ต้วนฮูหยินช่วยพยุงหญิงสาว ให้ลงจากเตียงนอนอย่างอ่อนโยน ประหนึ่งมารดาดูแลบุตร
“ฮูหยิน”
“ว่าอย่างไร”
“ข้ายังมีแม่นม กับบุตรชายหญิงอีกสองคนเจ้าค่ะ”
“เจ้าวางใจ พวกเขาอยู่ที่โรงหมอนี้เช่นกัน ประเดี๋ยวคงพากันมาหาเจ้า แม่นมหวังกำลังเฝ้าบุตรชายเจ้าอยู่อีกห้อง”
“ข้าน้อยมิรู้จะตอบแทนเมตตานี้ ของท่านหมอกับฮูหยินเช่นไรได้เจ้าค่ะ”
“รู้อ่อนน้อมนัก มาเถอะข้าจะช่วยเจ้าเอง เสื้อผ้าของเจ้าข้าจะให้คนนำมาให้”
อี้หรู รู้ดีว่ายุคสมัยนี้ คนที่จะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ต้องรู้ก้มหน้าในยามอับจน ต่อให้เป็นชนชั้นสูงก็ต้องรู้ถ่อมตัว เจ้าของร่างชำนาญในแบบสตรีในหอห้อง แต่นางมีความรู้รอบด้าน เมื่ออยู่ในโรงหมอแล้วเช่นนี้ ก็ต้องใช้ความรู้หางานทำเสียเลย
มีงานก็มีเงิน ความอดยากก็จะเริ่มหายไปเอง ชีวิตเดิมนางก็มิได้ร่ำรวยแต่แรก ต้องสู้ฝ่าฟันเพื่อลบคำว่าลูกสาว ไม่มีคุณค่า ในชีวิตใหม่ต่างโลก นางจะต้องทำให้ตัวเองมีคุณค่า ที่บุรุษมิอาจเอื้อมเช่นกัน
อี้หรู ค่อยๆ ก้าวลงไปในอ่างน้ำ ที่ใหญ่พอให้ลงแช่ได้ถึงสองคน ความอุ่นซ่านที่แผ่กระจายไปตามร่าง ที่ค่อยๆ จมลงไปในน้ำจนมิดศีรษะ หญิงสาวซึมซับความอุ่นร้อนนั้น เพื่อตอกย้ำว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป
ต้วนฮูหยินไม่ได้เอ่ยทัดทานหญิงสาว นางเลือกที่จะเดินไปเตรียมผ้าสำหรับเช็ดตัวให้แก่หญิงสาว มันคือโชคชะตาอย่างแท้จริง ปกติแล้วนางมิเคยให้สาวใช้ เตรียมน้ำร้อนเลยสักวัน แต่วันนี้นางกลับสั่งให้ต้มน้ำ ส่งมาที่ห้องนี้ ก่อนที่หญิงสาวจะตื่นเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูป
หากนี้มิใช่วาสนาที่จะมีต่อกัน ไยมันจะประจวบเหมาะได้ถึงเพียงนี้ นางไม่ต้องการสิ่งใดเลย นอกจากมีลูกหลานไว้คอยพูดคุยยามแก่เฒ่า เงินทองแม้ไม่มากมาย แต่ก็หาได้ขัดสน จึงไม่ใช่สิ่งที่รบกวนใจนาง เท่ากับไร้ลูกหลานเคียงข้างในยามแก่เฒ่า
ครึ่งชั่วยามต่อมา อี้หรูได้มานั่งอยู่ในห้องของบุตรชาย โดยมีบุตรชายหญิงอีกสองคน คอยเฝ้าจับจ้องนางมิวางตา นี่ล่ะน่า...ความสัมพันธ์แม่ลูก เมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น จะสามารถรับรู้ได้ไวยิ่งนัก
แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อตอนนี้นางคือมารดาของพวกเขา นอกจากความตายแล้วจะมีสิ่งใด มาแยกวิญญาณนางออกจากร่างนี้ได้เล่า
“พวกเจ้าไยไม่กินอะไรเลย ทำไมเอาแต่จ้องแม่เช่นนี้เล่า”
หญิงสาวเอ่ยถามคู่แฝดออกไป นางไม่เคยมีลูก จึงไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ให้เด็กๆ วางใจในตัวของนาง
“เราแค่อยากมั่นใจ ว่าท่านแม่จะไม่หายไปไหนอีกเจ้าค่ะ”
คำพูดของบุตรสาว ทำให้อี้หรูถึงกับจุกในอก เด็กที่น่าสงสาร ยังไม่ทันเอาชีวิตรอดในโลกอันโหดร้ายได้เพียงลำพัง ก็ต้องมาพลัดพรากจากมารดา
ถือเสียว่านางทดแทนเจ้าของร่าง ที่ให้นางได้หายใจต่ออีกครั้ง นางจะเป็นปีกที่คุ้มภัยให้กับสามพี่น้องนี้เอง เพราะถึงจะไม่อยากทำ ก็ต้องทำตามหน้าที่ของแม่อยู่ดี
“หลิงเอ๋อร์ มานี่มา...”
