สามีกำลังเปลือยกาย แสดงท่าของคนทำเรื่องอย่างนั้น โดยน้องชายของเธออยู่ในท่าของคนรับ สายตาทั้งคู่มองมาที่เธอ ด้วยความขุ่นเคือง มากกว่าจะตกใจ
“ทำไม...” เป็นเพียงคำเดียว ที่หญิงสาวสามารถจะเอ่ยออกมาได้
“คุณไม่ควรเข้ามา”
น้ำเสียงเย็นชาของสามี ช่างบาดลึกหัวใจของหญิงสาวเหลือเกิน เพราะก่อนหน้านั้นเขาเอาอกเอาใจเธอ จนไม่มีคำว่าหวาดระแวง หึๆ ถึงว่าเขาไม่สนใจผู้หญิงคนไหนเลย เพราะเขาไม่เคยชื่นชอบในผู้หญิงนี่เอง...
“ใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปจากที่นี่ซะ! ใบหย่าฉันจะให้เลขาไปส่งให้คุณที่บ้านสกุลโจว”
เมื่อไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก ภาพมันตำตาเสียขนาดนี้ ก็คงมีเพียงการเลิกราเท่านั้น ที่เธอจะคิดได้ในตอนนี้ เพราะไม่ว่ายังไงเธอกับเขา คงกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้
ถ้าคนที่นอนกับเขาตอนนี้เป็นผู้หญิง มันยังพอตกลงกันได้ แต่นี่คือน้องชาย ชัดเจนว่าใจเขากายเขาไม่ได้ชื่นชอบผู้หญิง รั้งไปจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา
ร่างสูงใหญ่ ขยับถอยออกจากร่างของหยางจิ้ง ก่อนจะคว้ากางเกงมาสวมลวกๆ แล้วรับเสื้อมาจากน้องชายภรรยา ก่อนที่เขาจะหันไปเชยคางของหยางจิ้ง ให้เงยขึ้นรับจูบของเขา
มันคือคำยืนยัน และเย้ยหยันเจ้าของบ้าน ว่าสามีที่เธอรักแท้จริงมีใครอยู่ในใจมาโดยตลอด เพราะเงินหรือต้องการให้เธอเป็นฉากบังหน้ากันแน่ ทำไมพวกเขาจึงใจร้ายกับเธอได้ขนาดนี้
“แต่งตัว”
โจวฮ่าวบอกกับคนรัก ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาต้องจัดการกับภรรยาให้เสร็จสิ้น ก่อนที่ทุกอย่างจะพัง เขาใช้เวลามาหลายปี กว่าจะก้าวมาถึงวันนี้ มันจะมาพัง เพราะคนอย่างหยางอี้หรูไม่ได้เป็นอันขาด
หลังจากสวมเสื้อเรียบร้อย ร่างสูงได้ก้าวเข้าหาภรรยา ก่อนจะกระชากเธอให้เซเข้าปะทะกับแผ่นอกกว้าง ความรู้สึกมันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วจริงๆ เธอเธอขยะแขยงกับเนื้อตัวของเขา จนแทบจะอาเจียนออกมาอยู่รอมร่อ
“คุณคิดว่าผมจะปล่อย ให้มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ หึๆ ในเมื่อคุณรู้ทุกอย่างแล้ว ผมก็ไม่จำเป็นต้องเก็บคุณไว้ทำลายพวกเรา”
น้ำเสียงเย็นเยียบ ทำให้หญิงสาวรู้ตัวในทันที ว่าถ้าเธอยังอยู่ตรงนี้ต่อ สิ่งที่ไม่คาดคิดต้องเกิดขึ้น เธอต้องลงไปในงานเลี้ยง เพื่อเปิดโปงเรื่องนี้ ก่อนที่ตัวเธอจะไม่มีโอกาสนั้น ทว่า...
ปึก! หมัดหนักๆ ชกเข้าที่ท้องของเธออย่างแรง จนหญิงสาวตัวงอทรุดลงนั่งอยู่กับพื้น หญิงสาวรู้แล้วว่าสามีกับน้องชาย คิดที่จะทำอะไร...
