Masukตอนที่ 15 ปรับปรุงตัวเอง... เพื่อให้เป็นคนที่ดียิ่งขึ้น
รั่วซีกลับมาบ้านในวันต่อมา ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ยังไม่มีกลุ่มนักโทษชั้นดีมาใช้แรงงานหรือมาช่วยพัฒนาชุมชน นั่นแสดงว่ากัวเหลียงก็ยังไม่มาเช่นกัน พอกลับมาถึงบ้าน ทุกคนต่างก็ช่วยกันเอาสิ่งของที่ซื้อมาจากสหกรณ์จัดออกเป็น 3 ชุด แบ่งให้กับครอบครัวพ่อกับแม่เพื่อคืนในส่วนที่เธอยืมมาด้วย และจัดให้ครอบครัวพี่สาม ชุดสุดท้ายเอาไปให้สุ่ยหลิง คนที่รั่วซีจะเอาสิ่งของไปให้ ส่วนมากคือคนที่คอยช่วยเหลือเธอทั้งนั้น แต่วันนี้เธอตั้งใจจะไปเพียงสองบ้านเท่านั้น เพราะดูจากเวลาแล้วคงแวะไปหาเพื่อนไม่ทันแน่นอน...
"แต่งตัวเรียบร้อยหรือยังครับ" จือหยวนถามภรรยาและลูก ๆ ที่หายเข้าห้องนานแล้ว แต่ยังไม่เห็นใครออกมาเลย
"เรียบร้อยค่ะ" เหยาเหยาออกมาก่อนเป็นคนแรก
"ตรวจดูหลังบ้านมาแล้วเหรอคะ" รั่วซีเดินออกมาก็ถามสามีที่เดินไปดูพื้นที่หลังบ้านเพื่อจะทำเป็นศาลาไว้นั่งทำงาน เพราะพวกเธอจะอยู่แต่ในพื้นที่ไม่ได้ ยังไงก็ต้องออกมาอยู่ข้างนอกบ้าง เลยจะขยับขยายให้หลังบ้านเป็นสถานที่ทำงานเวลาที่อยู่ด้านนอก
"ครับ อาจต้องตัดไม้ไผ่เอาไว้เยอะหน่อย" จือหยวนกำลังคิดว่าควรใช้ไม้ไผ่หรือควรใช้ไม้อะไรดี...
"เราคงไม่มีเวลาทำเองหรอกค่ะ หรือเราเอาของมานั่งจัดในห้องโถงก่อนดีไหมคะ พื้นที่พอให้เราทำได้" รั่วซีมองห้องโถงของบ้านแล้วคิดว่าน่าจะใช้ตรงนี้ทำไปก่อน ถึงมันจะไม่กว้างเหมือนในพื้นที่ แต่ใช้ทำงานไปก่อนก็ได้เหมือนกัน
"คงต้องทำแบบนั้นไปก่อนแหละครับ เดี๋ยวจะค่อย ๆ ทยอยตัดไม้เก็บไว้" จือหยวนบอกพร้อมกับมองดูลูกและภรรยาที่แต่งตัวน่ารักกันทุกคน ถึงแม้เสื้อผ้าที่ใส่ไม่ได้ใหม่ที่สุด แต่ทั้งสามคนดูดีมาก ๆ หน้าตาสดใส แค่มองทั้งสามคนก็ทำให้เขายิ้มตามเลยทีเดียว
"ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเลยดีกว่าค่ะ" รั่วซีบอกทุกคน วันนี้เธอจะไปบ้านพี่ชาย และบ้านพ่อกับแม่เพื่อเอาสิ่งของต่าง ๆ ไปคืน ต้องเข้าไปในหมู่บ้านให้คนเห็นบ้าง เธอหายไปหลายวัน คนอาจสงสัยได้ ยังไงก็ไปให้พวกเขาเห็นหน้าสักนิดก็ยังดี
"จะให้ผมไปด้วยจริง ๆ เหรอครับ" จือหยวนรู้ว่าพ่อตาแม่ยายไม่ค่อยชอบเขามากนัก เขาเลยไม่อยากไปให้ทั้งสองเห็นหน้า หลีกเลี่ยงได้เขาก็อยากหลีกเลี่ยง สำหรับเขาจะพูดว่ายังไง เขาก็ไม่สนใจ แต่เขาไม่อยากให้ทั้งสองต่อว่าภรรยา และภรรยาที่ต้องรับฟังทุกครั้งที่พ่อตาแม่ยายพูด
