“อีอี” หญิงสาวในชุดเดรสรัดรูปหันไปมองตามเสียงเรียก
“อาหรัน” นางโบกมือให้หญิงสาวที่กำลังวิ่งมาทางเธออย่างยินดี
“ฉันคิดว่าจะไม่ทันแล้ว” อาหรันยืนเกาะบ่าเจียอีไว้แล้วหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า
“ทันสิ ฉันต้องรอเธอมาก่อนอยู่แล้ว ไปกันเถอะ” อีอีเปิดประตูรถหรูคันงามขึ้นไปนั่งเคียงข้างกับเพื่อนสาวของเธอ
ทั้งสองกำลังมุ่งหน้าไปที่ลานประมูลเครื่องเพชรที่บ้านของเจียอีเป็นเจ้าของบริษัทชั้นนำของประเทศ
การประมูลครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่เครื่องเพชรจากบริษัทของเธอ แต่มีเครื่องเพชรและเครื่องประดับโบราณที่เข้าร่วมประมูลด้วย
เจียอีก็ยังไม่ได้เห็นเครื่องประดับโบราณที่จะนำเข้ามาประมูลในครั้งนี้ ตลอดทางสองสาวจึงพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นว่าจะมีเครื่องประดับแบบใดบ้าง
ภายในงานประมูลมีคนเข้าร่วมจำนวนไม่น้อย เจียอีมองหาคุณพ่อคุณแม่ของเธอ ก่อนจะเดินพาอาหรันเข้าไปแนะนำตัว
“อีอี หากลูกอยากได้เครื่องประดับชิ้นไหนก็ประมูลเก็บเอาไว้ได้เลย” มู่เจียงคุณพ่อของเธอพูดบอกกับลูกสาวไว้ เพราะรู้ดีว่าตั้งแต่เล็กเจียอี เธอชื่นชอบเครื่องประดับโบราณมากกว่าแบบสมัยใหม่ที่เด็กสาวนิยมชอบกัน
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ” เธอยิ้มหวานออกมา
เพราะความที่เธอชื่นชอบเครื่องประดับในยุคโบราณมากกว่าสิ่งใด ที่บ้านจึงมีห้องสำหรับเก็บเครื่องประดับของเธอโดยเฉพาะ ภายในห้องไม่ต่างจากการจัดสินค้าโชว์เพื่อวางขายให้ลูกค้าเข้ามาชม
แต่มีเพียงเจียอีและคนในครอบครัวของเธอเท่านั้นที่มักจะเข้าไปชื่นชอบเครื่องประดับที่อยู่ภายใน น้อยครั้งที่เธอจะหยิบชิ้นใดมาสวมใส่ออกงาน
งานประมูลเริ่มจากสินค้าของบริษัทตระกูลมู่ สองสาวต่างตื่นตาตื่นใจกับเครื่องเพชรนับสิบกว่าชิ้นที่ถูกนำออกมาประมูล แต่ก็ยังไม่มีชิ้นใดที่เจียอีเธออยากได้
“เครื่องประดับชิ้นนี้มาจากยุคโบราณเมื่อนับพันปีที่แล้ว ทุกท่านพร้อมประมูลยังคะ บอกไว้ก่อนเลยว่า ปิ่นปักผมมรกตชิ้นนี้สมบูรณ์แบบที่สุดที่เคยมีมาเลยค่ะ” พิธีการบนเวทีบรรยายสินค้าจนคนที่เข้าร่วมต่างยืดหลังตรง เพื่อจะได้มองเห็นปิ่นที่ว่าได้ถนัด
พอผ้าคลุมถูกเปิดออก ปิ่นดอกโบตั๋นสีเขียวมรกตที่เรียกได้มาเป็นปิ่นโบราณที่สมบูรณ์แบบที่สุดก็ปรากฏสู่สายตา
พิธีกรยังเล่าประวัติความเป็นมาของปิ่นปักผมให้ผู้เข้าร่วมประมูลได้ฟัง
ปิ่นมรกตแกะสลักลายโบตั๋น เป็นของราชวงศ์เยี่ยน ถูกนักล่าสมบัติขุดพบที่สุสานของอ๋องเมื่อสามปีที่แล้ว แต่เพิ่งจะถูกนำออกมาประมูลโดยเจ้าของคนปัจจุบัน
