มู่เจียอี ถูกมัดด้วยโซ่ตรวน ท่ามกลางเสียงด่าทอของชาวบ้านนางไม่ได้ฟังสิ่งใดเลย นอกจากสายตาที่มองหวงเต๋อฟานกับหวงชุนหมิง สามีและบุตรเลี้ยงของนาง
แววตาของทั้งคู่ที่มองมามีแต่ความเกลียดชัง ว่างเปล่า จนนางอดสะท้านในอกไม่ได้
“ข้าไม่ได้ทำ” นางพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา หวังว่าทั้งสองจะเชื่อในคำนาง
นางถูกกล่าวหาว่าลอบคบชู้สู่ชายกับพ่อบ้านในจวน มันไม่ใช่เรื่องจริงแม้แต่น้อย
นางยอมแต่งให้เขา ซึ่งได้ชื่อว่าพี่เขย หลังจากที่พี่สาวฝาแฝดของนาง มู่เฟยหย่า ป่วยหนักเจียนตาย ได้ขอร้องให้นางรับปากจะยอมแต่งเป็นภรรยาของเขาเพื่อช่วยดูแลบุตรชายที่เพิ่งเกิดได้เพียงไม่ถึงปีแทนนาง
“อีอี เจ้ารับปากข้า ข้าไม่ไว้ใจผู้ใดนอกจากเจ้า” เพราะนางเป็นคนหัวอ่อน เชื่อฟังพี่สาวมาโดยตลอดจึงได้รับปากไป
ไม่คิดว่าการรับปากครั้งนั้นจะทำให้นางต้องทนทุกข์มานับสิบกว่าปี นางเพิ่งจะมารู้เมื่อไม่กี่เดือนก่อนว่าพี่สาวของนางยังไม่ตาย
ตอนนี้นางกลายเป็นพระชายาเอกของเว่ยอ๋อง น้องชายร่วมอุทรของฮ่องเต้ไปแล้ว ในตอนแรกที่นางรู้ว่าเว่ยอ๋องแต่งสตรีโดยสาบานจะรักมั่นเพียงนางผู้เดียว ยังอดคิดไม่ได้ว่าผู้ใดกันที่วาสนาดีถึงเพียงนี้
ก่อนจะโดนจับตัวส่งทางการ นางถึงได้รู้ว่าเหตุใดนางถึงไม่ตั้งครรภ์เสียที พี่สาวของนางกลัวว่าหากนางตั้งครรภ์ บุตรของนางจะได้ตำแหน่งโหว่ แทนบุตรชายของนาง จึงให้หวงเต๋อฟาน ใส่ยาห้ามครรภ์ให้นางกินทุกครั้ง
แม้นางจะเลี้ยงดูหวงชุนหมิงราวกับบุตรของนาง แต่ก็ไม่ทำให้เขารักนางเช่นมารดาแท้ๆ หลังจากอายุแปดหนาว เขารู้ว่ามู่เฟยหย่าคือมารดาของตน ก็ห่างเหินจากนางทันที เรื่องนี้นางก็เพิ่งจะรู้หลังจากที่พี่สาวนางกลับมาที่จวนในคืนวันใส่ร้ายนาง
“ข้าทำผิดต่อท่านที่ใด ถึงได้ทำกับข้าเช่นนี้” มู่เจียอีเอ่ยถามพี่สาวทั้งน้ำตา
“มันเป็นเพราะเจ้าทุกเรื่อง ทุกคนล้วนแต่รัก สนใจเพียงแค่เจ้า แล้วข้าเล่า ข้าได้รับความรักจากผู้ใด” มู่เฟยหย่าดวงตาแดงก่ำจ้องหน้าน้องสาวฝาแฝดที่เหมือนกับนางแทบจะทุกอย่าง
เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นของมู่เจียอีที่ทอประกายราวกับดวงดาวบนฟากฟ้าทั้งหมดอยู่ในตาคู่งามของนาง ผู้ที่พบเห็นสองพี่น้องสามารถแยกออกได้ทันที
“เป็นข้า…ที่ยอมลงให้ท่านตลอด” เจียอีเอ่ยเสียงสั่นอย่างปวดใจ ไม่คิดว่าพี่สาวจะคิดกับนางเช่นนี้
“หึ มันไม่พอ ไม่พอ!!! ข้าไม่ต้องการความหวังดีของเจ้า ข้าต้องการมันจากเขาผู้นั้น”
เจียอีไม่เข้าใจในสิ่งที่เฟยหย่านางพูด แต่พอนางจะเอ่ยถาม เสียงของหวงชุนหมิงก็เอ่ยเร่งมารดาของเขาให้รีบออกมา
ตามมาด้วยเสียงฝีเท้ามากมายที่เข้ามาเห็นร่างเปลือยเปล่าของเจียอีนอนอยู่บนเตียงกับพ่อบ้านที่สลบไม่ได้สติ หลังจากนั้นนางกับพ่อบ้านถูกพาตัวไปขังไว้ที่คุกศาลต้าเยี่ยน