"ค่ะ ต่อไปมันจะไม่เหมือนเดิมแล้ว" รั่วซีบอกสามีพร้อมกับส่งยิ้มให้ด้วย เพราะเธอจะลองพูดเรื่องดี ๆ ของสามีให้พ่อกับแม่ฟังบ้าง แต่ก่อนเพราะเธอเงียบ ทุกคนเลยพูดไม่หยุด เธอจะเริ่มลองเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ ทำอย่างไรได้ จะตัดก็ไม่ขาด จะให้เหมือนเดิมก็ทำไม่ได้เช่นกัน
"ผมไม่เป็นไร แต่คุณกับลูก... " ตลอด 5 ปีที่แต่งงานกับภรรยา เขาเจอมาหลายรูปแบบแล้ว แค่เขาไม่สนใจก็ทำอะไรเขาไม่ได้
"เหยาเหยาไม่เป็นไร" คนที่พูดไม่ชัดที่สุดเป็นคนบอกพ่อ ซึ่งประโยคของเหยาเหยาทำให้พ่อกับแม่ยิ้มตาม และรู้ว่าลูกยังเด็ก คงไม่รู้หรอกว่าคืออะไร
"ไปเถอะค่ะ จะให้ฉันถือไปคนเดียวทั้งหมดเหรอคะ" รั่วซีพยักพเยิดหน้าให้สามีมองตามไปที่สิ่งของที่วางไว้ทั้งหมด 2 ชุด ซึ่งมีน้ำหนักพอสมควร
"ครับ" จือหยวนรับคำ เขารู้ว่าภรรยาอยากให้ไปด้วยจริง ๆ
ทั้งสี่คนเดินไปด้วยคุยไปด้วย ส่วนมากจะเป็นเสียงเหยาเหยาที่พูดเจื้อยแจ้วออกมา ทั้งรู้เรื่องและไม่รู้เรื่อง พูดชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ก็ขยันที่จะพูดอยู่อย่างนั้นแหละ
"อ้าวน้องเล็ก... มากินข้าวเหรอ" เมื่อเห็นน้องสาวคนเล็กที่หายหน้าไปหลายวันมาบ้านก็เอ่ยถามทันที
"เปล่าค่ะ เอาข้าวที่ยืมไปก่อนหน้านี้มาส่งคืนค่ะ พี่ใหญ่อยู่ก็ดีแล้ว จำได้ไหมว่าฉันเอาไปมากน้อยแค่ไหน ฉันจะได้คืนทีเดียว" ชีวิตก่อน รั่วซีถือว่าตัวเองเป็นคนที่ใช้ไม่ได้มาหยิบยืม มีคืนบ้างไม่คืนบ้าง เป็นธรรมดาที่พี่ชายคนโตจะไม่ชอบ จะไม่ให้ก็ไม่ได้ เลยอยากให้เธอไปอยู่ไกล ๆ เขาคงคิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด
รั่วซีไม่ได้โทษพวกเขาทั้งหมด หากจะโทษใคร เธอจะโทษตัวเองก่อนเป็นคนแรก ในเมื่อมีโอกาสได้กลับมาแล้ว เธอจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น แต่ก่อนไม่รู้ความจึงทำทุกอย่างตามใจ ในเมื่อเธอไม่ทำตัวแบบเดิมแล้ว พี่ใหญ่อาจไม่ยุ่งกับเธอหรือพยายามผลักไสให้เธอไปอยู่ไกล ๆ ก็ได้ แต่ถึงเขาจะยังอยากให้เธอไป เธอก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เพราะเธอไม่มีทางเดินบนเส้นทางเดิมเป็นอันขาด
"มีอาหารพอแล้วเหรอ... ไม่กี่วันก่อนก็เอามาคืนแล้วไม่ใช่เหรอ" เทียนฉีมองหน้าน้องสาวคนเล็กอย่างไม่เข้าใจมากนัก
"มีแล้วค่ะ พ่อของเด็ก ๆ ได้งานในเมืองแล้ว นายจ้างให้อาหารมาด้วยเลยแบ่งมาค่ะ" รั่วซีบอกพี่ชายพร้อมกับมองไปที่สามี ให้เขาเอาข้าวสารและธัญพืชส่งให้พี่ใหญ่ไป เพราะเธอเห็นแล้วว่าตอนนี้ทั้งแม่ พ่อ และคนข้างบ้านกำลังเดินมาด้วยกัน