“ฮึก...” เจียอีที่เห็นปิ่นเธอก็เจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง จนต้องกุมหน้าอกไว้แน่น
“อีอี!!! เธอเป็นอะไร ให้ฉันเรียกรถพยาบาลไหม” อาหรันเขย่าเรียกเธอด้วยใบหน้าที่ซีดขาว เพื่อนสาวของเธอไม่มีโรคประจำตัว ทั้งยังไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน
“ไม่ ไม่ต้อง ประมูลปิ่นอันนั้นมาให้ฉันหน่อย” เจียอีส่งป้ายประมูลของเธอให้อาหรัน แย่งประมูลปิ่นมรกตมาให้เธอให้ได้
ปิ่นมรกตราคาพุ่งขึ้นไปสูงถึงสองแสนหยวน ในที่สุดเจียอีเธอก็ได้มาครอบครอง แต่พอเอื้อมมือไปรับกล่องปิ่นมาถือไว้ ความทรงจำที่ไม่รู้ว่าของใครก็ปรากฏขึ้นในหัวของเธออย่างเลือนราง
“เธอถือขึ้นรถให้ฉันแล้วกันอาหรัน”
“เธอยังไม่หายอีกเหรอ” อาหรันมองเจียอีอย่างเป็นห่วง
“ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นอะไร กลับบ้านไปพักสักหน่อยก็คงจะดีขึ้น” เธอพูดเพื่อไม่ให้เพื่อนสาวเป็นกังวล แต่ภาพที่หญิงสาวสองคนกำลังโต้เถียงกันยังปรากฏชัดอยู่ในหัวของเธอ เพียงแต่ไม่เห็นใบหน้าของทั้งคู่
“ถ้างั้นฉันกลับเองดีกว่า เธอจะได้รีบไปพัก ถึงบ้านแล้วโทรบอกฉันด้วย” อาหรันส่งเจียอีขึ้นรถ ก็โบกมือลาเธอก่อนจะเดินไปขึ้นรถที่เธอกดเรียกให้มารับ
ตลอดทางที่กลับบ้านเจียอีไม่ได้แตะต้องกล่องปิ่นมรกตอีกเลย เธอได้แต่นั่งมองมันที่อยู่ข้างเธออย่างไม่เข้าใจ
“หรือจะเอาไปคืนดี” เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าปิ่นโบราณที่ได้มาจะมีวิญญาณติดมาด้วยหรือเปล่า
“คุณหนูถึงบ้านแล้วครับ” เจียอีสะดุ้งตกใจ เมื่อได้ยินเสียงของคนขับรถร้องเรียกเธอ
“เอ่อ ค่ะ ลุงฟาง ช่วยเอากล่องนี้ไปให้ป้าตงด้วยนะคะ” เธอยังไม่คิดจะแตะต้องมันในตอนนี้ แม้แต่จะถือเข้าบ้านก็ยังไม่กล้า
“ได้ครับ” ลุงฟางมองเจียอีอย่างแปลกใจ ปกติหากได้ของโบราณกลับมาที่บ้าน เธอจะไม่ยอมให้ใครช่วยเธอถือเลย และจะเป็นคนนำไปเก็บไว้ที่ห้องเก็บเครื่องประดับด้วยตัวเอง
เจียอีเดินกลับขึ้นห้องเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้เธอคงไม่ลงมากินข้าวเย็นแล้ว ภาพที่เห็นในงานประมูลทำให้เจียอีรู้สึกไม่ค่อยจะดีนัก เธออยากรีบพักผ่อนให้เร็วที่สุด
“เอ๊ะ” เธอเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ก็ออกมาเห็นกล่องไม้ที่ใส่ปิ่นโบตั๋นวางอยู่ข้างหัวเตียงของเธอ
“ป้าตงคงเอามาวางแน่” เจียอีส่ายหัว เธอเช็ดผมจนแห้ง แล้วล้มตัวลงนอนที่เตียงทันที
สายตาที่ยังไม่ได้หลับเหลือบไปเห็นกล่องไม้ข้างเตียง ยิ่งทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก จนต้องคว้ากล่องมาเปิดออกดูให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
