ทางด้านฉีเหอ พ่อบ้านจวนแม่ทัพกำลังซุ่มมองกองทัพของศัตรู พร้อมการหยั่งเชิง จากที่เขามองในตอนนี้ กำลังคนขององค์ชายฉิงหานเองก็ไม่ได้มากมาย ทว่าทุกคนกลับเป็นขุนพลมือดี ที่ถูกคัดเลือกมาในศึกครานี้โดยเฉพาะ หากไม่ใช่เหตุบังเอิญ เขาก็คงไม่มีวันรู้เลยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นผู้ใด แต่ถึงกระนั้นมันก็สายไปที่จะแจ้งให้แก่ผู้เป็นนายได้ทราบ เขาไม่อาจนำเรื่องที่รู้มาหารือผู้ใดได้เลย เพราะไม่อาจรู้ได้ว่านอกจากแม่ทัพจางซินแล้ว ยังมีผู้อื่นอีกหรือไม่ที่ร่วมมือ ทางเดียวในตอนนั้นคือคิดหาหนทางเข้าช่วยเหลือผู้เป็นนาย แต่เขาไม่คิดเลยว่าฮูยินในท่านแม่ทัพ จะเป็นผู้ลงมือด้วยตนเอง ท่านหญิงเหลียนไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ เขาไม่แปลกใจเลยทำไมพระชายาถงลู่ลู่ ถึงเลือกนางมาเป็นน้องสะใภ้ “เตรียมตัวให้พร้อม เราจะเข้าจู่โจมเพื่อเบนความสนใจของทหารบางส่วนเท่านั้น กำลังของพวกเราไม่อาจที่จะล้มคนขององค์ชายฉิงหานได้ทั้งหมด” “ขอรับท่านฉีเหอ” เวลาผ่านไปเพียงครึ่งก้านธูป เสียงการระเบิดก้พลันเกิดขึ้น ฉีเหอขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความสงสัย ใ
เหลียนม่งหยาไม่คิดที่จะเสียเวลาเล่นกับคนตรงหน้า นางต้องการที่จะจบทุกอย่างให้เร็วที่สุด เพื่อเร่งเดินทางไปช่วยเหลือสามีให้ทันเวลา ตามจริงแล้วเรื่องของจางซิน นางรอให้สามีกลับมาจัดการก็ย่อมได้ แต่ทว่านางไม่อยากที่จะเสี่ยง ปล่อยคนเช่นนี้เอาไว้ ในเวลาที่นางต้องฝ่ากองทัพศัตรูเข้าช่วยเหลือสามี เพราะคนเช่นจางซินพร้อมที่จะลอบกัดนางได้ทุกเมื่อ ดังนั้นการกำจัดเขาเสียก่อน ย่อมเป็นการดีที่สุด จางซินพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ด้วยความดุดันไม่แพ้กัน ผลของการปะมือในครั้งนี้ มีเพียงหนึ่งคน ที่จะยังมีลมหายใจต่อไปได้ และมันจะต้องเป็นเขาเท่านั้น ที่จะยังคงรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ทั้งคู่ต่างรุกไล่กันอย่างไม่มีฝ่ายใดยอมออมมือ โดยผู้ติดตามของทั้งสองฝ่าย คอยเฝ้าดูอยู่มิห่างเช่นกัน สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือปกป้องผู้เป็นนาย เวลาผ่านไปกว่าครึ่งก้านธูป ผลแพ้ชนะยังไม่อาจรู้แน่ชัด ทว่าการเพรี่ยงพร้ำดูเหมือนจะชัดเจนแล้วในตอนนี้ว่าเป็นฝ่ายใด ทหารติดตามแม่ทัพจางซิน พุ่งออกจากแนวป่า เพื่อช่วยเหลือผู้เป็นนาย กึก! ทว่า... “นิสัยสุนัข นายเป็นเช่นไร บ่าวก็มิต่างกัน”
