลือดเหล่านั่น มีความเฉียบคมและเก็บทุกความรู้สึกได้ดีกว่าเด็กโดยทั่วไป
แน่นอนว่าคนทั้งสาม มีจุดประสงค์ในการมา ต้วนอี้หลางเลยเลือกที่จะตามติดท่านหมอต้วนไป คงเพราะห่วงในความปลอดภัยของชายชรา เขาเองก็อยากรู้ถึงฝีมือของเด็กชายเช่นกัน
“เช่นนั้น...เจ้าเข้าไปรอข้าในเรือน กับท่านป้าและน้องสาวเจ้าก่อน เสร็จแล้วเราค่อยไปกินมื้อค่ำกัน” ชายชราบอกแก่ชายหนุ่ม ซึ่งติดตามมาในคราบของญาติ
“ขอรับ” ชายหนุ่มรับคำ
“คุณชายเชิญด้านในเจ้าค่ะ”
แม่นมหวัง ผายมือให้แก่ชายหนุ่ม ซึ่งนางไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย ด้วยม่านของหมวกบดบังเอาไว้ ส่วนคู่แฝดได้หันไปหาผู้เป็นพี่ชาย ก่อนจะได้รับการพยักหน้าอนุญาต สองพี่น้องจึงก้าวออกมา เพื่อจูงมือของท่านลุงแปลกหน้าเข้าไปด้านใน
ชายหนุ่มเองก็มิได้ปฏิเสธต่อมือน้อยๆ ของสองพี่น้อง เขากลับเลือกที่จะกระชับแน่น และก้าวตามทั้งคู่ไป เพียงก้าวพ้นประตู คู่แฝด ก็เริ่มคุยจ้อจนเขาตอบคำถามแทบไม่ทัน
“ท่านน้าทั้งสาม เชิญขอรับ”
ต้วนอี้หลางเอ่ยขึ้น พร้อมผายมือให้แก่ผู้มาเยือน ชายทั้งสามเดินตามหมอชรา เข้าไปภายในโรงหมอ ซึ่งแยกส่วนกับเรือนพักด้านอย่างชัดเจน เด็กชายเลือกที่จะก้าวตามทั้งสามไปอย่างช้าๆ ซึ่งหมอชรานั้น ได้สอบถามอาการของคนป่วย ขณะที่เดินเข้าไปด้านใน
“พาเขาไปนอนลงบนเตียงนั้นก่อน อี้หลาง เจ้าช่วยยกหีบยาให้ตาหน่อย”
“ขอรับ”
ต้วนอี้หลาง เดินไปยังชั้นยาด้านหลัง ที่มีช่องเก็บยามากมาย ก่อนจะยกหีบยามาให้ผู้เป็นตา เมื่อส่งของที่ผู้เป็นตาต้องการเรียบร้อยแล้ว เด็กชายก็ขยับถอยห่างไปเล็กน้อย เพื่อไม่เป็นการกีดขวางผู้เป็นตา
การตรวจใช้เวลาเพียงครู่เดียว หมอชราก็หันกลับมาที่หลานชาย เพื่อให้เขากลับเข้าไปในเรือนก่อน จัดยาเสร็จจะตามเข้าไป แต่เด็กชายกลับยืนนิ่ง สายตาจับจ้องไปที่คนป่วย
เวลานี้ไอสังหารจากชายผู้นั้น ได้ถูกปลดปล่อยออกมากดทับ เสียจนเขารู้สึกได้ มือน้อยๆ กำแน่นเพื่อข่มกลั้นพลังในกาย เขาในตอนนี้ ไม่พร้อมนักที่จะรับมือใคร หรือจะลงมือต่อหน้าของผู้เป็นตาได้เช่นกัน เด็กชายดินกลับไปที่ชั้นจัดยา ก่อนจะกระตุกเชือกเส้นเล็กๆ สามครั้ง
“ท่านตามียาใดบ้างขอรับ ข้าจะช่วยจัดให้กับท่านน้าผู้นั้น”
เด็กชายยังคงไม่ละสายตา ไปจากคนป่วยและญาติ รอยยิ้มไร้เดียงสา มิได้เป็นที่ระแวดระวังของชายหนุ่มทั้งสาม แต่มันเต็มไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องเสียมากกว่า
“เช่นนั้นรอสักครู่ ตาจะเขียนใบสั่งยาให้ พวกเจ้ารอสักครู่นะ ข้าตาฝ้าฟางมากแล้ว เขียนได้ช้าหน่อย”