“ทำอะไรกันอยู่ พาหล่อนออกไป”
อีกเสียงที่คุ้นเคย ดังขึ้นจากด้านหน้าประตู แม่ของเธอเอง ทำไม...เธอผิดอะไร!
“แม่...”
หญิงสาวหันกลับไปหาคนเป็นแม่ ที่ยืนมองเธอด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เธอทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว จากฐานะที่ธรรมดา กลายมาเป็นมหาเศรษฐีในเวลาไม่กี่ปี โดยเป็นเธอที่ทุ่มเททุกช่วงเวลา เพื่อสร้างมันให้สำเร็จ แล้วทำไม...แม่แท้ๆของเธอ ถึงได้ไม่คิดปกป้องเธอเลยล่ะ
“ใครใช้ให้หล่อนเก่งเกินไปอี้หรู และที่สำคัญ หล่อนไม่เคยคิดที่จะหยิบยื่นอะไรให้น้องชายเลย เขาอาจไม่ได้ฉลาดเท่าหล่อน แต่เขาก็คือทายาท ที่จะสืบทอดสกุลหยาง ทุกอย่างมันควรเป็นเขาที่อยู่เบื้องหน้า หล่อนเป็นผู้หญิง ไม่ควรอวดตัวให้ใครรู้เห็น หล่อนควรผลักดันหยางจิ้งอยู่ข้างหลัง มันจะดูดีกว่านี้รู้ไหม”
หญิงสาวไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แม่ของเธอคิดแบบนี้จริงๆ เหรอ อี้หรูมองเลยไปด้านหลังของแม่ ก็สบเข้ากับดวงตาเย็นชาของคนเป็นพ่อ หญิงสาวหัวเราะทั้งน้ำตา เธอเป็นแค่มดงานตัวหนึ่งเท่านั้น
ถ้าวันนี้เธอไม่มาเห็นความลับ ของสามีและน้องชาย เธอคงยังมีโอกาสหายใจต่ออีกหน่อยสินะ! หึๆ ช่างน่าสมเพชต่อความรักที่เธอมีให้คนในบ้านหลังนี้
“รีบจัดการเถอะ พ่อกับแม่จะลงไปรับหน้าแขกในงานรอ ว๊าย!”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบ คุณนายหยางก็ต้องอุทานออกมา เมื่อลูกสาวคนโต ถลันลุกขึ้นวิ่งหนีออกจากห้องไป
อี้หรูวิ่งลงไปยังบันไดส่วนหลังคฤหาสน์ เพื่อที่จะไม่ต้องถูกใครดักหน้าดักหลัง เพราะเธอไม่รู้ว่าในงานเลี้ยงตอนนี้ มีใครบ้างที่ยืนอยู่ข้างเธอ หรือทอดทิ้งเธอไปอยู่ฝั่งสามี
ทว่าพอลงมาถึงข้างล่าง เธอกลับไม่สามารถไปที่รถได้ เพราะคนของสามียืนอยู่ หญิงสาวจำต้องวิ่งเข้าไปในสวนผลไม้ ที่อยู่ด้านหลังแทน เพื่อไปยังคฤหาสน์ของเพื่อน ที่อยู่ห่างออกไปอีกพอสมควร
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น น้ำตาก็พลันไหลอาบแก้มอีกครั้ง หญิงสาวใช้หลังมือปาดน้ำตา โดยที่เท้าของเธอยังคงไม่ได้หยุดลงแม้แต่น้อย
เสียงหัวเราะราวคนเป็นโรคจิต ไล่หลังมาไม่ต่างจากวิญญาณร้าย ที่ติดตามคราชีวิตของเธอ ชุดที่เคยสวยงามในตอนนี้ ถูกฉีกจนขาดสูงขึ้นมาถึงต้นขา เพื่อให้สะดวกต่อการวิ่งของเธอ ทว่ามันก็ยังไม่อาจเป็นไปอย่างที่ใจคิดอยู่ดี