หญิงสาวกางแขนออกรับร่างของบุตรสาว ก่อนจะกอดกระชับให้แน่นๆ เพื่อยืนยันว่านางจะไม่หายไปที่ใดอีก บางทีการมีลูกโดยไม่ต้องคลอดเอง ก็ดีไปอีกแบบ นางไม่อยากเจ็บปวดตอนคลอด ในยุคที่การแพทย์ยังล้าหลัง มันทั้งอันตรายและน่ากลัว
“ท่านแม่ อี้หลงไม่ได้คิดทอดทิ้งท่านแม่เลยนะขอรับ”
“มานี่มา...”
หญิงสาวโอบร่างบุตรชายให้แนบอก นางเข้าใจดีว่าคู่แฝดคิดว่าการที่ไม่ออกไปช่วยมารดา คือการทอดทิ้ง แต่มันคือเรื่องที่ดีต่างหาก เพราะมันจะสูญเปล่าทันที ถ้าเจ้าของร่างต้องเสียลูกไปพร้อมกันทั้งสามคน
“เด็กโง่...ไยคิดเช่นนั้น ตอนนี้เจ้ายังเด็ก แม่จึงต้องปกป้องพวกเจ้า แต่วันใดที่พวกเจ้าเติบใหญ่ แม่แก่ชราลง เมื่อนั้นเป็นพวกเจ้าที่ต้องปกป้องแม่”
“แล้วพี่ใหญ่เล่าเจ้าคะ”
“พี่ใหญ่ของพวกเจ้า คือบุตรชายคนโต เขาต้องเสียสละหลายสิ่งอย่าง เพื่อแม่และพวกเจ้า ฉะนั้นต่อไปพี่ชายเจ้าคอยชี้แนะสิ่งใด อย่าได้ดื้อดึงเป็นอันขาด เว้นเสียแต่เรื่องนั้นคือความเลวร้าย พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟัง เข้าใจไหม”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
“ไปกินข้าวกันได้แล้ว หากพี่ชายเจ้าตื่นมาเห็นน้องๆ ตัวผอมแห้งคงไม่สบายใจเป็นแน่”
หญิงสาวคลายอ้อมกอด ปล่อยให้ลูกๆ ไปกินข้าว ก่อนที่จะหันไปมองบุตรชายคนโต ที่ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ชะตาพานางข้ามมิติมาเสียไกลได้ แล้วไยสวรรค์ ไม่เมตตาให้เด็กคนนี้ตื่นขึ้นบ้างเล่า…
“ถ้าข้าตอบรับข้อเสนอ ชีวิตของพวกเขา จะยังรอดอยู่หรือไม่”ใช้เวลาอยู่พอสมควร กว่าที่ชูหลี่จะเอ่ยออกมา พร้อมกับเงยหน้าสบตากับคนที่สังหารน้องชายของเขา คนก็ต่ายไปแล้ว จะให้เขาลากคนที่เหลืออยู่ตายตามไปได้อย่างไร“แน่นอน...แต่ข้าก็มีข้อแม้เช่นกัน”แม่ทัพหนุ่มตอบรับ พร้อมกับมีข้อแลกเปลี่ยนสำหรับคนที่เหลือ เขาต้อวรัดกุมในหลายๆ เรื่อง ส่วนคนพวกนี้จะทำลายขีดจำกัดนั้นหรือไม่ มิใช่เขาเป็นคนกำหนด แต่เป็นตัวของคนเหล่านี้เองทั้งสิ้น ที่จะตัดสินใจเองว่าจะทำอย่างไรกับชีวิต ที่เขามอบให้ในครั้งนี้“อะไร!”