“เป็นไงเป็นกัน” เธอคิดว่าคงไม่ถึงตายหรอก หากมีวิญญาณสิงอยู่ในปิ่นจริง พรุ่งนี้เธอจะให้คุณแม่นำไปทำพิธีที่วัด
“สวยจริง แทบไม่มีรอยตำหนิเลย” เจียอียกปิ่นขึ้นส่องกับไฟ เธอลูบกลีบดอกโบตั๋นอย่างหลงใหล สวยจนอยากจะลองปักลงบนผมดู
“โอ๊ยย บ้าจริง” เจียอีถูกความคมของหยดบาดเข้าที่นิ้วมือ เธอว่างปิ่นลงในกล่องแล้วรีบหาผ้ามาเช็ดเลือดที่นิ้วมือ
เจียอีหัวเสียไม่น้อย เธอเลิกสนใจปิ่นปักผมแล้วล้มตัวลงนอนทันที
“ข้าไม่ได้ทำ เหตุใดพวกท่านไม่เชื่อข้า” นางส่ายหน้าจนผมเผ้าหลุดลุ่ย
เจียอีมองภาพหญิงสาวในชุดโบราณตรงหน้าไม่ชัดนัก นางกำลังอ้อนวอนชายหนุ่มและเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของนาง
“ท่านแม่ ข้ากับท่านพ่อเห็นด้วยตาตนเองว่าท่านกำลังหลับนอนอยู่บนเตียงกับพ่อบ้าน เรื่องนี้ท่านจะโต้แย้งเช่นใด” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเย้ยหยันออกมา
“ท่านพี่ ข้าอยู่กับท่านมาสิบกว่าปี ท่านจะไม่รู้นิสัยของข้าเลยรึ ข้ายินยอมแต่งเข้ามาเพื่อดูแลอาชุนตั้งแต่เขาเป็นเพียงทารก ถึงแม่ท่านจะไม่สนใจข้า ข้าก็มิเคยเรียกร้องสิ่งใด ความซื่อสัตย์ที่ข้ามีมาตลอดยังไม่พอให้ท่านเชื่อใจข้ารึ” เจียอีมองหญิงสาวตรงหน้าของเธอร้องไห้อย่างน่าสงสาร
เธอเดินเข้าไปอย่างใจกล้า เพื่ออยากจะปลอบประโลมนางที่ร้องไห้ราวกับจะขาดใจ แต่ชายทั้งสองก็ยังไม่คิดจะสนใจนาง
เจียอีนั่งลงข้างนาง ก่อนจะยกแขนขึ้นเพื่อลูบหลังให้นาง “เลิกร้องได้แล้ว เธอไม่ได้ทำผิด ก็อย่าได้เสียน้ำตา หากพวกเขาไม่เชื่อก็ช่างเขาสิ”เธออยากจะปลอบให้หญิงสาวหยุดร้องไห้เสียที
แต่เมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองเจียอี เธอก็เกือบจะกรีดร้องออกมา ทั้งยังล้มไปนั่งกองอยู่กับพื้นด้วยความตกตะลึง
“ฝะ ฝัน ฝันเหรอเนี่ย” เจียอีสะดุ้งตื่นขึ้น เธอจบหน้าอกที่เต้นเร็วจนแทบจะหลุดออกมาจากอกของเธอ
ภาพของหญิงสาวเมื่อครู่มีใบหน้าที่เหมือนกับเธอราวกับเป็นคนเดียวกัน จะไม่ให้เธอตกใจได้ยังไง
“เก็บไปฝันหรือเนี่ย” เธอลูบหน้าที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนมองเพดานอย่างเหม่อลอย
ภาพฝันที่เห็นเจียอีไม่อาจจะสลัดทิ้งไปได้ เธอจดจำได้ทุกคำพูดของหญิงสาวในฝันได้ดี ทั้งแววตาของนางที่เงยขึ้นมามองเจียอี แววตาคู่นั้นเจ็บปวดไม่น้อย
คำพูดของนาง แม้เจียอีจะไม่เข้าใจ แต่รับรู้ได้ว่านางผิดหวังกับสองพ่อลูกคู่ที่ยืนมองอยู่ไม่น้อยเลย
เจียอีกลุกขึ้นดูนาฬิกาก็พบว่าเธอเพิ่งจะหลับไปได้เพียงแค่สองชั่วโมงเท่านั้น จึงพยายามข่มตาหลับตา
