Share

บทที่ 11

Author: กระจ่างแจ้ง
พระชายาเฉิงไม่คาดคิดว่าถังหนิงจะบอกไม่ให้นางไปที่สกุลซ่ง นางขมวดคิ้ว “แต่ทางสกุลซ่ง เรื่องนี้จะปล่อยไปง่าย ๆ เช่นนี้หรือ?”

“ไม่เจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นเจ้า...”

“พวกซ่งจิ่นซิวจะมาหาข้าเอง”

ถังหนิงมองดูมือที่บาดเจ็บของตนเอง คนที่ร้อนใจคือพวกซ่งหงเอง คนที่เสียหน้าคือสกุลซ่ง

ตราบใดที่นางไม่กลับสกุลซ่งวันหนึ่ง คนข้างนอกก็จะจดจำเรื่องที่คนสกุลซ่งทำไปได้อีกวันหนึ่ง

ขอเพียงนางนิ่งไว้ได้ สกุลซ่งจะร้อนใจยิ่งกว่าใคร ๆ

พระชายาเฉิงรู้ดีว่าซ่งถังหนิงเคยติดพี่ชายคนโตคนนั้นของสกุลซ่งมากเพียงใด เมื่อก่อนไม่ว่าจะทำอะไรก็เรียกท่านพี่ทุกคำ เมื่อเอ่ยถึงซ่งจิ่นซิวก็เต็มไปด้วยความสนิทสนม แต่มาบัดนี้กลับเรียกชื่อเต็มโดยตรง ตอนที่พูดถึงสกุลซ่งก็ยิ่งเย็นชา นางรู้สึกเพียงว่าสกุลซ่งทำร้ายจิตใจของหลานสาวแล้ว

“ได้ น้าจะฟังถังหนิงทุกอย่าง”

“ท่านน้าดีที่สุดเลย”

ซ่งถังหนิงพิงอยู่ที่ไหล่ของพระชายาเฉิงแล้วถูเบา ๆ

พระชายาเฉิงถูกเด็กสาวออดอ้อนจนใจอ่อน ลูบผมของนางด้วยความสงสาร “เจ้ากับเซียวเยี่ยนเป็นมาอย่างไรกัน เหตุใดจู่ ๆ เขาถึงได้รับเจ้าเป็นน้องสาวบุญธรรม?”

ถังหนิงลูบจี้ลายมังกรที่ห้อยอยู่ที่คอโดยไม่รู้ตัว

ระหว่างทางกลับเมืองหลวง เซียวเยี่ยนเคยบอกกับนางว่า ท่านน้าเซวียที่มอบจี้หยกให้นางนั้นเสียชีวิตไปแล้ว

เขาบอกว่าท่านน้าเซวียมีชาติกำเนิดสูงศักดิ์ ตระกูลของนางเคยเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่รุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง แต่ในตอนนั้นเพราะไปล่วงเกินคนชั่วเข้าจึงถูกทำร้าย ทั้งตระกูลเซวียก็ถูกใส่ความในข้อหากบฏ จนถูกประหารเก้าชั่วโคตร

จี้ลายมังกรชิ้นนี้เป็นของตกทอดของสกุลเซวีย ขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวงหลายคนจำได้ และคนที่เคยเป็นศัตรูกับสกุลเซวียในตอนนั้น ตอนนี้มีหลายคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงในราชสำนัก หากมีคนเห็นว่านางสวมของของสกุลเซวีย ก็อาจจะนำภัยมาสู่ตัวได้ง่าย ๆ

เซียวเยี่ยนกำชับนางว่า ให้เก็บจี้ลายมังกรไว้ให้ดี และอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องของท่านน้าเซวียกับผู้ใด

ซ่งถังหนิงไม่กลัวว่าท่านน้าจะไปพูดกับคนอื่น แต่เฉิงอ๋อง... ขนตาของนางตกลงเล็กน้อย “ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกันเจ้าค่ะ”

