ฉีอิงถือโอกาสสำรวจบ้านหลังใหม่ของเธอ สองนายบ่าวเดินเล่นไปทั่วสวนอันกว้างใหญ่ จนไปหยุดอยู่ประตูทางเข้าลานฝึก ฉีอิงจำได้ว่าเมื่อชีวิตเก่า เธอเคยถูกรับเชิญไปร่วมแสดง ในหนังแนวย้อนยุค เธออยากจะรู้ว่าของจริง กับฉากในหนังนั้น มันจะเหมือนกันรึเปล่า
เท้าบางกำลังจะก้าวตรงไปยังประตู เพื่อที่จะเข้าไปด้านใน ทว่าแขนกลมกลึงกลับถูกรั้งเอาไว้ ฉีอิงมองตามมือไป จนสบเข้ากับตาเสี่ยวเจี้ยน ก่อนจะเห็นใบหน้าซีดเซียวของสาวใช้ พร้อมกับอาการส่ายหน้าน้อย ๆ ของเสี่ยวเจี้ยน
“ทำไม ข้าจำได้ว่าไม่มีกฎห้ามเข้า หรือช่วงที่ข้าเจ็บป่วยมีการตั้งมันขึ้นมาใหม่” ฉีอิงถามด้วยความสงสัย ทว่าน้ำเสียงนั้นเหมือนกำลังพยายามกดดัน ให้เสี่ยวเจี้ยนยอมจำนน
“มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ แต่ฮูหยินเคยบอกว่า...ไม่ชอบลานฝึกนี่เจ้าค่ะ” เสี่ยวเจี้ยนตอบด้วยน้ำเสียงติดขัด ยิ่งเป็นการเพิ่มความอยากรู้ให้แก่ฉีอิง
“ใช่! ข้ามิชอบ แต่วันนี้ ข้าแค่อยากออกกำลังสักหน่อย ไปกันเถอะ”
แม้ว่าฉีอิงจะเห็นภาพเกี่ยวกับเจ้าของร่าง แต่ก็ใช่ว่าจะทั้งหมดเสียเมื่อไหร่กัน เธอไม่รู้ว่าทำไมเสี่ยวเจี้ยน จึงดูหวาดกลัวลานฝึกขนาดนั้น แต่ก็นะสามีของเธอในตอนนี้คือแม่ทัพ เขามักจะทำให้ผู้คนหวาดกลัวอยู่เป็นประจำ ก็ไม่แปลกอันใด หากเสี่ยวเจี้ยนที่เป็นคนของภรรยา ซึ่งเจ้าของบ้านไม่ได้รัก จะเกรงกลัวชายผู้นั้น
ฉีอิงก้าวเข้าไปอย่างใจเย็น พร้อมคิดหาหนทาง ว่าต่อไปนี้เพื่อไม่ให้เผลอแสดงความเป็นตัวเองออกมา แม้แต่ความคิดก็ต้องเปลี่ยน ไม่เช่นนั้น สักวันอาจเผลอหลุดออกมาแน่นอน และมันย่อมจะตามมาด้วยปัญหาอีกมากมาย
หญิงสาวหยุดมองลานฝึกอันกว้างขวาง ‘อืมคนสมัยก่อนต้องรวยขนาดไหนกัน จึงสามารถมีบ้านหลังใหญ่ ที่ดินกว้างขวางได้ขนาดนี้’ เสียงพูดคุยกันเบา ๆ ดังขึ้นยังส่วนที่อยู่หลังต้นไม้ ฉีอิงจดจำเสียงนั้นได้ดี แม้ว่าจะเคยได้ยินเพียงครั้งเดียว
‘เสียงผู้หญิงอย่างนั้นรึ อ่าฉันคิดแบบเธอได้แล้วหลี่ฉีอิง ต่อไปฉันจะคิดแบบคนในโลกนี้’ ฉีอิงหันไปพยักหน้าให้แก่สาวใช้ ที่ตอนนี้ใบหน้าแทบไร้สีเลือด นางไม่เข้าใจเลยว่าเสี่ยวเจี้ยนกลัวอะไร
ตึก! ตึก! เสียงฝีเท้าของใครบางคน ทำให้จ้านซือถงชะงักค้าง ก่อนจะยืนนิ่งมองไปยังทิศทางของเสียง โดยมีหญิงสาวที่กำลังสนทนาอยู่กับชายหนุ่ม มองตามไปเช่นเดียวกัน