ปึก! ตุบ! ร่างบอบบาง ล้มลงเข่ากระแทกกับพื้นอย่างจัง เธอไม่ใช่คนไร้ฝีมือในการต่อสู้ เพราะเธอคือนักธุรกิจชั้นแนวหน้า จึงต้องฝึกฝนเอาไว้บ้าง แต่คืนนี้เธอดื่มไปด้วย และไว้ใจว่าที่นี่มีเพียงคนในครอบครัว จึงไม่ได้คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หญิงสาวหันกลับไปมองทิศทางของเสียง ที่เริ่มใกล้เข้ามาทุกขณะ ก่อนจะหันกลับไปเส้นทาง ที่จะมุ่งหน้าไปที่ดินของเพื่อน เธอหวังไว้ว่าจ้าวตงจะอยู่ เพราะเขาเป็นคนที่รักสันโดษ ไม่ค่อยจะยุ่งกับใคร ยกเว้นเธอที่คบหากันเป็นเพื่อนมานานปี
จนวันที่เธอมีฐานะมากพอ จะซื้อหาที่ดินสักแปลง เขาจึงเสนอให้มาซื้ออยู่ใกล้ๆ กัน แต่เอาเข้าจริง ก็ห่างกันอยู่สองสามกิโลเมตรเลยทีเดียว
ซึ่งในวันนี้เธอเอง ก็ได้ชวนเขาไปร่วมงาน แต่เขาบอกว่ามีธุระต้องทำจึงไม่ได้ไป หญิงสาวกัดฟันแน่น เพื่อที่จะลุกขึ้นวิ่งต่อไป อีกไม่ไกลแล้ว ทว่า...
“ทำไมต้องหนี”
น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้น อยู่เบื้องหน้าของเธอ ทำให้ตลอดร่างของหญิงสาวหนาวสะท้านไปจนถึงกระดูก สามีทำไมถึงมายืนอยู่ข้างหน้าของเธอได้ แล้วเสียงที่ไล่หลังมาล่ะ เป็นใครกัน!
“พี่ไม่ควรทำอะไรให้ยุ่งยาก”
ความสงสัยของหญิงสาวได้สิ้นสุดลง เมื่อน้องชายเดินเข้ามา พร้อมสาดแสงไฟฉายกระทบใบหน้าของเธอ หญิงสาวยกมือขึ้นบังแสงจ้า ที่แยงตาเธอจนมันพร่ามัว
“นายต้องการเขา ฉันก็ยกให้แล้วไง นายจะเอาอะไรกับฉันอีกหยางจิ้ง”
“ทุกอย่าง”
เป็นคำตอบที่ห้วนสั้น ทว่าชัดเจนเหลือเกิน คนไม่สร้างทำเพียงนั่งรอรับ ส่วนเธอคนที่สร้างจนเลือดตาแทบกระเด็น สุดท้ายคือไม่เหลือแม้แต่ชีวิต
อึก! อี้หรูสะดุ้งสุดตัว เมื่อมือของสามีรวบกำลำคอจากด้านหลัง แรงบีบที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เธอรู้ว่าอีกไม่ช้า ความตายก็ต้องมาถึง ฉึก! ฉึก! ฉึก! มีดพกขนาดพอดีมือ แทงย้ำๆ ใต้ราวนมสองข้างสลับไปมา แววตาที่น้องชายมองเธอ มันไม่มีคำว่าเห็นใจ หรือสายสัมพันธ์คำว่าครอบครัวเลยแม้แต่น้อย
เลือดสีแดงไหลออกจากมุมปาก ที่ตอนนี้ได้เหยียดยิ้มออกอย่างเย้ยหยัน คนโง่ไม่ว่าจะเวลาผ่านไปแค่ไหน ก็ยังไม่ฉลาดขึ้นอยู่ดี ธุรกิจที่เธอสร้าง มันไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ แล้วประสบผลสำเร็จได้หรอกนะ ขาดเธอไปไม่ช้ามันก็พังลง
เธอไม่ได้โง่ ขนาดที่จะบอกทุกอย่างกับทุกคน ทุกแผนงานเธอมักจะทำให้มันมีจุดบอด สำหรับป้องกันการลอกเลียนแบบ ส่วนชิ้นงานของจริง มันจะหายไปพร้อมลมหายใจของเธอ เพราะที่...ที่เก็บทุกอย่างได้ดี คือสมองที่เป็นอัจฉริยะของเธอ ที่คนทั้งครอบครัวริษยา…
“น่าเสียดาย ที่ฉันไม่มีโอกาสได้เห็น ความพ่ายแพ้ที่แท้จริงของพวกแก”
