สองเดือนถัดมา ฉีอิงก็ได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตานอกจวนแม่ทัพเสียที ในยามบ่ายคล้อย ฉีอิงที่อยู่ในรถม้ากับสามี กำลังตื่นเต้นกับภาพบ้านเมือง ที่ดูแปลกตาสำหรับนาง
คืนนี้สามีของนางได้รับเทียบเชิญ ให้ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิด ในจวนอ๋องเก้า แน่นอนว่านางศึกษาทุกอย่างมาจากเสี่ยวเจี้ยนแล้ว และนับว่าโชคดี ที่นางสามารถพาสาวใช้คนสนิทมาร่วมงานได้
จ้านซือถงแสร้งอ่านตำรา ทว่าแท้จริงแล้ว ชายหนุ่มกำลังลอบมองภรรยาอยู่เป็นระยะ แม้ว่าจะเกิดความสงสัยมากเพียงใด แต่เพราะไร้ซึ่งหลักฐานเขาก็จำต้องนิ่งเอาไว้ หลายอย่างเปลี่ยนไปนับตั้งแต่นางหายป่วยเมื่อสองเดือนก่อน
ฉีอิงไม่ได้สนใจ ว่าสามีจะคิดเช่นไร สำหรับนางแล้วเวลานี้ คือการเรียนรู้และหาข้อมูล พร้อมช่องทางที่จะทำให้ตนเองปลอดภัย และอยู่รอดได้ในอนาคต
นับว่ายังโชคดี ที่หลังจากตื่นขึ้นมาได้ราวหนึ่งสัปดาห์ บิดามารดาร่วมถึงพี่น้องชายหญิง ได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนนาง ทำให้ฉีอิงรู้ว่า เจ้าของร่างนั้น มีความสมบรูณ์ในเรื่องครอบครัวมากทีเดียว
บิดารักลูกเท่าเทียมกัน พี่น้องปรองดอง ทว่าโชคร้ายของฉีอิง ที่ได้สามีเช่นแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ นางจึงตรอมใจตายไปอย่างโดดเดี่ยว
“เจ้าทำเหมือนมิเคยเห็น”
“ถึงเคย ก็มิได้บ่อยนักนี่เจ้าคะ ทำเหมือนท่านพี่ พาข้าออกมาชมเมือง เช่นสามีบ้านอื่นเขา”
จ้านซือถงถึงกับหน้าเสียไปเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดมาก่อน ว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากนาง ปกติแล้วเวลาจะออกมานอกจวน ฉีอิงจะมีพี่น้องของนางมาด้วยเสมอ
“ไยต้องทำเหมือนบ้านอื่น”
“จะทำเหมือนหรือไม่ หาใช่เรื่องสำคัญอันใดเลยเจ้าค่ะ เพราะตัวข้าชาชินเสียแล้ว”
ฉีอิงเอ่ยประชดสามี ทั้งยังไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา หญิงสาวยังคงตื่นตาตื่นใจกับภาพด้านนอกรถม้าอยู่
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม รถม้าจวนแม่ทัพจ้านซือถงได้หยุดลง ชายหนุ่มก้าวลงจากรถม้า ก่อนจะยื่นมือให้ภรรยาได้จับ ฉีอิงปรับสีหน้าและท่าทางให้เป็นสตรีอ่อนโยน ก่อนจะวางมือลงบนฝ่ามือของสามี
เมื่อฉีอิงยืนได้มั่นคงแล้ว ชายหนุ่มได้แตะที่ข้อศอกภรรยาเบา ๆ เพื่อให้นางเดินเข้าไปภายในงานพร้อมกัน ใบหน้าของแม่ทัพหนุ่มนั้น ยังคงเยือกเย็นเช่นทุกวัน ส่วนฉีอิงนั้นกลับมีรอยยิ้มกว้าง ต่างจากคำว่าละมุนไปมากทีเดียว