ฉีอิงก้าวเข้าไปหยุดยืนมองชายหญิง ที่กำลังจ้องมาที่นางด้วยแววตาอันหลากหลาย หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้างอย่างเข้าใจ ในแบบของคนจากยุคที่เรียกว่าอนาคต นางไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของสามี และหญิงสาวข้างกายเขา แต่ใจที่กระตุกวูบเมื่อครู่ บอกได้เป็นอย่างดี ว่าเจ้าของร่างต้องรู้สิ่งใดมาอย่างแน่นอน
“ฉีอิง เจ้าหายดีแล้วรึ”
หญิงสาวหน้าตางดงาม เอ่ยถามภรรยาเจ้าของจวน ก่อนจะลอบสบตากับชายหนุ่ม
โอ๊ะ! ฉีอิงรู้สึกปวดหัวอย่างแรง ก่อนจะหลับตาลงครู่หนึ่ง ภาพบางอย่างก็ฉายเข้ามาในหัว ‘อ่า! พี่สะใภ้กับน้องสามีสินะ’
“เจ้าค่ะ ฉีอิงรู้สึกอุดอู้เลยออกมาเดินรับลม เพื่อให้สดชื่นขึ้นบ้างเจ้าค่ะ พี่สะใภ้”
คำเรียกขานของฉีอิง ทำให้หลิวหลิงหน้าม่านไปชั่วขณะ เป็นที่รู้กันดีว่านางคือภรรยาพี่ชายของแม่ทัพหนุ่ม ที่รั้งตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก
“หายก็ดีแล้ว ซือถงจะได้มีคนดูแล” หลิวหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หากทว่าคนฟัง มิได้คิดเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าค่ะ อันที่จริงท่านพี่ก็โตแล้ว ทั้งยังเป็นถึงแม่ทัพ ย่อมสามารถดูแลตนเองได้ ไม่จำเป็นต้องมีคนคอยป้อนข้าว ป้อนน้ำกระมังเจ้าคะ”
หลิวหลิง ทำได้เพียงยิ้มเจื่อน ๆ เมื่อมองดูบนโต๊ะน้ำชา ซึ่งในตอนนี้ มีอาหารหลายอย่างวางอยู่ ฉีอิงเดาได้ไม่อยาก ว่าอาการเจ็บป่วยของนาง คือข้ออ้างให้พี่สะใภ้ คอยมาเยี่ยมเยียนดูแล แต่มิใช่นาง ทว่าเป็นสามีของนางต่างหากเล่า ที่พี่สะใภ้คนงามมาดูแล
“ฉีอิง ไยจึงออกมาเดินเล่นไกลถึงที่นี่ เจ้าควรพักผ่อนให้มาก หากเกิดล้มเจ็บมาอีก ผู้คนจะมองข้าเช่นไร คิดให้มากสักหน่อยก็ดี”
ในที่สุดแม่ทัพหนุ่มก็หาคำพูดของตนเองเจอ ด้วยคราแรกนั้น เขายังรู้สึกตกใจ ที่อยู่ ๆ ภรรยาก็เข้ามายังลานฝึก ซึ่งเขาจำได้ดีว่าเมื่อเช้าได้เดินไปดูนางยังเรือน ฉีอิงยังไร้ซึ่งสติอยู่เลย
‘แพศยา! แสร้งเจ็บป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจ’ หลิวหลิงได้แต่คิดอยู่ภายในใจ ไม่กล้าที่จะเอ่ยออกมา นอกจากยิ้มละมุนส่งให้แก่ภรรยาของแม่ทัพหนุ่ม
“ท่านพี่โปรดวางใจ หากข้าเจ็บป่วยลงอีกครั้งนี้ รับรองจะไม่มีคนนอกรับรู้มันอีกเป็นอันขาด ท่านพี่จะได้มิต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ว่าภรรยาเช่นข้า...บกพร่องต่อหน้าที่ จนทำให้สามีลำบากไร้คนดูแล”
ฉีอิงเว้นคำเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียง เอื่อยเฉื่อยต่อท้าย พร้อมส่งสายตาอย่างมีจริตให้แก่สามี ที่เวลานี้ยืนทำหน้านิ่ง เหมือนน้ำแข็งในฤดูหนาวอยู่ข้างพี่สะใภ้คนงามของเขา
