สามีกำลังเปลือยกาย แสดงท่าของคนทำเรื่องอย่างนั้น โดยน้องชายของเธออยู่ในท่าของคนรับ สายตาทั้งคู่มองมาที่เธอ ด้วยความขุ่นเคือง มากกว่าจะตกใจ
“ทำไม...” เป็นเพียงคำเดียว ที่หญิงสาวสามารถจะเอ่ยออกมาได้
“คุณไม่ควรเข้ามา”
น้ำเสียงเย็นชาของสามี ช่างบาดลึกหัวใจของหญิงสาวเหลือเกิน เพราะก่อนหน้านั้นเขาเอาอกเอาใจเธอ จนไม่มีคำว่าหวาดระแวง หึๆ ถึงว่าเขาไม่สนใจผู้หญิงคนไหนเลย เพราะเขาไม่เคยชื่นชอบในผู้หญิงนี่เอง...
“ใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปจากที่นี่ซะ! ใบหย่าฉันจะให้เลขาไปส่งให้คุณที่บ้านสกุลโจว”
เมื่อไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก ภาพมันตำตาเสียขนาดนี้ ก็คงมีเพียงการเลิกราเท่านั้น ที่เธอจะคิดได้ในตอนนี้ เพราะไม่ว่ายังไงเธอกับเขา คงกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้
ถ้าคนที่นอนกับเขาตอนนี้เป็นผู้หญิง มันยังพอตกลงกันได้ แต่นี่คือน้องชาย ชัดเจนว่าใจเขากายเขาไม่ได้ชื่นชอบผู้หญิง รั้งไปจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา
ร่างสูงใหญ่ ขยับถอยออกจากร่างของหยางจิ้ง ก่อนจะคว้ากางเกงมาสวมลวกๆ แล้วรับเสื้อมาจากน้องชายภรรยา ก่อนที่เขาจะหันไปเชยคางของหยางจิ้ง ให้เงยขึ้นรับจูบของเขา
มันคือคำยืนยัน และเย้ยหยันเจ้าของบ้าน ว่าสามีที่เธอรักแท้จริงมีใครอยู่ในใจมาโดยตลอด เพราะเงินหรือต้องการให้เธอเป็นฉากบังหน้ากันแน่ ทำไมพวกเขาจึงใจร้ายกับเธอได้ขนาดนี้
“แต่งตัว”
โจวฮ่าวบอกกับคนรัก ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาต้องจัดการกับภรรยาให้เสร็จสิ้น ก่อนที่ทุกอย่างจะพัง เขาใช้เวลามาหลายปี กว่าจะก้าวมาถึงวันนี้ มันจะมาพัง เพราะคนอย่างหยางอี้หรูไม่ได้เป็นอันขาด
หลังจากสวมเสื้อเรียบร้อย ร่างสูงได้ก้าวเข้าหาภรรยา ก่อนจะกระชากเธอให้เซเข้าปะทะกับแผ่นอกกว้าง ความรู้สึกมันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วจริงๆ เธอเธอขยะแขยงกับเนื้อตัวของเขา จนแทบจะอาเจียนออกมาอยู่รอมร่อ
“คุณคิดว่าผมจะปล่อย ให้มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ หึๆ ในเมื่อคุณรู้ทุกอย่างแล้ว ผมก็ไม่จำเป็นต้องเก็บคุณไว้ทำลายพวกเรา”
น้ำเสียงเย็นเยียบ ทำให้หญิงสาวรู้ตัวในทันที ว่าถ้าเธอยังอยู่ตรงนี้ต่อ สิ่งที่ไม่คาดคิดต้องเกิดขึ้น เธอต้องลงไปในงานเลี้ยง เพื่อเปิดโปงเรื่องนี้ ก่อนที่ตัวเธอจะไม่มีโอกาสนั้น ทว่า...
ปึก! หมัดหนักๆ ชกเข้าที่ท้องของเธออย่างแรง จนหญิงสาวตัวงอทรุดลงนั่งอยู่กับพื้น หญิงสาวรู้แล้วว่าสามีกับน้องชาย คิดที่จะทำอะไร...
“ทำอะไรกันอยู่ พาหล่อนออกไป”
อีกเสียงที่คุ้นเคย ดังขึ้นจากด้านหน้าประตู แม่ของเธอเอง ทำไม...เธอผิดอะไร!
“แม่...”
