บทที่ 4 โจวหมิงเจ๋อ
โจวหมิงเจ๋อลงฝีเท้ามั่นคงหนักแน่นเช่นเดิมอย่างที่ทำมาตลอดทั้งชีวิต กลิ่นคาวเลือดของสาวแรกรุ่นยังกรุ่นขึ้นกระทบนาสิกเนือง ๆ ยิ่งเกิดอาการซ่านในทรวงอก
ไม่ว่าตำราเก่าแก่โบราณสั่งสอนให้สะกดจิตใต้สำนึกไว้เพียงไร ทว่าโจวหมิงเจ๋อคร้านจะใส่ใจ เขาถือว่าการเดินทางสายกลางย่อมดีที่สุด หากร่างกายต้องการย่อมต้องปลดปล่อย
“นายท่าน”
เสียงเฉียนฟานหยุดเขาไว้เสียก่อนที่เขาจะเดินขึ้นถึงชั้นสาม ชีพจรรัวกระหน่ำสะกดด้วยยุทธิ์ลมปรารณ หลับตานิ่งกำหนดจุดหันกายไปยังคนสนิท
“ทางคุณหนูฮุ่ยหรูได้นำขบวนสินสอดยิ่งตี้มาด้วยขอรับ”
“อืม”
“เพียงแต่ว่า ...” เฉียนฟานอึ้งไปครู่ไม่รู้จะพูดเช่นไรดี
“อย่าอึกอักอ้ำอึ้ง เจ้ารู้นิสัยข้าดี”
“ขอรับ ขบวนยิ่งตี้เอิกเกริกยิ่งทั้งชายหญิงล้วนนับรวมได้เกือบร้อยคน”
“ร้อยคนเชียวหรือ”
“ทางตระกูลฮุ่ยไม่ได้แจ้งข่าวล่วงหน้า ทำให้เรือนนอนไม่พอ คืนนี้จึงจัดให้นอนเรือนเล็กด้านหลังกันไปก่อน”
โจวหมิงเจ๋อมองออกไปนอกหน้าต่างชั้นสาม เสียงฝนพรำตั้งแต่ยามซวี[1] อากาศหนาวลมเหนือระลอกแรกพัดเหนือยอดหลังคาปูนปั้นเสือในทุกเช้า
“แล้วฟูกนอน ผ้าห่ม”
“ไม่เพียงพอขอรับ”
“พรุ่งนี้จัดการแบ่งยิ่งตี้ชาย คัดเพียงชายฉกรรจ์แข็งแรงใช้งานได้ไว้ทำงานหนักยี่สิบคน ส่งขึ้นเขาเฝ้ากองโจร ส่วนพวกบอบบางคัดหน้าตาไว้เพียงห้าคน ให้ย้ายไปยังจวนรองสำหรับรับรองแขก”
“แล้วยิ่งตี้หญิง”
“คัดหน้าตาดีไม่เกินสิบหกปีสิบห้าคน ย้ายไปยังจวนเดียวกับยิ่งตี้ชาย ที่เหลือขายทิ้งโรงคณิกาให้หมด”
“ขอรับ”
“อีกเรื่องเฉียนฟาน วังหลวงส่งคนมาแจ้งนัดวันรับตัวองค์หญิงแคว้นฉี อีกสามวันเจ้าจงเตรียมคนให้พร้อม งานนี้ข้าจะลงมือด้วยตนเอง”
“ขอรับ”
โจวหมิงเจ๋อสะบัดมือไล่ คราแรกตั้งใจไปเยี่ยมเยียนอวี้เจียวอีกสักคราตามสัญชาตญาณดิบเถื่อนที่ถูกปลุกขึ้นจากการร่วมหอ ทำหน้าที่ตามประเพณีของตระกูลโจว
