LOGINเพ่ยหนิงปรือตามองก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาประชิดมา ก่อนที่ริมฝีปากร้อนผ่าวจะประกบอย่างอุกอาจเอาแต่ใจ
หญิงสาวถูกจุมพิตที่ไม่หยาบกระด้างแต่ก็ไม่อ่อนโยนถาโถมเข้าใส่จนมึนงง
ลมหายใจของนางกำลังถูกลมหายใจของเขาที่ร้อนเร่ายิ่งกว่าเตาไฟเผาไหม้จนแทบละลาย ความแข็งขืนมิผ่อนปรนของเขาทำหัวใจของนางเต้นแรง ริมฝีปากของนางถูกเขาครอบครอง ฝ่ามือยังถูกเขากอบกุมยากปัดป้อง เนื้อตัวถูกเขารุกเร้าเอาแต่ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
เพ่ยหนิงรู้สึกเหมือนวิญญาณถูกสูบ สมองขาวโพลน คล้ายถูกมอมเมาด้วยจุมพิตอันร้อนแรง ร้ายที่สุดก็คือถูกชักจูงด้วยสิ่งที่ฝ่ามือนางกุมแทบไม่หมดนั้น
และก่อนที่นางจะขาดอากาศหายใจ เขาค่อยๆ ผละออก แต่ยังคลอเคลียไม่ห่าง ปลายลิ้นที่ไล้เลียเปลี่ยนจูบเร่าร้อนเป็นการละเลียดชิมริมฝีปากอย่างเว้าวอน คล้ายอ้อนวอนให้ช่วยเหลือกัน
“ท่านอ๋อง” นางเสียงสั่น
“ช่วยหน่อย” เขาสั่งเสียงเข้ม แฝงนัยร้องขอ
สาวน้อยหลับตา ข่มอารมณ์ข่มใจอย่างยากลำบาก นางปวดมือมาก
ยิ่งนางขยับ เขาก็เหมือนยิ่งขยาย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป...
“ท่านเอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ”
“คืนนั้นเจ้าเอาแต่ใจมากกว่านี้มิใช่หรือไร?”
“ก็ข้าเป็นผู้หญิง จะทนอย่างไรไหว”
“แล้วข้าที่เป็นผู้ชาย ต้องทนหรือไร?”
เพ่ยหนิงถลึงตาโตเมื่อถูกฝ่ามือหนาเลื่อนลงด้านล่าง จับสำรวจอย่างคุ้นเคยและช่ำชอง ลูบคลำตรงผ้าซับระดู ปรากฏว่า ‘ไม่มี’
“ที่แท้ เจ้าโกหกข้า?” จ้าวเฟิ่งถามเสียงพร่า ในคำถาม น้ำเสียงคล้ายจนใจหลายส่วน
เพ่ยหนิงอยากก่นด่าตัวเองเหลือเกิน เหตุใดไม่ใส่ผ้าซับระดู ช่างไม่แนบเนียนเอาเสียเลย
ท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา นางแน่ใจแล้วว่าตัวเองมิได้จำนนต่อโชคชะตา แต่กำลังติดอกติดใจยากถอนตัว
มีคนเตือนนางว่าชายหญิงแตกต่างให้พึงระวัง การชิดใกล้อาจนำมาซึ่งพิษภัย
ใช่! สิ่งที่แตกต่างคือรูปลักษณ์ภายนอกและความชมชอบ
บุรุษชอบความอ่อนนุ่มละมุนละไม สตรีชอบความแข็งแกร่งหยาบกระด้าง ทว่าทั้งหมดทั้งมวลพวกเขาล้วนเหมือนกัน คือหลงใหลในกามารมณ์ และนั่นคือพิษภัย
เมื่อความรู้สึกวาบหวิวหวามไหวเดินทางมาไกลเกินแก้ไข เพ่ยหนิงกำลังแพ้พ่ายต่อพิษภัยที่ค่อยๆ คืบคลานมาเยือนถึงตำแหน่งอันเป็นที่ตั้งของหัวใจ นางดึงเสื้อผ้าของตนออกจนหมด ทึ้งเสื้อคลุมของเขาทิ้ง ทุกสิ่งร่วงลงพื้นข้างเตียงนอน จากนั้น...