หญิงสาวหันกลับไปหาคนเป็นแม่ ที่ยืนมองเธอด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เธอทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว จากฐานะที่ธรรมดา กลายมาเป็นมหาเศรษฐีในเวลาไม่กี่ปี โดยเป็นเธอที่ทุ่มเททุกช่วงเวลา เพื่อสร้างมันให้สำเร็จ แล้วทำไม...แม่แท้ๆของเธอ ถึงได้ไม่คิดปกป้องเธอเลยล่ะ
“ใครใช้ให้หล่อนเก่งเกินไปอี้หรู และที่สำคัญ หล่อนไม่เคยคิดที่จะหยิบยื่นอะไรให้น้องชายเลย เขาอาจไม่ได้ฉลาดเท่าหล่อน แต่เขาก็คือทายาท ที่จะสืบทอดสกุลหยาง ทุกอย่างมันควรเป็นเขาที่อยู่เบื้องหน้า หล่อนเป็นผู้หญิง ไม่ควรอวดตัวให้ใครรู้เห็น หล่อนควรผลักดันหยางจิ้งอยู่ข้างหลัง มันจะดูดีกว่านี้รู้ไหม”
หญิงสาวไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แม่ของเธอคิดแบบนี้จริงๆ เหรอ อี้หรูมองเลยไปด้านหลังของแม่ ก็สบเข้ากับดวงตาเย็นชาของคนเป็นพ่อ หญิงสาวหัวเราะทั้งน้ำตา เธอเป็นแค่มดงานตัวหนึ่งเท่านั้น
ถ้าวันนี้เธอไม่มาเห็นความลับ ของสามีและน้องชาย เธอคงยังมีโอกาสหายใจต่ออีกหน่อยสินะ! หึๆ ช่างน่าสมเพชต่อความรักที่เธอมีให้คนในบ้านหลังนี้
“รีบจัดการเถอะ พ่อกับแม่จะลงไปรับหน้าแขกในงานรอ ว๊าย!”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบ คุณนายหยางก็ต้องอุทานออกมา เมื่อลูกสาวคนโต ถลันลุกขึ้นวิ่งหนีออกจากห้องไป
อี้หรูวิ่งลงไปยังบันไดส่วนหลังคฤหาสน์ เพื่อที่จะไม่ต้องถูกใครดักหน้าดักหลัง เพราะเธอไม่รู้ว่าในงานเลี้ยงตอนนี้ มีใครบ้างที่ยืนอยู่ข้างเธอ หรือทอดทิ้งเธอไปอยู่ฝั่งสามี
ทว่าพอลงมาถึงข้างล่าง เธอกลับไม่สามารถไปที่รถได้ เพราะคนของสามียืนอยู่ หญิงสาวจำต้องวิ่งเข้าไปในสวนผลไม้ ที่อยู่ด้านหลังแทน เพื่อไปยังคฤหาสน์ของเพื่อน ที่อยู่ห่างออกไปอีกพอสมควร
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น น้ำตาก็พลันไหลอาบแก้มอีกครั้ง หญิงสาวใช้หลังมือปาดน้ำตา โดยที่เท้าของเธอยังคงไม่ได้หยุดลงแม้แต่น้อย
เสียงหัวเราะราวคนเป็นโรคจิต ไล่หลังมาไม่ต่างจากวิญญาณร้าย ที่ติดตามคราชีวิตของเธอ ชุดที่เคยสวยงามในตอนนี้ ถูกฉีกจนขาดสูงขึ้นมาถึงต้นขา เพื่อให้สะดวกต่อการวิ่งของเธอ ทว่ามันก็ยังไม่อาจเป็นไปอย่างที่ใจคิดอยู่ดี
ปึก! ตุบ! ร่างบอบบาง ล้มลงเข่ากระแทกกับพื้นอย่างจัง เธอไม่ใช่คนไร้ฝีมือในการต่อสู้ เพราะเธอคือนักธุรกิจชั้นแนวหน้า จึงต้องฝึกฝนเอาไว้บ้าง แต่คืนนี้เธอดื่มไปด้วย และไว้ใจว่าที่นี่มีเพียงคนในครอบครัว จึงไม่ได้คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หญิงสาวหันกลับไปมองทิศทางของเสียง ที่เริ่มใกล้เข้ามาทุกขณะ ก่อนจะหันกลับไปเส้นทาง ที่จะมุ่งหน้าไปที่ดินของเพื่อน เธอหวังไว้ว่าจ้าวตงจะอยู่ เพราะเขาเป็นคนที่รักสันโดษ ไม่ค่อยจะยุ่งกับใคร ยกเว้นเธอที่คบหากันเป็นเพื่อนมานานปี
จนวันที่เธอมีฐานะมากพอ จะซื้อหาที่ดินสักแปลง เขาจึงเสนอให้มาซื้ออยู่ใกล้ๆ กัน แต่เอาเข้าจริง ก็ห่างกันอยู่สองสามกิโลเมตรเลยทีเดียว
ซึ่งในวันนี้เธอเอง ก็ได้ชวนเขาไปร่วมงาน แต่เขาบอกว่ามีธุระต้องทำจึงไม่ได้ไป หญิงสาวกัดฟันแน่น เพื่อที่จะลุกขึ้นวิ่งต่อไป อีกไม่ไกลแล้ว ทว่า...
“ทำไมต้องหนี”
น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้น อยู่เบื้องหน้าของเธอ ทำให้ตลอดร่างของหญิงสาวหนาวสะท้านไปจนถึงกระดูก สามีทำไมถึงมายืนอยู่ข้างหน้าของเธอได้ แล้วเสียงที่ไล่หลังมาล่ะ เป็นใครกัน!
“พี่ไม่ควรทำอะไรให้ยุ่งยาก”
ความสงสัยของหญิงสาวได้สิ้นสุดลง เมื่อน้องชายเดินเข้ามา พร้อมสาดแสงไฟฉายกระทบใบหน้าของเธอ หญิงสาวยกมือขึ้นบังแสงจ้า ที่แยงตาเธอจนมันพร่ามัว
“นายต้องการเขา ฉันก็ยกให้แล้วไง นายจะเอาอะไรกับฉันอีกหยางจิ้ง”
“ทุกอย่าง”