“หายไปจากแดนเหนือเสีย เพราะถ้าเรื่องที่ข้าให้เจ้าช่วยทำ ถูกแพร่งพรายออกไป เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าต้องทำเช่นไร”“ได้! ข้าจะให้พวกเขาไปจากที่นี่ ขอแค่ท่านรักษาสัญญา”“ข้าเป็นคนที่รักษาคำพูดเสมอ และมิใช่แค่ไปจากที่นี่ แต่ปากของพวกเจ้า ต้องปิดมันให้สนิท ทุกครั้งที่คิดจะหลุดปาก ถึงสิ่งใดก้ตามแต่ ให้คิดว่าลมหายใจของพวกเจ้าเข้าไว้ มันพร้อมที่จะหลุดลอยได้ในทันที ข้าไม่ใช่คนที่แค่เพียงข่มขู่ เพราะปกติแล้วข้าไม่ชอบการเสียเวลามาเจรจา มักลงมือทำในทันที”น้ำเสียงเย็นเยียบของแม่ทัพหนุ่ม เป็นอันเข้าใจดีสำหรับคนทั้งหก ว่า
“ข้าไม่รู้นี่ขอรับ พี่ใหญ่! เราจะทำอย่างไรกันดี”ชูถงถามพี่ชายด้วยอาการแตกตื่น ความพยายามที่จะเป็นคนสุขุมของเขา มันถูกทำลายนับตั้งแต่รู้จากปากพี่ชาย ว่าแม่ทัพแดนตะวันออกนั้น มิต่างจากมัจจุราช ดูได้จากอาการวาดกลัวของพี่ชาย เขาก็ไม่คู่ควรที่จะต่อกรกับชายผู้นั้นแล้ว“จะให้ทำอะไรได้ จะเดินหน้าหรือถอยหลังล้วนตายทั้งสิ้น ก็คงต้องลุยให้สุดกำลังเท่านั้น”ไม่มีคำว่าขวัญกำลังใจให้แก่กันเลย ระหว่างสองพี่น้อง เพราะตอนนี้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังยิ่งนัก ตอนนี้อยู่บนเขาทั้งเป็นยามค่ำคืน ยากนักที่จะขอกำลังสนับสนุนได้ทัน“ไม่แน่นะขอรับ เจ้าคนฉินนั่น อาจได้ตัวขององค์หญิงแล้ว หากเขากล้าลงมือ นางจะต้องตาย เฮ้ย! เจ้าได้ยินไหม! ว่าคนของข้าได้ตัวนางแล้ว ถ้าเจ้าคิดจะ...อึก”ยังไม่ทันจบประโยคใดๆ ลำคอของชูถงกลับมีเลือดสดๆ ฉีดพุ่งออกมาราวห่าฝน ก่อนที่ร่างของเขาจะล้มลง กระตุกถี่ๆ แล้วแน่นิ่งไป ดวงตาเขายังคงเบิกกว้าง ด้วยสิ้นใจอย่างกะทันหัน เลือดสีแดงสดค่อยๆ แผ่กระจายออกรอบกาย เปลี่ยนหิมะขาวโพลนให้เป็นสีเลือดแดงฉาน“ไม่!! เจ้าโง่! ใครให้เจ้าทิ้งพี่ไปแบบนี้”ชูหลี่รีบคุกเข่าลงกับพื้นเย็นเยียบ ประคองร่างน้องชายมาสวมกอด
“นี่ขอรับ เรายังมีอีกหลายไห เถ้าแก่มิต้องอดออมไปขอรับ ดื่มได้เต็มที่เลยขอรับ”ชายหนุ่มยกไหสุรารินให้แก่ชายสูงวัย ก่อนจะรินให้ตนเองและเหล่าสหาย รอยยิ้มที่ดูธรรมดาของชายหนุ่มทั้งห้า ไม่ได้เป็นที่ผิดสังเกตใดเลย สำหรับฉือจ้าวหนาน ที่เริ่มจะเรียกร้องให้รินสุราถี่ขึ้น“เนื้อกระต่ายป่า สักหน่อยไหมขอรับ”ชายหนุ่มอีกคนยื่นเนื้อกระต่าย ที่ย่างจนหอมกรุ่นมาให้แก่เจ้าของจุดพัก ฉือจ้าวหนานมีหรือจะปฏิเสธ เขารับขากระต่ายมากัดกิน สลับกับยกสุราหวานดื่มอย่างสำราญนานแค่ไหนแล้ว