เจียอีหวนนึกถึงเรื่องในคืนนั้นก็หัวเราะเย้ยหยันความโง่ของตนออกมา ตอนที่นางถูกจับไปมัดไส้กับม้าสายตาของนางว่างเปล่าได้แต่โทษตนเอง หากบิดามารดายังอยู่ในวันนี้นางจะโดนเช่นนี้หรือไม่
ตอนที่ม้าทั้งห้ากำลังจะแยกร่างนาง นางได้แต่วิงวอนต่อสวรรค์ “หากชาติภพหน้ามีจริง ข้าขออย่าได้กลายเป็นเหยื่อเช่นนี้อีกเลย”
เสียงด่าทอยังสาปแช่งนางไม่หยุด หวงเต๋อฟานหันหลังหนีไม่อาจทนมองสภาพเจียอีเช่นนี้ได้ หวงชุนหมิงเห็นแววตาสุดท้ายก่อนที่เจียอีจะโดนแยกมองมาทางเขาก็อดที่จะสั่นสะท้านออกมาไม่ได้
เว่ยอ๋องที่เห็นว่านางยังดื้อรั้นจึงได้จุมพิตนางอีกครั้ง เพื่อเตือนนางว่าอย่าได้ขัดใจเขา “โอ๊ยย” นางร้องออกมาเบาๆ เมื่อเขาขบริมฝีปากที่ปิดแน่นของนาง“เจ้าดื้อกับเปิ่นหวางเอง อีอี” เขาตะโบมจุมพิตนางอย่างดุดัน ทั้งยังจับยึดตัวของนางไว้ให้ดิ้นรนถอยหนี“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเปิ่นหวางตามหาเจ้าตลอด”“ยะ อย่า” นางเอ่ยขอร้องเสียงสั่น เมื่อฝ่ามือร้อนของเขาปลดเชือกที่รัดเอวของนางออก“ขออภัย” เขาซุกหน้าลงกับซอกคอของนาง เพื่อปรับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านให้สงบลง แต่กลิ่นกายของนางก็ราวกับเป็นกำหนัดชั้นดี ยิ่งสูดดมเขายิ่งอยากจะรังแกนางเสียในคืนนี้เลย“ท่านอ๋อง” เจียอีเอ่ยเรียกเสียงเบา เมื่อรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่เริ่มถี่ขึ้นของเขา“อีอี เจ้าทรมานเปิ่นหวาง” เขาดูดเม้มที่ติ่งหูของนาง“เป็นท่านเองที่ทำตัวเอง กลับไปได้แล้ว” นางดันตัวเขาที่คร่อมทับนางอยู่ออก เพราะดูเหมือนส่วนล่างของเขาจะพร้อมรบเสียแล้ว“ช่วยเปิ่นหวางได้หรือไม่” เขามองนางอย่างอ้อนวอน“ไปหอคณิกาเลย” นางเอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมา“ไม่เอา ต้องเป็นเจ้าเพียงผู้เดียว” เขาจับมือน้อยๆ ของนางอย่างแฝงไปด้วยความหมาย“ไม่ได้ ไม่เอา” นางดึงมือกลับ แต่กลับถูกเขาดึงฉ
มื้อเย็นเจียอีนางก็ยังมิได้ออกไปทานที่เรือนหลัก นางยังคงทานที่เรือนของตนเองเช่นเดิม“ข้าต้องกินอีกแล้วรึ” นางมองถ้วยยาน้ำสีดำที่ทั้งเหม็นทั้งขม จากมือของเสี่ยวถิงที่ยื่นมาตรงปากของนาง“กินเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูจะให้แข็งแรงเร็วๆ” เสี่ยวถิงจ่อไปให้ถึงปากของนาง เหลือเพียงแค่บีบปากแล้วกรอกยาลงไปเจียอีจำต้องรีบกลืนลงคอไปให้เร็วที่สุด แต่อย่างไรนางก็เกือบจะอ้วกออกมาอยู่ดี “พรุ่งนี้ข้าไม่กินแล้ว เจ้าไม่ต้องต้มมาแล้ว” นางรีบดื่มน้ำตามลงไปหลายจอกทันทีเสี่ยวถิงยังคงดูแลจนเจียอีเข้านอน พอเจียอีนางหลับสนิท นางก็ถอยกลับไปนอนที่เรือนพักบ่าวที่อยู่ด้านหลังเว่ยอ๋องที่มาถึงห้องเจียอี ก็เห็นว่านางหลับไปแล้ว ครั้งนี้เขาไม่คิดจะปลุกนาง แต่กลับขึ้นไปซุกตัวเข้าผ้าห่มนอนลงข้างกายของนางแทน“อื้อออ” เจียอีซุกตัวเข้าหาไออุ่น เมื่อนางหันหลังหนีไม่ยอมพลิกมาทางเขา เขาจึงแย่งผ้าห่มของนางไปเสียหมด เพื่อให้นางหันมาทางเขา“หึ เป็นเจ้าเองนะที่กอดเปิ่นหวาง” เขาดึงตัวเจียอีมาสวมกอดไว้แน่น แล้วเอ่ยออกมาอย่างหน้าหนาองครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่ด้านนอกได้ยินคำพูดของผู้เป็นนายก็แทบจะร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้ที่ซ่อนตัวอยู่ “สวรรค์ ท
