สามีกำลังเปลือยกาย แสดงท่าของคนทำเรื่องอย่างนั้น โดยน้องชายของเธออยู่ในท่าของคนรับ สายตาทั้งคู่มองมาที่เธอ ด้วยความขุ่นเคือง มากกว่าจะตกใจ
“ทำไม...” เป็นเพียงคำเดียว ที่หญิงสาวสามารถจะเอ่ยออกมาได้
“คุณไม่ควรเข้ามา”
น้ำเสียงเย็นชาของสามี ช่างบาดลึกหัวใจของหญิงสาวเหลือเกิน เพราะก่อนหน้านั้นเขาเอาอกเอาใจเธอ จนไม่มีคำว่าหวาดระแวง หึๆ ถึงว่าเขาไม่สนใจผู้หญิงคนไหนเลย เพราะเขาไม่เคยชื่นชอบในผู้หญิงนี่เอง...
“ใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปจากที่นี่ซะ! ใบหย่าฉันจะให้เลขาไปส่งให้คุณที่บ้านสกุลโจว”
เมื่อไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก ภาพมันตำตาเสียขนาดนี้ ก็คงมีเพียงการเลิกราเท่านั้น ที่เธอจะคิดได้ในตอนนี้ เพราะไม่ว่ายังไงเธอกับเขา คงกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้
ถ้าคนที่นอนกับเขาตอนนี้เป็นผู้หญิง มันยังพอตกลงกันได้ แต่นี่คือน้องชาย ชัดเจนว่าใจเขากายเขาไม่ได้ชื่นชอบผู้หญิง รั้งไปจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา
ร่างสูงใหญ่ ขยับถอยออกจากร่างของหยางจิ้ง ก่อนจะคว้ากางเกงมาสวมลวกๆ แล้วรับเสื้อมาจากน้องชายภรรยา ก่อนที่เขาจะหันไปเชยคางของหยางจิ้ง ให้เงยขึ้นรับจูบของเขา
มันคือคำยืนยัน และเย้ยหยันเจ้าของบ้าน ว่าสามีที่เธอรักแท้จริงมีใครอยู่ในใจมาโดยตลอด เพราะเงินหรือต้องการให้เธอเป็นฉากบังหน้ากันแน่ ทำไมพวกเขาจึงใจร้ายกับเธอได้ขนาดนี้
“แต่งตัว”
โจวฮ่าวบอกกับคนรัก ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาต้องจัดการกับภรรยาให้เสร็จสิ้น ก่อนที่ทุกอย่างจะพัง เขาใช้เวลามาหลายปี กว่าจะก้าวมาถึงวันนี้ มันจะมาพัง เพราะคนอย่างหยางอี้หรูไม่ได้เป็นอันขาด
หลังจากสวมเสื้อเรียบร้อย ร่างสูงได้ก้าวเข้าหาภรรยา ก่อนจะกระชากเธอให้เซเข้าปะทะกับแผ่นอกกว้าง ความรู้สึกมันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วจริงๆ เธอเธอขยะแขยงกับเนื้อตัวของเขา จนแทบจะอาเจียนออกมาอยู่รอมร่อ
“คุณคิดว่าผมจะปล่อย ให้มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ หึๆ ในเมื่อคุณรู้ทุกอย่างแล้ว ผมก็ไม่จำเป็นต้องเก็บคุณไว้ทำลายพวกเรา”
น้ำเสียงเย็นเยียบ ทำให้หญิงสาวรู้ตัวในทันที ว่าถ้าเธอยังอยู่ตรงนี้ต่อ สิ่งที่ไม่คาดคิดต้องเกิดขึ้น เธอต้องลงไปในงานเลี้ยง เพื่อเปิดโปงเรื่องนี้ ก่อนที่ตัวเธอจะไม่มีโอกาสนั้น ทว่า...
ปึก! หมัดหนักๆ ชกเข้าที่ท้องของเธออย่างแรง จนหญิงสาวตัวงอทรุดลงนั่งอยู่กับพื้น หญิงสาวรู้แล้วว่าสามีกับน้องชาย คิดที่จะทำอะไร...
“ทำอะไรกันอยู่ พาหล่อนออกไป”
อีกเสียงที่คุ้นเคย ดังขึ้นจากด้านหน้าประตู แม่ของเธอเอง ทำไม...เธอผิดอะไร!