ฮุ่ยหรู ลูกสะใภ้ร่างเล็กบอบบางวัยเพียงสิบห้า มิใช่สตรีที่น่าอภิรมย์สำหรับโจวหมิงเจ๋อ
เจ้าสำนักตระกูลโจวพาร่างสูงใหญ่เคลื่อนตัวออกนอกระเบียงเพื่อระบายความอึดอัดภายใน กลิ่นเลือดบนฝ่ามือแม้เจือจางแต่ยังได้กระทบนาสิกเนือง ๆ ทอดสายตาลงเบื้องล่างป่าไผ่ด้านหลังหอสูง
สำนักคุ้มภัยแห่งนี้ถือกำเนิดมาหลายชั่วอายุคน คุ้มกันภัยสิ่งของ คน รวมถึงร้านค้าในเมือง ทุกหัวระแหงต่างไหว้วานใช้บริการตระกูลโจวช่วยคุ้มครอง ยามนี้บ้านเมืองยังมีภัยกบฏภูเขา ทั้งศึกหูเป่ย และยังแคว้นฉีแม้ว่ามีท่าทีอ่อนลง ยอมส่งองค์หญิงมาเชื่อมสัมพันธไมตรี
ใกล้หน้าหนาวเต็มทนคงอีกไม่นาน พื้นด้านล่างจะเต็มไปด้วยหิมะจนขาวโพลน รวมไปถึงหอสูง
โจวหมิงเจ๋อยืนนิ่งทอดสายตาไม่นานพลันสะดุดตาเข้ากับร่างเล็กคล้ายสัตว์เมื่อมองจากมุมสูงบนระเบียง เสียแต่ว่าสัตว์สองตัวนั้นวิ่งเร็วทั้งสวมใส่ชุดเซินอี[2]สีน้ำตาลตุ่น อีกคนคล้ายแต่งกายดีกว่าตัวเนื้อผ้าสีอ่อนมีลวดลาย
ทั้งสองนางพากันลัดเลาะวิ่งเข้าไปในป่าไผ่ก่อนทะลุออกตรงไปทางเรือนหลังเล็กท้ายจวน - - นางเป็นพวกยิ่งตี้
สำนักคุ้มภัยแห่งนี้ยามปกติมีคนเดินยามป้องกันภัยแน่นหนา หากแต่ค่ำนี้ถูกปล่อยปละละเลยเนื่องจากแขกเหรื่อจำนวนมากเป็นชนชั้นสูง เขาหันหลังกลับเข้าไปยังภายในโถงหอ
“เฉียนฟาน”
โจวหมิงเจ๋อเอ่ยเรียกเสียงเบา ด้วยตระหนักดีว่าองครักษ์คนสนิทไม่เคยห่างกาย
“วันพรุ่ง ข้าจะคัดเลือกยิ่งตี้ด้วยตนเอง”
“ขอรับท่านเจ้าสำนัก”
เฉียนฟานใคร่แปลกใจแต่ยังทำสีหน้าเรียบเฉยขณะเดินตามท่านเจ้าสำนักขึ้นไปยังชั้นเก้า ชั้นสูงสุดของเสวี่ยจงโหลว โดยไม่แวะห้องของอวี้เจียวในชั้นที่ห้าอย่างที่ตัวเขาคาดการไว้ก่อนหน้า
โครมคราม เกร้ง!!