ระหว่างทางที่นางเดินกลับ ก็พบเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งที่รีบร้อนเดินมาทางนาง พอเขาเข้ามาใกล้นางจึงเห็นใบหน้าของเขาได้ถนัด จะเป็นผู้ใดไปได้เล่าถ้าไม่ใช่ หวงเต๋อฟาน“หยุด!!! ท่านเข้ามาด้านในได้อย่างไร” เจียอียกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาเดินเข้ามาใกล้นาง“คุณหนูรอง หย่าหย่าเล่า เห็นนางหรือไม่ นางบอกให้ข้ามาพบที่ศาลาริมน้ำ”“เช่นนั้นท่านเข้าไปรอนางก่อนแล้วกัน ข้าขอตัว” เจียอีรีบหมุนตัวกลับไปทางเรือนพักของนางให้เร็วที่สุด ด้วยกลัวว่าหากมีคนมาพบเห็นทั้งสองอยู่ด้วยกันในยามนี้จะเข้าใจผิดคิดว่านางลอบนัดพบกับว่าที่พี่เขยของตนเองแต่เหมือนสวรรค์จะส่งบททดสอบแรกมาให้นาง เมื่อเสียงฝีเท้าของจำนวนคนไม่น้อยกำลังมุ่งหน้ามาทางที่ทั้งสองยืนอยู่“กะ อุ๊บ” เจียอีนางยังไม่ทันได้กรีดร้องออกมาก็ถูกมือตะครุบปิดปากนางไว้เสียก่อนตัวของนางลอยขึ้นจากพื้นทะยานไปต้นไม้แล้วต้นไม้เล่า จนมาหยุดอยู่ที่เรือนพักของนางหวงเต๋อฟานยืนนิ่งอึ้งด้วยคนตกใจ หากเขามองไม่ผิด บุรุษที่มาพาตัวคุณหนูรองมู่ออกไป ต้องเป็นเว่ยอ๋องอย่างแน่นอน“ไหน อีอี นางอยู่ที่ใด” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับเดินเข้ามาทางหวงเต๋อฟาน แล้วมองสำรวจรอบๆ บร
เว่ยอ๋องรู้สึกว่ามีคนจ้องมองมาทางเขา เขาจึงหันไปมองก็พบว่าเป็นมู่เฟยหย่า พอเห็นว่าเป็นนางเขาก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที“บุตรสาวรองเจ้ากรมมู่เป็นฝาแฝดรึ” เขาหันไปเอ่ยถามขันทีข้างกาย“พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูมู่เฟยหย่าแฝดคนพี่ กำลังเอ่ยเรื่องหมั้นหมายกับคุณชายหวง ส่วนคนน้องคุณหนูมู่เจียอี บ่าวยังมิได้ข่าวเรื่องงานดูตัวของนางพ่ะย่ะค่ะ”“มู่เจียอี งั้นรึ” เว่ยอ๋องยกยิ้มที่มุมปาก แต่รอยยิ้มเช่นนี้ขันทีข้างกายได้แต่ขนลุกไปทั้งตัว ยิ้มเช่นนี้ทีไรมีเรื่องทุกทีมู่เฟยหย่าเห็นขันทีมองมาทางนางแล้วกระซิบบอกกล่าวเว่ยอ๋อง ยิ่งเห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของเขา นางก็เขินอายขึ้นมาทันที คงสนใจตัวนางเช่นบุรุษอื่นเป็นแน่เจียอีที่กลับมาถึงจวน เสี่ยวถิงก็รีบร้อนไปหาน้ำร้อนมาประคบให้นางทันที พอกลับมาถึงเรือน นางก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ จึงได้เห็นรอยแดงบนหน้าผากจากคันฉ่องว่ามันบวมแดงแค่ไหน“นี่ขนาดกระจกเหลืองขนาดนี้ ยังเห็นรอยแดงชัด ถ้ากระจกใสจะเป็นเช่นใดเนี่ย” นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างมีโทสะ ก่อนจะทิ้งกระจกในมือลงบนที่นอนเสี่ยวถิงประคบร้อนให้นางอยู่นานกว่ารอยบวมจะยุบลง บิดามารดา และมู่เฟยหย่าที่กลับมาจากงานเลี้ยงก็รีบมา