ยามบ่ายในวันถัดมา เหลียนม่งหยา นั่งนิ่งยังโต๊ะอาหาร หญิงสาวหาได้แตะต้องมันแม้แต่น้อย นางทำอาหารเฝ้ารอสามีที่ยังไร้ข่าวคราวที่แน่ชัด “ได้ข่าวว่าอย่างไร” หญิงสาวเอ่ยถามคนในชุดสีดำ ที่ปรากฏกายจากด้านหลังของนาง ใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ นั้นช่างแตกต่างจากความร้อนรุ่มอยู่ภายในใจ ฉีเหอไม่คิดจะบอกข่าวของสามีนางทั้งหมด เมื่อเป็นเช่นนี้นางจำต้องใช้คนของนางเอง จะเป็นการที่ดีสุด มิเช่นนั้นนางก็ไม่อาจรู้ได้ว่าต้องรอสามีอยู่เช่นนี้อีกนานเท่าไหร่ “ท่านแม่ทัพตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู ข้าน้อยคิดว่าหากไร้กองทัพหนุนเข้าช่วยเหลือ มิช้าคงต้องเสียท่าเป็นแน่ขอรับ” “พวกเจ้าสำรวจเส้นทางแล้ว ไร้เส้นทางหลบเลี่ยงออกมาได้ใช่หรือไม่” “เรียนนายหญิงย่อมเป็นเช่นนั้นขอรับ ตอนนี้ท่านแม่ทัพยังพอต้านรับได้ แต่คงได้ไม่นานเพราะกองทัพเริ่มจะขาดเสบียงและน้ำขอรับ” “คนของเราที่รวบรวมได้ คงไม่พอต่อกรสินะ เอาเป็นว่าจัดเตรียมทุกอย่างที่จำเป็น ข้าจะชิงตัวสามีข้า มันผู้ใดขัดขวางข้าจะไม่ละเว้น” “น้อมรับคำสั่งขอรับ” ร่า
สองวันถัดมา ก๊อก ๆ เสียงเคาะประตูดังอยู่หลายที ทำให้สองร่างที่กำลังแนบชิดกัน จำต้องตื่นลืมตา ถงเจี้ยนหลางขยับกายลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะลูบต้นแขนภรรยาเบา ๆ เป็นการบอกให้รู้ว่าเขาจะจัดการทุกอย่างเอง“มีเรื่องอะไร”แม่ทัพหนุ่มก้าวออกจากห้องนอน ก่อนจะปิดลงอย่างเบามือ พร้อมเอ่ยถามคนที่ยืนรออยู่“เรียนท่านแม่ทัพ องค์ชายฉิงหานนำกำลังลอบข้ามชายแดนมาขอรับ”รองแม่ทัพหนุ่มรายงาน ก่อนจะสบตากับแม่ทัพหนุ่มอย่างคนรู้ใจกัน ถงเจี้ยนหลางพยักหน้าเล็กน้อย ชายหนุ่มก้าวนำไปยังห้องหนังสือ ด้วยเกรงว่าภรรยาที่กำลังนอนอยู่จะรับรู้ถงเจี้ยนหลาง รับรู้ได้ถึงความคับขันในทันที เมื่อเห็นฉีเหอยืนรออยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มได้แต่ไว้อาลัยให้กับความสุข ที่ได้อยู่ร่วมหอกับภรรยาได้เพียงไม่กี่วัน เขาก็ต้องออกไปสู่สนามรบอีกแล้วเช่นนั้นหรือ‘ยังดีกว่าพี่ใหญ่กับพี่เขยล่ะน่า’ชายหนุ่มปลอบใจตนเอง เมื่อนึกถึงครอบครัวของพี่สาว ที่พี่เขยเกือบจะมิได้เข้าหอ เพราะพี่สาวบาดเจ็บสาหัสนั่นเอง ส่วนเขาอย่างน้อยแต่งงานมาครึ่งปี ก็ได้ร่วมหอกับภรรยาตั้งสามคืน นับว่ามีบุญยิ่งนักการประชุมเร่งด่วนได้จบลง ภายในเวลาเพียงครึ่งก้านธูป ถงเจี้ยนหลา