ด้วยภาพตรงหน้านั้น สร้างความตื่นเต้นให้แก่หญิงสาวยิ่งนัก แม่ทัพจำต้องคอยแตะแขนภรรยา เพื่อปรามให้นางเก็บอาการเอาไว้บ้าง งานเลี้ยงเช่นนี้ ใช่ว่าเขามิเคยพานางมาเสียเมื่อไหร่กัน จะมีเพียงช่วงหลังมานี้ที่นางป่วยบ่อย เขาจึงไม่ได้พานางออกมาร่วมงานเลี้ยงเลย
ฉีอิง แสร้งไม่เข้าใจการกระทำของสามี นางยังคงมองดูทุกสิ่งด้วยความตื่นเต้น
“ท่านอ๋องเก้ากับพระชายากำลังเดินมาทางนี้ เจ้าหยุดมองทุกอย่างก่อนจะได้หรือไม่”
แม่ทัพหนุ่มก้มลงกระซิบยังข้าหูภรรยา เมื่อมองเห็นเจ้าภาพ กำลังเดินตรงมาทางเขาและภรรยา ฉีอิงมองไปยังชายหญิงสูงศักดิ์ ที่ก้าวเดินอย่างช้า ๆ ด้วยท่วงท่าสง่างาม
“ซือถง ถวายพระพรท่านอ๋อง พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
“ฉีอิง ถวายพระพรท่านอ๋อง พระชายาเพคะ”
ฉีอิง ย่อกายอย่างงดงาม ตามแบบฉบับของคุณหนูสูงศักดิ์ ก่อนจะยืดตัวตรง พร้อมรอยยิ้มแต่พองาม
“ตามสบายเถอะท่านแม่ทัพ จ้านฮูหยิน ข้าได้เห็นเจ้าสองคนเดินเคียงกันในวันนี้ รู้สึกดีใจยิ่งนัก นับตั้งแต่ฉีอิงป่วย ซือถงของเราก็ต้องออกงานเพียงลำพังมานาน”
ฉีอิง ยิ้มน้อย ๆ ทว่าในใจนั้น กลับค้านในสิ่งที่ท่านอ๋องเก้ากล่าวยิ่งนัก เพราะในความคิดของนางนั้น สามีคงดีใจที่จะไร้นางมาขัดขวาง ยามต้องพบหน้ากับหลิวหลิง พี่สะใภ้คนงามของแม่ทัพหนุ่มนั่นเอง
“ฉีอิงในยามนี้ หายดีแล้วเพคะ ขอบพระทัยในเมตตาของท่านอ๋องและพระชายา ที่ทรงให้หม่อมฉันมาร่วมอวยพรเพคะ”
“เจ้าหายดีทุกคนก็ดีใจแล้วฉีอิง เอาล่ะเราเข้าไปด้านในกันดีกว่า”
ฉีอิง มองหาว่าสตรีของงานต้องแยกอยู่ฝั่งไหน ก็ได้ยินฮูหยินของขุนนาง ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นว่า งานเลี้ยงนี้ ท่านอ๋องเก้าและพระชายา ให้ทุกคนอยู่ร่วมกันมิแยกชายหญิง ด้วยเจ้าของงานมิต้องการแยกห่าง
ฉีอิงจึงเดินเคียงข้างสามี คารวะขุนนางหลายคน จนไปถึงบิดาของนางที่มาร่วมงานนี้ด้วย ฉีอิงยิ้มกว้าง ก่อนจะก้าวเข้าไปกระซิบกับผู้เป็นมารดา ว่าของร่วมโต๊ะกับทั้งคู่ได้หรือไม่
นางมิต้องการที่จะไปร่วมโต๊ะกับพี่น้องสกุลจ้าน ด้วยเกรงจะอดพูดกระทบสามีกับพี่สะใภ้ของเขาไม่ได้นั่นเอง เสนาบดีหลี่จำต้องเอ่ยชวนบุตรเขย ให้นั่งร่วมโต๊ะกับตนเอง เพราะสายตาเว้าวอนของภรรยาและบุตรสาว
เมื่อได้เวลาดื่มกิน จ้านซือถงได้แต่นั่งมองภรรยา ที่กำลังยิ้มหวานให้แก่คุณชายสกุลหม่า ที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน ด้วยความรู้สึกไม่พอใจ ทว่าไม่อาจแสดงออกทางสีหน้าได้
หม่าหยุน คีบไก่ตุ๋นหม้อดิน วางใส่ในถ้วยของฉีอิง หญิงสาวค้อมศีรษะเล็กน้อยเป็นการของคุณ ก่อนจะคีบไก่ชิ้นพอดีคำขึ้นมา หมับ! มือบางถูกคว้าจับเอาไว้ ก่อนที่สามีของนางจะโน้มใบน้าลงมาเล็กน้อย พร้อมกับไก่ของนาง หายเข้าไปในปากของแม่ทัพหนุ่ม