“ตอนที่หัวหน้าเซียวช่วยข้า ข้าบาดเจ็บจนหมดสติไป พอตื่นขึ้นมาก็อยู่ที่จวนชานเมืองของเขาแล้ว ตอนนั้นเขามองข้าด้วยสีหน้าแปลก ๆ และยังพูดจาแปลก ๆ กับข้าด้วย บอกว่าเหมือนกับคนรู้จักเก่าของเขา ข้าเองก็ฟังไม่ค่อยชัดเท่าไร”

“ต่อมาเขารู้เรื่องของข้ากับสกุลซ่ง ก็เลยบอกให้ข้าเรียกเขาว่าท่านพี่ แล้วก็พาข้าไปที่สกุลเฉียน”

พระชายาเฉิงได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้สงสัยในคำพูดที่คลุมเครือของถังหนิง เพราะชื่อเสียงของเซียวเยี่ยนในเมืองหลวงนั้นโด่งดังเกินไป แม้ว่าปกติพระชายาเฉิงจะไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับคนในราชสำนัก ก็ยังรู้ถึงความร้ายกาจของหัวหน้าเซียวผู้นี้

แม้แต่เฉิงอ๋องเวลาเอ่ยถึงเซียวเยี่ยนก็ยังเต็มไปด้วยความเกรงกลัว คนเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมาวางแผนกับเด็กสาวกำพร้าคนหนึ่งอย่างถังหนิง

“บางทีเจ้าอาจจะคล้ายกับคนรู้จักเก่าของเขากระมัง?”

พระชายาเฉิงครุ่นคิด “ได้ยินว่าเซียวเยี่ยนผู้นี้ตอนเด็ก ๆ ลำบากมาก พ่อแม่ในบ้านไม่รักใคร่ พี่ชายก็ยิ่งโหดเหี้ยม”

“ตอนที่เขาอายุยังน้อยก็เคยเกือบจะถูกพี่ชายคนโตวางแผนจนเสียชีวิต บิดาเพื่อปกป้องพี่ชายคนโตถึงกับยอมส่งเขาไปตายด้วยตนเอง ดังนั้นหลังจากที่เขาได้อำนาจมาแล้วจึงได้ฆ่าล้างตระกูล”

สถานการณ์เช่นนี้ ก็คล้ายกับถังหนิงอยู่บ้าง

“บางทีเขาอาจจะเห็นว่าเจ้าน่าสงสาร ทนไม่ได้ที่เจ้าถูกสกุลซ่งรังแก และเพราะเจ้าทำให้นึกถึงสถานการณ์ตอนที่เขาอายุยังน้อย จึงได้คิดจะช่วยเหลือเจ้าเป็นกรณีพิเศษ”

ส่วนเรื่องรับเป็นญาติ อาจจะแค่พูดไปอย่างนั้นเอง

ซ่งถังหนิงเบ้ปาก คนผู้นั้นปากร้ายใจอำมหิต ไม่มีทางที่จะทนไม่ได้หรอก

เมื่อเห็นว่าพระชายาเฉิงหาเหตุผลให้ตัวเองได้แล้ว นางจึงพูดอย่างคลุมเครือ “น่าจะใช่เจ้าค่ะ”

พระชายาเฉิงจึงวางใจลง “เช่นนี้ก็ดีแล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนของสำนักขันที แม้ร่างกายจะไม่สมบูรณ์ ไม่กระทบต่อชื่อเสียงของเจ้า แต่ถึงอย่างไรก็ควรจะคบหาให้น้อยลงจะดีกว่า แต่ถึงแม้คนผู้นี้จะอารมณ์แปรปรวน โหดเหี้ยมไปบ้าง แต่ก็ช่วยชีวิตเจ้าไว้ รอให้เจ้าอาการดีขึ้นแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปขอบคุณเขา”

บุญคุณช่วยชีวิต อย่างไรก็ต้องขอบคุณอย่างหนัก

ถังหนิงไม่อยากจะไปพบเซียวเยี่ยนเลยแม้แต่น้อย

ดวงตาของคนผู้นั้นเฉียบคมเกินไป เล่ห์เหลี่ยมก็มากเกินไป ทุกครั้งนางราวกับจะถูกมองทะลุปรุโปร่ง

นางไม่อยากจะพบเขา แต่ก็หาเหตุผลที่เหมาะสมไม่ได้

ถังหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง ทำได้เพียงก้มหน้าลงอย่างหงอย ๆ “เจ้าค่ะ”

......