ชายชราลุกขึ้น เพื่อที่จะเดินไปหาหลานชาย ทว่าร่างแก่ชรานั้นจำต้องหยุดนิ่ง เมื่อคนป่วยที่นอนอยู่ พลันลุกขึ้นพร้อมช้อนสายตา มีเลศนัยมองมาที่เขา
โดยที่ชายทั้งสามไม่รู้เลยว่าตอนนี้ มือของเด็กชายเอง ก็มีเข็มเล่มยาว อยู่ในท่าเตรียมพร้อมลงมือแล้วเช่นกัน แววตาดั่งนักล่าฉายชัดไม่ปิดบัง จับจ้องไปที่คนทั้งสาม ที่กำลังปลดปล่อยไอสังหาร คุกคามผู้เป็นตา อยู่เตียงตรวจคนไข้
ภายในเรือนพักหลังโรงหมอ
เสียงกระดิ่งดังขึ้น เรียกให้อี้หรู ที่กำลังสนทนากับแขกของบิดา ลุกพรวดขึ้น วิ่งไปคว้าหน้าไม้บนชั้นวางมาถือไว้
“ท่านแม่มิว่าเกิดอะไรขึ้น อย่าได้ออกไปข้างนอกเป็นอันขาด เจ้าสองคนเช่นกันอย่าดื้อ”
หญิงกำชับคู่แฝด แม้จะรู้ดีว่าลูกๆ ไม่ใช่เด็กดื้อ แต่มันคือความเคยชิน ที่นางมักใช้กับสามแฝดมาโดยตลอด นับตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเป็นแม่ลูกสาม
“คุณหนูต้วน เจ้ารออยู่ที่นี่เถอะ ทางนั้นข้าจัดการเอง”
“แต่...”
“ท่านลุงเชิญข้ามาเพื่อคุ้มครองคนในบ้าน แค่มดแมลงไม่กี่ตัว ไม่คณามือข้าสักนิด”
“เช่นนั้นข้านำทางให้ท่านดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา”
ชายหนุ่มไม่อาจทัดทานใดๆ ได้อีก เพราะตอนนี้ร่างงาม ก้าวพรวดออกจากเรือนไปแล้ว ดื้อดึงทั้งแม่ทั้งลูก และน่าสนใจทั้งคู่ด้วย ร่างสูงก้าวเท้าตามนางไปอย่างกระชั้นชิด
“ไอ้เด็กผี!”
เสียงตวาดกร้าวดังออกมาจากห้องตรวจ ทำให้ร่างสูงเคลื่อนกายเพียงครู่เดียว ก็มาหยุดอยู่หน้าประตู หมับ! มือหนาคว้าต้นแขนของหญิงสาวเอาไว้ ก่อนที่นางจะเข้าไปด้าน นางรวดเร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ
“อาวุธไร้ดวงตา เจ้ารออยู่ที่นี่ หาที่กำบังไว้ก่อน”
ชายหนุ่มใช้มือแง้มประตู เพื่อดูสถานการณ์ด้านใน ภาพที่เห็นไม่ได้เหนือความคาดหมายเลยสักนิด ต้วนอี้หลาง แม้ไม่ยอมแสดงฝีมือแท้จริง ทว่ากลับสามารถทำให้คนร้ายทั้งสาม ยากจะเข้าถึงตัวของท่านหมอต้วนและตนเองได้
ภายในห้องตรวจ ต้วนอี้หลาง ถือไม้กวาดด้ามยาวเอาไว้ในมือ มือข้างหนึ่งกางออก กันร่างผู้เป็นตาเอาไว้ด้านหลัง ดวงตาคู่คมไม่ได้ละไปจากคู่ต่อสู้แม้แต่น้อย
เข็มที่เขาใช้เบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อพาผู้เป็นตาออกห่างคนพวกนั้น เขามิอาจใช้มันต่อหน้าท่านตาได้อีกแล้ว ดังนั้นตอนนี้อาวุธของเขา ที่พอจะทำให้ผู้เป็นตา ไม่เกิดความสงสัย คงมีเพียงไม้กวาดในมือเท่านั้น