ที่เขาไม่ได้ดื่มแบบนี้ ชีวิตที่ต้องอยู่อย่างอดสู เพื่อสร้างผลงานให้เป็นที่เข้าตาผุ้มีอำนาจ เขาต้องอยู่เยี่ยงคนไร้ค่า ในสายตาของเหล่าลูกค้า ที่สัญจรผ่ามาพักแรมเวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ชายหนุ่มทั้งห้า เริ่มที่จะเอนกายลงนอนกับพื้นอันเย็นเยียบ ด้วยฤทธิ์สุรา มันทำให้พวกเขารู้สึกอบอุ่น จนไม่รู้สึกว่าพื้นใต้ร่างมันหนาวเย็น และตอนนี้พวกเขากำลังละเลยต่อหน้าที่ ปล่อยให้ความเมามายเข้าครอบงำทว่าฉือจ้าวหนาน กลับทำเพียงยกยิ้มอย่างมีความนัย เขายังคงดื่มสุราอีกหลายถ้วย ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ไม่หลังงองุ้มเหมือนที่ผ่านมา ดวงตาฉายแววสาแก่ใ
จุดพัก ณ ลานหิน ฟ้ามืดลงนานแล้ว แขกที่มาพักต่างพากันแยกย้ายกันไปนอน คงมีเพียงบ่าวติดตาม ที่อยู่เฝ้ายามกันสี่ห้าคนเท่านั้น มีเพียงเสียงฟื้นแตกดังเปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เป็นระยะ ดังแทรกความเงียบให้พอได้ยิน ทุกอย่างบนลานที่มีกระโจมตั้ง ล้วนตกอยู่ในสายตาของสองแม่ลูก ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินกลับไปส่วนของห้องพักแขกใช้เวลาเพียงเล็กน้อย สองแม่ลูกก็เดินทางถึงที่หมาย ทั้งคู่หันสบตากัน แล้วยิ้มอย่างพอใจ พวกเขาไม่สนใจว่าเชียนจิ้งอี้จะหายไปไหน ขอแค่คนที่พักอยู่ในห้องทั้งหมด เป็นไปตามแผนการที่วางเอาไว้เท่านั้น ก็เพียงพอแล้ว เพื่อความแน่ใจ ฉือจ้าวหนานได้เดินไปเอาหู แนบกับประตูห้องแรกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปยังอีกห้องด้วยฝีเท้าที่เบากริบ เมื่อไร้เสียงใดๆ เล้ดลอดออกมา เขาได้หันมาส่งยิ้มกว้างให้แก่มารดา เพราะดุเหมือนว่าแผนลวงของพวกเขา สำเร็จไปด้วยดีเชียนจิ้งอี้ก็แค่เหยื่อล่อ นางจะอยู่หรือตายเขาไม่คิดสนใจ ขอแค่เบี่ยงเบนความสนใจของแขกที่มาพัก ให้ลดความมระแวดระวังในตัวเขา กับมารดาไปได้เท่านั้นเป็นพอ ด้วยนิสัยของนาง คงทำเรื่องให้วุ่นวายตามวิสัย ป่านนี้คงถูกสังหารไปแล้วส่วนแขกที่มาพัก คงมั่นใจ