“ตื่น ตื่น”
ไป๋หลินเอ๋อร์สะดุ้งพรวดตื่นลืมตาเบิกกว้าง เมื่อมีเสียงเคาะเหล็กดังอยู่ด้านนอกเรือนเล็ก รวมไปถึงบรรดายิ่งตี้ที่เหลือต่างพากันแตกตื่นตกใจ คิดว่าเกิดเรื่อง รีบจัดแจงลุกยืนอลหม่านวิ่งวนชนกัน บ้างล้ม บ้างหวีดร้อง
“พี่หลินเอ๋อร์”
“เจ้าไม่ต้องตกใจ” นางจับมือเด็กสาวไว้แน่นพากันลุกขึ้นเดินออกมาด้านนอก จึงเห็นคนของสำนักคุ้มกันภัยราวยี่สิบกว่าคน เรียงแถวเป็นระเบียบ เพียงแต่ผู้ที่ยืนตรงกลางเป็นสตรีหญิงอาวุโสอายุราวปลายสามสิบเห็นจะได้
“พวกเจ้าเมื่อลุกแล้วให้ล้างหน้า ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นตั้งแถวเรียงห้าคน”
ไป๋หลินเอ๋อร์มองหน้ากันกับหญิงอื่น ในบรรดายิ่งตี้ที่นำมามีทั้งญาติสนิทและสาวรับใช้ปะปนกันไป ดังนั้นสตรีสูงศักดิ์คนหนึ่งก้าวออกมายืนตรงหน้าพูดด้วยเสียงอันดัง
“ข้าฮุ่ยฟาง เป็นญาติสนิทสายรองของฮุ่ยหรู เจ้าสาวของท่าน โจวจางหมิ่น เดิมแต่แรกมิสมควรให้ข้าพักที่นี่ด้วยซ้ำ แต่ด้วยเมื่อวานข้าเห็นว่าที่ตระกูลโจววุ่นวายนักจึงไม่ได้ซักไซ้ถาม ทำตามที่พวกเจ้าประสงค์ แต่เช้านี้ ปลุกข้าขึ้นมาตั้งแต่ฟ้าไม่ทันสาง สั่งด้วยน้ำเสียงกรรโชกโฮกฮาก ไร้มารยาท ข้าขอถามกลับสักคำ เจ้าเป็นใครกัน”
ไป๋หลินเอ๋อร์ลอบถอนหายใจ พูดมาเสียยืดยาวอุตส่าห์ตั้งใจฟัง ที่แท้คำถามคือคำสุดท้าย
“ข้าชื่อจื่อลี่ คนที่สำนักเรียกข้าว่าป้าลี่ เป็นผู้ดูแลพวกเจ้า และคนรับใช้ส่วนล่าง ที่สำนักคุ้มภัยจัดการด้วยระบบระเบียบเข้มงวด แบ่งระดับออกเป็นทั้งสิ้นสามระดับ คนรับใช้ล่างสุด ทำงานระดับล่าง ถางป่า ทำสวน ขุดส้วม ซักผ้า งานครัว สวมเสื้อสีน้ำตาลเข้ม”
ป้าลี่หยุดพูดแล้วเดินวนรอบฮุ่ยฟางมองนางหัวจดเท้าแล้วหัวร่อ
“อย่างเจ้าไม่ว่าเป็นคุณหนูร่ำรวยอย่างไร มาในฐานะยิ่งตี้ สินสอดเจ้าบ่าวก็เทียบเท่าคนรับใช้” นางหยุดเดินแล้วหันกลับมาตรง ๆ
“ส่วนคนรับใช้ระดับกลางทำงานอยู่ในเสวี่ยจงโหลวหรือหอเก้าชั้น ไม่ว่าปัดกวาดเช็ดถู ดูแลเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย อาหาร น้ำร้อน สวมเสื้อสีน้ำตาลอ่อน ผู้ดูแลคือแม่นางชางซิงเยียน คนสนิทนายท่าน พวกเจ้าต้องเรียกนางว่านายน้อยหญิง ส่วนนายน้อยโจวจางหมิ่นให้เรียกนายน้อย”
“แล้วอีกระดับคือใครกัน” ไป๋หลินเอ๋อร์ถามขัดขึ้นทันทีเมื่อป้าลี่เงียบเสียงไปนาน