เป็นคำตอบที่ห้วนสั้น ทว่าชัดเจนเหลือเกิน คนไม่สร้างทำเพียงนั่งรอรับ ส่วนเธอคนที่สร้างจนเลือดตาแทบกระเด็น สุดท้ายคือไม่เหลือแม้แต่ชีวิต
อึก! อี้หรูสะดุ้งสุดตัว เมื่อมือของสามีรวบกำลำคอจากด้านหลัง แรงบีบที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เธอรู้ว่าอีกไม่ช้า ความตายก็ต้องมาถึง ฉึก! ฉึก! ฉึก! มีดพกขนาดพอดีมือ แทงย้ำๆ ใต้ราวนมสองข้างสลับไปมา แววตาที่น้องชายมองเธอ มันไม่มีคำว่าเห็นใจ หรือสายสัมพันธ์คำว่าครอบครัวเลยแม้แต่น้อย
เลือดสีแดงไหลออกจากมุมปาก ที่ตอนนี้ได้เหยียดยิ้มออกอย่างเย้ยหยัน คนโง่ไม่ว่าจะเวลาผ่านไปแค่ไหน ก็ยังไม่ฉลาดขึ้นอยู่ดี ธุรกิจที่เธอสร้าง มันไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ แล้วประสบผลสำเร็จได้หรอกนะ ขาดเธอไปไม่ช้ามันก็พังลง
เธอไม่ได้โง่ ขนาดที่จะบอกทุกอย่างกับทุกคน ทุกแผนงานเธอมักจะทำให้มันมีจุดบอด สำหรับป้องกันการลอกเลียนแบบ ส่วนชิ้นงานของจริง มันจะหายไปพร้อมลมหายใจของเธอ เพราะที่...ที่เก็บทุกอย่างได้ดี คือสมองที่เป็นอัจฉริยะของเธอ ที่คนทั้งครอบครัวริษยา…
“น่าเสียดาย ที่ฉันไม่มีโอกาสได้เห็น ความพ่ายแพ้ที่แท้จริงของพวกแก”
ดวงตาที่พร่ามัวค่อยๆ ปิดลงพร้อมลมหายใจที่ปลิดปลิวของหญิงสาว ทว่ามันกลายเป็นความหวาดหวั่นของคนลงมือ พวกเขาลืมไปได้ยังไง ว่าคนฉลาดแบบหยางอี้หรู จะปล่อยให้สิ่งที่เธอสร้าง ตกไปอยู่ในมือคนอื่นได้ง่ายๆ
ยี่สิบวันต่อมา ณ โรงหมอสกุลต้วน ร่างผอมแห้ง ยังคงนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง โดยมีสายตาของหมอชราคอยเฝ้ามอง ยี่สิบวันก่อน ไม่รู้เพราะคำของหลวงจีนชรา หรือเพราะอยากพิสูจน์ คำพูดของหลวงจีน ที่ได้บอกแก่เขาว่าหากอยากมีทายาท ที่นำพาความรุ่งโรจน์มาให้ จงไปที่ตรอกท้ายตลาด เมื่อมีผู้ตกทุกข์อย่านิ่งนอนใจ ให้ยื่นมือช่วยเหลือ คนจากทางไกลตื่นมาเมื่อไหร่ จะนำพาให้เขาและภรรยามั่งมีไปจนชีวิตจะหาไม่ วันนั้นเขาและภรรยา จึงเดินไปตามคำบอกเล่านั้น ถือเสียว่าไปเดินเล่นรับลมกัน และได้เห็นขุนนางจากเมืองหลวง กับภรรยา กำลังสั่งให้คนทุบตีขอทานแม่ลูกอย่างโหดร้าย เขาจึงได้ยื่นมือเข้าช่วย โดยอ้างกฎหมายบ้านเมือง จึงทำให้สามีภรรยาใจอำมหิตนั้นล่าถอยไป แต่ก็ยังมิวายที่จะมีคน มาคอยสอดส่องความเป็นไปในโรงหมอของเขาอยู่เป็นระยะ จนได้รู้ถึงที่มาของขอทานแม่ลูก จากปากของหญิงชราคนหนึ่ง ที่ได้มาอ้างตน ว่าเป็นแม่นมของขอทานสาว และเด็กอีกสองคน คือคู่แฝดของลูกชายขอทาน และที่เขายินยอมเชื่อ เพราะเด็กอีกสองคน มีใบหน้าพิมพ์เดียวกันกับเด็กที่บาดเจ็บ ยิ่งเมื่อรู้สาเหตุของเรื่องราว ความสงสารต่อคนทั้งห
และในจังหวะนั้นเอง ความทรงจำมากมายของหญิงสาวอีกคน พลันหลั่งไหลเข้ามาเหมือนสายน้ำเชี่ยว ไม่มีตรงไหนที่เรียกว่าความสุขเลย สำหรับผู้หญิงคนนี้ ตอนเด็กก็ถูกอบรมอย่างเข้มงวด เช่นผู้หญิงชนชั้นสูงของยุคโบราณ แต่พอแม่ตายไป ทุกอย่างก็ถูกช่วงชิง และพังทลายลงไปยิ่งกว่าดิ่งหัวลงสู่ก้นเหว มีลูกแฝดสามทั้งชายและหญิง มีแม่นมที่ภักดีอีกหนึ่งคน ที่สำคัญไปกว่านั้น เจ้าของความทรงจำ ไม่ใช่ลูกที่ถูกสับเปลี่ยนมารักษาสถานะ อย่างที่ถูกกล่าวหา แต่เป็นบุตรสาวตัวจริง ที่มารดาได้ฟูมฟักมาเป็นอย่างดี ยังคงหัวสมัยเก่าเต็มร้อยสินะ! จริงเท็จก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ ถ้าเธอต้องมาใช้ร่างกายนี้ดำเนินชีวิตต่อไป ไม่มีคำว่ายาจกในสารระบบของเธอ แม้แต่เสี้ยวเดียวอย่างแน่นอน “อี้หรู เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง เจ้ายังได้ยินข้าอยู่หรือไม่” เมื่อเห็นอาการเหมอลอยของหญิงสาว ท่านหมอต้วนจึงเอ่ยถามย้ำต่อนางอีกครั้ง เพราะจากร่างกายที่เจ็บสาหัส หากจะมีอาการมึนงงไปบ้าง ย่อมมิใช่เรื่องแปลกอันใด “ที่นี่คือ...แล้วท่านทั้งสองคือผู้ใดกันเจ้าคะ แค่กๆ” หญิงสาวเอ่ยถามออกไป ด้วยน้ำเสียงแห
