ยี่สิบวันต่อมา ณ โรงหมอสกุลต้วน
ร่างผอมแห้ง ยังคงนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง โดยมีสายตาของหมอชราคอยเฝ้ามอง ยี่สิบวันก่อน ไม่รู้เพราะคำของหลวงจีนชรา หรือเพราะอยากพิสูจน์ คำพูดของหลวงจีน ที่ได้บอกแก่เขา
ว่าหากอยากมีทายาท ที่นำพาความรุ่งโรจน์มาให้ จงไปที่ตรอกท้ายตลาด เมื่อมีผู้ตกทุกข์อย่านิ่งนอนใจ ให้ยื่นมือช่วยเหลือ คนจากทางไกลตื่นมาเมื่อไหร่ จะนำพาให้เขาและภรรยามั่งมีไปจนชีวิตจะหาไม่
วันนั้นเขาและภรรยา จึงเดินไปตามคำบอกเล่านั้น ถือเสียว่าไปเดินเล่นรับลมกัน และได้เห็นขุนนางจากเมืองหลวง กับภรรยา กำลังสั่งให้คนทุบตีขอทานแม่ลูกอย่างโหดร้าย เขาจึงได้ยื่นมือเข้าช่วย โดยอ้างกฎหมายบ้านเมือง จึงทำให้สามีภรรยาใจอำมหิตนั้นล่าถอยไป
แต่ก็ยังมิวายที่จะมีคน มาคอยสอดส่องความเป็นไปในโรงหมอของเขาอยู่เป็นระยะ จนได้รู้ถึงที่มาของขอทานแม่ลูก จากปากของหญิงชราคนหนึ่ง ที่ได้มาอ้างตน ว่าเป็นแม่นมของขอทานสาว และเด็กอีกสองคน คือคู่แฝดของลูกชายขอทาน
และที่เขายินยอมเชื่อ เพราะเด็กอีกสองคน มีใบหน้าพิมพ์เดียวกันกับเด็กที่บาดเจ็บ ยิ่งเมื่อรู้สาเหตุของเรื่องราว ความสงสารต่อคนทั้งห้าก็มีมากขึ้นไปอีก เขาจึงยินดีรักษานาง โดยให้หญิงชราและเด็กแฝด มาช่วยงานที่โรงหมอ
แม้เขาไม่มีเงินทองอะไรมากมาย แต่ก็ยังไม่ถึงกับอดอยาก ข้าวปลาอาหารก็พอแบ่งกันให้อิ่มท้องได้ครบทุกคน ยิ่งเมื่อนึกถึงคำของหลวงจีนชรา เขาก็อดคิดตามไม่ได้
ประวัติของหญิงขอทาน นับว่ามีพื้นฐานชีวิตที่ดีมาก่อน มิว่าความรู้หรือมารยาท ย่อมถอดแบบชนชั้นสูงมา บางทีนี่อาจทำให้เขาสมหวังในเรื่องผู้สืบสกุล อย่างน้อยๆ นางก็มีบุตรชายถึงสองคน ภรรยาของเขาจะได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง หลังจากกล่าวโทษตนเองมานานหลายสิบปี
“ท่านพี่ นางสองแม่ลูก จะผ่านคืนนี้ไปได้ไหมเจ้าคะ”
ต้วนฮูหยินเอ่ยถามสามี นางเองก็ได้ฟังเรื่องที่ไต้ซือหลงอ้ายบอกแก่สามีเช่นกัน แต่ดูจากอาการของหญิงขอทาน กับบุตรชายแล้ว มันห่างไกลคำว่าจะตื่นขึ้นมายิ่งนัก
“สิ่งที่ไต้ซือบอกมานั้น คือความหวังของเรา แต่ในฐานะหมอแล้ว ข้าอยากทำให้เต็มที่”
“อันที่จริงเราอยู่กันสองคนผัวเมีย ก็มิลำบากอันใด ความมั่งมีที่ว่ามา มันก็ไม่ได้จำเป็นสักนิด”
