และในจังหวะนั้นเอง ความทรงจำมากมายของหญิงสาวอีกคน พลันหลั่งไหลเข้ามาเหมือนสายน้ำเชี่ยว ไม่มีตรงไหนที่เรียกว่าความสุขเลย สำหรับผู้หญิงคนนี้
ตอนเด็กก็ถูกอบรมอย่างเข้มงวด เช่นผู้หญิงชนชั้นสูงของยุคโบราณ แต่พอแม่ตายไป ทุกอย่างก็ถูกช่วงชิง และพังทลายลงไปยิ่งกว่าดิ่งหัวลงสู่ก้นเหว มีลูกแฝดสามทั้งชายและหญิง มีแม่นมที่ภักดีอีกหนึ่งคน
ที่สำคัญไปกว่านั้น เจ้าของความทรงจำ ไม่ใช่ลูกที่ถูกสับเปลี่ยนมารักษาสถานะ อย่างที่ถูกกล่าวหา แต่เป็นบุตรสาวตัวจริง ที่มารดาได้ฟูมฟักมาเป็นอย่างดี
ยังคงหัวสมัยเก่าเต็มร้อยสินะ! จริงเท็จก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ ถ้าเธอต้องมาใช้ร่างกายนี้ดำเนินชีวิตต่อไป ไม่มีคำว่ายาจกในสารระบบของเธอ แม้แต่เสี้ยวเดียวอย่างแน่นอน
“อี้หรู เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง เจ้ายังได้ยินข้าอยู่หรือไม่”
เมื่อเห็นอาการเหมอลอยของหญิงสาว ท่านหมอต้วนจึงเอ่ยถามย้ำต่อนางอีกครั้ง เพราะจากร่างกายที่เจ็บสาหัส หากจะมีอาการมึนงงไปบ้าง ย่อมมิใช่เรื่องแปลกอันใด
“ที่นี่คือ...แล้วท่านทั้งสองคือผู้ใดกันเจ้าคะ แค่กๆ”
หญิงสาวเอ่ยถามออกไป ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ก่อนจะไอถี่ๆ เพราะคอของเธอในตอนนี้ เหมือนมีทรายสากอยู่เต็มลำคอ
“ดื่มน้ำสักหน่อยนะ”
ต้วนฮูหยิน เลือกที่จะยังไม่ตอบคำถามของหญิงสาว แต่นางได้รินน้ำใส่ถ้วย ยื่นไปจ่อริมฝีปากแห้งผาดนั้นแทน
หญิงสาวค่อยๆ ดื่มอย่างว่าง่าย ร่างกายนี้อ่อนแอมากจริงๆ เพราะแม้แต่แรง จะยกมือขึ้นถือแก้วน้ำเองยังไม่มีเลย หญิงสาวคิดอยู่ในใจ ว่านี่สวรรค์ต้องการกลั่นแกล้ง หรือให้โอกาสเธอได้ใช้ชีวิตอีกครั้งกันแน่
เพราะชื่อแซ่เจ้าของร่างกายนี้ เหมือนกับเธอ เว้นแต่อายุก็เท่านั้น ใบหน้าของคนต่างมิติก็เหมือนกัน ราวกับโคลนนิ่งออกมาอย่างไรอย่างนั้น แค่คนหนึ่งในตอนนี้ ซูบผอมด้วยอดอยาก ส่วนตัวเธอสวยในชีวิตเดิม สง่าราวนางหงส์ เพราะอยู่ดีกินสบาย
“ดีขึ้นไหม”
“เจ้าค่ะ”
“ที่นี่คือโรงหมอของข้าเอง”
“โรงหมอ...เอ่อ...ข้าเป็นเพียงขอทานยากไร้ คงไม่สามารถจ่ายค่ารักษาได้”
“หึๆ เจ้าอย่าได้กังวล เอาไว้หายดี เรื่องนี้เราค่อยคุยกัน แค่เจ้าตื่นมาได้ ข้าก็สุดแสนจะยินดีมากแล้ว เพราะมันบอกได้ว่าฝีมือข้ายังดีอยู่”
ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก เพื่อสร้างบรรยากาศให้มันไม่อมทุกข์