“แม่...”
หญิงสาวหันกลับไปหาคนเป็นแม่ ที่ยืนมองเธอด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เธอทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว จากฐานะที่ธรรมดา กลายมาเป็นมหาเศรษฐีในเวลาไม่กี่ปี โดยเป็นเธอที่ทุ่มเททุกช่วงเวลา เพื่อสร้างมันให้สำเร็จ แล้วทำไม...แม่แท้ๆของเธอ ถึงได้ไม่คิดปกป้องเธอเลยล่ะ
“ใครใช้ให้หล่อนเก่งเกินไปอี้หรู และที่สำคัญ หล่อนไม่เคยคิดที่จะหยิบยื่นอะไรให้น้องชายเลย เขาอาจไม่ได้ฉลาดเท่าหล่อน แต่เขาก็คือทายาท ที่จะสืบทอดสกุลหยาง ทุกอย่างมันควรเป็นเขาที่อยู่เบื้องหน้า หล่อนเป็นผู้หญิง ไม่ควรอวดตัวให้ใครรู้เห็น หล่อนควรผลักดันหยางจิ้งอยู่ข้างหลัง มันจะดูดีกว่านี้รู้ไหม”
หญิงสาวไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แม่ของเธอคิดแบบนี้จริงๆ เหรอ อี้หรูมองเลยไปด้านหลังของแม่ ก็สบเข้ากับดวงตาเย็นชาของคนเป็นพ่อ หญิงสาวหัวเราะทั้งน้ำตา เธอเป็นแค่มดงานตัวหนึ่งเท่านั้น
ถ้าวันนี้เธอไม่มาเห็นความลับ ของสามีและน้องชาย เธอคงยังมีโอกาสหายใจต่ออีกหน่อยสินะ! หึๆ ช่างน่าสมเพชต่อความรักที่เธอมีให้คนในบ้านหลังนี้
“รีบจัดการเถอะ พ่อกับแม่จะลงไปรับหน้าแขกในงานรอ ว๊าย!”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบ คุณนายหยางก็ต้องอุทานออกมา เมื่อลูกสาวคนโต ถลันลุกขึ้นวิ่งหนีออกจากห้องไป
อี้หรูวิ่งลงไปยังบันไดส่วนหลังคฤหาสน์ เพื่อที่จะไม่ต้องถูกใครดักหน้าดักหลัง เพราะเธอไม่รู้ว่าในงานเลี้ยงตอนนี้ มีใครบ้างที่ยืนอยู่ข้างเธอ หรือทอดทิ้งเธอไปอยู่ฝั่งสามี
ทว่าพอลงมาถึงข้างล่าง เธอกลับไม่สามารถไปที่รถได้ เพราะคนของสามียืนอยู่ หญิงสาวจำต้องวิ่งเข้าไปในสวนผลไม้ ที่อยู่ด้านหลังแทน เพื่อไปยังคฤหาสน์ของเพื่อน ที่อยู่ห่างออกไปอีกพอสมควร
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น น้ำตาก็พลันไหลอาบแก้มอีกครั้ง หญิงสาวใช้หลังมือปาดน้ำตา โดยที่เท้าของเธอยังคงไม่ได้หยุดลงแม้แต่น้อย
เสียงหัวเราะราวคนเป็นโรคจิต ไล่หลังมาไม่ต่างจากวิญญาณร้าย ที่ติดตามคราชีวิตของเธอ ชุดที่เคยสวยงามในตอนนี้ ถูกฉีกจนขาดสูงขึ้นมาถึงต้นขา เพื่อให้สะดวกต่อการวิ่งของเธอ ทว่ามันก็ยังไม่อาจเป็นไปอย่างที่ใจคิดอยู่ดี
ปึก! ตุบ! ร่างบอบบาง ล้มลงเข่ากระแทกกับพื้นอย่างจัง เธอไม่ใช่คนไร้ฝีมือในการต่อสู้ เพราะเธอคือนักธุรกิจชั้นแนวหน้า จึงต้องฝึกฝนเอาไว้บ้าง แต่คืนนี้เธอดื่มไปด้วย และไว้ใจว่าที่นี่มีเพียงคนในครอบครัว จึงไม่ได้คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หญิงสาวหันกลับไปมองทิศทางของเสียง ที่เริ่มใกล้เข้ามาทุกขณะ ก่อนจะหันกลับไปเส้นทาง ที่จะมุ่งหน้าไปที่ดินของเพื่อน เธอหวังไว้ว่าจ้าวตงจะอยู่ เพราะเขาเป็นคนที่รักสันโดษ ไม่ค่อยจะยุ่งกับใคร ยกเว้นเธอที่คบหากันเป็นเพื่อนมานานปี
จนวันที่เธอมีฐานะมากพอ จะซื้อหาที่ดินสักแปลง เขาจึงเสนอให้มาซื้ออยู่ใกล้ๆ กัน แต่เอาเข้าจริง ก็ห่างกันอยู่สองสามกิโลเมตรเลยทีเดียว
ซึ่งในวันนี้เธอเอง ก็ได้ชวนเขาไปร่วมงาน แต่เขาบอกว่ามีธุระต้องทำจึงไม่ได้ไป หญิงสาวกัดฟันแน่น เพื่อที่จะลุกขึ้นวิ่งต่อไป อีกไม่ไกลแล้ว ทว่า...