ต้วนฮูหยินช่วยพยุงหญิงสาว ให้ลงจากเตียงนอนอย่างอ่อนโยน ประหนึ่งมารดาดูแลบุตร“ฮูหยิน”“ว่าอย่างไร”“ข้ายังมีแม่นม กับบุตรชายหญิงอีกสองคนเจ้าค่ะ”“เจ้าวางใจ พวกเขาอยู่ที่โรงหมอนี้เช่นกัน ประเดี๋ยวคงพากันมาหาเจ้า แม่นมหวังกำลังเฝ้าบุตรชายเจ้าอยู่อีกห้อง”“ข้าน้อยมิรู้จะตอบแทนเมตตานี้ ของท่านหมอกับฮูหยินเช่นไรได้เจ้าค่ะ”“รู้อ่อนน้อมนัก มาเถอะข้าจะช่วยเจ้าเอง เสื้อผ้าของเจ้าข้าจะให้คนนำมาให้”อี้หรู รู้ดีว่ายุคสมัยนี้ คนที่จะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ต้องรู้ก้มหน้าในยามอับจน ต่อให้เป็นชนชั้นสูงก็ต้องรู้ถ่อมตัว เจ้าของร่างชำนาญในแบบสตรีในหอห้อง แต่นางมีความรู้รอบด้าน เมื่ออยู่ในโรงหมอแล้วเช่นนี้ ก็ต้องใช้ความรู้หางานทำเสียเลยมีงานก็มีเงิน ความอดยากก็จะเริ่มหายไปเอง ชีวิตเดิมนางก็มิได้ร่ำรวยแต่แรก ต้องสู้ฝ่าฟันเพื่อลบคำว่าลูกสาว ไม่มีคุณค่า ในชีวิตใหม่ต่างโลก นางจะต้องทำให้ตัวเองมีคุณค่า ที่บุรุษมิอาจเอื้อมเช่นกันอี้หรู ค่อยๆ ก้าวลงไปในอ่างน้ำ ที่ใหญ่พอให้ลงแช่ได้ถึงสองคน ความอุ่นซ่านที่แผ่กระจายไปตามร่าง ที่ค่อยๆ จมลงไปในน้ำจนมิดศีรษะ หญิงสาวซึมซับความอุ่นร้อนนั้น เพื่อตอกย้ำว่าตัวเอ
หลังจากทุกคนร่วมกันกินอาหารเสร็จ อี้หรูขอที่จะนอนเฝ้าบุตรชาย เพราะถ้าเป็นเจ้าของร่าง ก็คงทำเช่นเดียวกับนางในตอนนี้ คงมีแค่แม่ของนางในอีกโลก ที่ไม่เคยเห็นนางในสายตา ฉะนั้นนางจะต้องทำให้ลูกๆ ในชีวิตใหม่ เป็นคนที่ไม่หยามเหยียดเพศสตรี “คุณหนูบ่าวยังไหวเจ้าค่ะ” แม่นมหวังนั้น ห่วงว่าผู้เป็นนายที่เพิ่งฟื้น จะล้มเจ็บลงอีก จึงเลือกที่จะเสนอตัวในการดูแลคุณชายใหญ่ต่อเอง “ข้าอยู่ด้วย แม่นมหวังจะได้พักผ่อนบ้าง อีกอย่างข้าอยากให้อี้หลางตื่นมา เห็นหน้าข้าที่เป็นแม่ก่อนผู้ใด เขาจะได้รู้ว่าความกล้าหาญของเขามิได้เสียเปล่า” “ไม่ต้องห่วงไปแม่นมหวัง ข้าได้ตรวจชีพจรของอี้หรูแล้ว นางไม่ล้มเจ็บลงอีกง่ายๆ อย่างแน่นอน ขอแค่นางไม่ทำสิ่งใดเกินกำลัง” ท่านหมอต้วนยืนยันอีกเสียง เมื่อเห็นในความตั้งใจของหญิงสาว และเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ ไหนเลยจะอยากห่างลูก เมื่อยามลูกเจ็บป่วยเช่นนี้ “ขอบคุณท่านหมออีกครั้งนะเจ้าคะ ที่เมตตาเราทั้งห้าคน หากมิได้ท่านหมอกับฮูหยินช่วยเหลือ เราแม่ลูกคงไม่อาจมีชีวิตรอด โปรดรับการคำนับจากเราด้วยเจ้าค่ะ” หญิงสาวกำลังจะคุกเข่าล
“ต่อไปนี้เจ้าคือต้วนอี้หรู และหลานๆ ของข้าก็ล้วนเป็นคนสกุลต้วน ที่สำคัญเจ้าคือบุตรสาว ที่ออกเรือนไปอยู่ไกล ได้หย่าร้างกลับมาอยู่กับพ่อแม่ หาใช่บุตรสาวบุญธรรม เข้าใจหรือไม่” “อี้หรูทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อ” หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้าง ความระแวดระวังนั้นใช่หายไปจากสมอง แต่เวลานี้นางต้องเลือกหาที่คุ้มหัวก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันในภายหลัง แค่กๆ ทว่าเสียงไอจากคนบนเตียง ทำให้ทุกคนที่กำลังยินดี ต่อสถานะใหม่ในโรงหมอ ต่างพากันหันกลับไปมองที่เตียง แม่นมหวังรีบพยุงนายสาวให้ลุกขึ้น เพื่อไปดูอาการของคุณชายใหญ่ หมอชรารีบเข้าไปนั่งยังขอบเตียง แล้วตรวจดูอาการของหลานชายหมาดๆ โดยมีต้วนฮูหยิน ถือถ้วยน้ำติดตามไปด้วย ช่างเป็นวาสนาร่วมกันยิ่งนัก ได้บุตรสาวมิทันถึงชั่วอึดใจ หลานชายที่สิ้นสติมาหลายวัน ได้ตื่นขึ้นมาเสียที สวรรค์ช่างเมตตายายแก่เยี่ยงนาง ให้มีความชุ่มชื่นหัวใจในวัยใกล้ฝั่ง “หลานตาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ชายชราเอ่ยถามหลานชาย ที่ตอนนี้นอนนิ่งจ้องหน้าเขา ราวกับคนกำลังตกอยู่ในห้วงของความคิด เด็กชายกระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะค่อยๆ หันมองไปที่คนอื่นๆ