“ระดับบนเป็นคนของสำนักคุ้มกันภัย ซึ่งการแบ่งระดับนั้นพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ รู้เพียงว่าท่านเฉียนฟานเป็นผู้ดูแล สำนักเราเข้มงวดนัก นายใหญ่ชื่นชอบความเงียบ หากไม่มีเรื่องห้ามส่งเสียง ยกเว้นในส่วนของลานฝึกด้านขวาสุด ซึ่งเป็นเขตหวงห้าม คนที่มีสิทธิ์เข้าคือคนของสำนักคุ้มกันภัยเท่านั้น”
ป้าลี่ทำท่าปากมากแต่มีบุรุษหนึ่งเดินมาทีหลัง เพียงป้าลี่เห็นพลันหน้าซีดลงรีบเอ่ยปากไล่
“ในเมื่อรู้เรื่องชัดแจ้งรีบกลับไปล้างหน้าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกมายืนหน้ากระดาน”
ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีหลังสิ้นเสียงป้าลี่ บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่วิ่งวุ่น น้ำมีให้ล้างหน้าไม่พอเพียง จึงแย่งกันกระชากถังน้ำมาเป็นของตน บ้างวิ่งชนสิ่งของจนน่าขัน
“ฮะ ฮ่า นี่มันช่างน่าดูยิ่งนัก จริงไหมจางอวี้ เรารอให้พวกนางเรียบร้อยก่อนค่อยจัดการตัวเองดีกว่า”
“เจ้าค่ะพี่หลินเอ๋อร์”
สองนางพาร่างทอดน่องอ้อยอิ่งเข้าห้องแล้วนั่งลงกับพื้น ไม่ทำอันใดนอกจากมองความโกลาหลด้วยความสนุกยิ่ง
“พี่หลินเอ๋อร์ ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าเหตุใดจึงเรียกพวกเราลุกแต่เช้ามืด”
“อืม ถ้าให้เดาไม่ผิดคงพาไปทำทะเบียนคัดเลือกล่ะมั้ง”
จางอวี้หันควับมามอง “ท่านพี่ฉลาดนัก”
“พี่เพียงคาดเดา เจ้าดู คนมากขนาดนี้ทั้งหญิงชาย หากไม่คัดแยกว่าใครเป็นใคร หรือทำป้ายชื่อ ลงทะเบียน คงสับสนเป็นแน่”
“อืม ๆ ๆ”
ไป๋หลินเอ๋อร์ยกยิ้มด้วยความเอ็นดูเมื่อสาวน้อยหน้าหวานร่างเล็กพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย
[1] 19.00 - 20.59 น.
[2] เป็นที่นิยมสวมใส่ในยุคชุนชิวจ้านกว๋อ แบบสวมลงทั้งตัว
บทที่ 29 บทพิเศษยามเหม่าในทุกวัน โจวหมิงเจ๋อมักลุกขึ้นเพื่อลงไปฝึกยุทธิ์กับคนของสำนักคุ้มภัยด้วยตนเองไป๋หลินเอ๋อร์พลิกกายโอบลำแขนอ่อนนุ่มรัดเขาไว้เอ่ยเสียงเบา“ท่านพี่ ยามเหม่าแล้ว”โจวหมิงเจ๋อตวัดรัดท่อนแขนให้ร่างเล็กบอบบางเกยขึ้นมานอนบนแผ่นอก ลูบฝ่ามือร้อนลงแผ่นหลังเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์“เนื้อเจ้านุ่มมือ” ฝ่ามือใหญ่กางออกลูบแผ่นหลังรั้งนางให้ถดขึ้นกระทั่งริมฝีปากจดกันขยับแผ่วเบา“ป่านนี้เด็ก ๆ คงตื่นกันหมดแล้ว”“แล้วอย่างไร