“เจ้าคิดว่าการข่มขู่ข้า มันจะได้ผลอย่างนั้นรึ! เจ้าคงลืมไปแล้วว่ามาแค่คนเดียว” อย่างไรเสีย...เขาก็คือหัวหน้าหน่วยลานตระเวน จะมาโง่เง้าให้คนแปลกหน้าลูบคมได้อย่างไร แม้ตำแหน่งของเขา จะได้มาเพราะอำนาจพี่ชาย แล้วมันอย่าไงรเล่า ยังไงเขาก็คือผู้นำ ที่จะไม่มีวันหลงกล ให้กับแผนการล่อลวง อันตื้นเขินนี้เป็นอันขาด รอให้พี่ชายเขามาถึง เจ้าคนโอหังนี้จะได้รู้ ว่าไม่ควรยุ่งกับเขา “อย่าได้เชื่อแค่ตาเห็น เพราะบางครั้ง...มันก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยออกมา ด้วยน้ำเสียงเนิบช้า เพราะไม่ว่าเขาจะรีบลงมือไปแค่ไหน เขาก็ต้องรอผู้มาสบทบของคนทั้งหกอยู่ดี สุ้สร้างความตื่นตระหนกให้อีกสักหน่อย เผื่อได้อะไรเพิ่มเติม จะได้ง่ายต่องานที่รออยู่เบื้องหน้า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”ชายผู้นั้นกวาดสายตาเลิ่กลัก มองไปรอบๆ ซึ่งมีเพียงความมืดและเงียบสงัดเท่านั้น ที่เป็นคำตอบในสายตาตอนนี้ แม้แต่เสียบงลมหายใจอื่นใด ยังไม่มีเล็ดลอดให้ได้ยิน “คิดว่าอย่างไรเล่า เห็นเจ้าเป็นคนชอบสังเกตมิใช่หรือ ไม่อย่างนั้นจะจดจำได้อย่างไร ว่าใครหน้าตาเหมือนไม่เหมือนกัน” แม่ทัพหนุ่ม
“โกหก! หากเจ้าเป็นเพียงผู้ผ่านทาง ไยต้องมาอยู่ตรงนี้ จุดพักมีไยไม่เข้าพัก”ชายผู้นั้นเอ่ยออกมาเสียงกร้าว นี่มันมิใช่เวลาที่นักเดินทาง จะออกมาเดินเสียหน่อย ช่างโกหกได้ไม่เนียนเลยจริงๆ“มีข้อกำหนดด้วยหรือ ว่าการเดินทางต้องพักตามเวลา”แม่ทัพหนุ่มแค่กำลังข่มขวัยคู่ต่อสู้ ด้วยการสนทนาที่เย็นเยียบ แค่เสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติของชายผู้นั้น และท่าทางจับด้ามอาวุธเสียจรเส้นเลือดปูดโปนนั่นอีก บอกได้ชัดว่ากำลังตื่นกลัว“อย่ามาโยกโย้ เจ้าต้องการสิ่งใดก็ว่ามา”“ได้สิ! จริงๆ แล้ว ข้าแค่อยากมาถามหาคนเท่านั้น ได้ยินว่าพวกเจ้าเคยพบเห็นคนผู้นั้น”แม่ทัพหนุ่มแสยะยิ้มเหี้ยม เขารอแค่คำตอบว่าเคยเห็นหรือไม่เท่านั้น แม้จะรู้อยู่แล้วว่าคนพวกนี้ เคยจับตามองน้องสาวของเขา แค่ความคิดของพวกมัน ก็ถือว่าล่วงเกินยัยตัวแสบของเขาไปแล้ว ยากนักที่เขาจะอภัยให้“ใครกัน! ที่นี่เมืองหน้าด่าน ผู้คนเข้าออกมากมาย ข้าจะไปจดจำหมดได้อย่างไรกัน”ชายที่เป็นหัวหน้า ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เริ่มรนราน เพราะหากคนที่อีกฝ่ายหมายถึง หญิงสาวที่พวกเขาเพิ่งพูดถึงไป ย่อมหมายความว่าชายแปลกหน้า ต้องเป็นหนึ่งในสามแฝดอย่างแน่นอน และนั่นเขาต้องเดา