หลังจากทุกคนร่วมกันกินอาหารเสร็จ อี้หรูขอที่จะนอนเฝ้าบุตรชาย เพราะถ้าเป็นเจ้าของร่าง ก็คงทำเช่นเดียวกับนางในตอนนี้ คงมีแค่แม่ของนางในอีกโลก ที่ไม่เคยเห็นนางในสายตา ฉะนั้นนางจะต้องทำให้ลูกๆ ในชีวิตใหม่ เป็นคนที่ไม่หยามเหยียดเพศสตรี
“คุณหนูบ่าวยังไหวเจ้าค่ะ”
แม่นมหวังนั้น ห่วงว่าผู้เป็นนายที่เพิ่งฟื้น จะล้มเจ็บลงอีก จึงเลือกที่จะเสนอตัวในการดูแลคุณชายใหญ่ต่อเอง
“ข้าอยู่ด้วย แม่นมหวังจะได้พักผ่อนบ้าง อีกอย่างข้าอยากให้อี้หลางตื่นมา เห็นหน้าข้าที่เป็นแม่ก่อนผู้ใด เขาจะได้รู้ว่าความกล้าหาญของเขามิได้เสียเปล่า”
“ไม่ต้องห่วงไปแม่นมหวัง ข้าได้ตรวจชีพจรของอี้หรูแล้ว นางไม่ล้มเจ็บลงอีกง่ายๆ อย่างแน่นอน ขอแค่นางไม่ทำสิ่งใดเกินกำลัง”
ท่านหมอต้วนยืนยันอีกเสียง เมื่อเห็นในความตั้งใจของหญิงสาว และเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ ไหนเลยจะอยากห่างลูก เมื่อยามลูกเจ็บป่วยเช่นนี้
“ขอบคุณท่านหมออีกครั้งนะเจ้าคะ ที่เมตตาเราทั้งห้าคน หากมิได้ท่านหมอกับฮูหยินช่วยเหลือ เราแม่ลูกคงไม่อาจมีชีวิตรอด โปรดรับการคำนับจากเราด้วยเจ้าค่ะ”
หญิงสาวกำลังจะคุกเข่าลงกับพื้น ทว่าสองสามีภรรยา ได้รีบเข้าประคองเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ว่าในฐานะหมอ หรือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ข้ายินดีช่วยเหลือ หากมันมิได้เหนือบ่ากว่าแรง”
“ท่านตา ท่านยาย ข้ากับพี่น้อง ท่านแม่และท่านยายหวัง อยู่กับท่านตา ท่านยายได้หรือไม่เจ้าคะ”
“คุณหนูสาม! อี้หลิง!”
แม่นมหวังและอี้หรู เรียกเด็กหญิงด้วยความตกใจ ที่อยู่ๆ เด็กที่ไม่ค่อยกล้าจะพูด วันนี้ไยอาจหาญ ร้องขอการอยู่ร่วมกับผู้อื่นเช่นนี้ได้เล่า
“ข้ายินดีทำงานรับใช้ ขอแค่เราไม่ต้องไปขอทานเจ้าค่ะ”
เด็กน้อยใช่ไม่สนใจคำเรียกของมารดา แต่นางยอมรับว่าอยากทำงานหาเงิน เพื่อให้ครอบครัวมิต้องอดอยากอีก
“ในเมื่อเจ้ากล้าขออย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ท่านตาผู้นี้ย่อมไม่ปฏิเสธ”
“ท่านหมอ บุตรสาวข้าทำตัวเสียมารยาท ข้าต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ อันที่จริงใช่ว่าข้าขอทานเพียงอย่างเดียว แต่น้อยนักที่คนจะจ้างเราทำงาน ในบางครั้งที่เราไร้คนจ้าง ข้าย่อมไม่อาจทนเห็นลูกๆ หิวได้ จึงต้องขอทานเพื่อประทังชีวิตเจ้าค่ะ”
“เจ้ากับแม่นมหวัง นับเป็นสตรีแกร่งที่หาได้ยากยิ่ง และการที่เจ้าขอทานในบางช่วงเวลา ใช่ว่าเจ้าเป็นคนน่ารังเกียจ หากเทียบกับหัวขโมย ที่ลักทรัพย์ผู้อื่น”