สวีซื่อกับรองเจ้ากรมมู่เอ่ยถามเจียอีอีกสองสามประโยค เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นอันใดแล้วจึงได้วางใจลง“รู้ตัวว่าเป็นไข้ เหตุใดยังมาอีก” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามเจียอีขึ้นมา นางมองที่กำไลข้อมือทั้งสองข้างและปิ่นปักผมอย่างไม่พอใจนัก“ข้าบอกท่านแม่แล้ว ข้าก็ไม่ได้อยากจะมาเสียหน่อย” นางบ่นเสียงเบา ก่อนจะหันไปสนใจของว่างที่อยู่ตรงหน้าแทน หากได้มองหน้ามู่เฟยหย่าต่อ นางอาจจะเผลอโต้ตอบออกไปก็ได้“เว่ยอ๋องเสด็จ” เสียงขันทีประกาศเสียงดัง เพื่อให้ทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพ ตะเกียบในมือของเจียอีกชะงักค้าง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วถอยไปอยู่ด้านหลังของมู่เฟยหย่า เพื่อไม่ให้เขาเห็นนางนางมองสังเกตว่ามู่เฟยหย่าจะมีอาการเช่นไร และก็เป็นอย่างที่นางคิด เมื่อดวงตาของมู่เฟยหย่าจับจ้องสนใจอยู่ที่ตัวของเว่ยอ๋องจนเขาเดินไปถึงที่นั่งนางได้เห็นทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งด้วย จึงได้ก้มหน้าลงเช่นเดิม แล้วลอบยิ้มในใจ ผู้ใดที่เห็นพี่สาวนางแล้วจะไม่ตกหลุมรักบ้างเล่า คงไม่มีแน่เชื้อพระวงศ์ ทั้งหมดเข้ามาภายในงานเลี้ยงแล้ว เสียงดนตรี และอาหารเริ่มทยอยเข้ามาด้านใน เจียอีได้แต่ก้มหน้าลงสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้าของนาง หรือเงยหน้าขึ้นมามองการแสดงเป
เจียอีถูกพาไปที่ตำหนักวังหลัง ระหว่างทางเดินมีคนเดินสวนไปมาไม่น้อย เจียอีที่มัวแต่มองความงามของวังหลวงก็บังเอิญชนเข้ากับคนผู้หญิง“โอ๊ยยย” นางเซหงายหลังเกือบที่จะล้มไปกองกับพื้น แต่ถูกคว้าโอบรอบเอวไว้ก่อนที่จึงมิได้ล้มลงไป“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่ทันมอง” นางรีบขอโทษ พร้อมทั้งดันตัวเขาออกมา“เดินเยี่ยงไร ถึงมิได้ดูทาง” เจียอีเงยหน้าขึ้นไปมองบุรุษที่ตำหนินางเสียงเย็น“เห้ยยย” นางตกใจถอยหลังหนี ด้วยรีบร้อนเกินไปจึงได้ล้มไปกองกับพื้นทันที“อย่างไรกัน คุณหนูจวนใดถึงได้ไร้มารยาทเช่นนี้”เจียอีถูกนางกำนัลพยุงลุกขึ้น นางรีบไปแอบอยู่ด้านหลังของนางกำนัลทันที ความกลัวพุ่งสูงจนเหงื่อซึมออกมาตามใบหน้าและแผ่นหลัง ใบหน้าของนางซีดขาวจนนางกำนัลต้องเข้าไปประคองนางไว้“ขออภัยอีกรอบเพคะ” นางก้มหน้านิ่งไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมาสบสายตาของเขา“ท่านอ๋องเพคะ พระองค์กำลังทำให้คุณหนูมู่หวาดกลัวอยู่เพคะ” จางมามา นางกำนัลข้างกายของไทเฮาเอ่ยบอกเว่ยอ๋องที่กำลังจ้องมองเจียอีอยู่“เหอะ เปิ่นหวางเป็นปีศาจหรืออย่างไร ถึงได้หวาดกลัวเสียจะเป็นลมเช่นนี้”“หะ หามิได้เพคะ” เจียอีเอ่ยเสียงสั่นออกมาเช่นนี้แล้วผู้ใดจะเชื่อว่านา