“ก็ได้ ข้ายอมท่าน”
นางพลิกกาย กดร่างของเขาเอาไว้ทันที
ทั้งสองร่างแนบชิด สนิทสนมไร้ช่องว่างใด
“เจ้าร้ายกาจน้อยกว่านี้ได้หรือไม่?”
ดวงตาเขาแดงก่ำเมื่อถูกนางตรงหน้าทำท่าเหมือนจะขืนใจ ความรู้สึกหนึ่งรัดรึงบีบแน่นอยู่ภายใน
ไม่ว่าใครถูก‘ยา’รุมเร้ายังคงเป็นนางที่นำหน้าเขาหนึ่งก้าว
แม้ในใจพร่ำบ่น แต่คนตัวโตกลับนอนหงายอย่างรอคอย ฝ่ามือแกร่งทั้งสองประคองสะโพกงามไว้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนตัวเล็กที่กำลังหยัดกายขึ้น
นางกุมท่อนเนื้อแข็งขึงไว้ในกำมือ ค่อยๆ สอดใส่
ชายหนุ่มหลุบตามองส่วนกลางกาย สองมือเลื่อนจากสะโพกผายขึ้นมากระชับเอวอ่อนนุ่มที่เริ่มขยับโยกไหว
เขากุมเอวนางแน่นขึ้น เพื่อส่งตัวตนอย่างให้ความร่วมมือ
เพ่ยหนิงกัดปาก พูดเสียงแข็ง “ข้าเป็นสตรีเอาแต่ใจแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร มิได้ชอบท่านแน่นอน...”
วาจาแสลงหูนี้ บุรุษอย่างเฉิงอ๋องจะปล่อยผ่านได้อย่างไร เขาพลันเลื่อนมือจากเอวคอดขึ้นไปกอดรั้งท้ายทอยนางลงมา ประกบปิดปากนางด้วยริมฝีปากเขา จูบนี้ดุดันไม่ปล่อยให้นางพูดจาสามหาวอีก ปลายลิ้นที่ตวัดเข้าหายังอุกอาจปานนั้น
“ไม่ชอบหรือ?”
เขาจับพลิกตัวนางลงล่าง ตามทาบทับด้านบน แยกขานาง แล้วสอดตัวตนแข็งขึง ตรึงนางเอาไว้ด้วยสัมผัสลึกซึ้งอุ่นซ่าน
“อา...” บุรุษขบกราม ขยับเอวเนิบนาบแต่หนักแน่น “หากไม่ชอบแล้ว ลูกท้อฉ่ำน้ำของเจ้าคืออันใด”
ริมฝีปากชิดผิวขาวลออ ดูดเม้มจนเกิดรอยแดงเป็นจ้ำซ้ำๆ ฝ่ามืออุ่นเลื่อนไปตามหน้าท้อง หยอกเย้ากลีบบุปผาอุ่นชื้นไวสัมผัส
เขาขยับคล่องแคล่วพริ้วไหวขึ้นมากอบกุมทรวงอกอวบอิ่ม บีบคลึงอย่างถือสิทธิ์
ความสัมพันธ์ยากหลีกเลี่ยงนี้เปรียบเสมือนไฟเจอน้ำมัน
เพ่ยหนิงตัวสั่น นางไม่อาจควบคุมร่างกายที่กำลังเบ่งบาน พร้อมพรั่งตลอดเวลาเพื่อเขา
นางไม่อาจควบคุมลำคอตัวเองจนปล่อยเสียงครางออกมาอย่างรัญจวน
จ้าวเฟิ่งก้มหน้าฟังแล้วให้รู้สึกถึงเสน่หาอันหอมหวานลึกล้ำที่อัดแน่นแทบล้นทะลัก เขาเองก็ควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วเช่นกัน