“ขอบคุณท่านหมอเจ้าค่ะ”
โครก! คราก! ทว่าเสียงแห่งความน่าอับอาย พลันดังแทรกการสนทนาขึ้นมาเสียอย่างนั้น หญิงสาวถึงกับใบหน้าแดงระเรื่อ เจ้าของร่างกินอยู่อย่างอดอยากมาโดยตลอด นี่ไม่รู้ว่านอนไปนานแค่ไหน ตื่นมาจะหิวมันก็ไม่แปลก
“เจ้าล้างหน้าล้างตารอข้าสักครู่ ข้าจะไปทำโจ๊กปลาให้เจ้ากินนะ”
ต้วนฮูหยินบอกหญิงสาว ด้วยน้ำเสียงอ่อนละมุน ยิ่งเห็นความมีมารยาท และถ้อยคำของคนที่มีการอบรมมาดี นางยิ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้มีบุตรสาวไว้ดูแล
“เอ่อ...ข้าสามารถอาบน้ำได้หรือไม่เจ้าคะ”
ความรู้สึกของนางในตอนนี้ มันเหนอะหนะอยู่ไม่น้อย หากได้อาบน้ำสักหน่อย มันคงจะดีทีเดียว
“หากเจ้าเดินไหว ก็อาบได้ แผลบนกายมันแห้งแล้ว”
หมอชราเอ่ยปากอนุญาต เขาเข้าใจความเป็นสตรีดี ว่าการไม่ได้อาบน้ำชำระร่างกายเลย มันคงไม่สบายตัวเท่าใดนัก “ข้าไหวเจ้าค่ะ”
“ฮูหยินเจ้าอยู่ช่วยนางเถอะ ข้าจะไปเตรียมโจ๊ก และต้มยาให้นางด้วย”
“ท่านหมอ บุตรชายข้าน้อยเป็นอย่างบ้างเจ้าคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามถึงบุตรชายเจ้าของร่าง แน่นอนนางมิได้หลงลืมเขาไป แค่ตอนตื่นขึ้นมา นางยังมึนงงอยู่นั่นเอง ไหนจะตัวตนใหม่ในโลกที่ไม่คุ้นเคย ภาษาสำเนียงล้วนต้องท่องจำอยู่ในใจ เพื่อยามถ่ายทอดออกมา จะได้ไม่ถูกสงสัย
“ตอนนี้เขายังมิได้สติ แต่ข้าคิดว่าคงไม่ช้านี่ล่ะ เพราะตัวเจ้าที่สาหัสกว่าเขา ยังตื่นขึ้นมาแล้ว และเขาจะเป็นข่าวดีอีกเรื่องของข้าอย่างแน่นอน”
ชายชราพูดด้วยความระคนยินดี ในทางการแพทย์แล้วเขาก็มิได้ด้อยไปกว่าผู้ใด แต่ครั้งนี้...มันมีช่วงจังหวะ ที่สองแม่ลูกหยุดลมหายใจไปแล้ว เพียงแค่เขาไม่ได้เอ่ยปากออกไป คำของหลวงจีนยังวนเวียนในหัว ซึ่งมีช่วงหนึ่งที่ภรรยาไม่ได้รับฟังด้วย
เขาจึงเลือกที่จะรออย่างมีความหวัง คนทุกคนอยากที่จะมีวันที่รุ่งโรจน์ แต่สิ่งที่เขาต้องการ คือกู้ศักดิ์คืนให้แก่ภรรยา สกุลต้วนตัดขาดกับเขาเพราะนาง
บาดแผลนี้มันฝังลึกอยู่ในใจนางมาตลอด หากคนที่หลวงจีนชราบอก ได้ตื่นขึ้นมาจริง นั่นเท่ากับรอยแผลจะถูกลบ จากความมั่งคั่งที่คนผู้นั้นนำมา
“มาเถอะ...ข้าจะช่วยพยุงเจ้า ไปยังห้องอาบน้ำ”