ต้วนอี้หลาง เดินเข้ามาช่วยบีบไหล่ให้มารดา เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าให้แก่นาง เด็กชายรู้ดีว่ามารดา ต้องการให้พวกตน มีชีวิตที่ไม่ต้องเร่ร่อน จึงตอบรับเป็นบุตรสาวบุญธรรม ของท่านตาท่านยาย และลงมือทำงานอย่างหนัก “อี้หลาง ขอแค่เรามีโอกาสที่จะลืมตาอ้าปาก คำว่าเหน็ดเหนื่อยมันไม่มีในหัวแม่เลยรู้ไหม แม้เจ้ายังเด็กอยู่ ก็ต้องมั่นที่จะหาความรู้ให้มาก เพื่ออนาคตที่ดีรู้ไหม ภายหน้าไร้แม่คอยคุ้มภัย เจ้าจะได้ดูแลตนเองได้” หญิงสาวลูบมือน้อยๆ ของบุตรชาย ด้วยความรักใคร่ นี่หรือคำว่าแม่ที่นางเคยใฝ่ฝันอยากเป็น ก็ดีนางไม่ต้องทนเจ็บปวดตอนคลอด ยุคนี้ไม่มีเครื่องมือทำคลอด หากต้องมาอุ้มท้องและคลอดเอง นางคงคิดหนักไม่น้อย “ข้าจะปกป้องพวกเขาแทนเจ้าอี้หรู เจ้าเก่งมากในฐานะแม่ ที่สู้เพื่อพวกเขาจนลมหายใจสุดท้าย” หญิงสาวบอกกล่าว แก่คนที่จากไปแล้วอยู่ภายในใจ คงไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่าการมีชีวิตอยู่ เพื่อมองอนาคตของลูกๆ “ข้าจะทำทุกอย่าง ให้ครอบครัวของเรามีความสุขขอรับ” แก๊ก! เด็กชายตวัดสายตา ไปยังเสียงแปลกปลอมในทันที กิ่งไม้แห้งที่อยู่ด้านนอก ถูกเหยียบหัก แม้จะเบ
แต่เด็กเพียงสิบขวบเท่านั้น ไยจึงทำได้ขนาดนี้ พลังต้องมากพอ จึงสามารถแทงจนทะลุข้อมือของเขาได้ ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ลูกดอกถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชายชุดดำ คิดจะถอยไปตั้งหลักฟิ้ว! เคร้ง! ฉึก! ในจังหวะที่ลูกดอกพุ่งออกมาเฉียดใกล้เขา เด็กชายตวัดเหล็กแหลมในมือเพียงเล็กน้อย ลูกดอกที่ควรเลยผ่านไป กลับพุ่งเข้ากลางลำคอของเขาในทันที ยากนักที่เขาจะหลบเลี่ยงได้ทัน“เจ้าเป็นใครกัน...”เป็นคำถามสุดท้าย ที่ไม่มีโอกาสได้ฟังคำตอบ ด้วยเขาสิ้นใจไปเสียก่อน เด็กชายรีบทิ้งเหล็กแหลมในมือ วิ่งเข้าสวมกอดมารดาเอาไว้แน่น ร่างกายของเด็กชายสั่นเทา ด้วยความหวาดกลัว“แม่ขอโทษที่มาช้า ทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย”หญิงสาวปลอบโยนบุตรชาย พร้อมใช้มือลูบแผ่นหลังสั่นเทานั้นให้คลายกังวล หากไม่ตอบโต้ก็คงต้องหลบซ่อนไปชั่วชีวิต ไม่ต่างจากเต่าที่หดหัวแค่ในกระดอง สู้เป็นสุนัขจนตรอก ที่พร้อมหันหน้าสู้จนตัวตาย เมื่อบีบคันไม่ดีกว่าหรือ“เกิดเรื่องใดขึ้น อี้หรู อี้หลาง พวกเจ้าปลอดภัยหรือไม่”ชายชราวิ่งเข้ามาภายในห้อง ด้วยใบหน้าตื่นตระหนก เขาตื่นมาเพื่อผลัดเปลี่ยนกับบุตรสาว ในการเคี่ยวยาส่งให้บ้านสกุลชูในตอนเช้า แต่ไม่คิดว่าจะเห็น
เช้าวันถัดมาสองตาหลาน ได้ออกจากโรงหมอไปตั้งแต่ฟ้ายังมิทันสาง ส่วนอี้หรูกับมารดา ได้เตรียมตัวออกไปส่งยาให้สกุลชูเช่นกัน หญิงสาวไม่ลืมที่จะปกปิดใบหน้าเอาไว้ เพราะใบหน้านี้ อาจนำความยุ่งยากมาสู้ตนเอง และครอบครัว “อี้หลง อี้หลิง เจ้าสองคน อย่าได้ออกมาด้านหน้าโรงหมอเป็นอันขาด รอแม่กับท่านยายกลับมา ค่อยออกมาวิ่งเล่นในสวนเข้าใจไหม” “ขอรับ/เจ้าค่ะ” คู่แฝดรับคำมารดาอย่างว่าง่าย นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับมารดาและพี่ชาย ไม่ว่าสิ่งใดที่แม่และพี่กำชับไว้ ทั้งคู่ไม่เคยคิดที่จะดื้อรั้นเลยแม้แต่น้อย “ท่านแม่ เราไปกันเถอะเจ้าค่ะ” หญิงสาวหันไปชวนมารดา “ยายจะซื้อขนมมาฝากพวกเจ้านะ อย่าซนเล่า”ต้วนฮูหยินพยักหน้ารับบุตรสาว ก่อนจะหันไปบอกกับคู่แฝด ด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก หากจะว่าไปแล้วในสามแฝด คงมีเพียงสองคนนี้เท่านั้น ที่ยังดูเป็นเด็ก ต่างจากหลานชายคนโต ที่ดูจะเคร่งครึม และพูดน้อยมาก ติดจะเย็นชาไปเสียด้วยซ้ำ แต่นางก็เข้าใจหลานชายคนโตดี การต้องเป็นผู้นำครอบครัวในภายหน้า ต้องฝึกฝนตนเอง ทั้งความคิดและการกระทำให้มาก ทว่านางก็ไม่เคยลำ