ดวงตาที่พร่ามัวค่อยๆ ปิดลงพร้อมลมหายใจที่ปลิดปลิวของหญิงสาว ทว่ามันกลายเป็นความหวาดหวั่นของคนลงมือ พวกเขาลืมไปได้ยังไง ว่าคนฉลาดแบบหยางอี้หรู จะปล่อยให้สิ่งที่เธอสร้าง ตกไปอยู่ในมือคนอื่นได้ง่ายๆ
พี่ม่อเหลียว เราควรกลับบ้านกันได้แล้วนะขอรับ รถม้าและทุกอย่างสำหรับเดินทาง พร้อมแล้ว” ต้วนอี้หลาง เอ่ยกับว่าที่น้องเขย ด้วยรอยยิ้มกว้าง เขาได้คุยกับพ่อแม่ของชายหนุ่มแล้ว ว่าจะพากลับไปยังแคว้นจ้าว และทั้งสองคนก็ยินดี ที่จะตามเขากลับไป ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่วุ่นวายกับอำนาจเหล่านี้อีก “ขอรับ” ม่อเหลียวตอบรับอย่างยินดี โดยไม่คิดที่จะถามอะไรให้มาก เพราะถ้าคุณชายใหญ่พูดแบบนี้ นั่นหมายความว่าได้ตกลง กับพ่อแม่ของเขาดีแล้ว ส่วนเรื่องที่คุณชายใหญ่ ไปพบพ่อแม่ของเขาได้อย่างไร เขาไม่คิดถามเช่นกัน เพราะอย่างไรคุณชายก็ต้องเล่าสู่เขาฟังอยู่ดี “ทำความสะอาดซะ เราจะออกเดินทางกันแล้ว” ต้วนอี้หลางสั่งการกับคนของเขา ก่อนจะประคองน้องสาวละน้องชาย เพื่อที่จะออกจากที่นี่ “นายท่าน พวกข้าไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ” ตู้ฮั่น เอ่ยถามผู้เป็นนาย หนานเผิงหันไปมองหน้าบุตรชาย ก่อนจะมองไปที่ตู้ฮั่นอีกครั้ง “หากท่านอาตู้ไม่คิดเรื่องอำนาจ ข้าย่อมไม่ขัดข้องขอรับ” เป็นม่อเหลียวที่เอ่ยขึ้น ก่อนจะคลี่ยิ้มละมุนให้กับตู้ฮั่น ชายผู้ภักดีของครอบครัวบิดา
“ตกลง ท่านปู่ทั้งสอง พี่ม่อเหลียว ท่านลุงอู๋ เรากลับบ้านกันเถอะ” “ไม่ได้! ชู่เจากับม่อเหลียว คือคนของบ้านข้า” หนานเผิงปฏิเสธเสียงกร้าว “ไหนหลักฐาน หากไม่มี ก็อย่าได้พูดไปเรื่อย” แม้จะเป็นคำพูดที่ไม่ได้ดังเหมือนตะโกน ทว่ามันกลับทำให้คนฟังเริ่มหวาดหวั่นอยู่ภายในใจ “ข้าคือบิดา นี่คือหลักฐานชั้นดี” “หึๆ ข้านึกว่าน้องเขยของข้า คือบุตรชายท่านเสียอีก ท่านอาหนานเผิง” ต้วนอี้หลาง ชำเลืองมองไปด้านข้าง ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ ของชายผู้หนึ่งก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง แม้ว่าใบหน้าของเขาจะซูบตอบไปบ้าง จากการถูกจองจำ แต่ก็ยังคงดูสง่าเยี่ยงชาติกำเนิด “นายท่าน!” ตู้ฮั่น เรียกนายแท้จริงด้วยเสียงอันดัง เขาดวงตามืดบอดขนาดไหนกัน จึงจดจำนายของตนเองผิดไป “ขอบใจเจ้ามาตู้ฮั่น ที่ปกป้องบุตรชายข้ามาตลอด” หนานเผิงตัวจริง เอ่ยกับคนสนิท ที่ถูกล่อลวงจากคนชั่ว เขาเอ๊ะใจตั้งแต่วันที่ถูกกรีดเอาเลือดไปแล้ว เป็นอย่างนี้เอง บุตรชายของเขากลับมาแล้ว “พี่ใหญ่” ชู่เจาหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะดวงตาเป็นประกาย นั่นต่างหากน้องสาวขอ