"หายดีแล้วเหรอ ถึงออกมาตากลมแบบนี้" ชุนผิงเห็นลูกสาวที่วันนี้มาทั้งครอบครัวก็เอ่ยถามลูกสาวทันที
"หายแล้วค่ะ ฉันเอาข้าวสารธัญพืชมาคืน พ่อของเด็ก ๆ ได้งานแล้วค่ะ ต่อไปฉันก็ไม่ต้องมารบกวนที่บ้านบ่อย ๆ แล้วละค่ะ" รั่วซีพูดยกความดีให้สามี พวกเขาอาจมองสามีเธอใหม่ แต่ก่อนเธอจะไม่พูดว่าเขาเป็นแบบไหนยังไง เรื่องนี้ก็คืออีกเรื่องที่เธอจะลองเปลี่ยนแปลงดู ให้ครอบครัวพ่อกับแม่มองสามีเธอใหม่ จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนดี แต่แค่ไม่ได้รวยเหมือนที่พ่อแม่หวังเท่านั้นเอง และสาเหตุที่อาหารไม่พอกินก็เพราะเธออีกนั่นแหละที่ไม่ให้เขาไปทำงานที่อื่น
"เพิ่งจะได้งาน อย่าหน้าใหญ่ หากไม่พอกินจะทำอย่างไร เก็บไว้บ้าง" ชุนผิงบอกลูกสาวแต่ก็ยังพูดจากระทบลูกเขยไปด้วย
"แต่ก่อนที่ไม่พอเพราะฉันเป็นคนบอกไม่ให้เขาไปทำงานในเมือง หรือว่าไปทำงานกับพี่น้องของเขา เลยต้องมาขออาหารจากแม่ตลอด ต่อไปฉันไม่ห้ามแล้ว อาหารพอแน่นอน แม่ไม่ต้องห่วง" รั่วซียังคงพูดต่อ ชาวบ้านที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ต่างมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะไม่เคยรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นแบบไหน รั่วซีไม่เคยพูดเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เลย เพิ่งจะมาพูดก็วันนี้แหละ
"ทำงานแบกหาม ได้เงินเยอะแบบนี้เลยเหรอ" ชาวบ้านก็เริ่มสงสัย
"ไม่ได้ทำงานแบกหามค่ะ ส่วนนี่เงินที่ฉันยืมไป ฉันจำไม่ได้ว่าเท่าไร" รั่วซีเอาเงินให้แม่จำนวน 50 หยวนต่อหน้าทุกคน เพื่อทุกคนจะได้รับรู้ว่าเธอคืนเงินเรียบร้อยแล้ว เอาอาหารมาคืนแล้ว ได้พูดเรื่องจริงเกี่ยวกับสามีแล้ว ต่อไปก็แล้วแต่พวกเขาจะคิดแบบไหนก็ต้องปล่อยไป
"ทำงานโรงงานหรือยังไง" หยีเทียนถามเกี่ยวกับงานของลูกเขย ทำไมมีทั้งเงินทั้งอาหาร หากทำโรงงานก็ถือเป็นเรื่องดี และลูกเขยมีความรู้อยู่ด้วย หากเป็นไปตามที่ลูกสาวบอกว่าเป็นเพราะตัวเองที่ไม่ให้ลูกเขยไปทำงานตั้งแต่แรก ตอนนี้ลูกสาวน่าจะยอมให้สามีไปทำงานแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่เอาเงินและอาหารมาคืนแบบนี้แน่นอน
"ฮือ ๆ ของเหยาเหยา" เสียงร้องไห้ดังมาจากริมรั้วหน้าบ้าน เรียกสายตาผู้ใหญ่ที่อยู่ตรงนี้ให้หันไปมองทันที
จือหยวนรีบวิ่งออกไปดู เขาจำได้ว่าเป็นเสียงลูกสาวของตัวเอง และก่อนที่จะเข้ามาในเขตบ้านพ่อตาแม่ยายจะมีแปลงดอกไม้แปลงเล็ก ๆ อยู่แถว ๆ ริมรั้ว ลูกสาวเลยขอดูดอกไม้ก่อน ส่วนลูกชายจะอยู่เป็นเพื่อนน้องสาว เลยไม่ได้เข้ามาด้วย