พี่ม่อเหลียว เราควรกลับบ้านกันได้แล้วนะขอรับ รถม้าและทุกอย่างสำหรับเดินทาง พร้อมแล้ว” ต้วนอี้หลาง เอ่ยกับว่าที่น้องเขย ด้วยรอยยิ้มกว้าง เขาได้คุยกับพ่อแม่ของชายหนุ่มแล้ว ว่าจะพากลับไปยังแคว้นจ้าว และทั้งสองคนก็ยินดี ที่จะตามเขากลับไป ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่วุ่นวายกับอำนาจเหล่านี้อีก “ขอรับ” ม่อเหลียวตอบรับอย่างยินดี โดยไม่คิดที่จะถามอะไรให้มาก เพราะถ้าคุณชายใหญ่พูดแบบนี้ นั่นหมายความว่าได้ตกลง กับพ่อแม่ของเขาดีแล้ว ส่วนเรื่องที่คุณชายใหญ่ ไปพบพ่อแม่ของเขาได้อย่างไร เขาไม่คิดถามเช่นกัน เพราะอย่างไรคุณชายก็ต้องเล่าสู่เขาฟังอยู่ดี “ทำความสะอาดซะ เราจะออกเดินทางกันแล้ว” ต้วนอี้หลางสั่งการกับคนของเขา ก่อนจะประคองน้องสาวละน้องชาย เพื่อที่จะออกจากที่นี่ “นายท่าน พวกข้าไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ” ตู้ฮั่น เอ่ยถามผู้เป็นนาย หนานเผิงหันไปมองหน้าบุตรชาย ก่อนจะมองไปที่ตู้ฮั่นอีกครั้ง “หากท่านอาตู้ไม่คิดเรื่องอำนาจ ข้าย่อมไม่ขัดข้องขอรับ” เป็นม่อเหลียวที่เอ่ยขึ้น ก่อนจะคลี่ยิ้มละมุนให้กับตู้ฮั่น ชายผู้ภักดีของครอบครัวบิดา
“ตกลง ท่านปู่ทั้งสอง พี่ม่อเหลียว ท่านลุงอู๋ เรากลับบ้านกันเถอะ” “ไม่ได้! ชู่เจากับม่อเหลียว คือคนของบ้านข้า” หนานเผิงปฏิเสธเสียงกร้าว “ไหนหลักฐาน หากไม่มี ก็อย่าได้พูดไปเรื่อย” แม้จะเป็นคำพูดที่ไม่ได้ดังเหมือนตะโกน ทว่ามันกลับทำให้คนฟังเริ่มหวาดหวั่นอยู่ภายในใจ “ข้าคือบิดา นี่คือหลักฐานชั้นดี” “หึๆ ข้านึกว่าน้องเขยของข้า คือบุตรชายท่านเสียอีก ท่านอาหนานเผิง” ต้วนอี้หลาง ชำเลืองมองไปด้านข้าง ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ ของชายผู้หนึ่งก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง แม้ว่าใบหน้าของเขาจะซูบตอบไปบ้าง จากการถูกจองจำ แต่ก็ยังคงดูสง่าเยี่ยงชาติกำเนิด “นายท่าน!” ตู้ฮั่น เรียกนายแท้จริงด้วยเสียงอันดัง เขาดวงตามืดบอดขนาดไหนกัน จึงจดจำนายของตนเองผิดไป “ขอบใจเจ้ามาตู้ฮั่น ที่ปกป้องบุตรชายข้ามาตลอด” หนานเผิงตัวจริง เอ่ยกับคนสนิท ที่ถูกล่อลวงจากคนชั่ว เขาเอ๊ะใจตั้งแต่วันที่ถูกกรีดเอาเลือดไปแล้ว เป็นอย่างนี้เอง บุตรชายของเขากลับมาแล้ว “พี่ใหญ่” ชู่เจาหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะดวงตาเป็นประกาย นั่นต่างหากน้องสาวขอ