ยี่สิบวันต่อมา ณ เมืองหลวงแคว้นหนาน ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ ม่อเหลียวยืนประจันหน้า กับคนที่อ้างตนเอง ว่าเป็นพ่อแม่ของเขา ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด เมื่อเวลานี้...สตรีที่เขาเรียกมารดามาร่วมเดือน กำลังเอามีสั้นจ่อที่ลำคอท่านลุงของเขาอยู่ “ข้าคือมารดาของเจ้า แต่ทุกอย่างเจ้ากลับฟังเขา เช่นนั้นเขาก็ไม่ควรที่จะอยู่ ขัดขวางเราแม่ลูกจริงไหม ม่อเหลียว” ชู่จิ่นเอ่ยกับบุตรชาย ด้วยรอยยิ้มอย่างคนจิตวิปลาส ทว่าสองลุงหลานที่สบตากัน กลับยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีตื่นกลัว แม้ว่าจะยืนอยู่ภายใต้คนอาวุธ “เจ้ามิใช่น้องสาวของข้า อย่าได้มาเรียกหลานชายข้าว่าลูก” ชู่เจาเอ่ยกับคนที่จ่อมีดสั้น ที่ลำคอของเขา ด้วยน้ำเสียงอันกร้าวกระด้าง สตรีผู้นี้เป็นตัวปลอม ต่อให้เขามิได้พบหน้าน้องสาวมานาน เขาก็รู้ได้ว่านี่มิใช่ชู่จิ่น “ท่านมิได้อยู่กับข้ามานาน รู้ได้อย่างไรว่าข้ามิใช่ชู่จิ่น” คนถามแม้จะใช้น้ำเสียงเป็นปกติ แต่ภายในใจนั้นกำลังตื่นกลัวอย่างที่สุด นางไม่เชื่อว่าตาแก่นี่ จะรู้ถึงตัวตนของคนที่ไม่พบหน้ากันมาหลายสิบปี “ข้าเลี้ยงนางมากับมือ เ
“ไยหน้าแดงเล่า ไม่สบายตรงไหนหรือไม่” “ไม่เจ้าค่ะ ข้าอยากอาบน้ำ” “รอข้ากลับมาเจ้าค่อยอาบ เจ้าหน้ามืดบ่อย ไม่ควรที่จะเดินไปไหนเลย” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวเอนกายลงนอน ตามการประคองของสามี ก่อนจะใบหน้าแดงก่ำประหนึ่งท้อสุก เมื่อสามีประทับจูบนางอย่างอ่อนโยน ต้วนอี้หลางดึงผ้าห่มคลุมกายให้ภรรยา ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เพื่อต้มโจ๊กให้ภรรยา “นายท่าน ท่านแม่ทัพเหนือมาขอพบขอรับ” “เขามาแล้วหรือ ให้ไปพบข้าที่ห้องครัว” ชายหนุ่มสั่งการก่อนจะก้าวตรงไปที่ห้องครัว โดยไม่สนมารยาทการเชื้อเชิญแขก “นายท่าน” ผู้ติดตามและบ่าวไพร่ที่กำลังง่วนอยู่ในห้องครัว ต่างเอ่ยเรียกขานผู้เป็นนาย ก่อนจะหลีกทางให้แก่ชายหนุ่ม ต้วนอี้หลาง เดินไปหยิบหาสิ่งของทั้งหมด มาวางอยู่ข้างๆ เตา เพื่อลงมือทำทุกขั้นตอนให้ลูกเมียด้วยตนเอง เช่นที่บิดาทำให้มารดา ในตอนที่นางตั้งครรภ์น้องชายคนเล็ก “ช่างเป็นพ่อบ้านที่รักลูกเมียยิ่งนัก” เป็นคำพูดของคนที่โผล่หน้าผ่านหน้าต่างเข้ามา ชะโงกมองว่าเจ้าบ้านกำลังทำสิ่งใดอยู่ “เหอะ! ข้ามาถึงตั้งนาน เจ้าเพิ่ง