“ข้าสามารถทำงานช่วยท่านหมอ กับฮูหยินได้นะเจ้าคะ แลกกับอาหารวันละสองมื้อ สำหรับเด็กๆ และแม่นม ส่วนข้านั้นแค่มื้อเดียวก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อบุตรสาวเปิดเส้นทางให้แล้ว หญิงสาวก็ถือโอกาสของานทำเสียเลย ขอให้อิ่มท้องก่อน อนาคตค่อยขยับขยาย นางในตอนนี้เสมือนคนต่างถิ่น จำต้องหาจุดยืนให้ได้ก่อน ค่อยคิดที่จะก้าวเดิน
“ในเมื่ออี้หลิงเรียกข้ากับฮูหยินว่าตากับยาย เช่นนั้นเจ้าก็มาเป็นลูกสาวของเราสองคนดีหรือไม่”
“แต่ข้าคือคนแปลกหน้า ไยท่านหมอกับฮูหยินจึงวางใจ จะรับข้าเข้าบ้านเล่าเจ้าคะ”
“เจ้าเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือไม่”
“ย่อมต้องเชื่อเจ้าค่ะ”
หญิงสาวตอบอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด จะมิให้นางเชื่อได้อย่างไร ก็ตัวนางนี่ไงคือหลักฐาน ว่าถ้าชะตาไม่สัมพันธ์ มีหรือนางจะมายืนอยู่ตรงนี้ ทั้งที่ตายไปแล้วแท้ๆ
“เรามีโชคชะตา และวาสนาต่อกัน จึงได้มาพบกัน อีกอย่างข้าเคยอธิษฐานไว้ในตอนรักษาเจ้า ว่าหากเจ้ารอดพ้นความตาย ข้าจะรับเจ้าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว”
“จริงหรือเจ้าคะ”
หญิงสาวแสร้งตกใจ แต่ความเป็นจริงแล้ว นางหาได้วางใจในสิ่งที่เกิดขึ้นไวจนเกินไป แต่นี่ก็นับเป็นเรื่องที่ดี ในยามยากใครสอนให้ผยองกันเล่า นางในร่างนี้คงตกทุกข์อีกยาวแน่ หากปฏิเสธมือที่หยิบยื่นมา คว้าไว้ก่อนไม่เสียหลาย ภายหน้าหากไม่ดีหรือเป็นภัยค่อยหลบเลี่ยงก็มิสาย
“ข้าเป็นหมันมิอาจมีลูกได้ จนเราสองผัวเมียถูกตัดจากสกุลหลัก เราเองก็แก่ชรามากแล้ว หากตายไป กิจการนี้อาจตกกลับไปอยู่ในมือของสกุลเดิม ถ้าจะเป็นแบบนั้น สู้ข้ายกให้กับใครสักคน ที่มีวาสนาต่อกันไม่ดีกว่าหรือ สวรรค์นำพาเราไปพบเจ้า ดังนั้นหากข้าจะมอบมันแก่เจ้าสืบทอด ย่อมเป็นประโยชน์มากกว่าไม่ใช่หรือ”
ต้วนฮูหยิน อธิบายอย่างใจเย็น ตลอดสิบห้าวันที่นางได้ใช้ชีวิตร่วมกับคู่แฝด มันทำให้นางรู้สึกมีชีวิตชีวาไม่น้อยเลย เมื่อผูกพันกันขนาดนี้แล้ว นางก็ไม่อยากที่จะเสียโอกาสได้อยู่ชิดใกล้เด็กๆ อีก
“หากท่านหมอกับฮูหยินไม่รังเกียจ ที่ข้าเป็นหญิงหม้าย และเป็นยาจกยากไร้มาก่อน ข้าย่อมน้อมรับในไมตรีนี้เจ้าค่ะ”
“ดีๆ แม่นมหวัง นำน้ำชามา วันนี้ข้าจะรับบุตรสาวเข้าบ้าน”
แม่นมหวังไม่ได้ทัดทาน นางเห็นใจผู้เป็นนายและคุณชาย คุณหนูสาม ที่ต้องอยู่อย่างอดอยาก จึงรีบไปรินชามาให้แก่ผู้เป็นนาย เพื่อยกชาให้แก่ท่านหมอและภรรยา
“ข้ารู้ว่ามันเร็วไป ที่จะให้เจ้าวางใจในไมตรีนี้ แต่เวลาจะพิสูจน์ทุกอย่างเอง”
ชายชราเอ่ยกับหญิงสาว เขารู้ดีว่าไยนางตอบตกลงโดยง่าย เพราะความลำบากของลูกๆ คนเป็นแม่จึงยอมเสี่ยง เขากับภรรยาตัดสินใจเรื่องนี้ ตั้งแต่พานางกลับมาแล้ว ส่วนความวางใจของนาง ให้เวลาเป็นสิ่งช่วยตัดสิน