ใช่ว่านางไม่คาดหวัง แต่นางก็กลัวว่าสองแม่ลูก จะต่อสู้กับชะตาต่อไม่ไหว จึงไม่อยากที่จะวาดหวังให้มากจนเกินไป เลยต้องแสร้งพูด เหมือนไม่เชื่อในคำของหลวงจีน ทั้งที่ในใจลึกๆ นางก็อยากให้สองแม่ลูกตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวความผิดหวัง หากนางสองแม่ลูกไม่อาจสู้ต่อชะตาได้ เด็กน้อยอีกสองคนนั่นเล่า เจ้าไม่คิดว่าพวกเขา จะเป็นคนที่ไต้ซือบอกเราหรือ”
ชายชราพูดกับภรรยา ด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม ใบหน้าระบายยิ้มให้นางด้วยความรักใคร่ ทว่าต้วนฮูหยินกลับก้มหน้าเล็กน้อย นางรู้ดีว่าการที่ไร้ทายาทสืบสกุล ทำให้สามีต้องถูกหยามหมิ่น จากครอบครัวมากเพียงใด จนในที่สุดก็ถูกมอบหนังสือแยกบ้านจากพ่อสามี ความผิดทั้งหมดหาใช่เกิดที่เขา แต่เป็นตัวนางที่มิอาจมีลูกได้
เพราะความรักทั้งสิ้น ทำให้สามีไม่รับอนุ ไม่ยอมให้หญิงใดมาแทรกระหว่างนางกับเขา ชีวิตของเขาต้องตกต่ำ เพราะนางเพียงคนเดียวจริงๆ
“ยายแก่ เจ้าคิดสิ่งใดเรื่อยเปื่อยอีกแล้ว”
ชายชราใช้มือช้อนคางภรรยา ให้เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ตลอดสามสิบปีมานี้ เขาไม่เคยคิดว่ามันคือความผิดของนางเลย
“ข้าแค่...แค่รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมด มันมาจากข้าเจ้าค่ะ”
“อย่าคิดไร้สาระ การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งยากยิ่งนัก สู้เรามีลูกที่โตแล้วเยี่ยงนาง หรือคู่แฝดนั่น ไม่ดีกว่าหรอกหรือ”
ต้วนฮูหยิน มองไปทางขอทานสาว ที่นอนไร้สติอยู่บนเตียง ก่อนจะหันกลับมามองสามี ด้วยมิอยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“นางมีสภาพเช่นนี้ ท่านยังคาดหวังอีกหรือเจ้าคะ”
“หึๆ ภรรยาข้า โลกนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าบางเรื่องมันจะเหนือความคาดหมายก็ตามที”
“แค่กๆ”
ทว่าเสียงไอแห้งๆ จากคนที่หายใจรวยรินมากว่ายี่สิบวัน พลันเรียกให้สองสามีภรรยา ให้ลุกขึ้นก้าวไปที่เตียงนอน ด้วยหัวใจอันพองโต เพราะความหวัง มันเริ่มเป็นรูปร่างขึ้นมาบ้างแล้ว
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
คำถามที่ใช้ภาษาและสำเนียง แตกต่างจากความคุ้นเคย ทำให้คนที่เพิ่งลืมตาตื่น ต้องหันมองด้วยความรู้สึกงุนงง แต่ก็ยังคงนิ่งเอาไว้ก่อน เธอหลุดมาในโลกของนิยายเหรอ เพราะความตายที่เธอได้รับ มันไม่มีทางเป็นความฝันอย่างแน่นอน
ถ้าหลับแล้วตื่นขึ้นในบ้านเดิม จากโลกยุคอนาคต เธอถึงจะเชื่อว่าเรื่องของสามีกับน้องชาย มันเป็นแค่เธอฝันไปเท่านั้น แต่ตราบใดที่เธอยังรู้สึกว่าตัวเองยังหายใจอยู่ และไม่ได้อยู่ในยุคเดิมที่คุ้นเคย มันคืออีกชีวิตหลังความตายสำหรับเธอ