“ก็ดี...ที่เจ้าคิดได้ ย่อมเป็นสิ่งที่ควรกระทำ”
ชายหนุ่มเอ่ยได้ไม่เต็มคำนัก ด้วยยังตั้งรับกับการยอกย้อนของภรรยามิทัน ซึ่งปกติแล้วฉีอิงจะไม่มีทางพูดเช่นนี้กับเขาหรือผู้ใด
“เจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าสิ่งใดควรและมิควรกระทำ ข้าขอตัวนะเจ้าคะ”
ฉีอิงไม่รั้งรอคำตอบจากสามี หญิงสาวหมุนกายจากมา ด้วยท่วงท่าประหนึ่งนางพญา เห็นทีนางต้องทำให้เจ้าของร่างสมหวังเสียแล้ว
นี่คือชีวิตจริงมิใช่ในละครหรือนิยาย ที่นางเอกเก่งกาจหย่าสามีแล้วสร้างตัวจนร่ำรวย ทว่านี่คือเรื่องจริง และเป็นยุคแห่งการแย่งชิง ผู้ใดมีอำนาจย่อมกำชัยไว้ในมือ มิว่าบุรุษหรือสตรี
อำนาจในมือของสตรีคือการครองเรือน โดยไม่ทำให้มันลุกเป็นไฟ ส่วนบุรุษนั้น อำนาจคือเงินตราและชื่อเสียง
ฉีอิงเดินไปเรื่อยเปื่อย โดยสมองน้อย ๆ ของนาง กำลังคิดหาวิธีสร้างทางรอดให้แก่ตนเอง ทุกอย่างต้องมีแผนสำรองเสมอ หากวันใดสิ้นคำว่าสามีภรรยาขึ้นมา นางต้องไม่ลำบากจนเกินไป หรือถ้ายังต้องอยู่กับตำแหน่งนี้ต่อไป นางก็ต้องมั่นใจว่าจะไม่มีผู้หญิงอื่น มาสอดแทรกทำลายมันลงเช่นกัน
“ฮูหยินเจ้าคะ” เสี่ยวเจี้ยนเรียกผู้เป็นนาย เมื่อเห็นว่าเวลานี้ ใกล้จะมืดแล้ว ทว่าผู้นายไม่มีท่าทีจะกลับเรือน นางจึงได้เอ่ยท้วงขึ้น
“หือ! มีอะไรรึเสี่ยวเจี้ยน”
ฉีอิงตื่นจากภวังค์ เมื่อได้ยินเสียงสาวใช้เรียกจากทางด้านหลัง หญิงสาวจำต้องหยุดความคิดทั้งหมดลง
“พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้วนะเจ้าคะ บ่าวคิดว่าฮูหยินอาจจะอยากกลับไปพักผ่อนเจ้าคะ” เสี่ยวเจี้ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย ทว่าก็เกรงผู้เป็นนาย จะคิดว่านางวุ่นวายจนเกินไปด้วยเช่นกัน
“อืม...ไปสิ ข้าก็รู้สึกเมื่อยขาแล้ว”
สองนายบ่าวกับสู่เรือน โดยแสร้งเป็นมองไม่เห็นแม่ทัพหนุ่ม ที่กำลังเดินไปส่งแขกของบ้าน ฉีอิงหาได้ใส่ใจสามีของนางไม่ ด้วยเวลานี้สมองของนาง มีเพียงเรื่องการเอาชีวิตรอด ในบ้านเมืองที่ร้อนประหนึ่งไฟนรก ภายนอกงดงาม แต่นี่คือยุคแห่งการฆ่าฟัน นางที่มาจากยุคที่ล้ำหน้า ย่อมต้องคิดให้มากสักหน่อย
