“อืม...เรื่องนี้ข้าคงอยากที่จะปฏิเสธได้สินะ” อวี้เหยาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากเจ้ามิเต็มใจ...” อวี้หยวนจำต้องหยุดคำพูดลง เมื่อบุตรสาวยื่นม้วนผ้าส่งคืนแก่เขา พร้อมการส่ายหน้าน้อย ๆ “ข้ามิใช่คนเห็นแก่ตัว หากเขาคิดจะส่งข้าไปตาย ภายใต้ความอำมหิตของอ๋องผู้นั้น ข้าจะกล้ามิทำตามได้หรือ เพื่อรักษาชีวิตครอบครัวของเรา อวี้เหยาหาได้อักตัญญูไม่” “ข้าบอกเจ้าแล้วอวี้หยวน ว่าให้ลาออกจากราชสำนักเสีย แล้วเป็นอย่างไรเล่าตอนนี้ เพราะอำนาจในมือมากล้น จนเป็นที่หวาดระแวง จึงมีคนคิดลดทอนอำนาจของเจ้า โดยการส่งเหยาเหยาของข้า ไปเป็นตัวประกัน ให้แก่โอรสที่ทรงเกลียดชังเช่นนี้” อวี้จ้าน ตำหนิบุตรชาย ที่ตอนนี้ได้แต่ทำหน้าเศร้า เขาไม่ได้รังเกียจอ๋องผู้นั้นเลย แต่เขาเกลียดชังสายเลือดของอีกฝ่ายต่างหาก “ท่านปู่ อย่าได้ตำหนิท่านพ่อเลยนะเจ้าคะ เรื่องเพียงเท่านี้ อวี้เหยาของท่านปู่ทำได้อยู่แล้ว อย่าได้พากันเป็นกังวลไปเลยเจ้าค่ะ” อวี้เหยาเข้าใจเหตุผลในเรื่องนี้ดี การลดทอนอำนาจของขุนนาง ที่เริ่มเรืองอำนาจ เป็นสิ่งที่โอรสสวรรค์ในทุกรุ่นพึงกระทำกัน คนภายนอ
เวลาผ่านไปกว่าสองชั่วยาม ชายหญิงทั้งห้าคน ได้พากันเดินออกจากร้าน โดยมีผู้ติดตาม เป็นผู้จัดการเรื่องค่าน้ำชาและอาหาร ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันแยกย้ายกันกลับบ้าน ในสภาพเมามายกันทุกคนทั้งห้าคนต่างก้าวขึ้นรถม้าของตนเอง ซึ่งถูกนำมาจอดเทียบรับพวกเขา ทั้งหมดลอบยิ้มให้กันอย่างมีความนัย เป็นที่รู้กันว่า หากทั้งห้าคนนี้ คิดจะลงมือทำสิ่งใด มีเพียงคำว่าสำเร็จเท่านั้น และชาวเมืองเฉินหนาน ก็หาได้เอ่ยถึงเรื่องของคุณหนูคุณชายเหล่านี้ ให้คนนอกรับรู้มากเกินกว่า ที่พวกเขาต้องการให้รับรู้เช่นกันเมื่อขึ้นไปบนรถม้า เพียงประตูปิดลง ร่างที่เคยโอนเอนด้วยฤทธิ์สุรา ก็พลันนั่งนิ่ง ก่อนจะหยิบชาร้อน ที่ผู้ติดตามอุ่นเอาไว้ให้ ยกขึ้นดื่มอย่างใจเย็น พวกนางคือลูกหลานคนสำคัญของเมือง ย่อมเป็นที่จับตามองจากคนต่างถิ่น ซึ่งมิอาจเดาได้ว่าคนเหล่านั้น คือสายสืบจากต่างแคว้นหรือไม่การออกมาเที่ยวเล่นสังสรรค์ของพวกนาง ย่อมมีเหตุผลมากกว่าการสร้างเรื่อง มิให้มีบุรุษใดมาสู่ขอ เพราะเรื่องแค่นั้น ท่านปู่และบิดานางย่อมจัดการได้ โดยที่นางมิต้องลงทุนทำเช่นนี้เลยแม้แต่น้อยรถม้าของอวี้เหยา วิ่งไปตามเส้นทางที่ออกห่างจากตัวเมือง