“ทำไมต้องหนี”
น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้น อยู่เบื้องหน้าของเธอ ทำให้ตลอดร่างของหญิงสาวหนาวสะท้านไปจนถึงกระดูก สามีทำไมถึงมายืนอยู่ข้างหน้าของเธอได้ แล้วเสียงที่ไล่หลังมาล่ะ เป็นใครกัน!
“พี่ไม่ควรทำอะไรให้ยุ่งยาก”
ความสงสัยของหญิงสาวได้สิ้นสุดลง เมื่อน้องชายเดินเข้ามา พร้อมสาดแสงไฟฉายกระทบใบหน้าของเธอ หญิงสาวยกมือขึ้นบังแสงจ้า ที่แยงตาเธอจนมันพร่ามัว
“นายต้องการเขา ฉันก็ยกให้แล้วไง นายจะเอาอะไรกับฉันอีกหยางจิ้ง”
“ทุกอย่าง”
เป็นคำตอบที่ห้วนสั้น ทว่าชัดเจนเหลือเกิน คนไม่สร้างทำเพียงนั่งรอรับ ส่วนเธอคนที่สร้างจนเลือดตาแทบกระเด็น สุดท้ายคือไม่เหลือแม้แต่ชีวิต
อึก! อี้หรูสะดุ้งสุดตัว เมื่อมือของสามีรวบกำลำคอจากด้านหลัง แรงบีบที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เธอรู้ว่าอีกไม่ช้า ความตายก็ต้องมาถึง ฉึก! ฉึก! ฉึก! มีดพกขนาดพอดีมือ แทงย้ำๆ ใต้ราวนมสองข้างสลับไปมา แววตาที่น้องชายมองเธอ มันไม่มีคำว่าเห็นใจ หรือสายสัมพันธ์คำว่าครอบครัวเลยแม้แต่น้อย
เลือดสีแดงไหลออกจากมุมปาก ที่ตอนนี้ได้เหยียดยิ้มออกอย่างเย้ยหยัน คนโง่ไม่ว่าจะเวลาผ่านไปแค่ไหน ก็ยังไม่ฉลาดขึ้นอยู่ดี ธุรกิจที่เธอสร้าง มันไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ แล้วประสบผลสำเร็จได้หรอกนะ ขาดเธอไปไม่ช้ามันก็พังลง
เธอไม่ได้โง่ ขนาดที่จะบอกทุกอย่างกับทุกคน ทุกแผนงานเธอมักจะทำให้มันมีจุดบอด สำหรับป้องกันการลอกเลียนแบบ ส่วนชิ้นงานของจริง มันจะหายไปพร้อมลมหายใจของเธอ เพราะที่...ที่เก็บทุกอย่างได้ดี คือสมองที่เป็นอัจฉริยะของเธอ ที่คนทั้งครอบครัวริษยา…
“น่าเสียดาย ที่ฉันไม่มีโอกาสได้เห็น ความพ่ายแพ้ที่แท้จริงของพวกแก”
ดวงตาที่พร่ามัวค่อยๆ ปิดลงพร้อมลมหายใจที่ปลิดปลิวของหญิงสาว ทว่ามันกลายเป็นความหวาดหวั่นของคนลงมือ พวกเขาลืมไปได้ยังไง ว่าคนฉลาดแบบหยางอี้หรู จะปล่อยให้สิ่งที่เธอสร้าง ตกไปอยู่ในมือคนอื่นได้ง่ายๆ
“ถ้าข้าตอบรับข้อเสนอ ชีวิตของพวกเขา จะยังรอดอยู่หรือไม่”ใช้เวลาอยู่พอสมควร กว่าที่ชูหลี่จะเอ่ยออกมา พร้อมกับเงยหน้าสบตากับคนที่สังหารน้องชายของเขา คนก็ต่ายไปแล้ว จะให้เขาลากคนที่เหลืออยู่ตายตามไปได้อย่างไร“แน่นอน...