วันที่นางเดินทางกลับบ้านเดิม ข้าวของที่ตำหนักอ๋องจัดเตรียมไปมอบให้บ้านพระชายาก็มากกว่าห้าคันรถม้า คนไม่น้อยที่ต่างอิจฉาในวาสนาของรองเจ้ากรมมู่ที่มีบุตรสาววาสนาดีเช่นเจียอีและอีกไม่นานตำแหน่งเสนาบดีที่ว่างอยู่คงตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน สิ่งที่ชาวเมืองกับพวกขุนนางคิดไว้ก็ไม่ผิดไปจากนั้น เมื่อพระราชโองการแต่งตั้งรองเจ้ากรมมู่ ขึ้นเป็นเสนาบดีแทนที่ตำแหน่งของเสนาบดีกงที่ว่างอยู่ หลังจากที่เจียอีนางแต่งออกไปได้เพียงห้าวันเท่านั้นก่อนวันที่มู่เฟยหย่าจะออกเรือน เจียอีกลับไปนอนที่จวนตระกูลมู่ โดยไร้เงาเว่ยอ๋องติดตามไปด้วย เพราะน้องจะนอนกับพี่สาวของนางก่อนที่นางจะแต่งออกไป“อีอี แล้วท่านอ๋องยอมปล่อยเจ้ามาได้อย่างไร” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามน้องสาวอย่างสงสัย เมื่อได้ข่าวจากเสี่ยวถิงเรื่องที่เว่ยอ๋องเป็นเงาคอยติดตามน้องสาวของนาง“ก็ข้าจะมานอนกับพี่หญิง แล้วเขาจะมาเพื่ออันใดเล่าเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ค่อยมาร่วมดื่มสุรามงคลก็พอแล้ว” นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจให้นางได้หยุดพักหายใจบ้างเถิด ในแต่ละคืนเขาเคี่ยวกรำนางไม่น้อย ยิ่งรู้ว่านางจะกลับจวนตระกูลมู่เพื่อมานอนกับมู่เฟยหย่า ก่อนวันแต่งของนางเขาก็บังคับให้นางพาเข้
เว่ยอ๋องอยู่ในชุดมงคลสีแดง ปักลายพยัคฆ์คำรามสูงส่งดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ตลอดทางนางกำนัลขันทีต่างโปรยเงินตำลึงและขนมหวานไปตลอดทางองครักษ์กองทัพพยัคฆ์ของเขาก็อยู่ในชุดมงคลสีแดงเช่นกัน ต่างแบกเกี้ยวมงคลแปดคนหามหลังใหญ่ ทั้งแบกสินสมรสที่ยาวหลายลี้เจียอีถูกจางมามา ประคองออกจากเรือนของนางมาที่ส่วนหน้า เพื่อทำพิธีกราบลาบิดามารดาเว่ยอ๋องทำทุกอย่าง อย่างเร่งรีบ ก่อนจะอุ้มเจ้าสาวไปขึ้นเกี้ยว โดยไม่รอให้น้องชายแต่งมารดาของเจียอีเดินไปส่งนางแต่ก่อนที่เขาจะวางนางลงบนเกี้ยวเขาเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวออก เพื่อดูว่าเป็นเจียอีหรือมู่เฟยหย่ากันแน่“ว้ายยยย” จางมามากรีดร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นเว่ยอ๋องเปิดผ้าคลุมหน้าดู ก่อนจะที่จะวางเจ้าสาวลงในเกี้ยว“ท่านนี่มัน” เจียอีทุบที่แขนของเขาอย่างมันเขี้ยว“เปิ่นหวางต้องตรวจดูให้แน่ใจเสียก่อน” เขายกยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะปิดหน้านางไว้เช่นเดิมพิธีกราบไหว้ฟ้าดินที่ตำหนักอ๋องมีฮ่องเต้และไทเฮาเสด็จออกจากวังหลวงมาร่วมงานเว่ยอ๋องยังสร้างความตกตะลึงให้คนที่มาร่วมงาน เมื่อเขาประกาศสาบานต่อหน้าฟ้าดิน“ข้าเยี่ยนเซวียน สาบานต่อหน้าฟ้าดิน ทั้งชีวิตนี้จะมีเพียงมู่เจียอี เป็นภ