เมืองเฉินหนาน ชายแดนทิศใต้ แคว้นเฉา ภายในร้านน้ำชาชื่อดังประจำเมือง ร่างบอบบางทว่าสูงกว่าสตรีทั่วไปอยู่มาก กำลังนั่งเดินหมากอย่างออกรส โดยในมือมีจอกสุรารสเลิศ ที่เจ้าตัวยกขึ้นดื่มเป็นระยะ สิ่งที่หญิงสาวชุดดำกระทำอยู่นี้ ถือเป็นภาพชินตา ของผู้คนในเมืองเฉินหนานไปเสียแล้ว อวี้เหยาบุตรสาวคนโต ในท่านแม่ทัพอวี้หยวน หญิงสาวผู้เติบโตมากับกองทัพเลยก็ว่าได้ สตรีที่เลยวัยออกเรือนมานานแล้ว ซึ่งบุรุษทั่วทั้งเฉินหนาน ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะสู่ขอนางเข้าบ้านมิใช่ว่าบิดาและพี่ชายนาง หวงเสียจนไร้สกุลใดสนใจ แต่เพราะตัวนางมากด้วยฝีมือในการรบ มิแพ้บิดาและพี่ชายของนาง จึงทำให้ชายหนุ่มทุกคนต่างกริ่งเกรงในตัวนาง ‘หากแต่งนางเข้าบ้าน นางมิหักขาข้ารึไร ดูตัวนางสิมีที่ใดเรียกว่าสตรีบ้าง’ คำพูดของคุณชายหลายบ้าน ทำให้บรรดาแม่สื่อ ไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้าจวนแม่ทัพแม่แต่คนเดียว ‘มิได้แต่งงานแล้วอย่างไร ข้าหาได้แยแสเรื่องไร้สาระนั่นไม่’ คำตอบของคุณหนูใหญ่อวี้เหยา ทำให้คนในบ้านชาชินเสียแล้ว ซึ่งลึก ๆ แล้ว มิว่าจะเป็นนายผู้เฒ่า หรือท่านแม่ทัพอวี้หยวนเอง ต่างพึงพอใจในเรื่องนี้อ
“หึ ๆ” อวี้หลานหัวเราะในลำคอ เมื่อพ่อลูกเริ่มที่จะกลั่นแกล้งกันอีกแล้ว “ก็หมายความว่าแม้แต่เจ้าเยี่ยลู่ ก็ไม่มีสิทธิ์กอดภรรยาของบิดา เข้าใจหรือไม่” เยี่ยคัง ทำได้เพียงพูดเพราะเวลานี้ในอ้อมแขนของเขา มีเยี่ยหลันอยู่นั่นเอง การถกเถียงกันของครอบครัว สร้างรอยยิ้มให้แก่เหล่าผู้ติดตาม ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่เพิ่งมาถึง หยางเค่อมองไปยังครอบครัวของสหายรัก เขาเกือบจะเสียมิตรนี้ไปเพราะแผนการอันผิดพลาด หากวันนั้นอวี้หลานสิ้นลม เขาคงไม่มีหน้าอยู่ยังแผ่นดินของสกุลอวี้เป็นแน่ ‘เจ้าคือดอกไม้ทิพย์อวี้หลาน ไม่ว่าเจ้าจะก้าวไปที่ใดความสดใสงดงามก็พลันบังเกิด เจ้าคือน้องสาวที่ข้ารักยิ่งนัก’ หยางเค่อขอโทษหญิงสาวอยู่ภายในใจ กับความรักที่นางเคยมอบให้แก่เขา แต่เพราะใจของเขานั้นมีใครอีกคนมาโดยตลอด ย่อมไม่อาจรับไมตรีจากผู้ใดได้อีกจวนอ๋อง เรือนอวี้หลาน หลังจากมื้อค่ำสิ้นสุดลง สองสามีภรรยาจึงได้มีเวลาเป็นของตัวเองเสียที ในทุกวันกว่าที่ทั้งคู่จะจัดการกับบุตรชายหญิงได้เสร็จสิ้น ก็เหนื่อยล้าอยู่มิน้อย คืนนี้จึงเป็นท่านอ๋องน้อยเป็นผู้รับหน้าที่นั้นแทน