จือหยวนเห็นลูกสาวที่หงายท้องร้องไห้ลั่นก็รีบไปจับลูกสาวให้ลุกขึ้น พร้อมกับส่งลูกสาวให้ภรรยาที่วิ่งตามมาติด ๆ ส่วนตัวเขารีบไปห้ามลูกชายที่กำลังต่อยกับลูกพี่ลูกน้อง เพื่อให้ทั้งสองแยกออกจากกัน
"หยุดค่ะ ไม่ร้องนะ ขอแม่ดูก่อนเจ็บตรงไหน" รั่วซีจับลูกสาวหันซ้ายหันขวาเพื่อตรวจดูว่ามีแผลตรงไหนหรือไม่
"ก้น ก้นเหยาเหยา" ลูกสาวพูดไปด้วย ร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วยจนฟังออกแค่ว่าก้นเหยาเหยาอย่างเดียว
"น้องโดนผลักก้นกระแทกครับ" ชางเฉิงเป็นคนพูดขึ้นพร้อมกับมองไปที่คู่กรณี
"เกิดอะไรขึ้น เล่าให้แม่ฟังได้ไหม" รั่วซีเป็นคนถามพร้อมกับจับหน้าลูกชายที่มีรอยแดง ๆ น่าจะเกิดจากการที่ต่อยกับเด็กที่โตกว่า แล้วลูกชายของเธอคงสู้ไม่ได้แน่ ๆ
"น้องเล็กจะฟังแต่ลูกตัวเองไม่ได้นะ" ถางเจียหรู พูดขึ้นทันทีที่ออกมาได้ยินน้องสามีพูดขึ้นมาแบบนั้น
"พี่สะใภ้ใหญ่เข้าใจแบบนั้นเหรอ" รั่วซีหันไปมองพี่สะใภ้ใหญ่ทั้งที่เธอแค่พูดว่าให้ลูกเล่าให้ฟัง ยังไม่ได้หาคนผิดสักหน่อย
"น้องเล็กให้ลูกเล่า นั่นก็คือฟังลูกแล้ว" เสียงสะใภ้ใหญ่สวนกลับทันที
"ทีหลังฟังให้ดี ๆ ก่อนที่จะพูดอะไรออกมาด้วยนะพี่สะใภ้ใหญ่ เพราะคนอื่นที่ได้ยิน เขาจะคิดว่าร้อนตัวแทนลูกชาย" จากตอนแรกไม่คิดอะไร เพราะเด็ก ๆ ทะเลาะกันเดี๋ยวก็ดีกันเล่นกันแล้ว แต่พอเจอพี่สะใภ้พูดแบบนี้ เธอก็ไม่ยอมเช่นกัน
"เอาละ ๆ แค่เด็กทะเลาะกันเท่านั้นเอง เราคนโตอย่าเอามาใส่ใจเลย เข้าบ้านจะได้กินข้าวกินปลาให้เรียบร้อย" ชุนผิงเห็นชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาเริ่มมามุงดูก็รีบบอกลูก ๆ หลาน ๆ ให้เข้าบ้านและเลิกแล้วต่อกัน อย่ามาทะเลาะกันให้เป็นขี้ปากชาวบ้านเลยดีกว่า
"เหยาเหยาไม่เข้า" เหยาเหยาปีนไปหาพ่อของเธอ เพื่อให้พ่ออุ้มเหมือนทุกครั้ง และเธอไม่อยากเข้าบ้านตากับยาย
"อ้าว ทำไมพูดแบบนี้ เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมเอาแต่ใจ สอนลูกบ้างนะน้องเล็ก" พี่สะใภ้ใหญ่ก็เปรียบเสมือนแม่ที่ต้องคอยสอนลูกสอนหลาน อย่างไรเสียเธอก็สามารถพูดเรื่องนี้ได้ เธอเลยพูดขึ้นทันที
"ได้ ๆ เข้าบ้าน... ที่เข้าบ้านเพราะฉันยังไม่รู้เลยว่าลูกพี่ใหญ่ผลักลูกฉันทำไม" ปกติรั่วซีเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ชอบเถียงหรือพูดอะไร แต่ตอนนี้เธอจะไม่เงียบอีกต่อไป สิ่งไหนผิดเธอพร้อมจะปรับปรุงและแก้ไข แต่หากสิ่งไหนครอบครัวเธอไม่ผิด อย่ายัดเยียดความผิดให้เป็นอันขาด เพราะเธอไม่ยอมแน่ ๆ