เจียอีเดินเข้าไปโอบกอดมู่เฟยหย่าไว้แน่น พร้อมทั้งตบที่หลังของนางเบาๆ เพื่อปลอบประโลม“ไม่ต้องร้องแล้วเจ้าค่ะ ไม่ว่าท่านจะฝันเห็นสิ่งใด แต่มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว” มู่เฟยหย่าเอ่ยขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมาและร้องไห้ออกมาเสียงดัง จนบ่าวที่อยู่ในเรือนอดที่จะร้องไห้เพราะสงสารคุณหนูของตนไม่ได้สุดท้ายเจียอีก็พูดจนมู่เฟยหย่ายอมรับเครื่องประดับทั้งหมดไว้ สองพี่น้องจึงได้กลับมาคุยเล่นเช่นเดิมได้อีกครั้ง เมื่อเอ่ยเรื่องที่ติดค้างในใจออกมาเว่ยอ๋องที่ถูกคุมตัวอยู่ภายใต้สายตาของไทเฮา เขาหงุดหงิดใจไม่น้อยที่ไม่ได้แอบไปหาเจียอีนางที่เรือน“เหอะ ท่าทางเช่นนี้ไม่ใช่รังแกอีอีนางไปแล้วเล่า” เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องโถงไทเฮาก็เอ่ยตำหนิบุตรชายออกมาวันนั้นที่จัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จ เว่ยอ๋องหายตัวออกไปจากวังหลวงทั้งคืน กลับมาอีกทีก็ฟ้าสว่างแล้ว จะไม่ให้ไทเฮาสงสัยได้อย่างไร“ลูกเป็นเช่นนั้นรึอย่างไรเล่าเสด็จแม่” เว่ยอ๋องเกาจมูกแก้เก้อ“เพ้ย ไม่เป็นเช่นนั้นแล้วจะเป็นเช่นใด” ไทเฮาถลึงตามองบุตรชายตัวดีของนาง“เสด็จแม่ ให้ลูกกลับตำหนักเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เขานอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว เมื่อไม่มีเนื้อชิ้นงามอยู่ในอ้อมแขน
นางถูกเขาวางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม สายตาของเว่ยอ๋องมองเรือนร่างของนางอย่างปรารถนา ก่อนจะเริ่มเล้าโลมนางอีกครั้งเจียอีหลุดเสียงครางออกมาด้วยความรู้สึกที่เสียวซ่านยามลิ้นร้ายของเขาเลียไปทั่วเรือนร่างของนาง นิ้วมือของเขาก็รุกเข้าไปในส่วนที่คับแคบของนางอย่างต่อเนื่อง จนเจียอีกระตุกเกร็งขึ้นมาอย่างสุขสมเมื่อโดนรังแกทั้งด้านบนและด้านล่างเช่นนี้เมื่อเห็นว่านางพร้อมแล้ว เว่ยอ๋องปลดเสื้อผ้าที่เกะกะออกอย่างรีบร้อน ก่อนจะจ่อลำทวนไปที่ช่องรักของนาง เพียงส่วนหัวที่เข้าไปด้านใน เจียอีก็สะดุ้งสุดตัวไปด้วยความเจ็บปวด“โอ๊ยยย เอาออกไปเถิด ข้าเจ็บ” นางร้องออกมาอย่างน่าสงสาร แต่เว่ยอ๋องจะยอมตามใจนางในเรื่องนี้ได้อย่างไร“เพียงครู่เดียวเจ้าก็ไม่เจ็บแล้ว” เขาค่อยๆ กดลำทวนเข้าไปช้าๆ เพื่อให้เจียอีนางปรับตัว ทั้งยังเล้าโลมนางไปด้วยเพื่อให้นางคลายความเจ็บปวด"อื้มมมม" นางร้องออกมาเบาๆ เมื่อหายเจ็บปวดแต่แทนที่ด้วยความคับแน่นแทน“หายเจ็บแล้วใช่หรือไม่” เขาจูบที่ข้างริมฝีปากของนางอย่างรักใคร่“อืม” นางพยักหน้าอย่างเขินอายท่าทางน่าเอ็นดูเช่นนี้ ทำให้เว่ยอ๋องใจอ่อนยวบ เอวหน้าเริ่มขยับทำหน้าที่ของมันอย่างรู้งาน