แต่ข้าก็มีข้อแม้เช่นกัน”แม่ทัพหนุ่มตอบรับ พร้อมกับมีข้อแลกเปลี่ยนสำหรับคนที่เหลือ เขาต้อวรัดกุมในหลายๆ เรื่อง ส่วนคนพวกนี้จะทำลายขีดจำกัดนั้นหรือไม่ มิใช่เขาเป็นคนกำหนด แต่เป็นตัวของคนเหล่านี้เองทั้งสิ้น ที่จะตัดสินใจเองว่าจะทำอย่างไรกับชีวิต ที่เขามอบให้ในครั้งนี้“อะไร!”“หายไปจากแดนเหนือเสีย เพราะถ้าเรื่องที่ข้าให้เจ้าช่วยทำ ถูกแพร่งพรายออกไป เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าต้องทำเช่นไร”“ได้! ข้าจะให้พวกเขาไปจากที่นี่ ขอแค่ท่านรักษาสัญญา”“ข้าเป็นคนที่รักษาคำพูดเสมอ และมิใช่แค่ไปจากที่นี่ แต่ปากของพวกเจ้า ต้องปิดมันให้สนิท ทุกครั้งที่คิดจะหลุดปาก ถึงสิ่งใดก้ตามแต่ ให้คิดว่าลมหายใจของพวกเจ้าเข้าไว้ มันพร้อมที่จะหลุดลอยได้ในทันที ข้าไม่ใช่คนที่แค่เพียงข่มขู่ เพราะปกติแล้วข้าไม่ชอบการเสียเวลามาเจรจา มักลงมือทำในทันที”น้ำเสียงเย็นเยียบของแม่ทัพหนุ่ม เป็นอันเข้าใจดีสำหรับคนทั้งหก ว่า
“ข้าไม่รู้นี่ขอรับ พี่ใหญ่! เราจะทำอย่างไรกันดี”ชูถงถามพี่ชายด้วยอาการแตกตื่น ความพยายามที่จะเป็นคนสุขุมของเขา มันถูกทำลายนับตั้งแต่รู้จากปากพี่ชาย ว่าแม่ทัพแดนตะวันออกนั้น มิต่างจากมัจจุราช ดูได้จากอาการวาดกลัวของพี่ชาย เขาก็ไม่คู่ควรที่จะต่อกรกับชายผู้นั้นแล้ว“จะให้ทำอะไรได้ จะเดินหน้าหรือถอยหลังล้วนตายทั้งสิ้น ก็คงต้องลุยให้สุดกำลังเท่านั้น”ไม่มีคำว่าขวัญกำลังใจให้แก่กันเลย ระหว่างสองพี่น้อง เพราะตอนนี้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังยิ่งนัก ตอนนี้อยู่บนเขาทั้งเป็นยามค่ำคืน ยากนักที่จะขอกำลังสนับสนุนได้ทัน“ไม่แน่นะขอรับ เจ้าคนฉินนั่น อาจได้ตัวขององค์หญิงแล้ว หากเขากล้าลงมือ นางจะต้องตาย เฮ้ย! เจ้าได้ยินไหม! ว่าคนของข้าได้ตัวนางแล้ว ถ้าเจ้าคิดจะ...อึก”ยังไม่ทันจบประโยคใดๆ ลำคอของชูถงกลับมีเลือดสดๆ ฉีดพุ่งออกมาราวห่าฝน ก่อนที่ร่างของเขาจะล้มลง กระตุกถี่ๆ แล้วแน่นิ่งไป ดวงตาเขายังคงเบิกกว้าง ด้วยสิ้นใจอย่างกะทันหัน เลือดสีแดงสดค่อยๆ แผ่กระจายออกรอบกาย เปลี่ยนหิมะขาวโพลนให้เป็นสีเลือดแดงฉาน“ไม่!! เจ้าโง่! ใครให้เจ้าทิ้งพี่ไปแบบนี้”ชูหลี่รีบคุกเข่าลงกับพื้นเย็นเยียบ ประคองร่างน้องชายมาสวมกอด