“พี่เยี่ยรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ ว่ามิใช่เรื่องจริง” “ท่านอ๋องน้อย ยังไม่แนบเนียนพอสำหรับเรื่องนี้ขอรับ” “แต่ท่านพี่ก็ตบตาสกุลหลิวได้นะเจ้าคะ” “นั่นเพราะท่านอ๋องไม่ต้องออกหน้าอันใดมากมายนี่ขอรับ เพราะคนที่จัดการทุกอย่างคือท่านแม่ทัพหยางเค่อ ทั้งยังมีเรื่องของท่านหญิงเข้ามาแทรกเสียก่อน ท่านอ๋องจึงมิต้องแสดงอันใด ด้วยทุกความรู้สึกมันคือเรื่องจริงนะขอรับ” “ความรู้สึกของข้าก็คือเรื่องจริง ไยพี่เยี่ยมมองเห็นมันบ้างเล่าเจ้าคะ” “...” เยี่ยคังถึงกับเป็นใบ้ไปชั่วขณะ เมื่อสิ่งที่ย้อนคำพูดของเขานั้น หญิงสาวใช้เป็นคำถามที่เขาไม่อาจจะตอบมันได้ “มันมิเหมือนกันขอรับ” “มีสิ่งใดที่แตกต่าง ข้าคิดเช่นไรรู้สึกอย่างไร ก็บอกออกมาชัดเจน” “เอ่อ...มันไม่เหมาะสมขอรับ” “สิ่งใดที่เป็นตัวชี้วัดถึงคำว่าเหมาะสม ในเมื่อข้ามิได้บินแทนการเดินสักหน่อยนี่ขอรับ” “เรื่องนี้ไม่ใช่จะนำมาล้อเล่นได้นะขอรับ มัน...” เยี่ยคังดวงตาเบิกกว้าง เมื่อริมฝีปากหนาถูกปิดด้วยเรียวปากงามของหญิงสาว จากท
“มีสิ”“เรื่องใดกัน”“….”การต่อคำของทั้งคู่ยังคงดำเนินต่อไป โดยไม่รู้เลยว่าแผนของพวกเขานั้น ได้ทำให้เยี่ยคังร้อนใจมากเพียงใดเยี่ยคังรู้ดีว่าผู้เป็นนายไม่ได้บอกทุกสิ่งแก่เขา แต่จะอย่างไรเขาขอให้ได้เห็นกับตา ว่าท่านหญิงอวี้ปลอดภัยเท่านั้น เขาจึงจะวางใจใช้เวลาไม่นาน ร่างสูงได้ยืนอยู่หน้าทางเข้าโรงเตี๊ยมกลางป่า ซึ่งเป็นเส้นทางผ่านไปยังซานซี ชายหนุ่มรู้ดีว่าที่แห่งนี้ภายนอกคือโรงเตี๊ยม แต่เบื้องหลังคือรังโจรและร้านขายข่าว“ท่านมาถึงนี่ คงมิได้มาพักสินะคุณชายเยี่ย”“นางอยู่ที่ใด”“ใคร”“ข้าไม่อยากจะต้องใช้กำลังในการค้นหานาง หรือเจ้าคิดจะเสี่ยงให้ข้าเข้าไปด้วยตนเอง”“คุณชายเยี่ย โปรดใจเย็นก่อน”“...”ไร้คำตอบจากชายหนุ่ม ใบหน้านิ่งเรียบ มือหนากำอาวุธแน่น บ่งบอกถึงอารมณ์ของเยี่ยคังได้เป็นอย่างดี“เช่นนั้น คุณชายเยี่ยเชิญ”เจ้าของโรงเตี๊ยมเบี่ยงกายหลบเยี่ยคัง พร้อมทั้งผายมือเป็นการเชื้อเชิญ เขาคือคนขายข่าวย่อมรู้จักชายหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างดี คนเช่นเยี่ยคังเลี่ยงได้เป็นดีที่สุดตอนที่เขาได้รับการไหว้วานจากหญิงสาวด้านใน ความหนักอึ้งก็พลังบังเกิด เป็นที่รู้กันดีว่าท่านหญิงอวี้หลานนั้น คือหัวใจขอ