ถังหนิงตามพระชายาเฉิงกลับไปที่จวนเฉิงอ๋อง เรื่องราวที่สกุลเฉียนก็ไม่สามารถปิดบังใครได้

ตอนที่ซ่งจิ่นซิวเลิกงานออกมาจากวัง ก็รู้สึกได้ราง ๆ ว่าสายตาของคนรอบข้างที่มองมาที่เขานั้นดูแปลกไปเล็กน้อย แต่พอเขามองกลับไป คนเหล่านั้นก็จะละสายตาไปอย่างแนบเนียน แม้แต่เสียงซุบซิบที่เบาอยู่แล้วก็จะเงียบลง

แม้จะยังคงทักทายเหมือนเดิม แต่พวกเขากลับราวกับวาดวงกลมขึ้นมาวงหนึ่ง แล้วผลักเขาออกไปข้างนอก

ซ่งจิ่นซิวมีชื่อเสียงด้านความสามารถมาตั้งแต่อายุน้อย อายุไม่ถึงยี่สิบก็สอบผ่านการสอบขุนนางระดับท้องถิ่น เนื่องจากได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้จึงได้เข้ารับตำแหน่งหนึ่งในสี่อาลักษณ์ของสำนักสนองราชโองการ แม้ตำแหน่งจะไม่สูง เพียงแค่ขั้นเจ็ด แต่ใคร ๆ ก็มองออกว่าอนาคตของเขาสดใส

เดิมทีเขาก็มีความสามารถโดดเด่น ทั้งยังเป็นบุตรชายคนโตในภรรยาเอกของจวนซ่งกั๋วกง ปกติในศาลาว่าการก็มักจะเป็นที่ผูกมิตรของคนอื่นเสมอ แต่การถูกกีดกันและรังเกียจอย่างเงียบ ๆ เช่นในวันนี้กลับเป็นครั้งแรก

“ใต้เท้าเสี่ยวซ่งเลิกงานแล้วหรือ?”

ขุนนางหนุ่มที่เพิ่งออกมาจากประตูวังเช่นกันโบกมือทักทายอย่างยิ้มแย้มแต่ไกล “คืนนี้ที่หอถงเฟิงมีงานเลี้ยงฉลองใต้เท้าอันเลื่อนตำแหน่ง ท่านจะไปด้วยกันหรือไม่?”

ซ่งจิ่นซิวเพิ่งจะส่ายหน้าหมายจะปฏิเสธ ก็มีคนชิงพูดขึ้นมาก่อน

“เจ้าเรียกเขาทำไม คุณชายผู้สูงศักดิ์เช่นเขาสูงส่งจะตายไป จะมาสนใจพวกเราได้อย่างไร เขาย่อมไม่มีเวลาไปดื่มสุรากับพวกเราหรอก”

“ฟู่ไหลชิ่ง เจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก”

คนที่ถูกเรียกว่าฟู่ไหลชิ่งอายุไล่เลี่ยกับซ่งจิ่นซิว เพียงแต่เมื่อเทียบกับท่าทางเคร่งขรึมและเข้มงวดของซ่งจิ่นซิวแล้ว ใบหน้าของฟู่ไหลชิ่งนั้นกลับดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่า

ความไม่ลงรอยกันของเขากับซ่งจิ่นซิวมีมานานแล้ว ทั้งสองคนต่างเป็นอัจฉริยะวัยเยาว์ เข้าศึกษาในสำนักศึกษาหลวง สอบขุนนางในปีเดียวกัน และเข้ารับตำแหน่งในปีเดียวกัน คนหนึ่งเข้าสำนักอัครเสนาบดี อีกคนหนึ่งเข้าสำนักสนองราชโองการ