จ้านซือถง คีบเนื้อแกะตุ๋นป้อนให้แก่ภรรยา พร้อมรอยยิ้มและสายตากดดัน ฉีอิงยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะอ้าปากรับเนื้อแกะตุ๋นเข้าปาก อาหารมื้อนั้นทำให้ท่านเสนาบดีและภรรยา ยิ้มอย่างมีความสุข ที่เห็นบุตรเขยเอาใจใส่บุตรสาวของตนเองเป็นอย่างดี
หม่าหยุน คิดกับหญิงสาวเพียงฐานะสหาย แต่จากที่เขาเห็นในตอนนี้ แม่ทัพหนุ่มคงคิดไปไกลกว่านั้นเป็นแน่ ฉีอิงยังคงไม่ได้ใส่ใจที่จะสนทนากับสามี หญิงสาวยังพูดคุยกับทุกคนเป็นปกติ ทำให้แม่ทัพหนุ่ม ใบหน้าร้อนวูบขึ้นชั่วขณะ ด้วยความรู้สึกที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อน
“เจ้าเมาแล้วนอนเถอะ” “สามี...ข้าร้อนยิ่งนัก” “เจ้ากำลังบีบบังคับข้า” “ข้ามิได้พูดเล่นร้อนเหลือเกิน อาบน้ำให้ข้าที” น้ำเสียงอ้อแอยังดังชิดลำคอของชายหนุ่ม ท่อนแขนกลมกลึงตรึงร่างนั้นให้แนบอยู่กับความอวบอิ่ม ที่เขาหวงแหนยามมีคนลอบมอง ใช่ว่านางไร้ศักดิ์ศรีจนคิดใช้ร่างกายมัดใจสามีแต่ตรงกันข้ามนางรักในศักดิ์ศรียิ่งนัก จึงจำเป็นที่จะต้องตรีตราและประกาศความเป็นภรรยา ให้สตรีอื่นรู้จุดยืนของตนเอง นางจะไม่ยอมเป็นเมียที่ถูกมองข้ามราวอากาศธาตุอีกต่อไป “อื้อ...” หญิงสาวครางเบาๆ เพื่อเพิ่มความปรารถนาให้แก่สามี เมื่อสะโพกงามแสร้งยกเบียดกับแก่นกายของเขา สวี่ฟงข่มกลั้นความต้องการอย่างสุดความสามารถ ก่อนจะพ่ายแพ้เมื่อความเจ็บร้าว ที่เขาเคยควบมันมาได้เป็นอย่างดีตลอดหลายปี กลับไม่สามารถต้านทานคนใต้ร่างได้ ไม่มีคำพูดใดจากชายหนุ่ม แต่เป็นการกระทำที่หญิงสาวต้องการให้มันเป็นเช่นนั้น การปรนเปรอของสามีทำให้จ้าวหลันถิง แทบจะลืมเลือน ว่านี้อาจเป็นเพียงฝันชั่วระยะหนึ่ง ซึ่งเขาอาจตื่นขึ้นยังอีกโลกในสักวันก็เป็นได้ เสียงคร
จ้าวหลันถิงพยายามเป็นที่สุด กับการมองทุกคนให้ไม่บิดเบี้ยว นางมั่นใจว่าตอนใช้ชีวิตในอีกโลก นางไม่เคยล้มให้กับสุรารสแรงตัวใดเลย อ๋องหนุ่มที่ยากจะมีรอยยิ้มให้ใครเห็น ตอนนี้มุมปากกลับเหยียดกระตุก เมื่อเห็นอาการของภรรยา ความรั้นของนางกำลังออกฤทธิ์แล้วสินะ! “จะกลับเรือนหรือยัง” “ข้ากลับตอนไหนก็ได้ ไม่ลำบากท่านหรอก” หญิงสาวเริ่มหันหาญาติผู้พี่ ที่ตอนนี้สภาพแทบไม่ต่างกัน สองพี่น้องสบตาแล้วหัวเราะเสียงดัง ด้วยพวกเขาไม่เคยพบเจอสุราที่นุ่มลึก ทว่าเมามายง่ายอะไรขนาดนี้มาก่อน “ข้าลืมบอกเจ้าไป ว่าอย่าได้หลงในรสสุราของสกุลสวี่” องค์ชายเก้าเอ่ยกับองค์รัชทายาทชีอัน ที่ตอนนี้มีใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาฉ่ำหวานราวอิสตรี รอยยิ้มกว้างและเสียงหัวเราะนั้น เป็นการยืนยันว่าองค์รัชทายาทชีอันเมามายอย่างหนัก “ข้ารึ! จะพ่ายแค่สุราต่างแคว้น เจ้าทำเหมือนข้าไม่เคยเดิ่มสุราจากแคว้นของเจ้า” คำพูดราวลิ้นพันกันขององค์รัชทายาทชีอัน เรียกรอยยิ้มจากแขกในงาน ที่ตอนนี้ก็มีสภาพไม่ค่อยต่างกันเท่าใดนัก คุณหนูหลายสกุลที่ไม่เคยลิ้มลองสุราสกุลส
“เป็นช่างที่ข้าเองก็ไม่รู้จักเช่นกัน ข้าสั่งผ่านผู้อื่นเช่นกัน” จ้าวหลันถิงคลี่ยิ้มละมุน นางคิดไว้อยู่แล้วว่าเสื้อคลุมในแบบประยุคของนาง จะทำให้ร้านของนางได้รับเงินเพิ่มอีกมากทีเดียว ชุดที่นางตัดเย็บนั้น ล้วนเหมาะต่อผู้สวมใส่ ไม่ใช่ว่าจะหาได้เหมือนร้านทั่วไป ความสนใจที่มุ่งตรงไปเพียงภรรยาเจ้าของจวน ทำให้หลี่เหนียงแทบอยากจะเดินไปกระชากร่างนั้น มาตบสักหลายฉาด ไม่เคยมีใครทำให้นางอับอายได้ท่านี้มาก่อนเลยสักครั้ง “ไม่คิดว่าเพื่อชุดที่งดงาม พระชายาถึงกับขายของพระราชทานซื้อหามา...” หลี่เหนียงเอ่ยขึ้น ก่อนจะมีเสียงอื้ออึงของคนในงานติดตามมา ทุกสายตามองไปยังพระชายาสวี่ ไท้เฟยเลือกที่จะลุกออกจากงานไป ด้วยสภาพเยี่ยงคนกำลังจะสิ้นสติ ต่างจากหลี่เหนียงที่มั่นใจยิ่งนัก ว่าเรื่องนี้ทำให้นางเป็นผู้กำชัดอย่างแท้จริง “วันนี้พระชายาร่วมแสดงต้อนรับองค์รัชทายาทกับองค์ชายเก้า ย่อมต้องใช้เครื่องประดับที่เหมาะสม ส่วนปิ่นอันนี้นางฝากข้าไว้ก่อนหน้าแล้ว” กล่องไม้ลวดลายงดงาม ถูกเปิดออกและวางลงบนโต๊ะ ทำให้คนที่เคยมาร่วมงานแต่งของสวี่อ๋อง พูดเป็น
“ท่านอ๋อง นางรำเพียงคนเดียวท่านจะหวงแหนไปไย” องครักษ์ของสวี่อ๋องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เมื่อขุนนางผู้นั้นหารู้ที่ต่ำที่สูง ต่อให้คนตรงหน้ามิใช่พระชายา ก็ไม่เคยมีใครทำเรื่องเช่นนี้ในจวนสวี่เลยสักครั้ง “ที่นี่จวนของข้า มิใช่หอนางโลมที่ท่านจะทำเรื่องหยามเกียรติผู้ใดก็ได้ เห็นแก่ท่านเป็นขุนนางที่เพิ่งย้ายมา ข้าจะให้โอกาสท่านได้สำนึกผิด เก็บของนั้นไปเสีย” สวี่อ๋องเอ่ยเสียงกร้าว ซึ่งแขกในงานต่างรู้จักนิสัยของสวี่อ๋องดี นางรำที่จะเข้ามาถวายการแสดงต่อหน้าแขกชั้นสูง ล้วนมาจากสำนักระบำหยก ที่ขายเพียงการแสดงหาใช่ร่างกาย เช่นนางรำในหอนางโลม ขุนนางผู้นั้นเดินออกมาหยุดตรงหน้านางรำ ที่ปิดบังใบหน้าด้วยผ้าคาด แววตานั้นของนางทั้งหยิ่งทะนงและเย้ายวน หมับ! ตึก! ก่อนที่มือสกปรกนั้นจะทันได้แตะต้องกายของหญิงสาว มือหยาบคว้ากำข้อมือนั้นอย่างแรง พร้อมวาดเท้าเตะเข้าที่ข้อพับจนอีกฝ่ายทรุดลงเขากระแทกพื้น “อ๊าก!! ท่านอ๋อง เพื่อนางรำชั้นต่ำพวกนี้ ท่านไยกล้าลงมือต่อข้าด้วย” ขุนนางคนอื่นๆ ต่างใบหน้าซีดเผือด มีใครบ้างไม่รู้กฎของที่นี่ รวมถึงสำนักระ