สองชั่วยามต่อมา ณ เรือนฉินชวง หลังจากบทรักรันเร่าร้อนสิ้นสุดลง สวี่เทียนได้ผล็อยหลับไป ด้วยความอ่อนเพลีย ต่างจากเจ้าของเรือน ที่ตอนนี้ดวงตาคู่งาม นิ่งค้างและดุกร้าว เสมือนรสรักเมื่อครู่ ไม่ได้ทำให้นางสุขสมกับมันแม้แต่น้อยร่างระหงลุกขึ้นนั่งริมขอบเตียง ก่อนจะชำเลืองมองสามี ด้วยแววตาเย็นชา นับตั้งแต่เขาเมินเฉยต่อลูกๆ ของนาง เขาก็ไม่ได้มีค่าใดในหัวใจของนางอีกต่อไปเมื่อใดที่บุตรชายของนาง ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจ สะพานผุพังนี้ นางก็พร้อมทำลายทิ้ง โดยไม่คิดลังเลให้เสียเวลาแม้แต่น้อย “เป็นท่านที่เลือกปล่อยมือข้ากับลูกเอง นับจากนี้เกิดสิ่งใดขึ้น ก็อย่าได้โทษข้าสามแม่ลูกก็แล้วกัน” ฉินชวงเอ่ยกับร่างที่หลับสนิท ด้วยน้ำเสียงไม่แยแสต่อคำว่าคนรัก ร่างงามลุกขึ้นก้าวตรงไปยังกองเสื้อผ้าของสามี ก่อนจะลงมือค้นหาสิ่งที่นางต้องการอย่างเร่งร้อนด้วยเกรงว่าหากชักช้าไป บุตรชายหญิงของนาง อาจตกอยู่ในอันตรายจนอยากจะช่วยได้ทันการณ์ ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น สิ่งที่นางค้นหาก็ได้มาอยู่ในมือแล้วมือบางรีบคลี่กระดาษเนื้อหยาบ ออกอ่านในทันที ทว่าเมื่อเห็นตัวอักษรในจดหมาย คิ้ว
“กรี๊ด!! สวี่เทียน! เจ้าคนเลือดเย็น เจ้ากล้าที่จะทอดทิ้งลูกของข้าได้อย่างไรกัน” ร่างงามทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ พร้อมทั้งประคองหยกในมือ ซึ่งเป็นตัวแทนของบุตรชายเอาไว้แนบอก นางผิดตรงไหนหรือสวรรค์ ไยจึงต้องทำร้ายลูกๆ ของนางเช่นนี้ด้วย ฉินชวงทำได้เพียงตัดต่อสวรรค์ ที่ไม่เมตตานางกับลูกเลย ไม่ว่าจะเรื่องฐานะหรือความรุ่งโรจน์ ล้วนแต่เป็นนางที่อยู่ใต้เงาผู้อื่นมาตลอด พอวันนี้นางได้มีโอกาส เชิดหน้าสู้ฟ้าได้อย่างภาคภูมิ ไยสวรรค์จึงได้กลั่นแกล้ง ช่วงชิงหัวใจของนางไปเช่นนี้เล่า นางไม่ได้โง่ขนาดจะดูไม่ออก ว่าตอนนี้ลูกๆ ของนางกำลังตกอยู่ในอันตราย หรืออาจสังเวยชีวิตไปแล้วก็เป็นได้ คงไม่มีใครที่ไหนตัดลิ้นของคนอื่น แล้วช่วงชิงเสื้อผ้า และสิ่งของติดตัวใครสักคน แล้วส่งมาข่มขู่ครอบครัวเขาเยี่ยงนี้เป็นแน่ ดูได้จากสายตาของสามี มันก็ชัดเจนว่าเขารู้แล้ว ว่าลิ้นในกล่องนั่น เป็นของบุตรชายนาง ใช่สิ! จดหมายนั่นต้องไขความกระจ่างให้ข้าได้ เมื่อนึกถึงจดหมาย ที่สามีเก็บเอาไว้ในอกเสื้อ ร่างระหงจึงลุกพรวดขึ้นในทันที นางต้องรู้ให้ได้ ว่าข้างในเขียนว่าอย่างไร เพราะนั่นอาจเป็นเบาะ
สวี่หวิ๋นไม่เอ่ยสิ่งใดอีก หญิงสาวตวัดกระบี่ในมือ พุ่งเข้าหาหญิงสาวแปลกหน้าในทันที เจียงอี้หลิง ทำเพียงขยับเท้าแค่เล็กน้อยเท่านั้น นางก็สามารถหลบหลีกการโจมตี ของสวี่หวิ๋นได้อย่างง่ายได้ แต่มีหรือสตรีเลือดร้อนเยี่ยงสวี่หวิ๋น จะยอมล่าถอยไปโดยง่าย หญิงสาวพลิกข้อมือเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งปลายกระบี่ เข้าหาคู่ต่อสู้อีกครั้ง เจียงอี้หลิง ทำเพียงหลบหลีก การโจมตีของอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ นางยังอยากดูฝีมือ ของบุตรสาวสวะตนนั้นอีกสักหน่อย และนั่นยิ่งเพิ่มโทสะให้แก่สวี่หวิ๋น นางไม่เคยถูกผู้ใด หหรือยามหน้าเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ในเมื่อตอนนี้สตรีแปลกหน้า ทำเพียงขยับเท้า เคลื่อนไหวหลบหลีกนางเท่านั้น แต่ไม่ยอมจับอาวุธมาต่อสู้กับนาง ให้รู้ผลแพ้ชนะกันไปเลย การทำเช่นนี้มันเหมือนจงใจตบหน้านางชัดๆ “เจ้ากำลังดูถูกข้าอย่างนั้นรึ! น่าตายนัก!” สวี่หวิ๋น คำรามก้องด้วยโทสะที่ระเบิดออกมา นางไม่อยากเชื่อว่าวันนี้นางจะพ่ายให้แก่คนนอกได้ “หึๆ เจ้ายังไม่คู่ควรให้กระบี่ข้าออกจากฝัก” เจียงอี้หลิง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า นางไม่ได้พูดไปส่งๆ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ หากก