ซ่งจิ่นซิวเหนือกว่าเขาอยู่ก้าวหนึ่งเสมอ ทั้งยังชอบทำหน้าตาเคร่งขรึมสั่งสอนผู้อื่น ฟู่ไหลชิ่งไม่ชอบหน้าเขามาตั้งนานแล้ว

“ข้าไม่ใช่คนใบ้ แต่คงพูดจาเก่งกาจได้ไม่เท่าคุณชายผู้สูงศักดิ์เช่นท่านหรอก”

ฟู่ไหลชิ่งเยาะเย้ย “ใต้เท้าซ่งสามารถพูดเรื่องผิดกลายเป็นถูก พูดเรื่องเลวร้ายกลายเป็นดีงามได้ ก่อนหน้านี้ยังคิดว่าท่านเป็นคนที่เคร่งครัดในกฎระเบียบ ปฏิบัติตามแบบแผน แต่มาตอนนี้ดูแล้วช่างทำให้คำว่าสูงศักดิ์สองคำต้องมัวหมองเสียจริง”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

“ยังจะเสแสร้งอีกหรือ สกุลซ่งของพวกท่านเอาบุตรีอนุนอกเรือนมายกย่องราวกับของล้ำค่า ยัดเยียดให้นางสวมรอยเป็นบุตรอนุภรรยาของบ้านรอง ปล่อยให้นางรังแกบุตรสาวภรรยาเอกของบ้านรอง ท่านกล้าพูดหรือว่าท่านไม่รู้?”

“ท่านพูดจาเหลวไหลอะไร!”

“ข้าพูดจาเหลวไหลหรือ? เกรงว่าท่านคงยังไม่รู้กระมัง ชาติกำเนิดของซ่งซูหลานคนนั้น คนทั้งเมืองหลวงรู้กันหมดแล้ว”

ฟู่ไหลชิ่งเห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะออกมา

“ได้ยินว่าตอนเช้าก่อนที่ท่านจะเข้าเวร ยังอุตส่าห์ไปส่งบุตรีอนุนอกเรือนคนนั้นที่จวนเสนาบดีเฉียนด้วยตนเอง ดูแลนางอย่างดีทะนุถนอมนางอย่างยิ่ง ไม่ยอมให้นางต้องน้อยใจแม้แต่น้อย ก็ไม่รู้ว่าใต้เท้าซ่งยังจำน้องสาวแท้ ๆ ที่เมื่อวานถูกท่านทิ้งไว้บนภูเขาเชวี่ย จนเกือบจะตกเขาตายได้หรือไม่”

“แต่ก็จริง ซ่งจิ่นซิวเช่นท่านสามารถทอดทิ้งคนไว้ในป่ารกร้างได้ จะไปสนใจความเป็นความตายของนางได้อย่างไร น่าสงสารก็แต่แม่นางน้อยซ่งคนนั้น ตกเขาขาหักยังเสียโฉมอีก...”

หัวใจของซ่งจิ่นซิวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ไหนเลยจะยังเหลือท่าทีสง่างามเมื่อครู่ รีบเดินไปข้างหน้ากระชากคอเสื้อของฟู่ไหลชิ่ง

“ท่านพูดว่าอะไรนะ ถังหนิงเป็นอะไรไป?”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 80