เลือดลมแล่นพล่านไปทั่วร่าง แผ่ซ่านทุกอณูความร้อนผ่าวให้แผดเผาตั้งแต่กลางลำตัวที่เสียดสีสอดประสานพาดผ่านไปถึงเนื้อกายในอกด้านซ้ายให้เต้นในจังหวะที่รุนแรง ทั้งเร่งเร้าและดุดัน
ราตรียาวนาน วสันต์คล้ายไร้สิ้นสุด
รอบแล้วรอบเล่าที่บุรุษครอบครองสตรีนับเป็นช่วงเวลาที่ดี ได้บรรลุความตื่นเต้นถึงขีดสุดครั้งแล้วครั้งเล่า
จอนผมของเขาชื้นเหงื่อ เนินอกของนางพร่างพราวหยดน้ำ หัวใจชายหญิงเต้นราวฝนคะนอง ฟ้าคำราม ไอร้อนคุกรุ่นทั่วร่าง
ดวงตาพวกเขาฉ่ำปรือแต่กลับเหมือนมีฟืนไฟภายใน ร้อนแรงปานนั้น
เขากอดรัดนางแนบแน่น นางจิกเล็บยึดหลังไหล่ของเขาไว้แนบแน่นเช่นกัน
เขาได้ยินนางครางเบาๆ ที่ข้างหู รู้สึกเหมือนเลือดลมสูบฉีดอย่างรุนแรง มันเดือดพล่านจนรูขุมขนทั่วร่างขยายกว้าง ในขณะที่นางเองก็รับรู้ในทุกจังหวะความตื่นตัวยามสองกายแนบชิดลึกล้ำ
ทุกการขับเคลื่อนสอดใส่นางบีบรัดเขาไม่หยุดอย่างไร หัวใจนางก็สั่นไหวไม่หยุดเช่นกัน
ติงอี้เทากล่าวเสียงเนิบช้า ทว่าฟังดูทุ้มต่ำทรงพลังดุดัน “ข้าไม่แปลกใจว่าเพราะเหตุใดหนิงเอ๋อร์จึงปักใจรักเพียงเจ้า”ชายชราถอนหายใจ แววตาดุดันแฝงแววจนใจ“น่าเสียดายที่ความรักมักทำให้คนขาดสติด้อยปัญญา แต่เอาเถิด เรื่องที่จวนอ๋องของเจ้า ข้าจะไม่รื้อฟื้นหรือกล่าวโทษใด ทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องที่ข้าติงอี้เทาเข้าใจได้ แต่เจ้าลองมองดู”ติงอี้เทาเอ่ยขึ้นขณะหันหน้าออกไปที่บานหน้าต่างดังเดิม จ้าวเฟิ่งมองตาม เบื้องหน้าในระยะสายตาของทั้งสองคือเส้นทางทอดยาวอันไกลโพ้นมองไม่เห็นปลายอีกฝั่งมิอาจประเมินระยะทางได้แม่นยำ แต่กลับมองออกว่าเป็นทางกลับไปเมืองหลวงแคว้นจิน“ไกลมากใช่หรือไม่?” ติงอี้เทาเอ่ยต่อด้วยสีหน้าเยือกเย็น “นอกจากไกลแล้วยังสูงส่งเกินเอื้อมอีกด้วย”เมื่อวาจายืดยาวเอ่ยถึงตรงนี้ จ้าวเฟิ่งที่ฟังอยู่ถึงกับชะงัก ติงอี้เทาค่อยๆ ผินใบหน้ากลับมามองอ๋องหนุ่ม สุ้มเสียงยังคงเนิบนาบเชื่องช้าไม่เร่งร้อน “หากเป็นชายหญิงทั่วไปเมื่อใจรักระยะทางใกล้ไกลย่อมไร้ปัญหา ฐานะที่แตกต่างล้วนนำพาซึ่งชื่อเสียงหน้าตา ส่งตัวตนขึ้นเหนือคนในวงสังคมอย่างไร้เงื่อนไข เพียงแต่ ตัวท่านที่เป็นถึงอ๋องย่อมไม่อาจทำตามแ