หมับ! ทว่าในตอนที่นางถูกผลักดันให้ถอยออกไปหน้าเรือน จนเกือบจะพลาดตกลงบันได้หน้าเรือน ร่างงามก็ถูกรับเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที ด้วยอ้อมกอดอันคุ้นเคย ฉึก! และมันรวดเร็วจนผู้ที่รุกไล่ มิทันได้คาดคิดและตั้งรับ กลางอกของเขาถูกดาบใหญ่แทงทะลุ ก่อนที่ร่างของเขาจะเซถอยไปด้านหลัง เมื่อดาบในมือของผู้มาใหญ่ ถูกดึงออกจากร่างของเขา “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่” น้ำเสียงที่อ่อนโยนของสามี ทำให้หญิงสาวรุ้สึกอุ่นใจขึ้นมามากทีเดียว ก่อนที่นางจะซบใบหน้ากับอกของสามี ดวงตาที่หมุนวน ราวทุกอย่างกำลังกลับหัว ได้หลับลงอย่างวางใจ ต่อเจ้าของอ้อมแขนนี้ “เจ้า!” “ภรรยาข้า ใครให้สวะเยี่ยงเจ้ามาแตะต้อง!” ต้วนอี้หลาง เอ่ยกับคนที่กำลงัจะตาย ด้วยน้ำเสียงกร้าวกระด้าง แววตาที่ตวัดมองไปยังคนผู้นั้น ไร้ซึ่งคำว่าเมตตาฉายให้เห็น “นางไม่คู่ควรต่อตราพยัคฆ์หมอกสักนิด” ชายสวมหน้ากากเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน แต่กระนั้นเขาก็ยังไร้โอกาสได้ครอบครอง สิ่งที่จะเบิกเส้นทางให้เขา กลับสู่อำนาจ เขายอมแม้แต่จะคบค้า กับทายาทจากราชวงศ์ก่อน เพื่อล้มล้างน้องชาย แล้วกล
ชายวัยกลางคน ที่ยืนสบจากับชายหนุ่มอ่อนวัยกว่า หรี่ตามองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกใจ เพราะชายหนุ่มทำเหมือนรู้จักเขาอย่างไรอย่างนั้น “ราชบุตรเขยฝีมือไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” ชายต่างแคว้นเอ่ยกับคนตรงหน้า เขาแค่ทดสอบว่าอีกฝ่าย จะไหวตัวทันหรือไม่ผลคือ ทั้งรวดเร็วและฉับไว ทีหน้าแปลกคือการหลบหลีกของชายหนุ่ม ช่างเหมือนคนที่เขาคุ้นเคย “ยินที่ดีได้พบกันอีกครั้ง” “หือ!”ชายวัยกลางคนทำเสียงในลำคอ ก่อนจะพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ ทั้งที่ยังงงอยู่ว่าเคยพบกับชายหนุ่มตอนไหน แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ขบคิด ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเชร้ง! ชายวัยกลางคนถึงกับดวงตาเบิกกว้าง การโต้ตอบนนี้ มันช่างเหมือนกันกับศิษย์พี่ของเขาเลย ปึก! ฝ่ามือหน่ากระแทกเข้าที่กลางอกของชายจากแคว้นฉิน ทำให้ร่างนั้นกระเด็นไปไกลโครม! โต๊ะที่อยู่ข้างหลังหักแยกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อร่างสูงใหญ่ตกกระทบ“ความเผลอเลอ จะทำให้เจ้าพลาด”ต้วนอี้หลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ชายติที่แล้วเขาวางใจคนผู้นี้เป็นที่สุด ไหนเลยวันนี้จึงพบอีกฝ่าย มาอยู่ในฝ่ายตรงข้ามได้ ไรซึ่งฉนวดเหตุ นอกจากว่าที่ผ่านมา ศิษย์ผ