ตื่นแล้วก็ให้ยืนรอหน้าห้องไปก่อน”“ท่านพี่”“ยามเช้าเช่นนี้ ควรอยู่กันแต่ในผ้าห่มดีหรือไม่ กกกอดก่ายรัดร่าง”“ฮะ ฮ่า ท่านพี่ หลินเอ๋อร์ลูกสามแล้วเจ้าค่ะ ไม่อยากท้องอีก”“ถ้าเช่นนั้น พี่จะไม่หลั่งน้ำพิสุทธิ์ข้างในเจ้า เช่นนี้หลินเอ๋อร์ยินยอมหรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปากดันร่างตนเองออกแต่ถูกรั้งลงใต้ร่างทันควัน จับนางพลิกคว่ำ จูบขบลงฟันบนแผลเป็นรูปเสือ“คำกล่าวนี้ ท่านพี่บอกข้าเป็นพันครั้ง จนข้าขี้เกียจจดจำจะใส่ใจ”“ฮึ ในเมื่อหลินเอ๋อร์ไม่ใส่ใจ เช่นนั้นพี่จะถือว่าเจ้าอนุญาต” โจวหมิงเจ๋ออมยิ้มขณะพรมจูบไต่ลงแผ่นหลังนวลเนียน มือก่อกวนวนเวียนไม่ห่างทั้งลูบคลำ ทั้งล้
บทที่ 28 ความลับไป๋หลินเอ๋อร์ดีดตัวออกจากโจวจางหมิ่นทันทีแล้วโผเข้าหาบุรุษตรงหน้า ให้เขาโอบรัดนางไว้ด้วยลำแขนแข็งแกร่ง ซบดวงหน้าเปื้อนหยาดน้ำลงอกกระเพื่อมไหวจากแรงสูดลมหายใจไร้เสียงร้องใด ๆ จากโจวจางหมิ่น คมลูกธนูปักลงหัวไหล่ขวาที่รัดลำคอนางไว้ สีหน้าโจวจางหมิ่นปวดร้าว มองโจวหมิงเจ๋อด้วยดวงตากล่าวหา มาดร้าย และคล้ายไม่ต้องการเชื่อในที่โจวหมิ่งเจ๋อทำลงไปนางโอบร่างแกร่งไว้แน่นไม่ยอมให้เขาเข้าไปใกล้โจวจางหมิ่น“จางหมิ่น...” น้ำเสียงระห้อยโหยแรงเอ่ยชื่อในลำคอ ดวงตาแสบร้อนแดงก่ำ แต่ไร้น้ำตา เขามองร่างสูงเกร็งคล้ายเขาถอยหลังไปอีกสองก้าวในยามนี้โจวจางหมิ่นสีหน้าสงบลงแล้วราวกับว่ายอมรับบางอย่าง ริมฝีปากบิดโค้งคล้ายรอยยิ้มก่อนจะทิ้งร่างลงเหวลึกด้วยป่ารกทึบด้านล่าง“จางหมิ่น จางหมิ่น!!! จางหมิ่นนน”บุรุษแกร่งเช่นโจวหมิงเจ๋อ ชั่วชีวิตกระทำการทารุณคน สังหาร มองเลือดและความตายด้วยความเยือกเย็นไร้ความรู้สึก แต่มาบัดนี้โจวจางหมิ่นที่เขาอุ้มชูเลี้ยงมากับมือทิ้งร่างอัตวิบากกรรมต่อหน้าเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงคุกเข่าเท้าฝ่ามือลงพื้นท่ามกลางใบไม้ร่วงหล่นสีส้มแดงในต้นฤดูหนาว“
บทที่ 27 โจวจางหมิ่น“เข้าใจผิด!! ข้าไม่ได้มีเรื่องอะไรบาดหมางกับเจ้า ยิ่งตี้หรือฮูหยินท่านเจ้าสำนัก” โจวจางหมิ่นเดินเข้าใกล้โน้มหน้าลงต่ำ กระชากผมจนดวงหน้าของนางแหงนขึ้น“เจ้าไม่มีสิ่งใดผิด ผิดแค่ว่าเจ้ามาอยู่ผิดที่ผิดทาง ท่านพ่อต่างหากที่ข้าต้องการให้เขาทุกข์ทรมาน และข้ารู้ว่าท่านพ่อรักเจ้า”“โจวหมิงเจ๋อไม่ได้รักข้า ท่านเข้าใจผิด”“เจ้าไม่รู้จักนิสัยของพ่อข้าดี ท่านพ่อเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ อวี้เจียวจงรักภักดีรับใช้มาเนิ่นนาน เขายังยกให้เฉียนฟานโดยง่ายดาย แต่กับเจ้า..”