เขาเปิดประตูเชื้อเชิญแขกผู้มาเยือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เชิญท่าน...ตามข้ามา” เขาปรายตามองจ้าวเฟิ่งปราดหนึ่ง “แค่ท่านคนเดียว ผู้อื่นไม่เกี่ยว”เหล่าองครักษ์ถึงขั้นกระชับดาบข้างเอว สายตามองข่มขวัญสื่อนัยวาจาว่า‘บังอาจ’ถ้วนหน้า พวกเขาล้วนเป็นคนสนิทข้างกายและตายแทนได้ เคยห่างจากผู้เป็นนายเสียที่ใด หาไม่ หากเฉิงอ๋องตกอยู่ในอันตรายหรือเป็นอะไรไป พวกเขามีสิบหัวก็ไม่พอให้ตัด แววตาคมกริบขององครักษ์กับแววตามืดดำของสมุนยวี้จู๋พลันเปล่งประกายพร้อมปะทะ บรรยากาศตึงเครียดยิ่งจ้าวเฟิ่งจึงยกมือปราม ทุกคนถึงได้สงบลงเมื่ออ๋องหนุ่มพ้นบานประตู บุรุษร่างใหญ่กำยำผู้หนึ่งพลันเดินเข้ามาด้วยท่าทางสุขุม สีหน้าเคร่งขรึม เมื่อเข้ามายืนอยู่ตรงด้านหน้าของจ้าวเฟิ่งก็เพียงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มใหญ่เฉยชาว่า “เชิญทางนี้ ท่านประมุขกำลังรอท่านอยู่”จ้าวเฟิ่งตอบรับเสียงอืมในลำคอค่อยกล่าว “เชิญนำทาง”ชายหนุ่มเดินตามการเชื้อเชิญของบุรุษตัวโตด้วยท่าทีลุ่มลึก มิได้รู้สึกขัดเคืองหรือมีโทสะอันใดกับการปฏิบัติแบบไม่เกียรตินี้ เพราะเพียงคิดถึงการกระทำอันเอาแต่ใจของตนที่ผ่านมายามปฏิบัติต่อเพ่ยหนิงก็ตระหนักได้ว่าสมควร
ที่โต๊ะริมหน้าต่างอันเป็นที่ประจำของเพ่ยหนิง จ้าวเฟิ่งนั่งมองเตากำยานอย่างเหม่อลอย ครั้นได้สติก็เพียงหลับตา ยกนิ้วคลึงหว่างคิ้วช้าๆ สีหน้าเคร่งเครียด นึกปวดใจยิ่งจ้าวไท่หรงค่อยๆ เยื้องย่างเดินเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียง ด้วยรู้ตัวดีว่าตนอาจเป็นต้นเหตุเภทภัยในรักของน้องชาย จึงไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงรบกวนทว่าจ้าวเฟิ่งมีหรือจะไม่รู้ถึงการมาเยือน เขาค่อยๆ ลืมตา เอ่ยเสียงเนิบช้า“พี่ใหญ่สมควรตอบรับสมรสพระราชทานไปเสีย เลิกคิดเรื่องสตรีของข้า ไม่ว่านางจะอยู่ที่ใด ท่านไม่ควรใส่ใจทั้งสิ้น”จ้าวไท่หรงยกมือขึ้นเบื้องหน้าอันหมายความว่าเขายอมแพ้ แต่ปากกลับบอก “แต่พี่ใหญ่ไม่ได้ชอบลู่ซือฉี