หมับ! หลิวไท้ซาน คว้าจับข้อมือของคน ที่มาจากเบื้องหลังของเขา การต่อสู้เกิดขึ้นในทันที สิ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจก็คือ ไยคนที่หลับอยู่บนเตียง หาได้รับรู้ถึงการต่อสู้ของเขา และผู้บุรุกเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมันผิดวิสัยของอวี้เหยา ผู้เก่งกาจเรื่องการต่อสู้“ท่านพี่ ข้าเหนื่อยแล้วนะเจ้าคะ ท่านจะหยุดมือได้หรือยังเจ้าคะ”ชายหนุ่มถึงกับชะงักค้าง เมื่อคนร้ายที่เขาคิดนั้น กลับมีน้ำเสียงเหมือนกับภรรยาของตนเอง“น้องหญิง เป็นเจ้าจริงหรือ”หลิวไท้ซานยังคงไม่วางใจ เพราะมันอาจเป็นหลุมพรางก็เป็นได้ ก่อนที่แสงสว่างเกิดขึ้น ด้วยแท่งไฟในมือของอีกฝ่าย ใบหน้างามของภรรยาปรากขึ้นชัดเจนในสายตา หลิวไท้ซานก้าวยาว ๆ เข้ารวบกอดภรรยาเอาไว้แน่นอวี้เหยา แทบจะนำแท่งไฟหลบจากสามีไม่ทันเลยทีเดียว เสียงลมหายใจของเขา ทำให้นางอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก ชีวิตของพระชายานี่มันไม่สวยงาม อย่างที่คนภายนอกคิดเลยสักนิด ภัยมีอยู่รอบตัว นางเข้าใจแล้วว่าทำไม ท่านปู่ของนางจึงไม่อยากเกี่ยวดอง กับเชื้อพระวงศ์“แล้วบนเตียงนั่นเล่า มันคือสิ่งใดกัน” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ“พอดีมีสตรีใจกล้า ลอบมาปีนเตียงของท่านพี่ นางคงศึกษาเรื่องของเ
เมื่อหลายปีก่อน อวี้เหยาในวันสิบขวบ นางเป็นเด็กหญิงที่สดใส และเพียบพร้อมทั้งความงามและทรัพย์สมบัติ จึงทำให้เขาและบุตรชายต้องพานางร่วมงานเลี้ยงอยู่บ่อยครั้งทว่าวันนั้นมีงานเลี้ยงในตอนกลางวัน อวี้เหยาบอกว่าเจ็บป่วยมาก มิอาจติดตามบิดาเข้าร่วมงานเลี้ยงได้ นางจึงนอนพักผ่อนอยู่ในจวน และนี่คือแผนการเด็ก ๆ ที่เขารู้ทันหลานสาว แต่เป็นเรื่องที่เขาพอใจเช่นกัน เขายินดีให้นางไปวิ่งเล่นในทุ่งหญ้า ยังดีกว่าต้องไปแสร้งมีความสุขในงานเลี้ยง ที่ผู้คนสวมหน้ากากเข้าหากันในวันนั้นเขาได้ให้พ่อบ้านของจวน คอยติดตามดูแลหลานสาวอยู่ห่าง ๆ เพราะนางกับสหายทั้งหมด ได้พากันออกไปวิ่งเล่นยังทุ่งหญ้า ที่มีลำธารตื้น ๆ ไหลผ่าน เด็กน้องทั้งห้าหาได้รู้ไม่ว่า วันนั้นหนึ่งในพวกเขา จะได้พบเจอ กับคนที่จะเปลี่ยนชีวิตไปตลอดการพ่อบ้านในในตอนนั้น ยังอยู่ในวันหนุ่มฉกรรจ์ ถึงกับมีใบหน้าซีดเผือด เมื่อคุณหนูของตนเอง กำลังตกอยู่กลางวงล้อมของคนแปลกหน้า เขารู้ได้ในทันทีว่านั่นคือมือสังหาร แล้วผู้เป็นเจ้านายตัวน้อย ไปยุ่งเรื่องของผู้ใดเข้ากันคนดูแลของคุณชายและคุณหนูทั้งห้า ต่างกระชับอาวุธในมือ พุ่งเข้าปกป้องผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว ผู้ใ