มือนุ่มดั่งหญิงสาวเชยปลายคางนางขึ้นแล้วบีบ“พบเพียงไม่กี่หนกับยกย่องร่วมชีวิต สัญญาผูกพันนิจนิรันดร์ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ามีดีอะไร หน้าตาไม่ได้สะสวย ทั้งรูปร่างไม่ได้เสี้ยวหญิงงามเมือง แต่เอาเถิด อย่างไรเสียเจ้าต้องตาย”โจวจางหมิ่นกดริมฝีปากนางล้วงนิ้วเข้า แล้วเผยอปากตัวเองคล้ายแสยะยิ้ม “ให้เขาได้ทุกข์ทนเช่นแม่ข้า ลุกขึ้น บอกลาชีวิตของเจ้าได้แล้ว”แรงบุรุษกระชากดึงนางขึ้นจากพื้น สาบเสื้อหลุดรุ่ยจนพ้นเนินทรวงหนึ่งข้าง โจวจางหมิ่นหลุบตามองก่อนใช้มือบีบขยำลงแรง“ทว่า เจ้าเองก็น่าลิ้มลอง บางคราวข้าก็เคยคิดว่าถ้าได้ร่วมเ
บทที่ 26 โจวจางหมิ่นยามเว่ยในช่วงต้นฤดูหนาวชานเมืองหลวงของสำนักคุ้มกันภัยเสวี่ยจง ที่โอบล้อมด้วยป่าไผ่ ยิ่งพาให้อากาศเย็นขึ้นอีกหลายเท่าตัวไป๋หลินเอ๋อร์กระชับเสื้อคลุมตัวยาวที่ชางซิงเยียนกำชับเป็นหนักหนาให้นางสวมมาด้วย แม้ว่านางบอกแล้วว่ามาแค่เรือนหลักเท่านั้นนางเดินผ่านสวนกลางเรื่อยจนมาถึงเรือนหลัก ไม่ทันได้เอ่ยแจ้งเด็กในเรือนพลันเห็นโจวจางหมิ่นยืนนิ่งตรงโค้งประตูวงเดือนทางออกสวนด้านหลังทุกคราที่นางพบหน้าโจวจางหมิ่น ขนแขนนางมักลุกชันอย่างน่าประหลาด และยามนี้ก็เช่นกัน นางมองสีหน้ากระหยิ่มและมุมปากโค้งขึ้นละม้ายโจวหมิงเจ๋อ แต่ก็แค่ละม้าย เพราะส่วนใหญ่บนใบหน้าของชายร่างเกร็งคนนี้ไม่เหมือนโจวหมิงเจ๋อแม้แต่น้อยนางขยับเข้าไปใกล้วางสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ใจเต้นรัวดั่งกลองศึก ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นความแตกต่าง โจวหมิงเจ๋อแม้ว่าการกระทำเย็นชารุนแรง ทว่ากลับมีความเมตตาต่อผู้อื่น ผิดไปจากบุตรชายที่แผ่กลิ่นอายโฉดชั่วทวีคูณ ยิ่งเห็นรอยแผลบนร่างฮุ่ยหรู ยิ่งรับรู้ว่าชายผู้นี้กระทำต่อสตรีเพศราวกับเป็นสัตว์สิ่งของ“ท่านแม่”นางมองร่างสูงของโจวจางหมิ่นโค้งลงคำนับนางราวกับว่าเป็นบุตรชายแท้จริงของนาง ทว