ห้องโถงรับแขก งานเลี้ยงรับรององค์รัชทายาทชีอัน และองค์ชายเก้า ซึ่งได้มีขุนนางในเมืองอีกจำนวนหนึ่งมาร่วมด้วย แน่นอนวาค่ำคืนนี้ บรรดาบุตรสาวขุนนางที่ยังไม่ออกเรือนต่างตั้งใจประโคมกาย เพื่อมาประชันความงามกันต่อหน้าบุรุษสูงศักดิ์ ซึ่งเป็นแขกคนสำคัญของเมืองชายแดนแห่งนี้ เผื่อว่าพวกนางคนใดคนหนึ่ง อาจโชคดีมีวาสนาก้าวสู่ตำหนักของหนึ่งในสองบุรุษแน่นอนว่าคุณหนูหลี่เหนียง นั่งเฉิดฉายอยู่เคียงข้างไท้เฟย ใบหน้างามประดับรอยยิ้มน้อยๆ อย่างมีจริต นางไม่สนหรอกว่าสตรีต่างแคว้นจะงามเพียงใด เพราะนางคือสตรีที่ไท้เฟยเลือกแล้ว “ไยน้องสาวข้ายังไม่มาอีกเล่า” องค์รัชทายาทเอ่ยถามถึงจ้าวหลันถิง นั่นทำให้หลี่เหนียงที่กำลังมั่นใจในความสูงส่งของตน เผลอตวัดสายตามองไปที่ชายหนุ่มสูงศักดิ์อย่างลืมตัว ทว่าหญิงสาวถึงกับใบหน้าซีดเผือด เมื่อสบเข้ากับแววตากระด้างขององค์รัชทายาทต่างแดน“ใบหน้าข้าคงน่าชังมากสินะ! แม่นาง!”คำถามของแขกคนสำคัญ เรียกสายตาของทุกคนให้หันมองไปที่หลี่เหนียงเป็นจุดเดียว หญิงสาวรีบหันไปหาไท้เฟยเพื่อขอความช่วยเหลือ ทว่ากลับต้องกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เมื่อสตรีที่นา
“แค่เล็กน้อยเจ้าค่ะ”คำพูดที่สนิทชิดเชื้อ บอกได้ว่าญาติผู้น้องคนนี้ ต้องสำคัญต่อชายสูงศักดิ์มากทีเดียว แล้วใครกันที่บอกว่าคุณหนูสกุลแม่ทัพ ไม่ใช่ที่รักของคนรอบข้าง จึงต้องถูกส่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์“ข้าลู่เชียน องค์รัชทายาทชีอัน ขออภัยไท้เฟยที่ข้าตั้งคำถามต่อท่าน โดยไม่ได้หมอบกราบอย่างที่คนอื่นกระทำ เช่นนั้นข้าคงต้องคุกเข่าสินะ!”“อย่าเพคะ!”ไท้เฟยร้องห้ามเสียงหลง เมื่อองค์รัชทายาทกำลังจะคุกเข่าลงต่อหน้า ร่างท่วมของไท้เฟยสั่นราวกับอากาศหนาวเหน็บ ทั้งที่เวลานี้ติดจะร้อนเสียมากกว่า“เช่นนั้นตอบคำถามข้าได้หรือยัง”“เอ่อ...คือว่า...”จ้าวหลันถิงไม่คิดว่าจะต้องยืมมือใครจัดการเรื่องพวกนี้ แต่นางไม่ได้มีเวลามาต่อกรไร้สาระกับแม่สามีมากนัก จึงอยากจัดการทุกอย่างให้อยู่ในจุดที่เหมาะสม เพื่อให้กิจการของนาง ที่กำลังเติบโตไม่ต้องสะดุดที่สำคัญอยู่ต่างบ้านต่างเมือง จะมามัวเป็นนางเอก ทำดีเพื่อชนะใจแม่ผัว มันเป็นไปไม่ได้ เพราะคนจะเกลียด ดีแค่ไหนก็เกลียดอยู่วันยังค่ำ เลยต้องใช้มือคนอื่นมายุติมันลง ไม่ต้องมารักนางแค่ไม่วุ่นวายกันก็พอแล้ว“นางถูกเลี้ยงดูด้วยเสด็จย่ามาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่เคยมีเรื่องเสื่อ