“ข้าน้อยหยางอี้หรู ขอยกชาถ้วยนี้แก่ท่านพ่อบุญธรรม ท่านแม่บุญธรรมเจ้าค่ะ”
หญิงสาวคุกเข่าลงต่อหน้าสามีภรรยา โดยมีลูกๆ คอยประคองไม่ให้ล้ม ก่อนจะรับถ้วยชาจากแม่นมหวัง ยื่นให้แก่สองสามีภรรยาทีละคน
“เรื่องนั้นกระหม่อมทราบดีพ่ะย่ะค่ะ แต่อย่างไรเสียองค์ชายก็ยังไม่เคยเผชิญความโหดร้ายของโลก เทียบเท่ากับเราๆ ที่อายุเลยวัยหนุ่มสาวมาแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มยังคงชี้แจงอย่างใจเย็น เขารู้ว่าตอนนี้ภายในใจของหรูกุ้ยเฟย กำลังมีความกดดันอย่างถึงที่สุด เพราะสกุลที่หมายกำจัด คือเหล่าสกุลที่ค้ำบัลลังก์ ยิ่งสกุลจางที่มีผู้นำคนใหม่อย่างจางหลีเกอ ความวัยหนุ่มเลือดเดือดพล่าน และความฉลาดเป็นเลิศของจางหลีเกอ ทำให้จากที่เป็นแค่สกุลธรรมดา กลายเป็นหนึ่งสามสกุลคุ้มภัย “หุบปากเจ้าซะ! ไม่ต้องมาแสร้งออกรับแทนข้า” องค์ชายมู่เฉวียนตวาดขันทีหนุ่ม ด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด เพราะมองอย่างไรในคำพุดนั้น มันคล้ายกับการดูหมิ่นว่าตัวเขา ไร้ซึ่งการมองที่กว้างไกลเพี๊ยะ! ใบหน้าหล่อเหลาสะบัดตามแรงฝ่ามือของผู้เป็นมารดา มู่เฉวียนยกมือขึ้นแตะที่มุม ซึ่งตอนนี้มีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย ชายหนุ่มใช้นิ้วปาดเลือดออก แล้วยกยิ้มหยัน กับการกระทำของผู้เป็นแม่ นางยังเห็นเขาเป็นลูกอยู่หรือไม่! “ทรงตบลูกตัวเอง เพื่อไพร่ชั้นต่ำเยี่ยงนั้นรึ! พ่ะย่ะค่ะ ทรงทำให้ประหลาดใจยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่!”
“พระนางทรงงับโทสะเถิดพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่เกินกำลังของนายท่านหรอกพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มเอ่ยเรียกสติของคนรัก เขาไม่อยากให้ลูกกลัวอีกด้านที่เขาและนางเป็น เรื่องราวมากมายที่ผ่านมา หล่อหลอมให้สาวน้อยในอดีต กลายเป็นดอกไม้พิษ หลังจากก้าวเข้าสู่วังหลัง และเขาเขามั่นใจว่าบิดาของคนรัก มีเส้นสายมากพอ ที่จะไม่ปล่อยเกิดความผิดพลาดในเรื่องนี้ “โทสะรึ! ฮ่าๆ เยี่ยงข้ามันไร้ความรู้สึกนั้นไปนานแล้ว ข้าเกลียดเขา! เกลียดจนไม่อยากที่จะมองหน้าเขาเสียด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะเขาคือฮ่องเต้ ข้าจะต้องมาอยู่แบบนี้หรือ! ชีวิตวัยแรกแย้มของข้า มันควรได้พบความสวยงามที่คู่ควร! มิใช่มาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในวังหลวง มิว่าจะกินหรือนอน ล้วนต้องเฝ้าระวังทั้งสิ้น เจ้ายังคิดว่าข้าจะต้องใช้อีกรึ! คำว่าโทสะ มันเกินคำนั้นไปมากแล้วต่างหาก” หรูกุ้ยเฟย ราวกับต้องการระบายความอัดอั้น ที่สั่งสมมานานปี นางเหน็ดเหนื่อยกับการต้องทำทุกอย่าง ให้ไม่ขัดสายตาชายแก่บนเตียง ฉะนั้นนับจากนี้จะเป็นนาง ที่ควบคุมทุกอย่าง และมันจะไม่มีคำว่าไม่สำเร็จ “เสด็จแม่! ไยจึงเป็นเช่นนี้เล่าพ่ะย่ะค่ะ”องค์ชายมู่เฉวียน