บทที่ 25 ฮุ่ยหรูเพียะ เพียะ!!ฮุ่ยหรูล้มคว่ำลงทันทีเมื่อฝ่ามือของโจวจางหมิ่นกระทบใบหน้าเป็นครั้งที่สอง ร่างอ่อนแออย่างหญิงตั้งครรภ์สามเดือนกองบนพื้นน้ำตานองหน้า“ข้าบอกเจ้าให้ทำเช่นไรฮุ่ยหรู”“ฮื้ออ ขะ ข้า ข้ายัง พบ นางไม่ได้”เพล้ง!!โจวจางหมิ่นปัดกระถางกำยานล้มคว่ำเฉียดใบหน้าฮุ่ยหรูจนนางผงะออก ดวงตาหวาดกลัวไหวระริก เหลือบมองสามีที่นางแต่งเข้ามายังตระกูลโจวอันร่ำรวยและมากยศฐา“ยามนี้นางอยู่แต่บนหอ ท่านพ่อไม่ยอมให้นางลงมา อร้าย!! อย่า ข้ากลัวแล้ว”ฮุ่ยหรูยกมือไหว้ประลก ๆ น้ำตาไหลนองจนมองไม่เห็นสีหน้าสามี แต่นางรู้ว่าใบหน้าหล่อราวหยกกำลังบิดเบี้ยวจากแรงโกรธ เขากระชากผมนางดึงขึ้นมาจากพื้นเพียะ!!ใช้หลังฝ่ามือฟาดลงใบหน้าอีกครั้งแล้วผลักนางให้ล้มลงกับพื้น ยกเท้าเหยียบนางไว้“เวลาข้าสั่ง ไม่มีข้ออ้างฝ่าฝืน เข้าใจหรือไม่ภรรยารัก”นางพยักหน้ารับ ดวงหน้าแนบพื้นเย็นเยียบ สะอื้นขึ้นแรงก่อนที่โจวจางหมิ่นจะประคองนางขึ้นมาโอบกอดแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนผิดไปจากคราแรก“วันพรุ่ง เจ้าจงไปหานาง คุยกับนางให้นางคลายใจ ชักชวนนางดั่งที่ข้าบอกไว้ เข้าใจหรือไม่ฮุ่ยหรู”มือร้อนลูบผมนางประคองนางไปนั่งที่เตียง
บทที่ 24 nc“แผลหายสนิทแล้ว”“หายแค่ภายนอก แต่จิตใจข้าไม่”นางกระชากเสียงใส่ ดึงดันจะลุกขึ้นแต่มือใหญ่รวบนางไว้ให้นั่งลงซ้อนด้านหน้า“ไหน จิตใจเจ้าที่ตรงใดกัน ข้าจะทำความสะอาดให้หมดจด ขจัดความขุ่นมัวออกไปให้เอง”ไม่เพียงเอ่ยด้วยเสียงกระเส่า มือรั้งร่างเล็กพร้อมผ้าในมือ เช็ดถูแผ่นหน้าท้อง ซบหน้าลงหัวไหล่ เลื่อนผ้านุ่มขึ้นหาทรวงอก นางสะดุ้งทันที“ข้ามือหนักไปหรือ?”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปาก มือจับขอบอ่างไว้ไม่กล้าขยับตัว ผ้านุ่มค่อยถูทำความสะอาดเนื้อนุ่มอวบอิ่มแผ่วเบา ในยามนี้นางรู้ตัวแล้วว่าคงหนีไม่พ้นบุรุษด้านหลังเป็นแน่ หากยังขืนตัวไม่อ่อนลงคงเป็นนางเองที่เจ็บตัว“ท่าน จะเบามือกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่”โจวหมิงเจ๋อชะงักไปครู่ เอียงหน้าไปมองดวงหน้างาม ปากกระจับเม้มแน่น พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อ นางเอี้ยวกลับมาจ้องตอบ“เหตุใดไม่ตอบข้า”“ไม่ได้”ไป๋หลินเอ๋อร์สะอึกแล้วนิ่งงัน ก่อนจะเอ่ยถามอีก “ถ้าเช่นนั้น สอนข้าให้ ... ให้ข้าเจ็บน้อยที่สุด”โจวหมิงเจ๋อปล่อยผ้าออกจากมือ แล้วแทนที่ด้วยฝ่ามือร้อนจัดกอบกุมเนินทรวง “เจ้าอาจเริ่มจากผ่อนคลาย และสนุกกับสิ่งที่ข้าทำ”“สนุกงั้นหรือ”“ใช่แล้ว ถ้าข้าทำเช่นนี้