“ข้าน้อย...” “หุบปากของเจ้าซะ! เรื่องเมื่อครู่ หากหลุดออกไป ข้าจะตัดลิ้นพวกเจ้าทั้งหมด” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเอ่ยสิ่งใด หญิงสาวกลับชี้หน้าข่มขู่เขา และวาดปลายนิ้วไปที่อีกหนึ่งผู้คุ้มกัน กับสาวใช้ของนางให้เงียบปากเสีย เพราะหากใครคนใดเอ่ยถึงเรื่องที่เห็น ว่านางกอดกับบ่าวต่ำชั้น นางจะไม่มีวันปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว นางคือคุณหนูสูงศักดิ์ แต่ผู้คุ้มกันที่บิดาหา มาล้วนเป็นพวกไร้หัวนอนปลายเท้าทั้งสิ้น จะเอาสิ่งใดมาคู่ควรแตะต้องตัวนาง แปะ! แปะ! เสียงตบมือเป็นจังหวะเนิบช้า ราวกับกำลังเย้ยหยันต่อคำพูดของนาง ดังขึ้นจากเบื้องหลัง หญิงสาวตวัดสายตามองไปยังที่มาของเสียง ก่อนจะดวงตาเหลือกค้าง เมื่อเห็นว่าพี่ชายของนาง ถูกมัดห้อยตัวอยู่บนกิ่งท้อ เมื่อครู่ที่นางเห็นเขามันคือเรื่องจริง มิใชเพียงภาพลวงตา ที่ทำให้นางหยุดม้าอย่างกะทันหัน จนเกิดเรื่องเมื่อครู่ขึ้น “พี่ใหญ่!” หญิงสาววิ่งตรงไปหาพี่ชาย นางดึงกระบี่ในมืออกจากฝัก ก่อนจะตวัดปลายกระบี่ ไปยังเชือกที่ผู้ข้อมือทั้งสองข้างของพี่ชาย จนขาดสะบั้น ทำให้ร่างโชกเลือด ล่วงลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว ท
“มันไม่ใช่สิ่งที่น่ามอง เจ้าอย่าได้คิดสิ่งใดไปไกลนัก นี่อาจเป็นเพียงกลลวง ยิ่งเจ้าคิดว่าใช่ นั่นเท่ากับเจ้าเดินตามเส้นทางที่พวกมันขีดไว้ ที่ผ่านมาเจ้ามิใช่หรือ คือผู้ขีดเส้นกำหนดมาตลอด ไยวันนี้...เจ้าจึงคิดคล้อยตามกลลวงศัตรูไปได้เล่า” สวี่เทียน หยิบยกตัวตนของภรรยาขึ้นมาเอ่ยอ้าง ต่อให้นั่นคือลิ้นบุตรชาย แล้วอย่างไรล่ะ จะให้เขาดิ้นพล่านราวสุนัขถูกน้ำร้อนราดอย่างนั้นรึ! เหอะ! เขาก็จะไม่มีวันให้ความอ่อนแอของใครก็ตาม มาทำลายสิ่งที่เขา เฝ้ารอมาทั้งชีวิต ลูก...ฮึ! ก็แค่นั้น เขาไม่ได้คิดที่จะสนใจว่าอยู่หรือตาย เพราะสิ่งเดียวที่เขาสนใจ คืออำนาจที่พึงเป็นของเขาเท่านั้น ยี่สิบปีเชียวนะ! ที่เขาสละเวลามาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ หากเขามีหนทาง ที่สามารถปีนป่ายให้สูงกว่านี้ได้จากที่อื่น มีหรือเขาจะยอมทำตามขอเสนอของภรรยา มาอยู่ให้สกุลอวี๋เหยียบย่ำเป็นเวลายาวนานขนาดนี้ เขยแต่งเข้าที่ไม่อาจใช้สกุลภรรยา คิดหรือว่าจะถูกมองอย่างให้เกียรติ แม้คนจะก้มหัวให้ยามพบเจอ แต่นั่นเพราะข้างกายเขา มีอวี๋เมี่ยวหรือไม่ก็บุตรชายของนาง หากเป็นเขาเดินเพียงลำพัง แทบจะไม่เคยได้รับรอยยิ้มที่ออกจ
สองชั่วยามต่อมา ณ เรือนผู้รักษาการ สองสามีภรรยากำลังนั่งกินขนมจิบชา ด้วยความสำราญ หลังจากบทรักเล่าร้อน ได้จบลงไปได้ครู่ใหญ่แล้ว การหยอกเย้ากันของทั้งคู่ ยังคงมีเป็นปกติ ราวกับพวกเขายังคงเป็นหนุ่มสาว เช่นในวันวานก็มิปาน “เรียนนายท่าน มีของขวัญมาส่งขอรับ” เสียงรายงานจากด้านหน้าประตู ทำให้สองสามีภรรยา ขยับนั่งตัวตรงอย่างมีสง่า “เข้ามา” สวี่เทียนเอ่ยปากอนุญาต ให้คนด้านนอกเข้ามาข้างในได้ เพียงบ่าวชายก้าวพ้นประตูเข้ามา สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่กล่องไม้ในมือของบ่างผู้นั้นทันทีใครกันที่ส่งของขวัญมาให้เขากัน ด้วยในช่วงเวลานี้ หาได้มีวันสำคัญ หรือเทศกาลใด ที่ต้องมอบของขวัญของกำนัลต่อกัน หากจะเป็นคนจากภายนอกหุบเขา ก็ไม่น่าจะมีใครส่งมา โดยไม่แจ้งล่วงหน้าถึงการมาเยือน “เป็นของขวัญที่ไม่ทราบที่มาขอรับ ข้าน้อยคิดจะเปิดดู แต่...มิกล้าทำโดยพลการขอรับ” บ่าวชายรีบชี้แจง ต่อการที่เขาไม่อาจบอกถึงสิ่งของข้างในได้ เพราะเคยมีคนเปิดดูของขวัญ เพื่อตรวจสอบก่อนจะนำมาส่งมอบให้แก่ผู้เป็นนาย ผลก็คือบ่าวคนนั้น ได้สิ้นใจภายใต้คมดาบของท่านผู้รักษาการ