พี่ม่อเหลียว เราควรกลับบ้านกันได้แล้วนะขอรับ รถม้าและทุกอย่างสำหรับเดินทาง พร้อมแล้ว” ต้วนอี้หลาง เอ่ยกับว่าที่น้องเขย ด้วยรอยยิ้มกว้าง เขาได้คุยกับพ่อแม่ของชายหนุ่มแล้ว ว่าจะพากลับไปยังแคว้นจ้าว และทั้งสองคนก็ยินดี ที่จะตามเขากลับไป ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่วุ่นวายกับอำนาจเหล่านี้อีก “ขอรับ” ม่อเหลียวตอบรับอย่างยินดี โดยไม่คิดที่จะถามอะไรให้มาก เพราะถ้าคุณชายใหญ่พูดแบบนี้ นั่นหมายความว่าได้ตกลง กับพ่อแม่ของเขาดีแล้ว ส่วนเรื่องที่คุณชายใหญ่ ไปพบพ่อแม่ของเขาได้อย่างไร เขาไม่คิดถามเช่นกัน เพราะอย่างไรคุณชายก็ต้องเล่าสู่เขาฟังอยู่ดี “ทำความสะอาดซะ เราจะออกเดินทางกันแล้ว” ต้วนอี้หลางสั่งการกับคนของเขา ก่อนจะประคองน้องสาวละน้องชาย เพื่อที่จะออกจากที่นี่ “นายท่าน พวกข้าไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ” ตู้ฮั่น เอ่ยถามผู้เป็นนาย หนานเผิงหันไปมองหน้าบุตรชาย ก่อนจะมองไปที่ตู้ฮั่นอีกครั้ง “หากท่านอาตู้ไม่คิดเรื่องอำนาจ ข้าย่อมไม่ขัดข้องขอรับ” เป็นม่อเหลียวที่เอ่ยขึ้น ก่อนจะคลี่ยิ้มละมุนให้กับตู้ฮั่น ชายผู้ภักดีของครอบครัวบิดา
“ตกลง ท่านปู่ทั้งสอง พี่ม่อเหลียว ท่านลุงอู๋ เรากลับบ้านกันเถอะ” “ไม่ได้! ชู่เจากับม่อเหลียว คือคนของบ้านข้า” หนานเผิงปฏิเสธเสียงกร้าว “ไหนหลักฐาน หากไม่มี ก็อย่าได้พูดไปเรื่อย” แม้จะเป็นคำพูดที่ไม่ได้ดังเหมือนตะโกน ทว่ามันกลับทำให้คนฟังเริ่มหวาดหวั่นอยู่ภายในใจ “ข้าคือบิดา นี่คือหลักฐานชั้นดี” “หึๆ ข้านึกว่าน้องเขยของข้า คือบุตรชายท่านเสียอีก ท่านอาหนานเผิง” ต้วนอี้หลาง ชำเลืองมองไปด้านข้าง ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ ของชายผู้หนึ่งก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง แม้ว่าใบหน้าของเขาจะซูบตอบไปบ้าง จากการถูกจองจำ แต่ก็ยังคงดูสง่าเยี่ยงชาติกำเนิด “นายท่าน!” ตู้ฮั่น เรียกนายแท้จริงด้วยเสียงอันดัง เขาดวงตามืดบอดขนาดไหนกัน จึงจดจำนายของตนเองผิดไป “ขอบใจเจ้ามาตู้ฮั่น ที่ปกป้องบุตรชายข้ามาตลอด” หนานเผิงตัวจริง เอ่ยกับคนสนิท ที่ถูกล่อลวงจากคนชั่ว เขาเอ๊ะใจตั้งแต่วันที่ถูกกรีดเอาเลือดไปแล้ว เป็นอย่างนี้เอง บุตรชายของเขากลับมาแล้ว “พี่ใหญ่” ชู่เจาหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะดวงตาเป็นประกาย นั่นต่างหากน้องสาวขอ