พระนางกุ้ยเฟยจำต้องเงียบเอาไว้ก่อน เมื่อเห็นแล้วว่าคงเป็นเรื่องยาก ที่จะทำให้พระโอรสของนาง ยอมรับในตัวบิดาแท้ๆ ได้โดยง่าย แต่หากต้องเลือกระหว่างคนรัก กับการก้าวสู่ความเป็นใหญ่ นางย่อมเลือกอำนาจ มากกว่าความรัก แต่การมีคนรักอยู่ใกล้ชิด ก็มีประโยนช์ต่อนางไม่น้อย มิว่าเรื่องน้อยใหญ่ เขาจะจัดการแทนนางได้ไม่ต้องเอ่ยซ้ำ แต่โอรสของนาง ยังอ่อนต่อโลกมากนัก จึงยังไม่รู้จักการใช้คนให้เกิดประโยชน์ “องค์ชาย พระนางกุ้ยเฟย คนของเราได้ส่งข่าวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขันทีจากด้านนอกห้อง ดังแทรกความอึมครึมภายในห้อง ก่อนที่พระนางกุ้ยเฟยจะหันไปมองขันทีข้างกาย และนั่นทำให้คนเป็นลุกกรุ่นโกรธมากกว่าเดิมอีกนับเท่าทวีคูณ คนแรกที่พระมารดาต้องขอความคิดเห็น มันต้องเป็นตัวเขามิใช่หรือ “เขามาได้” สุดท้ายพระนางกุ้ยเฟย ก็ได้เอ่ยปากอนุญาต ให้คนด้านนอก เข้ามาเพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น “เป็นอย่างไรบ้าง” องค์ชายมู่เฉวียนที่รอฟังข่าวอย่างใจจดใจจ่อ เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น หากทุกอย่างสำเร็จ เขาคือโอรสสวรรค์คนต่อไป ผู้คนทั้งแผ่นดินจะหมอบท้าเขาเท่านั้
“เสด็จแม่!” ยังไม่ทันที่จะเอ่ยสิ่งใดต่อกันอีก เสียงเรียกจากด้านนอกดังแทรกขึ้นเสียก่อน ทำให้สองร่างที่ใกล้ชิดกัน ต้องขยับถอยออกห่าง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกัน กับที่องค์ชายมู่เฉวียนก้าวพ้นประตูห้องเข้ามาด้านใน “เจ้าเรียกแม่เสียงดัง มีอะไรอย่างนั้นหรือ” พระนางกุ้ยเฟยเอ่ยถามพระโอรสออกไป ทั้งที่ทรงดูดีแก่ใจว่าสิ่งที่ทำให้ลูกของนาง ดูแตกตื่นเช่นนี้คือเรื่องใด “ทรงคิดดีแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ที่จะทำเช่นนี้” “หากข้าไม่คิดดีแล้ว มีหรือจะอาจหาญลงมือ เจ้าอย่าได้ทำท่าทางตื่นตระหนกให้มากไปเลย ทำตัวให้สูงส่งเด็ดขาดเข้าไว้ ยามอยู่ต่อหน้าขุนนาง จะได้ไม่ถูกมองว่าอ่อนแอ” หรูกุ้ยเฟย สั่งสอนโอรสให้รู้คิด หากไม่ลงมือวันนี้ วันหน้าก็ต้องลงมืออยู่ดี ดังนั้นจะช้าหรือเร็ว สุดท้ายนางก็ต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้นางและลูกมีจุดยืน “องค์ชาย น้ำชาพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มรีบยกน้ำชา มาถวายองค์ชายด้วยท่าทีนอบน้อม เช่นที่เคยทำในทุกๆ วัน ซึ่งเขาไม่ได้คิดขุ่นเคือง ที่ถูกสายตามองเมินนั้นจากองค์ชายเลยแม้แต่น้อย “แล้วเสด็จพ่อเล่าพ่ะย่ะค่ะ เราจะบอกแก่ขุนนาง