ไม่ช้ามารดากับเจ้าสำนักเจียงก็คงมาถึง มารดาของเขาเตรียมการทุกอย่างเอาไว้ เผื่อว่าสักวันจะเกิดเรื่องขึ้น และมันเป็นอย่างที่คาดการณ์ คนพวกนั้นจะหยุดก็ต่อเมื่อสี่แม่ลูกตาย รุกไล่กันขนาดนี้ มารดาของเขาคงไม่คิดถอยอีกแล้วกระมัง
พี่ม่อเหลียว เราควรกลับบ้านกันได้แล้วนะขอรับ รถม้าและทุกอย่างสำหรับเดินทาง พร้อมแล้ว” ต้วนอี้หลาง เอ่ยกับว่าที่น้องเขย ด้วยรอยยิ้มกว้าง เขาได้คุยกับพ่อแม่ของชายหนุ่มแล้ว ว่าจะพากลับไปยังแคว้นจ้าว และทั้งสองคนก็ยินดี ที่จะตามเขากลับไป ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่วุ่นวายกับอำนาจเหล่านี้อีก “ขอรับ” ม่อเหลียวตอบรับอย่างยินดี โดยไม่คิดที่จะถามอะไรให้มาก เพราะถ้าคุณชายใหญ่พูดแบบนี้ นั่นหมายความว่าได้ตกลง กับพ่อแม่ของเขาดีแล้ว ส่วนเรื่องที่คุณชายใหญ่ ไปพบพ่อแม่ของเขาได้อย่างไร เขาไม่คิดถามเช่นกัน เพราะอย่างไรคุณชายก็ต้องเล่าสู่เขาฟังอยู่ดี “ทำความสะอาดซะ เราจะออกเดินทางกันแล้ว” ต้วนอี้หลางสั่งการกับคนของเขา ก่อนจะประคองน้องสาวละน้องชาย เพื่อที่จะออกจากที่นี่ “นายท่าน พวกข้าไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ” ตู้ฮั่น เอ่ยถามผู้เป็นนาย หนานเผิงหันไปมองหน้าบุตรชาย ก่อนจะมองไปที่ตู้ฮั่นอีกครั้ง “หากท่านอาตู้ไม่คิดเรื่องอำนาจ ข้าย่อมไม่ขัดข้องขอรับ” เป็นม่อเหลียวที่เอ่ยขึ้น ก่อนจะคลี่ยิ้มละมุนให้กับตู้ฮั่น ชายผู้ภักดีของครอบครัวบิดา
“ตกลง ท่านปู่ทั้งสอง พี่ม่อเหลียว ท่านลุงอู๋ เรากลับบ้านกันเถอะ” “ไม่ได้! ชู่เจากับม่อเหลียว คือคนของบ้านข้า” หนานเผิงปฏิเสธเสียงกร้าว “ไหนหลักฐาน หากไม่มี ก็อย่าได้พูดไปเรื่อย” แม้จะเป็นคำพูดที่ไม่ได้ดังเหมือนตะโกน ทว่ามันกลับทำให้คนฟังเริ่มหวาดหวั่นอยู่ภายในใจ “ข้าคือบิดา นี่คือหลักฐานชั้นดี” “หึๆ ข้านึกว่าน้องเขยของข้า คือบุตรชายท่านเสียอีก ท่านอาหนานเผิง” ต้วนอี้หลาง ชำเลืองมองไปด้านข้าง ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ ของชายผู้หนึ่งก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง แม้ว่าใบหน้าของเขาจะซูบตอบไปบ้าง จากการถูกจองจำ แต่ก็ยังคงดูสง่าเยี่ยงชาติกำเนิด “นายท่าน!” ตู้ฮั่น เรียกนายแท้จริงด้วยเสียงอันดัง เขาดวงตามืดบอดขนาดไหนกัน จึงจดจำนายของตนเองผิดไป “ขอบใจเจ้ามาตู้ฮั่น ที่ปกป้องบุตรชายข้ามาตลอด” หนานเผิงตัวจริง เอ่ยกับคนสนิท ที่ถูกล่อลวงจากคนชั่ว เขาเอ๊ะใจตั้งแต่วันที่ถูกกรีดเอาเลือดไปแล้ว เป็นอย่างนี้เอง บุตรชายของเขากลับมาแล้ว “พี่ใหญ่” ชู่เจาหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะดวงตาเป็นประกาย นั่นต่างหากน้องสาวขอ