“นี่ขอรับ เรายังมีอีกหลายไห เถ้าแก่มิต้องอดออมไปขอรับ ดื่มได้เต็มที่เลยขอรับ”ชายหนุ่มยกไหสุรารินให้แก่ชายสูงวัย ก่อนจะรินให้ตนเองและเหล่าสหาย รอยยิ้มที่ดูธรรมดาของชายหนุ่มทั้งห้า ไม่ได้เป็นที่ผิดสังเกตใดเลย สำหรับฉือจ้าวหนาน ที่เริ่มจะเรียกร้องให้รินสุราถี่ขึ้น“เนื้อกระต่ายป่า สักหน่อยไหมขอรับ”ชายหนุ่มอีกคนยื่นเนื้อกระต่าย ที่ย่างจนหอมกรุ่นมาให้แก่เจ้าของจุดพัก ฉือจ้าวหนานมีหรือจะปฏิเสธ เขารับขากระต่ายมากัดกิน สลับกับยกสุราหวานดื่มอย่างสำราญนานแค่ไหนแล้ว ที่เขาไม่ได้ดื่มแบบนี้ ชีวิตที่ต้องอยู่อย่างอดสู เพื่อสร้างผลงานให้เป็นที่เข้าตาผุ้มีอำนาจ เขาต้องอยู่เยี่ยงคนไร้ค่า ในสายตาของเหล่าลูกค้า ที่สัญจรผ่ามาพักแรมเวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ชายหนุ่มทั้งห้า เริ่มที่จะเอนกายลงนอนกับพื้นอันเย็นเยียบ ด้วยฤทธิ์สุรา มันทำให้พวกเขารู้สึกอบอุ่น จนไม่รู้สึกว่าพื้นใต้ร่างมันหนาวเย็น และตอนนี้พวกเขากำลังละเลยต่อหน้าที่ ปล่อยให้ความเมามายเข้าครอบงำทว่าฉือจ้าวหนาน กลับทำเพียงยกยิ้มอย่างมีความนัย เขายังคงดื่มสุราอีกหลายถ้วย ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ไม่หลังงองุ้มเหมือนที่ผ่านมา ดวงตาฉายแววสาแก่ใ
จุดพัก ณ ลานหิน ฟ้ามืดลงนานแล้ว แขกที่มาพักต่างพากันแยกย้ายกันไปนอน คงมีเพียงบ่าวติดตาม ที่อยู่เฝ้ายามกันสี่ห้าคนเท่านั้น มีเพียงเสียงฟื้นแตกดังเปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เป็นระยะ ดังแทรกความเงียบให้พอได้ยิน ทุกอย่างบนลานที่มีกระโจมตั้ง ล้วนตกอยู่ในสายตาของสองแม่ลูก ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินกลับไปส่วนของห้องพักแขกใช้เวลาเพียงเล็กน้อย สองแม่ลูกก็เดินทางถึงที่หมาย ทั้งคู่หันสบตากัน แล้วยิ้มอย่างพอใจ พวกเขาไม่สนใจว่าเชียนจิ้งอี้จะหายไปไหน ขอแค่คนที่พักอยู่ในห้องทั้งหมด เป็นไปตามแผนการที่วางเอาไว้เท่านั้น ก็เพียงพอแล้ว เพื่อความแน่ใจ ฉือจ้าวหนานได้เดินไปเอาหู แนบกับประตูห้องแรกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปยังอีกห้องด้วยฝีเท้าที่เบากริบ เมื่อไร้เสียงใดๆ เล้ดลอดออกมา เขาได้หันมาส่งยิ้มกว้างให้แก่มารดา เพราะดุเหมือนว่าแผนลวงของพวกเขา สำเร็จไปด้วยดีเชียนจิ้งอี้ก็แค่เหยื่อล่อ นางจะอยู่หรือตายเขาไม่คิดสนใจ ขอแค่เบี่ยงเบนความสนใจของแขกที่มาพัก ให้ลดความมระแวดระวังในตัวเขา กับมารดาไปได้เท่านั้นเป็นพอ ด้วยนิสัยของนาง คงทำเรื่องให้วุ่นวายตามวิสัย ป่านนี้คงถูกสังหารไปแล้วส่วนแขกที่มาพัก คงมั่นใจ