“แต่ข้ามีข้อเสนอที่ดีกว่านั้น หากเจ้าตอบรับมัน ข้าจะมิถือสาเรื่องเมื่อครู่นี้” เมื่อมีสิ่งอื่นที่ดึงดูดใจ มากกว่าการที่นางสามหาวต่อบิดา สวี่หวางจึงยื่นข้อเสนอในทันที หญิงสาวตรงหน้าอาจเพียงแค่ อยากเรียกร้องความสนใจจากเขา หาไม่แล้วมีหรือหัวหน้าผู้คุ้มกัน จะพาเขามาที่นี่ “ข้อเสนอ...คนเยี่ยงเจ้า มีข้อเสนอใดกับข้าเช่นนั้นรึ!” น้ำเสียงปนเย้ยหยันของหญิงสาว ทำให้สวี่หวางจำต้องข่มกลั้นเอาไว้ก่อน ในเมื่อหมากกระดานนี้ นางอยากควบคุม เขาก็จะยินยอมเล่นไปกับนางสักหน่อย ค่อยจบมันในหมากตัวสุดท้าย “เป็นอนุของข้า แล้วเรื่องเมื่อครู่ข้าจะปล่อยผ่านไป” “อยากฟังข้อเสนอของข้าบ้างไหม” หญิงสาวย่อนถามกลับ ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่จริงจังเท่าใดนัก “ว่ามาสิ! ข้าคือบุตรชายของประมุขแห่งหุบเขานี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะหามิได้” สวี่หวางตบตนเอง พร้อมประกาศให้รู้ถึงอำนาจในมือ เขาคือบุตรชายคนโต ภายหน้าเขาก็คือประมุขผู้มั่งคั่ง เจ้าของหุบเขาแห่งนี้ แค่สตรีต่างถิ่นคนหนึ่ง มีหรือเขาจะเลี้ยงดูนางไม่ได้ “จริงหรือ...บิดาเจ้าแซ่สวี่ ไหนเลยจะเป็นประมุขได้” เมื่อได้ยินพูดของหญิงสาวตรงหน้า สวี่หวางถึงกับหน้าถอดสี หรือนี่จะ
“ข้าน้อยเพียงจะมาแจ้ง ให้ท่านผู้รักษาการทราบ ว่าตอนนี้...มีคนพบเห็น ท่านประมุขน้อยแล้วขอรับ” “ที่ไหน!” สวี่หวางรีบถามด้วยความตื่นเต้น หากวันนี้เขาสามารถทำให้อวี๋มู่หลง หายไปจากโลกนี้เสีย อนาคตของเขา ก็จะได้ไม่ต้องอยู่ภายใต้เงาผู้ใดอีก มารดาที่เป็นภรรยาแรก กลับกลายเป็นได้เพียงอนุ ที่รับเข้าสู่บ้านเท่านั้น ไม่อาจก้าวขึ้นทัดเทียมอดีตประมุข และเขาก็เป็นได้เพียงแค่ลูกที่บิดา ไม่อาจเชิดชูออกหน้าได้แม้คนเหล่านี้ จะให้ความนอบน้อมต่อเขา แต่ความเป็นจริงแล้วพวกมัน ก็ไม่เคยเห็นเขาในสายตาจริงๆ สักครั้ง หากเทียบกับอวี๋มู่หลง เจ้าสวะไร้ค่านั่น! “ในป่าท้อทิศตะวันออกของหุบเขาขอรับ” หัวหนาผู้ดูแล ตอบไปตามหน้าที่ แม้ว่าใจเขามิได้ชื่นชอบอนุและลูกๆ ของนาง ที่อาจหาญทำตัวทัดเทียมท่านประมุขน้อย แต่เขาก็ยังไม่มีอำนาจมากพอ ที่จะต่อกรกับผู้รักษาการได้ จนกว่าท่านประมุขน้อย จะก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างแท้จริง “พาข้าไป!” “แต่...” หัวหน้าผู้คุ้มกัน คิดที่จะปฏิเสธ ทว่า... “ฮึ! หรือเจ้าคิดจะปกป้องคนไร้ค่านั่น” สวี่หวาง พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเ
สิบห้าวันถัดมา ณ เรือนผู้รักษาการ เมืองหยินกวง เพล้ง! เสียงจอกสุรา ถูกปาลงพื้นจนแตกกระจาย ทำให้สาวใช้หลายนางที่ยืนรอรับใช้อยู่ พากันสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อผู้เป็นนายกำลังมีโทสะ ก่อนที่สตรีผู้เป็นอนุของท่านผู้รักษาการ จะเดินเข้ามา แล้วส่งสัญญาให้บรรดาสาวใช้ออกไปเสีย “ท่านพี่ ไยต้องมีโทสะด้วยเจ้าคะ” ฉินชวงเดินไปยืนด้านหลังสามี ก่อนจะวางมือบนไหล่หนา แล้วออกแรงบีบนวด เพื่อให้สามีรู้สึกผ่อนคลาย แม้ว่าการอยู่อย่างไรเกียรติของนาง จะมิใช่สิ่งที่วาดฝัน แต่นางก็ยังอยากให้บุตรชายคนโต เป็นผู้สืบทอดเมืองแห่งนี้ “มีคนพามันหนีไปได้ จนตอนนี้! ข้ายังหามันไม่พบเลย” สวี่เทียนกำหมัดแน่น ยิ่งเมื่อนึกถึงตอนที่บุตรชายคนเล็ก หนีไปพร้อมกับคนแปลกหน้า มันทำให้เขาราวกับถูกตบหน้า นี่มิใช่ครั้งแรก ที่บุตรชายรอดพ้นเงื้อมือเขาไปได้อย่างหวุดหวิดเพราะนับตั้งแต่บุตรชาย ล่วงรู้ความจริงหลายอย่าง ความสัมพันธ์พ่อลูกก็ยิ่งห่างไกล แล้วอย่างไรเล่า ก็ในเมื่อสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่ความเป็นพ่อลูก แต่เขาต้องการตราประทับเท่านั้น “อาจเป็นเหล่าผู้อาวุโส ที่แอบช่วยเขาลับหลัง แต่อย่า