เพียงรถม้าหยุดลง เสียงถกเถียงกันจากด้านนอก ก็ทำให้อวี้เหยาลืมตัว พุ่งพรวดออกไปในทันที ‘ตาเฒ่าอวี้ตามมาถึงนี้จนได้’“เหยาเหยาหลานรัก ไยเจ้าใจดำอำมหิตถึงเพียงนี้”เสียงโอดครวญของชายชรา ทำให้ชายหนุ่มที่เร่งตามภรรยาลงมาดูเหตุการณ์ ได้แต่ยืนขมวดคิ้วจนเป็นปม ด้วยความสงสัย ก่อนจะได้รับคำตอบจากองครักษ์ ที่ก้าวเข้ามากระซิบบอก ว่าชายชราที่มาเยือนคือผู้ใด“อวี้เหยา คารวะท่านปู่”อวี้เหยารีบย่อกายอย่างงดงาม ซึ่งเป็นสิ่งแปลกตา สำหรับอวี้จ้าน ก่อนที่ชายชรา จะมองเลยไปยังชายหนุ่ม ที่ยืนอยู่ด้านหลังของหญิงสาว“ฮึ! เป็นข้าสินะ ที่ต้องคุกเข่าให้แก่เขา”หลิวไท้ซาน รู้ได้ในคำพูดเหน็บแหนมของชายชรา ชายหนุ่มรีบขยับไปยืนเคียงภรรยาตน“หลิวไท้ซาน คารวะท่านปู่”ชายหนุ่มรีบประสานมือ ทำความเคารพปู่ของภรรยา ก่อนที่อีกฝ่ายจะทำให้เขากลายเป็นที่ครหา แม้ว่าเขาจะมียศที่สูงกว่า แต่ด้วยฐานะของเขย ย่อมต้องอ่อนน้อมต่อครอบครัวของภรรยา“ฮ่า ๆ ให้มันได้อย่างนี้สิ หลานเขยของข้า ไหน ๆ เจ้าบอกปู่สิ ว่าร่วมหอกันมาหลายเดือน มีข่าวดีให้ปู่บ้างรึยัง”อวี้จ้าน ก้าวเข้าประชิดหลานเขย พร้อมตบหนัก ๆ ลงบนบ่ากว้าง และตามด้วยคำถาม ที่ทำให้สอ
เวลาเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว การแต่งงานของท่านอ๋องหลิวไท้ซาน กับพระชายาอวี้เหยา ดูจะสงบสุขราบรื่นยิ่งนักในสายตาของผู้อื่น ความไร้สามารถของนาง ทำให้ผู้ปองร้ายพึงพอใจเป็นอย่างมาก ด้วยหวังใช้นาง ในการทำลายพระสวามีตลาดเมืองเอิ้นหยาง ท่านอ๋องหนุ่มได้พาพระชายา ออกมาเดินเที่ยวชมตลาด ซึ่งเขาจะทำเช่นนี้อยู่เป็นประจำ ปึ๊ก!“อุ๊ย! ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าน้อยเดินไม่ระวัง”เสียงหวานเอ่ยขึ้น เมื่อชนเข้ากับร่างหนาของชายหนุ่มในชุดสีดำ โดยมือของเขา ยังคงโอบเอวหญิงสาวอีกนาง เอาไว้แนบอกแกร่งอย่างทะนุถนอม“แม่นางเจ็บทีใดหรือไม่ คราวหลังให้ระวังสักหน่อย ดีที่ภรรยาของข้ามิล้มลงไปบาดเจ็บ มิเช่นนั้นข้าคงไม่ยินดีที่จะอภัยให้แก่ความสะเพร่าของแม่นางเป็นแน่”หญิงสาวถึงกับใบหน้าซีดเผือด นางคิดว่าในขณะที่ชนกับอีกฝ่ายอย่างแรง คนที่ควรอยู่ในอ้อมกอดของเขา จะต้องเป็นนางอย่างแน่นอน ทว่ามันกลับมิเป็นเช่นนั้นเมื่อตัวนางใกล้จะถูกตัวเขานั้น ชายหนุ่มตรงหน้าได้ยกแขนขึ้นขวางกั้นอย่างรวดเร็ว ทว่าคนที่อยู่ห่างออกไป คิดเพียงว่านางชนเข้ากับแผ่นอกของเขาซ้ำร้ายชายหนุ่มผู้นี้ ยังไม่คิดจะช่วยรั้งตัวนางเอาไว้ ไม่ให้ล้มลงสู่พื้น ทว่าเขากลับไ