ยี่สิบวันต่อมา ณ เมืองหลวงแคว้นหนาน ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ ม่อเหลียวยืนประจันหน้า กับคนที่อ้างตนเอง ว่าเป็นพ่อแม่ของเขา ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด เมื่อเวลานี้...สตรีที่เขาเรียกมารดามาร่วมเดือน กำลังเอามีสั้นจ่อที่ลำคอท่านลุงของเขาอยู่ “ข้าคือมารดาของเจ้า แต่ทุกอย่างเจ้ากลับฟังเขา เช่นนั้นเขาก็ไม่ควรที่จะอยู่ ขัดขวางเราแม่ลูกจริงไหม ม่อเหลียว” ชู่จิ่นเอ่ยกับบุตรชาย ด้วยรอยยิ้มอย่างคนจิตวิปลาส ทว่าสองลุงหลานที่สบตากัน กลับยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีตื่นกลัว แม้ว่าจะยืนอยู่ภายใต้คนอาวุธ “เจ้ามิใช่น้องสาวของข้า อย่าได้มาเรียกหลานชายข้าว่าลูก” ชู่เจาเอ่ยกับคนที่จ่อมีดสั้น ที่ลำคอของเขา ด้วยน้ำเสียงอันกร้าวกระด้าง สตรีผู้นี้เป็นตัวปลอม ต่อให้เขามิได้พบหน้าน้องสาวมานาน เขาก็รู้ได้ว่านี่มิใช่ชู่จิ่น “ท่านมิได้อยู่กับข้ามานาน รู้ได้อย่างไรว่าข้ามิใช่ชู่จิ่น” คนถามแม้จะใช้น้ำเสียงเป็นปกติ แต่ภายในใจนั้นกำลังตื่นกลัวอย่างที่สุด นางไม่เชื่อว่าตาแก่นี่ จะรู้ถึงตัวตนของคนที่ไม่พบหน้ากันมาหลายสิบปี “ข้าเลี้ยงนางมากับมือ เ
“ไยหน้าแดงเล่า ไม่สบายตรงไหนหรือไม่” “ไม่เจ้าค่ะ ข้าอยากอาบน้ำ” “รอข้ากลับมาเจ้าค่อยอาบ เจ้าหน้ามืดบ่อย ไม่ควรที่จะเดินไปไหนเลย” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวเอนกายลงนอน ตามการประคองของสามี ก่อนจะใบหน้าแดงก่ำประหนึ่งท้อสุก เมื่อสามีประทับจูบนางอย่างอ่อนโยน ต้วนอี้หลางดึงผ้าห่มคลุมกายให้ภรรยา ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เพื่อต้มโจ๊กให้ภรรยา “นายท่าน ท่านแม่ทัพเหนือมาขอพบขอรับ” “เขามาแล้วหรือ ให้ไปพบข้าที่ห้องครัว” ชายหนุ่มสั่งการก่อนจะก้าวตรงไปที่ห้องครัว โดยไม่สนมารยาทการเชื้อเชิญแขก “นายท่าน” ผู้ติดตามและบ่าวไพร่ที่กำลังง่วนอยู่ในห้องครัว ต่างเอ่ยเรียกขานผู้เป็นนาย ก่อนจะหลีกทางให้แก่ชายหนุ่ม ต้วนอี้หลาง เดินไปหยิบหาสิ่งของทั้งหมด มาวางอยู่ข้างๆ เตา เพื่อลงมือทำทุกขั้นตอนให้ลูกเมียด้วยตนเอง เช่นที่บิดาทำให้มารดา ในตอนที่นางตั้งครรภ์น้องชายคนเล็ก “ช่างเป็นพ่อบ้านที่รักลูกเมียยิ่งนัก” เป็นคำพูดของคนที่โผล่หน้าผ่านหน้าต่างเข้ามา ชะโงกมองว่าเจ้าบ้านกำลังทำสิ่งใดอยู่ “เหอะ! ข้ามาถึงตั้งนาน เจ้าเพิ่ง