ตอนที่เว่ยอ๋องเดินเข้ามาในห้องขัง นางถอยหลังหนีด้วยความหวาดกลัว เพราะมีดสั้นที่อยู่ในมือของเขา“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใด ถึงได้ใจกล้าเช่นนี้” เว่ยอ๋องเอ่ยเสียงเหยียบเย็นที่ดูราวกับจะมาเอาชีวิตของนางไปเขาเดินช้าๆ มาหยุดนั่งย่องๆ ที่ตรงหน้าของนาง แม้แต่เสียงร้องขอชีวิตก็ไม่อาจจะเปล่งออกมาได้“ยิ่งเห็นใบหน้าเจ้า เปิ่นหวางอยากจะอาเจียนออกมา”ยามที่มีดสั้นบรรจงเฉือนเนื้อส่วนใบหน้าของมู่เฟยหย่าออกทีละนิด มันแสนเจ็บปวดจนนางต้องกรีดร้องออกมา นางโดนทรมานเช่นนั้นอยู่นับสองชั่วยาม ก่อนจะมีหมอมารักษานาง เพื่อยื้อไม่ได้ตายเร็วเกินไปนางถูกทรมานจนไม่อาจนับวันคืนได้ จนวันหนึ่งนางก็จบชีวิตลงอย่างน่าสมเพชภายในคุกใต้ดินของตำหนักอ๋องแม้แต่หลุมฝังศพ เว่ยอ๋องก็ไม่ยอมให้นางได้อยู่ เขาสั่งให้องครักษ์นำร่างของมู่เฟยหย่าไปโยนทิ้งที่สุสานศพไร้ญาติ โดยไม่มีการฝังแต่อย่างใด ปล่อยให้หมาป่ากัดกินเนื้อส่วนที่เหลือของนางมู่เฟยหย่าสะดุ้งเฮือกขึ้นมานั่งหอบหายใจ อยู่ที่บนเตียงของนาง เสียงกรีดร้องของนางทำให้คนในตระกูลมู่ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากวังหลวงต่างรีบร้อนเข้ามาดูนาง“หย่าหย่า เจ้าเป็นอันใด” สวีซื่อเดินเข้าไปจับ
เจียอีรีบเดินไปที่บ่อน้ำอย่างร้อนใจ นางไม่เคยพบเจอว่าผู้ใดที่แช่น้ำในบ่อแล้วจะเรียกไม่ฟื้น“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเพคะ” นางเอ่ยเรียกเขาเสียงสั่น ทั้งยังประคองใบหน้าของเขาไว้แล้วตบเรียกสติเบาๆเว่ยอ๋องที่ยังคงวนเวียนอยู่ในภาพฝัน เงยหน้าขึ้นมาจากหลุมศพของเจียอี แล้วมองหาเสียงเรียกของนาง“อีอี เป็นเจ้ารึ เจ้าอยู่ที่ใด” เขาลุกขึ้นมองหา โดยที่ยังได้ยินเสียงเรียกที่ร้อนใจของนางอยู่ไม่ขาด“ท่านอ๋อง ได้โปรด ลืมตาตื่นเถิดเพคะ” เจียอีจรดหน้าผากของนางติดกับหน้าผากของเว่ยอ๋อง แล้วเอ่ยเรียกเขาเสียงสั่นเทาน้ำตาของเจียอีไหลรินลงที่ใบหน้าที่หลับใหลของเว่ยอ๋อง นางยังคงเอ่ยเรียกเขาไว้ไม่ขาด เพียงไม่นานเว่ยอ๋องก็ลืมตาตื่นขึ้นมา“อีอีรึ” เขากะพริบตาที่พร่ามัว ด้วยไม่เชื่อว่าตรงหน้าของเขาจะเป็นนางไปได้“ท่านฟื้นเสียที” นางยิ้มออกทั้งน้ำตาด้วยความดีใจเพิ่งจะได้รู้ว่าต้องการเขามากเพียงใด ก็ต่อเมื่อเรียกเขาแล้วไม่มีการตอบโต้กลับ ในภพที่แล้วคู่ชะตาของเขาจะใช่นางรึไม่ ตอนนี้เจียอีไม่สนใจแล้ว นางต้องการเพียงแค่เขาฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พอ“อีอี เปิ่นหวางมิได้ฝันใช่หรือไม่” เขาดึงนางเข้ามากอดไว้แน่น เขาแยกไม่ออกแล้วว่