ยี่สิบวันต่อมา ณ เมืองหลวงแคว้นหนาน ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ ม่อเหลียวยืนประจันหน้า กับคนที่อ้างตนเอง ว่าเป็นพ่อแม่ของเขา ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด เมื่อเวลานี้...สตรีที่เขาเรียกมารดามาร่วมเดือน กำลังเอามีสั้นจ่อที่ลำคอท่านลุงของเขาอยู่ “ข้าคือมารดาของเจ้า แต่ทุกอย่างเจ้ากลับฟังเขา เช่นนั้นเขาก็ไม่ควรที่จะอยู่ ขัดขวางเราแม่ลูกจริงไหม ม่อเหลียว” ชู่จิ่นเอ่ยกับบุตรชาย ด้วยรอยยิ้มอย่างคนจิตวิปลาส ทว่าสองลุงหลานที่สบตากัน กลับยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีตื่นกลัว แม้ว่าจะยืนอยู่ภายใต้คนอาวุธ “เจ้ามิใช่น้องสาวของข้า อย่าได้มาเรียกหลานชายข้าว่าลูก” ชู่เจาเอ่ยกับคนที่จ่อมีดสั้น ที่ลำคอของเขา ด้วยน้ำเสียงอันกร้าวกระด้าง สตรีผู้นี้เป็นตัวปลอม ต่อให้เขามิได้พบหน้าน้องสาวมานาน เขาก็รู้ได้ว่านี่มิใช่ชู่จิ่น “ท่านมิได้อยู่กับข้ามานาน รู้ได้อย่างไรว่าข้ามิใช่ชู่จิ่น” คนถามแม้จะใช้น้ำเสียงเป็นปกติ แต่ภายในใจนั้นกำลังตื่นกลัวอย่างที่สุด นางไม่เชื่อว่าตาแก่นี่ จะรู้ถึงตัวตนของคนที่ไม่พบหน้ากันมาหลายสิบปี “ข้าเลี้ยงนางมากับมือ เ
“ไยหน้าแดงเล่า ไม่สบายตรงไหนหรือไม่” “ไม่เจ้าค่ะ ข้าอยากอาบน้ำ” “รอข้ากลับมาเจ้าค่อยอาบ เจ้าหน้ามืดบ่อย ไม่ควรที่จะเดินไปไหนเลย” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวเอนกายลงนอน ตามการประคองของสามี ก่อนจะใบหน้าแดงก่ำประหนึ่งท้อสุก เมื่อสามีประทับจูบนางอย่างอ่อนโยน ต้วนอี้หลางดึงผ้าห่มคลุมกายให้ภรรยา ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เพื่อต้มโจ๊กให้ภรรยา “นายท่าน ท่านแม่ทัพเหนือมาขอพบขอรับ” “เขามาแล้วหรือ ให้ไปพบข้าที่ห้องครัว” ชายหนุ่มสั่งการก่อนจะก้าวตรงไปที่ห้องครัว โดยไม่สนมารยาทการเชื้อเชิญแขก “นายท่าน” ผู้ติดตามและบ่าวไพร่ที่กำลังง่วนอยู่ในห้องครัว ต่างเอ่ยเรียกขานผู้เป็นนาย ก่อนจะหลีกทางให้แก่ชายหนุ่ม ต้วนอี้หลาง เดินไปหยิบหาสิ่งของทั้งหมด มาวางอยู่ข้างๆ เตา เพื่อลงมือทำทุกขั้นตอนให้ลูกเมียด้วยตนเอง เช่นที่บิดาทำให้มารดา ในตอนที่นางตั้งครรภ์น้องชายคนเล็ก “ช่างเป็นพ่อบ้านที่รักลูกเมียยิ่งนัก” เป็นคำพูดของคนที่โผล่หน้าผ่านหน้าต่างเข้ามา ชะโงกมองว่าเจ้าบ้านกำลังทำสิ่งใดอยู่ “เหอะ! ข้ามาถึงตั้งนาน เจ้าเพิ่ง