ยี่สิบวันต่อมา ณ เมืองหลวงแคว้นหนาน ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ ม่อเหลียวยืนประจันหน้า กับคนที่อ้างตนเอง ว่าเป็นพ่อแม่ของเขา ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด เมื่อเวลานี้...สตรีที่เขาเรียกมารดามาร่วมเดือน กำลังเอามีสั้นจ่อที่ลำคอท่านลุงของเขาอยู่ “ข้าคือมารดาของเจ้า แต่ทุกอย่างเจ้ากลับฟังเขา เช่นนั้นเขาก็ไม่ควรที่จะอยู่ ขัดขวางเราแม่ลูกจริงไหม ม่อเหลียว” ชู่จิ่นเอ่ยกับบุตรชาย ด้วยรอยยิ้มอย่างคนจิตวิปลาส ทว่าสองลุงหลานที่สบตากัน กลับยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีตื่นกลัว แม้ว่าจะยืนอยู่ภายใต้คนอาวุธ “เจ้ามิใช่น้องสาวของข้า อย่าได้มาเรียกหลานชายข้าว่าลูก” ชู่เจาเอ่ยกับคนที่จ่อมีดสั้น ที่ลำคอของเขา ด้วยน้ำเสียงอันกร้าวกระด้าง สตรีผู้นี้เป็นตัวปลอม ต่อให้เขามิได้พบหน้าน้องสาวมานาน เขาก็รู้ได้ว่านี่มิใช่ชู่จิ่น “ท่านมิได้อยู่กับข้ามานาน รู้ได้อย่างไรว่าข้ามิใช่ชู่จิ่น” คนถามแม้จะใช้น้ำเสียงเป็นปกติ แต่ภายในใจนั้นกำลังตื่นกลัวอย่างที่สุด นางไม่เชื่อว่าตาแก่นี่ จะรู้ถึงตัวตนของคนที่ไม่พบหน้ากันมาหลายสิบปี “ข้าเลี้ยงนางมากับมือ เ
“ไยหน้าแดงเล่า ไม่สบายตรงไหนหรือไม่” “ไม่เจ้าค่ะ ข้าอยากอาบน้ำ” “รอข้ากลับมาเจ้าค่อยอาบ เจ้าหน้ามืดบ่อย ไม่ควรที่จะเดินไปไหนเลย” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวเอนกายลงนอน ตามการประคองของสามี ก่อนจะใบหน้าแดงก่ำประหนึ่งท้อสุก เมื่อสามีประทับจูบนางอย่างอ่อนโยน ต้วนอี้หลางดึงผ้าห่มคลุมกายให้ภรรยา ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เพื่อต้มโจ๊กให้ภรรยา “นายท่าน ท่านแม่ทัพเหนือมาขอพบขอรับ” “เขามาแล้วหรือ ให้ไปพบข้าที่ห้องครัว” ชายหนุ่มสั่งการก่อนจะก้าวตรงไปที่ห้องครัว โดยไม่สนมารยาทการเชื้อเชิญแขก “นายท่าน” ผู้ติดตามและบ่าวไพร่ที่กำลังง่วนอยู่ในห้องครัว ต่างเอ่ยเรียกขานผู้เป็นนาย ก่อนจะหลีกทางให้แก่ชายหนุ่ม ต้วนอี้หลาง เดินไปหยิบหาสิ่งของทั้งหมด มาวางอยู่ข้างๆ เตา เพื่อลงมือทำทุกขั้นตอนให้ลูกเมียด้วยตนเอง เช่นที่บิดาทำให้มารดา ในตอนที่นางตั้งครรภ์น้องชายคนเล็ก “ช่างเป็นพ่อบ้านที่รักลูกเมียยิ่งนัก” เป็นคำพูดของคนที่โผล่หน้าผ่านหน้าต่างเข้ามา ชะโงกมองว่าเจ้าบ้านกำลังทำสิ่งใดอยู่ “เหอะ! ข้ามาถึงตั้งนาน เจ้าเพิ่ง