พี่ใหญ่ชอบเพ่ยหนิง”เมื่อได้ยินคำพูดไร้ยางอายไม่เสื่อมคลายของคนเป็นพี่ชาย จ้าวเฟิ่งพลันหน้าบึ้งตึง เอ่ยเสียงเยียบเย็น ไม่ไว้หน้า“นางเป็นภรรยาของข้า ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าคิดหมายปอง”คราวนี้จ้าวไท่หรงไม่เพียงเบิกตาโพลง ยังเงียบกริบทันทีรัชทายาทหนุ่มนึกไม่ถึงว่าน้องชายผู้รักษาจารีตเคร่งครัด ไม่เคยปล่อยตัวไปกับอารมณ์กำหนัดจะรวบรัดคนเขาแล้วน้องสี่ เจ้าช่างร้ายกาจยิ่งนัก...นอกเขตเมืองหลวง จากภูชมมังกรมองเห็นทิ
ติงอี้เทาบันดาลโทสะกับโต๊ะไม้โบราณตัวโปรดเสร็จก็ลุกขึ้นอย่างโกรธา หนวดเคราสีขาวกระพือด้วยแรงอารมณ์ที่พ่นออกมาเป็นลมหายใจร้อนผ่าวราวเปลวเพลิงทางจมูกเขาผิดเองที่รักและตามใจหลานสาวคนเดียวผู้นี้มากเกินไป ดูแลฟูมฟักอย่างดีล้นเหลือจนแทบจะประคับประคองในอุ้งมือ กระทั่งอีกฝ่ายแข็งแรงเพียงภายนอกแต่กลับอ่อนต่อโลกไปทั้งจิตใจเช่นนี้เขายังจะเอาหน้าเหี่ยวๆ ไปพบเขยแซ่เพ่ยกับลูกสาวในปรโลกอย่างไรไหวติงอี้เทานึกโกรธตัวเองยิ่งนัก ทั้งยังโกรธจ้าวเฟิ่งจนแทบหลั่งน้ำตาเจ้าอ๋องน่าตาย...หานตงเห็นอาจารย์เคียดแค้นเช่นนั้นก็รีบเอ่ยเสียงเข้มขรึม“ขออาจารย์โปรดอย่าเข้าใจในตัวเฉิงอ๋องในทางเลวร้าย ประเมินดูแล้วทุกฝ่ายล้วนเข้าใจผิดต่อกัน แต่ทั้งที่เข้าใจผิดปานนั้น หนิงเอ๋อร์อยู่ในฐานะนักโทษไม่ต่างจากเชลยด้วยซ้ำ คนจะให้ปรนเปรออย่างทรมานเช่นไรก็ย่อมได้ จะรังแกหรือเอาเปรียบก่อนฆ่าทิ้งก็ไม่นับว่าผิดแผก ทว่าเฉิงอ๋องกลับดูแลทะนุถนอมอย่างดี ลอบปกป้องนางจากพี่ชายเสเพลเต็มที่ มองแล้วพวกเขาก็เป็นเแค่คู่รักที่มีปัญหาไม่เข้าใจกันเท่านั้น ยามนี้ขอเพียงทั้งสองได้พบหน้าพูดคุย ทุกอย่างย่อมคลี่คลาย”แม้หานตงจะพูดจามีหลักการและเหต
ท่านหมอแย้มยิ้มบอกกล่าวข่าวดี กำชับอีกหลายประโยค “อายุครรภ์ยังน้อยนัก ระวังสุขภาพและเรื่องโลดโผนหน่อยจึงจะดี อย่าให้แม่นางวิตกกังวลหรือมีเรื่องอะไรให้ต้องคิดมากอีกเลย”หานตงพยักหน้าเคร่งขรึม วางเงินอีกก้อนอย่างไม่ตระหนี่ท่านหมอมองเงินบนโต๊ะก็ให้รู้สึกสะท้อนใจ ไฉนคนที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาผู้หนึ่งถึงมีเงินก้อนให้ใช้จ่ายมือเติบได้หนอ หานตงไม่สนใจสายตาสงสัยใคร่รู้ของท่านหมอชรา เพียงลุกขึ้นหันมาโอบอุ้มบุตรสาวบุญธรรมขึ้นแนบอกแล้วจากไปควรต้องทราบว่าหานตงแม้เบื้องหน้าปลูกผักขายไปวันๆ ทว่าเบื้องหลังนั้นยังมีร้านสมุนไพรเก่าแก่ที่สุดของยุทธภพซึ่งปลูกและตัดแต่งเพาะพันธุ์จนพืชกลายพันธุ์พัฒนาไปไกล เขามีฉายาโดยไม่เผยโฉมว่าเทพโอสถหมื่นพิษ คนมีเงินมั่งคั่งเท่านั้นถึงจะหาซื้อสินค้านี้ของเขาได้ อีกทั้งหานตงยังทำการค้าหลากหลาย สั่งสมทรัพย์สินเงินทองไว้มากมาย ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมดส่วนการปลูกผักนั้นแท้จริงเป็นเพียงความชอบส่วนตัวที่นิยมปรุงอาหารผสมพืชพันธุ์สมุนไพรบำรุงร่างกายให้อายุยืนนานเหมือนที่เพ่ยหนิงชื่นชอบการปลูกดอกไม้แล้วนำมาแปลงเป็นอาวุธร้ายนั่นแลหานตงอุ้มเพ่ยหนิงขึ้นรถม้า หวดแส้บ
หน้าประตูบานใหญ่จวนเฉิงอ๋องเพ่ยหนิงมองภาพทหารร่างใหญ่กำยำยื่นคมหอกขวางหน้า พวกเขาล้วนมีท่าทางถมึงทึงอย่างไม่ยอมอ่อนข้อหรือหลงกลเสน่ห์มารยาก็ให้นึกท้อใจ แม้นางจะเอ่ยปากว่าตัวเองเป็นคนของเฉิงอ๋องก็ยังไม่เป็นผล คนยังมองนางเหมือนมดปลวกตัวเล็กๆ ไร้ค่าให้ใส่ใจ“อย่าว่าแต่สตรีต่ำต้อยมีดีแค่สะสวยเช่นเจ้าเลย ต่อให้เป็นคุณหนูสูงส่งผู้งดงามก็ใช่ว่าจะเข้าหาท่านอ๋องของพวกเราได้ง่ายๆ ช่างฝันเฟื่องไม่เจียมตัวยิ่งนัก ไร้ยางอายมาก” ทหารคนหนึ่งพูดจบก็โบกมือไล่เพ่ยหนิงเหมือนไล่แมลงโสโครก“ไปๆ ออกไป อย่าได้พาตัวเองมาทำให้ท่านอ๋องของข้าต้องแปดเปื้อนมัวหมองเพราะสตรีไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นเจ้า”“...”เพ่ยหนิงเบิกโต อุทานในใจว่าโอโห ปากหรือนี่ ฉับพลันนั้นนางนึกอยากสั่งสอนทหารผู้นี้จับใจ ให้เขาลิ้มรสฝีมือนางจนลงไปนอนแดดิ้นสิ้นใจเสียตรงนี้ แต่นางไม่ไร้เหตุผลขนาดนั้น จึงเพียงแต่ชี้หน้าว่า “สามหาวนัก!”“บังอาจ! กล้าชี้หน้าคนของจวนอ๋องเชียวรึ?”“ทำไมจะไม่กล้า! ข้าจะตีปากของเจ้าด้วย”ทหารหรี่ตาตวาด “เจ้า!”เพ่ยหนิงเองก็โมโหไม่ยอมความ “ทำไม?”พวกเขาจึงเริ่มมีปากเสียงรุนแรง แน่นอนว่าหานตงไม่เสี่ยงกระโดดข้ามกำแพงเข้าไ