วังหลวง ณ ตำหนักหลวง ภายในห้องบรรทม ร่างสูงใหญ่ของชายชรา นอนนิ่งอยู่บนเตียงนอนอันกว้างขวาง โดยมีสตรีผู้อ่อนเยาว์กว่าเจ้าของตำหนักหลายปี นั่งอยู่ขอบเตียง หญิงสาวนางใช้นิ้วเรียวเล็ก ไล้ไปตามกรอบหน้าที่ยังคงความหล่อเหลา เช่นตอนเมื่อครั้งยังหนุ่มราวกับอยากย้อนเวลาของเจ้าของร่าง ให้กลับไปหนุ่มแน่นอีกครั้ง นางสละวัยสาวที่ควรได้พบกับชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกัน เพื่อมาคอยปรนนิบัติ ชายผู้อายุใกล้เคียงกับบิดา มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย “ฝ่าบาทไม่น่ามองข้าม หม่อมฉันกับลูกเลยนะเพคะ ไม่อย่างนั้นมีหรือหม่อมฉัน จะต้องทำแบบนี้กับพระองค์ หึๆ ความสาวของหม่อมฉัน พระองค์ได้มันไปเป็นคนแรก แล้วแบบนี้จะทรงขุ่นเคืองหม่อมฉันไปทำไมกันเพคะ กับการที่หม่อมฉันจะมีสิ่งช่วยสร้างความสุขเพิ่มเติม” พระนางหรูกุ้ยเฟย ผู้เป็นสนมคนโปรดในขณะนี้ เอ่ยกับพระสวามีด้วยน้ำเสียงกึ่งเยาะหยัน นางที่ยังเป็นเพียงสาวน้อยเมื่อครั้งนั้น ต้องถูกส่งเข้าวัง เพื่อเป็นสนมของฮ่องเต้ หลังจากมีการกวาดล้างกบฏเมื่อสิบห้าปีก่อน นางที่ยังสาวได้รับการโปรดปราณ และก้าวสู่ตำแหน่งเฟยในเวลาเพียงไม่กี่ปี หลังจากที่ให้กำเน
เมืองหลวง แคว้นจ้าว ณ สกุลเจียง เพล้ง! อี้หรูถึงกับยืนนิ่งค้าง เมื่อรูปปั้นหยกที่บุตรชายคนรอง นำมามอบให้เมื่อต้นปี ร่วงหลุดลงจากชั้นวาง ทั้งที่นางยังมิได้เดินเข้าเฉียดใกล้เลยแม้แต่น้อย “ฮูหยิน เป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้ข้างกายรีบวิ่งเข้ามาดูผู้เป็นนาย ที่ยังกำผ้าสำหรับเช็ดทำความสะอาดเอาไว้แน่น ใบหน้านั้นซีดเผือด ราวไร้เลือดไหลเวียน ดวงตาจับจ้องไปยังรูปปั้นที่แตกกระจาย ล้วนเต็มไปด้วยความตื่นกลัว ยิ่งมอง...ใจของนาง ก็เหมือนจะถูกดึงหาย ออกไปจากอกอย่างไรอย่างนั้น “นายท่านอยู่ที่ใดหรือ” อี้หรูถามหาสามี เวลานี้นางอยากแน่ใจ ว่าทุกอย่างในแดนเหนือยังคงปกติดีอยู่ คนของสามีติดตามขึ้นไปหาลูกๆ ได้อย่างทันท่วงทีหรือไม่ นี่ก็กว่าครึ่งเดือนแล้ว ที่ไร้ข่าวคราวของสี่พี่น้อง “นายท่านอยู่ในห้องหนังสือเจ้าค่ะ ฮูหยินรอตรงนี้สักครู่นะเจ้าคะ บ่าวจะเรียนนายท่านก่อนเจ้าค่ะ” สาวใช้รีบประคองผู้เป็นนายหญิง ให้นั่งลงพักรอก่อน แล้วจึงรีบวิ่งออกจากห้องไปด้วยความร้อนใจ “ลูกแม่...พวกเจ้าอย่าทำให้แม่กลัวได้หรือไม่” อี้หรูลุกขึ้นจากเก้า