    สีเลือดบนใบหน้าของผู้ตรวจการเหอพลันจางหายไปในพริบตาเซียวเยี่ยนหัวเราะเยาะออกมา “ข้าทราบดีในอดีตเพื่อกวาดล้างราชสำนักแทนฝ่าบาท ข้าได้ทำให้ผลประโยชน์ของผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องสั่นคลอน และรู้ด้วยว่ามีคนบางส่วนไม่พอใจที่ข้าได้ถืออำนาจควบคุมองครักษ์เกราะดำกำราบผู้ที่มีใจคิดกบฏให้สิ้นแทนฝ่าบาท ทว่าข้ากลับไม่คาดคิดเลยสักนิดว่า คนของฝ่ายตรวจการที่ได้ชื่อว่าซื่อตรงไม่ยอมโอนอ่อนก็เป็นพวกเหลวไหลจับแต่ลมคว้าแต่เงาเหมือนกัน”“ใต้เท้าเหอไม่มีหลักฐานแม้เพียงสักนิดก็คิดจะกล่าวหาว่าร้ายข้าแล้ว มิหนำซ้ำยังหยิบยกเหตุผลน่าขบขันที่สุดมาโจมตีข้าอีก ท่านไม่พอใจที่เมื่อก่อนข้าลงมือแทนฝ่าบาท หรือไม่พอใจที่ฝ่าบาทให้ข้ารับผิดชอบตำแหน่งหัวหน้าของคณะองคมนตรี ดังนั้นถึงได้ยอมละทิ้งชื่อเสียงอันบริสุทธิ์หมดจดของผู้ตรวจการเพื่อจะได้ทำลายข้า?”สีหน้าของฮ่องเต้อันพลันเย็นเยียบลงทันใดผู้ตรวจการเหอมีเหงื่อเย็นผุดพรายเป็นสาย เข่าสองข้างอ่อนยวบทรุดลงกับพื้นทันที “ฝ่าบาทโปรดวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วนเที่ยงธรรม กระหม่อมหาได้มีเจตนาเห็นแก่ตัวแม้แต่น้อย กระหม่อมเพียงแค่ปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้ตรวจการอย่างเคร่งครัดก็เท่านั้นพ่ะย่ะค

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 79

    ผู้ตรวจการเหอหน้าแดงก่ำ “เจ้าเล่นลิ้นเล่นสำนวน ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคนนั้นก็แค่ไปเยี่ยมคุณหนูของนาง…”“วิธีการเยี่ยมของท่านคือการโจมตีใบหน้าอีกฝ่ายให้เสียโฉม ตีอีกฝ่ายจนสลบ หรือว่าทุบตีอีกฝ่ายจนกระอักเลือดล้มป่วยไม่ฟื้น?”ประโยคเดียวของเซียวเยี่ยนตอกหน้าจนคนผู้นั้นสะอึกไป“อย่าว่าแต่เรือนหลังนั้นข้ายังมิได้โอนมอบให้แม่นางน้อยซ่งเลยด้วยซ้ำ การที่คนสกุลซ่งบุกเข้ามาย่อมมีความผิด หรือต่อให้ข้าจะมอบเรือนให้แม่นางน้อยซ่งแล้วก็จริง ข้าในฐานะหัวหน้าสำนักองคมนตรีฝ่ายใน เห็นคนบุกเข้าเรือนผู้อื่นทำร้ายร่างกายอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตา หนำซ้ำยังได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือมาจากในจวนแล้ว จะต้องนิ่งดูดายทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอย่างนั้นหรือ?”ผู้ตรวจการเหอหน้าแดงหน้าขาว ตะคอกเสียงดังออกมาด้วยโทสะ “แบบนั้นจะไปเทียบกันได้อย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็แค่สั่งสอนผู้น้อยในจวนเท่านั้น”“ที่แท้ผู้ตรวจการเหอก็สั่งสอนบุตรหลานด้วยการทุบตีหวังให้ตายคาที่อย่างนั้นเองหรือ?”“เจ้า!” ผู้ตรวจการเหอถูกตอกหน้าหงายก็ตะคอกขึ้นด้วยโทสะ “เจ้าจงใจบ่ายเบี่ยงเลี่ยงประเด็น ต่อให้ตัดประเด็นที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกับแม่นางน้อยซ่งคนนั้