หมับ! ทว่าในตอนที่นางถูกผลักดันให้ถอยออกไปหน้าเรือน จนเกือบจะพลาดตกลงบันได้หน้าเรือน ร่างงามก็ถูกรับเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที ด้วยอ้อมกอดอันคุ้นเคย ฉึก! และมันรวดเร็วจนผู้ที่รุกไล่ มิทันได้คาดคิดและตั้งรับ กลางอกของเขาถูกดาบใหญ่แทงทะลุ ก่อนที่ร่างของเขาจะเซถอยไปด้านหลัง เมื่อดาบในมือของผู้มาใหญ่ ถูกดึงออกจากร่างของเขา “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่” น้ำเสียงที่อ่อนโยนของสามี ทำให้หญิงสาวรุ้สึกอุ่นใจขึ้นมามากทีเดียว ก่อนที่นางจะซบใบหน้ากับอกของสามี ดวงตาที่หมุนวน ราวทุกอย่างกำลังกลับหัว ได้หลับลงอย่างวางใจ ต่อเจ้าของอ้อมแขนนี้ “เจ้า!” “ภรรยาข้า ใครให้สวะเยี่ยงเจ้ามาแตะต้อง!” ต้วนอี้หลาง เอ่ยกับคนที่กำลงัจะตาย ด้วยน้ำเสียงกร้าวกระด้าง แววตาที่ตวัดมองไปยังคนผู้นั้น ไร้ซึ่งคำว่าเมตตาฉายให้เห็น “นางไม่คู่ควรต่อตราพยัคฆ์หมอกสักนิด” ชายสวมหน้ากากเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน แต่กระนั้นเขาก็ยังไร้โอกาสได้ครอบครอง สิ่งที่จะเบิกเส้นทางให้เขา กลับสู่อำนาจ เขายอมแม้แต่จะคบค้า กับทายาทจากราชวงศ์ก่อน เพื่อล้มล้างน้องชาย แล้วกล
ชายวัยกลางคน ที่ยืนสบจากับชายหนุ่มอ่อนวัยกว่า หรี่ตามองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกใจ เพราะชายหนุ่มทำเหมือนรู้จักเขาอย่างไรอย่างนั้น “ราชบุตรเขยฝีมือไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” ชายต่างแคว้นเอ่ยกับคนตรงหน้า เขาแค่ทดสอบว่าอีกฝ่าย จะไหวตัวทันหรือไม่ผลคือ ทั้งรวดเร็วและฉับไว ทีหน้าแปลกคือการหลบหลีกของชายหนุ่ม ช่างเหมือนคนที่เขาคุ้นเคย “ยินที่ดีได้พบกันอีกครั้ง” “หือ!”ชายวัยกลางคนทำเสียงในลำคอ ก่อนจะพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ ทั้งที่ยังงงอยู่ว่าเคยพบกับชายหนุ่มตอนไหน แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ขบคิด ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเชร้ง! ชายวัยกลางคนถึงกับดวงตาเบิกกว้าง การโต้ตอบนนี้ มันช่างเหมือนกันกับศิษย์พี่ของเขาเลย ปึก! ฝ่ามือหน่ากระแทกเข้าที่กลางอกของชายจากแคว้นฉิน ทำให้ร่างนั้นกระเด็นไปไกลโครม! โต๊ะที่อยู่ข้างหลังหักแยกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อร่างสูงใหญ่ตกกระทบ“ความเผลอเลอ จะทำให้เจ้าพลาด”ต้วนอี้หลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ชายติที่แล้วเขาวางใจคนผู้นี้เป็นที่สุด ไหนเลยวันนี้จึงพบอีกฝ่าย มาอยู่ในฝ่ายตรงข้ามได้ ไรซึ่งฉนวดเหตุ นอกจากว่าที่ผ่านมา ศิษย์ผ