“อ๊า...ท่านพี่....” เหลียนม่งหยาไม่อาจปฏิเสธในความหฤหรรษ์ กับสิ่งที่สามีมอบให้ในตอนนี้ได้ หญิงสาวบิดเร้าไปทั้งกายด้วยความเสียวซ่าน เรียวขางามถูกตรึงเอาไว้ให้แยกออกกว้าง เพื่อเปิดทางให้แก่สามีได้กลืนกินส่วนลับของนางได้อย่างถนัด ถงเจี้ยนหลางเพิ่มจังหวะในการดูดกลืนให้เร็วขึ้น เพียงครู่เดียวร่างงามได้กระตุกเกร็ง ก่อนที่น้ำหวานจากช่อบุพผาจะไหลออกมาสัมผัสยังลิ้นสาก ชายหนุ่มไม่คิดจะเสียเวลา รีบตวัดปลายลิ้นกลืนกินความหวานนั้นจนหมดสิ้น ก่อนจะลุกขึ้นขยับทาบทับไปบนร่างงาม ที่กำลังอ่อนระทวยอยู่ใต้กายแกร่ง ชายหนุ่มโน้มกายลงซุกไซ้ยังซอกคอขาวผ่อง ริมฝีปากหน้าจูบซับเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนไปขบติ่งหูเล็กด้วยความเอ็นดู “คืนนี้พี่จะไม่หยุด ต่อให้เจ้าคิดห้ามก็ตาม”ถงเจี้ยนหลางเอ่ยข้างใบหูของภรรยาด้วยน้ำเสียงแหบพล่า ความต้องการของเขานั้น มันมากจนเรียกว่าล้นทะลักออกมาเลยก็ว่าได้ในตอนนี้เมื่อไร้คำตอบจากภรรยา แม่ทัพหนุ่มจึงเข้าข้างตนเอง ว่าภรรยานั้นพร้อมใจที่จะร่วมหมอนในคืนนี้ ชายหนุ่มซุกใบหน้ากับลำคอขาวเนียนอีกครั้งถงเจี้ยนหลาง ขยับกายลุกขึ้นนั่งอยู่ระหว่างขาของภร
“ข้ารึไม่รู้ ข้าแสร้งตาบอดมากี่คราแล้ว เหลียนม่งหยา” เมื่อภรรยาแปลงกาย แม่ทัพหนุ่มยิ่งเหมือนถูกยั่วโทสะ จากที่ว่าจะข่มกลั้นให้มันยุติเสีย แต่ดูท่าภรรยาคงไม่ต้องการเช่นนั้น “ท่านตาบอดหรือใจบอดกันแน่ ถงเจี้ยนหลาง” เหลียนม่งหยา มิรู้จะหัวเราะหรือกรุ่นโกรธดี กับอาการของสามีที่มีต่อนางในตอนนี้ “ใจข้าบอด ยังดีกว่าสตรีไร้หัวใจเช่นเจ้า” ถงเจี้ยนหลาง เหมือนควบคุ้มความรู้สึกที่อัดอั้นเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป ชายหนุ่มพูดกึ่งตัดพ้อภรรยาโดยไม่รู้ตัว “คนบ้าเอ้ย! ไม่รู้ความก็เอาแต่กล่าวหาผู้อื่น ปากนะมีให้ถามมิใช่เอาไว้เห่าหอน” เหลียนม่งหยารู้สึกมีโทสะบ้างแล้ว แม้จะรู้สึกขำขันกับคำพูดของสามี ที่ตัดพ้อนางเสียยกใหญ่ “เหลียนม่งหยา!” ถงเจี้ยนหลางเรียกภรรยาเสียงเข้ม เมื่อถูกเปรียบกับสุนัข “ใช่ข้าเอง ถงเจี้ยนหลาง…อื้อ!” ดวงตาของหญิงสาวพลันเบิกกว้าง เมื่อเรียวปากอวบอิ่มถูกปิดลง ด้วยริมฝีปากหนาของชายหนุ่ม เหลียนม่งหยาตั้งสติได้ จึงดิ้นเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่อมือหนา