หมับ! ทว่าในตอนที่นางถูกผลักดันให้ถอยออกไปหน้าเรือน จนเกือบจะพลาดตกลงบันได้หน้าเรือน ร่างงามก็ถูกรับเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที ด้วยอ้อมกอดอันคุ้นเคย ฉึก! และมันรวดเร็วจนผู้ที่รุกไล่ มิทันได้คาดคิดและตั้งรับ กลางอกของเขาถูกดาบใหญ่แทงทะลุ ก่อนที่ร่างของเขาจะเซถอยไปด้านหลัง เมื่อดาบในมือของผู้มาใหญ่ ถูกดึงออกจากร่างของเขา “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่” น้ำเสียงที่อ่อนโยนของสามี ทำให้หญิงสาวรุ้สึกอุ่นใจขึ้นมามากทีเดียว ก่อนที่นางจะซบใบหน้ากับอกของสามี ดวงตาที่หมุนวน ราวทุกอย่างกำลังกลับหัว ได้หลับลงอย่างวางใจ ต่อเจ้าของอ้อมแขนนี้ “เจ้า!” “ภรรยาข้า ใครให้สวะเยี่ยงเจ้ามาแตะต้อง!” ต้วนอี้หลาง เอ่ยกับคนที่กำลงัจะตาย ด้วยน้ำเสียงกร้าวกระด้าง แววตาที่ตวัดมองไปยังคนผู้นั้น ไร้ซึ่งคำว่าเมตตาฉายให้เห็น “นางไม่คู่ควรต่อตราพยัคฆ์หมอกสักนิด” ชายสวมหน้ากากเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน แต่กระนั้นเขาก็ยังไร้โอกาสได้ครอบครอง สิ่งที่จะเบิกเส้นทางให้เขา กลับสู่อำนาจ เขายอมแม้แต่จะคบค้า กับทายาทจากราชวงศ์ก่อน เพื่อล้มล้างน้องชาย แล้วกล
ชายวัยกลางคน ที่ยืนสบจากับชายหนุ่มอ่อนวัยกว่า หรี่ตามองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกใจ เพราะชายหนุ่มทำเหมือนรู้จักเขาอย่างไรอย่างนั้น “ราชบุตรเขยฝีมือไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” ชายต่างแคว้นเอ่ยกับคนตรงหน้า เขาแค่ทดสอบว่าอีกฝ่าย จะไหวตัวทันหรือไม่ผลคือ ทั้งรวดเร็วและฉับไว ทีหน้าแปลกคือการหลบหลีกของชายหนุ่ม ช่างเหมือนคนที่เขาคุ้นเคย “ยินที่ดีได้พบกันอีกครั้ง” “หือ!”ชายวัยกลางคนทำเสียงในลำคอ ก่อนจะพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ ทั้งที่ยังงงอยู่ว่าเคยพบกับชายหนุ่มตอนไหน แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ขบคิด ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเชร้ง! ชายวัยกลางคนถึงกับดวงตาเบิกกว้าง การโต้ตอบนนี้ มันช่างเหมือนกันกับศิษย์พี่ของเขาเลย ปึก! ฝ่ามือหน่ากระแทกเข้าที่กลางอกของชายจากแคว้นฉิน ทำให้ร่างนั้นกระเด็นไปไกลโครม! โต๊ะที่อยู่ข้างหลังหักแยกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อร่างสูงใหญ่ตกกระทบ“ความเผลอเลอ จะทำให้เจ้าพลาด”ต้วนอี้หลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ชายติที่แล้วเขาวางใจคนผู้นี้เป็นที่สุด ไหนเลยวันนี้จึงพบอีกฝ่าย มาอยู่ในฝ่ายตรงข้ามได้ ไรซึ่งฉนวดเหตุ นอกจากว่าที่ผ่านมา ศิษย์ผ