“เจ้าคิดว่าการข่มขู่ข้า มันจะได้ผลอย่างนั้นรึ! เจ้าคงลืมไปแล้วว่ามาแค่คนเดียว” อย่างไรเสีย...เขาก็คือหัวหน้าหน่วยลานตระเวน จะมาโง่เง้าให้คนแปลกหน้าลูบคมได้อย่างไร แม้ตำแหน่งของเขา จะได้มาเพราะอำนาจพี่ชาย แล้วมันอย่าไงรเล่า ยังไงเขาก็คือผู้นำ ที่จะไม่มีวันหลงกล ให้กับแผนการล่อลวง อันตื้นเขินนี้เป็นอันขาด รอให้พี่ชายเขามาถึง เจ้าคนโอหังนี้จะได้รู้ ว่าไม่ควรยุ่งกับเขา “อย่าได้เชื่อแค่ตาเห็น เพราะบางครั้ง...มันก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยออกมา ด้วยน้ำเสียงเนิบช้า เพราะไม่ว่าเขาจะรีบลงมือไปแค่ไหน เขาก็ต้องรอผู้มาสบทบของคนทั้งหกอยู่ดี สุ้สร้างความตื่นตระหนกให้อีกสักหน่อย เผื่อได้อะไรเพิ่มเติม จะได้ง่ายต่องานที่รออยู่เบื้องหน้า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”ชายผู้นั้นกวาดสายตาเลิ่กลัก มองไปรอบๆ ซึ่งมีเพียงความมืดและเงียบสงัดเท่านั้น ที่เป็นคำตอบในสายตาตอนนี้ แม้แต่เสียบงลมหายใจอื่นใด ยังไม่มีเล็ดลอดให้ได้ยิน “คิดว่าอย่างไรเล่า เห็นเจ้าเป็นคนชอบสังเกตมิใช่หรือ ไม่อย่างนั้นจะจดจำได้อย่างไร ว่าใครหน้าตาเหมือนไม่เหมือนกัน” แม่ทัพหนุ่ม
“โกหก! หากเจ้าเป็นเพียงผู้ผ่านทาง ไยต้องมาอยู่ตรงนี้ จุดพักมีไยไม่เข้าพัก”ชายผู้นั้นเอ่ยออกมาเสียงกร้าว นี่มันมิใช่เวลาที่นักเดินทาง จะออกมาเดินเสียหน่อย ช่างโกหกได้ไม่เนียนเลยจริงๆ“มีข้อกำหนดด้วยหรือ ว่าการเดินทางต้องพักตามเวลา”แม่ทัพหนุ่มแค่กำลังข่มขวัยคู่ต่อสู้ ด้วยการสนทนาที่เย็นเยียบ แค่เสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติของชายผู้นั้น และท่าทางจับด้ามอาวุธเสียจรเส้นเลือดปูดโปนนั่นอีก บอกได้ชัดว่ากำลังตื่นกลัว“อย่ามาโยกโย้ เจ้าต้องการสิ่งใดก็ว่ามา”“ได้สิ! จริงๆ แล้ว ข้าแค่อยากมาถามหาคนเท่านั้น ได้ยินว่าพวกเจ้าเคยพบเห็นคนผู้นั้น”แม่ทัพหนุ่มแสยะยิ้มเหี้ยม เขารอแค่คำตอบว่าเคยเห็นหรือไม่เท่านั้น แม้จะรู้อยู่แล้วว่าคนพวกนี้ เคยจับตามองน้องสาวของเขา แค่ความคิดของพวกมัน ก็ถือว่าล่วงเกินยัยตัวแสบของเขาไปแล้ว ยากนักที่เขาจะอภัยให้“ใครกัน! ที่นี่เมืองหน้าด่าน ผู้คนเข้าออกมากมาย ข้าจะไปจดจำหมดได้อย่างไรกัน”ชายที่เป็นหัวหน้า ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เริ่มรนราน เพราะหากคนที่อีกฝ่ายหมายถึง หญิงสาวที่พวกเขาเพิ่งพูดถึงไป ย่อมหมายความว่าชายแปลกหน้า ต้องเป็นหนึ่งในสามแฝดอย่างแน่นอน และนั่นเขาต้องเดา