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 78

    ภายในจวนถังที่ตรอกจีอวิ๋น ถังหนิงกำลังหลับใหลอย่างสงบ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าด้านนอกมีคนกำลังโต้เถียงกันเพราะนาง ทว่าราชสำนักในห้วงความฝันของนางบัดนี้ กลับกำลังวุ่นวายโกลาหล ราวหม้อน้ำมันเดือดภายในราชสำนักการยื่นฎีกาไม่ไว้วางใจระลอกที่สองดูจะรุนแรงกว่าที่พวกซ่งหงคิดเอาไว้มาก ครั้งนี้มิเพียงหัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดินเฉาเต๋อเจียง แม้แต่ขุนนางระดับมุขมนตรีสามสำนักทั้งสำนักราชเลขาธิการ สำนักอัครเสนาบดี และสำนักสนองราชโองการก็ทยอยกันออกมายื่นฎีกาไม่ไว้วางใจเช่นกัน ถ้อยคำรุนแรงในท้องพระโรงนั้น ทำให้ชื่อเสียงและเกียรติยศที่สะสมมาหลายปีของซ่งหงพ่อลูกพังทลายลงเพียงชั่วข้ามคืนเพื่อให้สมน้ำสมเนื้อ เรื่องที่เซียวเยี่ยนทำร้ายร่างกายสตรีบรรดาศักดิ์เก้ามิ่งในราชสำนัก แอบอ้างสิทธิ์สำนักแพทย์หลวง ใช้อำนาจองครักษ์เกราะดำบีบบังคับหอโอสถในเมืองหลวง และทำตัวกร่างข่มเหงรังแกผู้คนในเมือง ก็ถูกลู่ฉงหยวนหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการและพรรคพวกจับเป็นความผิดไม่ปล่อยเช่นกัน“เป็นเพราะสกุลซ่งเป็นฝ่ายกระทำความผิดก่อน บุกเข้าตรอกจีอวิ๋นมาทำร้ายร่างกายผู้อื่นก่อน…”“นั่นก็มิใช่เหตุผลสมควรให้เขาทำร้ายร่างกายสตรีบรร

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 77

    พระชายาเฉิงจะไปขอความช่วยเหลือจากเขาได้อย่างไร?เซียวเยี่ยนได้ฟังถ้อยคำของจิ้นอวิ๋นก็เอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “มีความแค้นอย่างนั้นหรือ?”“ใช่ขอรับ”เซียวเยี่ยนหัวเราะออกมาเบา ๆจิ้นอวิ๋นยืนอยู่ด้านข้างสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าประโยคไหนของตนเองทำให้ท่านหัวหน้าขบขันขึ้นมาได้ ขณะที่เขาถือเสื้อคลุมเดินตามหลังเซียวเยี่ยนออกไปด้านนอก ก็ถามขึ้นด้วยเสียงเบาหวิว “เช่นนั้นแล้วเรื่องของสกุลซ่งนี้พวกเราต้องออกมือด้วยหรือไม่ขอรับ?”“ไม่ต้อง”หากเรื่องแค่นี้กู้เฮ่อเหลียนยังสืบไม่ได้ ก็เสียแรงที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพไฉ่เสิ่งเอี้ยแล้วรถม้าเคลื่อนมาหยุดหน้าประตูจวนแล้ว ตอนที่เซียวเยี่ยนก้าวออกไปสายตาก็เหลือบไปมองเรือนข้าง ๆ ที่ยังคงมืดสนิทเหมือนเคย พอนึกถึงเมื่อวานตอนบ่ายที่แม่นางน้อยฟังเขาเล่าเรื่องราวน่าสนุกในราชสำนักให้ฟัง จนเผลอฟุบหลับไปบนโต๊ะแล้วยังส่งเสียงออกมาเบา ๆ เหมือนแมวน้อยแบบนั้น แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มขึ้นมา“อีกเดี๋ยวจงให้คนไปที่ตลาดเลือกคนที่ชาติกำเนิดสะอาดไร้มลทินส่งไปที่จวนถัง แล้วหาสตรีที่เรียบร้อยเชื่อฟังในเรือนของขุนนางต้องโทษมาสักสองสามคน ส่งไปปรนนิ