“พี่จะถนอมเจ้า”เอ่ยจบใบหน้าหล่อเหลา ได้โน้มลงชิดแก้มงาม ก่อนจะเลื่อนมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากอวบอิ่ม ความชำนาญในเรื่องระหว่างชายหญิง ทำให้ใช้เวลาไม่นาน ภรรยาคนงามก็ยินยอมตอบสนองตอบเขา แม้จะเหมือนทารกหัดเดิน ทว่ามันกลับกระตุ้นความต้องการ ของเขาได้เป็นอย่างดี“อื้อ! อ๊ะ!”เสียงที่ออกมาจากเรียวปากงามนั้น บอกได้ถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นของภรรยา มือหนาของชายหนุ่ม ปลดเปลื้องอาภรณ์ของเขาและนางออกจนสิ้น มือหยาบกร้านกอบกุมสองเต้างาม ที่อวดโฉมต่อหน้าเขาอยู่ในเวลานี้ เสมือนการเชิญชวนให้ลิ้มลองปลายลิ้นสาก ตวัดยังยอดปทุมถันชมพู ที่กำลังแข็งชันรับลิ้นของเขา ก่อนจะขบกัดเพียงเบา ๆ แล้วดูดกลืนอย่างหิวกระหาย ชายหนุ่มใช้เวลาหยอกเย้ากับเต้างามสองข้างอยู่นานใบหน้าคมได้เลื่อนต่ำลงยังหน้าท้องแบนราบ ที่บัดนี้กำลังแดงก่ำไปด้วยความรัญจวนในกามอารมณ์ ชายหนุ่มจูบซับไปตามผิวอ่อนนุ่มอย่างถนอม มือหนาลูบไล้ตามเรียวขางามของภรรยา จนมาหยุดอยู่ยังดอกบัวงามของหญิงสาวอ๊ะ! อวี้เหยาสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อนิ้วเรียวของสามี แหวกกลีบบอบบางนั้นเบา ๆ ก่อนจะไปโดนกับปลายเกสร ที่ซ่อนอยู่ภายในกลีบบัว ชายหนุ่มยังมิคิดล่วงล้ำเข้าสู่ถ้ำน้ำหว
ภายในห้องหอ อ๋องหนุ่มค่อย ๆ วางร่างภรรยาลงบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนจะขยับมานั่งข้าง ๆ หญิงสาว ชายหนุ่มเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกอย่างอ่อนโยนอวี้เหยาสบตาสามีของตนเอง ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ ว่านางรู้สึกเช่นไร ใบหน้างามที่ถูกแต่งแต้มให้งดงาม ก้มลงน้อย ๆ ด้วยความรู้สึกเก้อเขิน เมื่อต้องสบตากับสามี ที่เอาแต่จ้องนางตามิกระพริบ ‘ข้างามมาก เรื่องนี้ไม่ต้องบอก หึ ๆ’หากความคิดของหญิงสาว มีผู้อื่นล่วงรู้ ก็คงอยากจะกัดลิ้นตนเองให้พูดไม่ได้เสีย การเข้าข้างตนเองนั้น หาผู้ใดเกินคนเช่นอวี้เหยาไม่ นี่คือคำพูดของเหล่าสหายรักทั้งสี่ ที่ตอนนี้กำลังแอบซุ่มอยู่กับหัวหน้าพ่อบ้าน เพื่อคอยฟังเรื่องราวภายในห้องหอของสหายรัก“หิวหรือไม่ มาเถอะพี่จะช่วยเจ้าจัดการกับสิ่งเหล่านี้”ชายหนุ่มวางมือบนเครื่องประดับ ที่ดูมากมายบนผมของภรรยา เขาซึ้งในน้ำใจของนางนัก ที่ยอมทนให้สิ่งเหล่านี้อยู่บนกาย จากมือที่เขาสัมผัสในคราแรก บอกได้เป็นอย่างดีว่า นางมิได้ชื่นชอบกับเครื่องประดับพวกนี้เลยสักนิด สตรีที่จับอาวุธ มักจะแต่งกายให้สะดวกในการต่อสู้สองสามีภรรยา ช่วยกันจัดการกับเครื่องประดับ และชุดเจ้าสาวที่ดูจะหลายชั้นและหนักอึ