หมับ! ทว่าในตอนที่นางถูกผลักดันให้ถอยออกไปหน้าเรือน จนเกือบจะพลาดตกลงบันได้หน้าเรือน ร่างงามก็ถูกรับเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที ด้วยอ้อมกอดอันคุ้นเคย ฉึก! และมันรวดเร็วจนผู้ที่รุกไล่ มิทันได้คาดคิดและตั้งรับ กลางอกของเขาถูกดาบใหญ่แทงทะลุ ก่อนที่ร่างของเขาจะเซถอยไปด้านหลัง เมื่อดาบในมือของผู้มาใหญ่ ถูกดึงออกจากร่างของเขา “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่” น้ำเสียงที่อ่อนโยนของสามี ทำให้หญิงสาวรุ้สึกอุ่นใจขึ้นมามากทีเดียว ก่อนที่นางจะซบใบหน้ากับอกของสามี ดวงตาที่หมุนวน ราวทุกอย่างกำลังกลับหัว ได้หลับลงอย่างวางใจ ต่อเจ้าของอ้อมแขนนี้ “เจ้า!” “ภรรยาข้า ใครให้สวะเยี่ยงเจ้ามาแตะต้อง!” ต้วนอี้หลาง เอ่ยกับคนที่กำลงัจะตาย ด้วยน้ำเสียงกร้าวกระด้าง แววตาที่ตวัดมองไปยังคนผู้นั้น ไร้ซึ่งคำว่าเมตตาฉายให้เห็น “นางไม่คู่ควรต่อตราพยัคฆ์หมอกสักนิด” ชายสวมหน้ากากเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน แต่กระนั้นเขาก็ยังไร้โอกาสได้ครอบครอง สิ่งที่จะเบิกเส้นทางให้เขา กลับสู่อำนาจ เขายอมแม้แต่จะคบค้า กับทายาทจากราชวงศ์ก่อน เพื่อล้มล้างน้องชาย แล้วกล
ชายวัยกลางคน ที่ยืนสบจากับชายหนุ่มอ่อนวัยกว่า หรี่ตามองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกใจ เพราะชายหนุ่มทำเหมือนรู้จักเขาอย่างไรอย่างนั้น “ราชบุตรเขยฝีมือไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” ชายต่างแคว้นเอ่ยกับคนตรงหน้า เขาแค่ทดสอบว่าอีกฝ่าย จะไหวตัวทันหรือไม่ผลคือ ทั้งรวดเร็วและฉับไว ทีหน้าแปลกคือการหลบหลีกของชายหนุ่ม ช่างเหมือนคนที่เขาคุ้นเคย “ยินที่ดีได้พบกันอีกครั้ง” “หือ!”ชายวัยกลางคนทำเสียงในลำคอ ก่อนจะพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ ทั้งที่ยังงงอยู่ว่าเคยพบกับชายหนุ่มตอนไหน แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ขบคิด ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเชร้ง! ชายวัยกลางคนถึงกับดวงตาเบิกกว้าง การโต้ตอบนนี้ มันช่างเหมือนกันกับศิษย์พี่ของเขาเลย ปึก! ฝ่ามือหน่ากระแทกเข้าที่กลางอกของชายจากแคว้นฉิน ทำให้ร่างนั้นกระเด็นไปไกลโครม! โต๊ะที่อยู่ข้างหลังหักแยกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อร่างสูงใหญ่ตกกระทบ“ความเผลอเลอ จะทำให้เจ้าพลาด”ต้วนอี้หลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ชายติที่แล้วเขาวางใจคนผู้นี้เป็นที่สุด ไหนเลยวันนี้จึงพบอีกฝ่าย มาอยู่ในฝ่ายตรงข้ามได้ ไรซึ่งฉนวดเหตุ นอกจากว่าที่ผ่านมา ศิษย์ผ