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 76

    เจี่ยงหมอมอตื่นตระหนกตกใจ “พระชายาเพคะโปรดระงับอารมณ์อย่าคิดมากวิตกกังวลไปก่อนเลยเพคะ ท่านอ๋องอาจเพราะเกิดความเกรงกลัวในใจ ไม่แน่ว่าท่านอ๋องอาจจะกลัวว่าหากคุณหนูขัดแย้งกับสกุลซ่งมากเกินไปจะทำให้ชื่อเสียงของนางเสื่อมเสีย กลัวว่าหากสกุลซ่งก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาแล้วคุณหนูจะถูกคนสกุลลู่รังเกียจ”“ไหนจะมีไท่เฟยผู้เฒ่าด้วยอีกคนเพคะ ไท่เฟยผู้เฒ่าเองก็ทรงขุ่นเคืองมาตลอดที่พระชายารักและสงสารคุณหนูมากเกินไป ท่านอ๋องเองก็อาจเป็นเพราะกังวลว่าพระชายาจะทำให้ไท่เฟยผู้เฒ่าไม่พอใจ กลัวว่าหากเกิดเรื่องอะไรกับสกุลซ่งขึ้นมาจริง ๆ อาจพัวพันมาถึงท่านและคุณหนูได้…”นางพยายามหาข้ออ้างอย่างสุดชีวิต เพื่อจะบอกว่าเฉิงอ๋องมิได้ตั้งใจ ทว่าพระชายาเฉิงกลับไม่ฟังแม้แต่ประโยคเดียว“พวกข้าเป็นสามีภรรยากันมาสิบกว่าปี เขาจะมีความกังวลใจใดที่มิอาจบอกข้า?”“โกหกก็คือโกหก ต่อให้เหตุผลจะมีมากแค่ไหนสุดท้ายทั้งหมดก็คือข้ออ้าง”“เรื่องอื่นข้ายังพอมองข้ามไม่คิดเล็กคิดน้อยได้ ทว่าเขารู้อยู่แก่ใจว่าสกุลซ่งรังแกถังหนิงอย่างไร รู้อยู่แก่ใจว่าเขาทำลายชื่อเสียงความรักใคร่ปรองดองของพี่หญิงและพี่เขยของข้าอย่างไร แล้วก็รู้ทั้งรู้ว่า

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 75

    เฉิงอ๋องโอบกอดพระชายาไว้พลางปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนพระชายาเฉิงเอนกายซบลงบนไหล่ของเขา “ท่านอ๋อง คนที่ท่านส่งไปที่อันโจวส่งข่าวกลับมาบ้างหรือยังเพคะ สืบเรื่องของซ่งซูหลานมาได้บ้างหรือไม่เพคะ?”เฉิงอ๋องชะงักมือไปเล็กน้อย ก่อนจะลูบแผ่นหลังของนางต่อไปอย่างแผ่วเบา “จะรวดเร็วปานนั้นได้อย่างไร ระยะห่างระหว่างอันโจวกับเมืองหลวงต้องใช้เวลาตั้งหลายวัน หลังจากไปถึงแล้วยังต้องคิดหาวิธีสืบถามอีก เรื่องราวเหล่านี้พอสืบมาได้ความตามสมควรแล้ว ต่อให้ใช้ม้าเร็วไปกลับก็ยังต้องใช้เวลากว่าครึ่งค่อนเดือนเชียว ข้าว่าเรื่องนี้เจ้าน่าจะคิดมากไปเอง”“สกุลซ่งก็มิใช่พวกเสียสติ พวกเขาจะเอาสตรีไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้ามาปะปนในสายเลือดของจวนกั๋วกงได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นบุตรีอนุนอกเรือนคนนั้นโฉมหน้าก็พอจะคล้ายคลึงคนสกุลซ่งอยู่บ้าง”“ถังหนิงเองก็เพราะบาดหมางกับสกุลซ่งถึงได้จิตฟุ้งซ่านคิดมากไปเอง เจ้าเองก็ปล่อยให้นางก่อเรื่องวุ่นวาย แม้ข้าจะตกปากรับคำว่าส่งคนไปสืบแล้วก็จริง แต่เรื่องนี้ก็ไม่ควรเปิดเผยเป็นการใหญ่ มิเช่นนั้นหากสืบแล้วไม่พบอะไรขึ้นมา แล้วคนนอกรู้ว่าถังหนิงกล้าสอดปากสอดคำขัดแย้งกับผู้ใหญ่ในจวนขึ้นมา เกร

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status