ทุกคนไม่คิดว่าลูกสาวคนเล็กหรือน้องคนเล็กจะพูดแบบนั้น เพราะถ้าพูดแบบนั้นออกมา นั่นหมายถึงซีซีไม่มีทางยอมแน่นอน ด้วยนิสัยดื้อรั้นที่มีมาแต่ไหนแต่ไรของซีซีด้วย หากลูกสาวคนเล็กเงียบไม่พูด นั่นคือไม่เอาเรื่องหรือไม่ถือสา แต่หากบอกมาแบบนั้นทีไร นั่นคือไม่มีทางยอมง่าย ๆ แน่นอน
"ถ้าอย่างนั้นเข้าบ้าน" คนเป็นพ่อพูดขึ้นเพราะรู้ว่าลูกสาวคนเล็กไม่ยอมจนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง
"เจ็บไหมลูก... เราเข้าไปก่อน พอรู้ความจริงแล้วค่อยไปบ้านลุงสามเนอะ" รั่วซีบอกลูกทั้งสองคน ตอนแรกเธอจะปล่อยผ่านเหมือนทุกครั้ง แต่พอเจอพี่สะใภ้ใหญ่บอกมาแบบนั้น เธอเลยไม่ยอม
เมื่อได้เข้ามาพูดคุยและได้รู้ความจริงว่า ลูกสาวเธอนั่งเล่นอยู่ที่แปลงดอกไม้ และลูกชายกำลังแกะลูกอมตรากระต่ายให้น้องอยู่ ลูกพี่ลูกน้องมาจากไหนไม่รู้ มาถึงก็ผลักเหยาเหยาก้นกระแทก และแย่งลูกอมตรากระต่ายไป พออาเฉิงเห็นว่าน้องโดนผลักและโดนแย่งขนมไปเลยจะเข้าไปเอามาคืนน้อง จึงเกิดการต่อยกันขึ้นมา
"ขอโทษน้องก่อน และทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก" รั่วซีหันไปหาหลานชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พี่สะใภ้ใหญ่
"จะอะไร แค่เด็ก ๆ ทะเลาะกัน" เจียหรูพูดออกรับแทนลูกชายทันที
"จะอะไรแค่ขอโทษ ทำผิดก็ต้องขอโทษ ไม่ได้เรียกร้องค่าเสียหายสักหน่อย" เรื่องเอาแต่ใจและดื้อรั้นของรั่วซีนั้นไม่มีใครไม่รู้ ขึ้นอยู่กับว่ารั่วซีจะเอาแต่ใจเรื่องไหนและตอนไหนเท่านั้นเอง โดยส่วนมากรั่วซีแค่ไม่พูด ทุกคนในบ้านรู้ดีว่าหากเธอต้องการก็ต้องยอมทั้งนั้น
"ขอโทษน้อง และต่อไปอย่าทำแบบนั้นอีก" เทียนฉีหันไปบอกลูกชายพร้อมส่งสายตาปรามภรรยา จริง ๆ แล้วในบ้านมีเพียงพ่อแม่กับพี่น้องเท่านั้นที่รู้ หากเป็นสะใภ้หรือลูกเขยนั้น ไม่รู้หรอกว่าน้องสาวคนเล็กเอาแต่ใจขนาดไหน พอเริ่มโตขึ้นมาหน่อย น้องสาวไม่ค่อยเอาแต่ใจตัวเองสักเท่าไร แต่หากพูดมาแบบนี้รับรองว่าไม่มีทางยอม
เมื่อรั่วซีเห็นหลานมาขอโทษลูกเธอแล้วก็ไม่ว่าอะไร ในเมื่อยอมขอโทษดี ๆ เธอก็ไม่ถือสา เพราะในตอนแรกเธอก็ไม่คิดอะไรอยู่แล้ว แต่พี่สะใภ้นั่นแหละที่เป็นคนพูดขึ้นมาก่อนเอง ทำให้เธอต้องทำแบบนี้
"กินข้าวกัน เรื่องจบแล้วให้มันจบ ๆ " พ่อผู้เป็นใหญ่ในบ้านเป็นคนพูดขึ้น ถึงแม้ว่ายังไม่ถึงเวลากินมื้อเย็น แต่ก็เอาออกมาอ้างสองรอบแล้ว จะได้เลิกคุยเรื่องนี้
"ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะ เราจะไปบ้านลุงสามกัน" รั่วซีบอกพ่อกับแม่ แล้วหันมาบอกลูกสาวและมองหน้าสามีที่นั่งเงียบไม่พูดอะไรหรือขัดอะไรเลย
"เพราะสามีมาด้วยเหรอถึงทำแบบนี้" ชุนผิงมองหน้าลูกเขยแล้วหันมาถามลูกสาว ก่อนหน้านี้เด็ก ๆ ก็เคยมีเรื่องกัน ไม่เห็นจะเป็นแบบนี้ แต่วันนี้ลูกสาวพาลูกเขยมาด้วยกลับไม่ปล่อยให้เรื่องเงียบเหมือนเดิม
"แม่... หากพี่สะใภ้ใหญ่ไม่พูดขึ้น ฉันก็เงียบแล้ว แม่ไม่ได้ยินที่เขาพูดหรือยังไง ตั้งแต่มาที่นี่มีใครทักทายสามีฉันบ้างไหม แม้แต่หลาน ๆ ยังไม่มีใครมาทักทายเลย ฉันยังไม่ว่าอะไรสักคำ หากฉันผิด ฉันยินดีที่จะแก้ไขปรับปรุงตัว แต่หากฉันไม่ผิด อย่ามาว่ายัดเยียดความผิดให้ครอบครัวฉัน เวลาลูกของฉันไม่ทักทายลุงป้าหาว่าฉันไม่สั่งสอน แต่กลับกัน ลูกหลานคนอื่น ๆ ไม่เห็นจะมาทักทายสามีฉัน มีใครพูดเรื่องสั่งสอนบ้างไหม... " รั่วซีหยุดพูดทั้งที่ตัวเองยังพูดไม่จบ เพราะสามีสะกิดและส่ายหน้าเป็นสัญญาณไม่ให้เธอพูดอะไรแล้ว
"น้องเล็ก แค่สามีได้ทำงานในเมืองนี่กล้ามากเลยนะ" สะใภ้ใหญ่ทนไม่ไหว ทำไมทุกคนถึงเงียบ ไม่โต้ตอบกันบ้าง นั่นก็แค่ลูกสาว ก็แค่น้องสาวที่แต่งออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ปล่อยให้ว่าตัวเองฉอด ๆ อยู่ได้
"พอ ๆ เลิกพูดเรื่องนี้ แยกย้ายกันได้แล้ว ใครจะไปทำอะไรก็ไปทำ" คนเป็นพ่อรีบห้ามก่อนที่จะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น พร้อมกับหันไปปรามภรรยาและลูกสะใภ้ใหญ่
รั่วซีลุกขึ้นพร้อมกับอุ้มลูกสาวคนเล็กและหันไปมองสามีก่อนที่จะเดินออกจากบ้าน ไม่บอกลาเหมือนทุกครั้ง เดินหนีทั้งที่ได้ยินเสียงพี่สะใภ้ใหญ่พูดไล่หลังมา
ความตั้งใจแรกเพื่อที่จะแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้น เพื่อที่พี่ชายจะไม่ผลักไสตัวเธอไปไกล ๆ เพื่อให้พ่อกับแม่มองสามีกับลูก ๆ ของเธอใหม่ จึงเลือกที่จะพูดแต่เรื่องดี ๆ หวังปรับปรุงที่ตัวเองก่อน เพราะรู้ว่าชีวิตที่แล้วตัวเองไม่ได้ทำตัวดีสักเท่าไร พอมีโอกาสได้กลับมาก็อยากจะแก้ไข แต่พอเริ่มวันแรกก็ล้มเหลวเสียแล้ว...
"เหยาเหยาไม่ร้องแล้ว" เหยาเหยาเห็นว่าพ่อเงียบ พี่ก็เงียบ แม่ก็หน้าบึ้ง เลยคิดว่าเพราะตัวเองร้องไห้เลยทำให้ทุกคนเป็นแบบนี้
"หากเจ็บก็พูด จะร้องบ้างก็ไม่เป็นไร แม่ขอโทษที่แต่ก่อนปกป้องลูกได้ไม่ดีพอ ยอมพวกเขาหลายรอบ จนกลายเป็นว่าพวกเขาก็ยังทำเหมือนเดิม ต่อไปแม่จะปกป้องลูกเอง จำไว้ว่าอย่าทำคนอื่นก่อน และอย่าปล่อยให้คนอื่นมารังแกเรา อาเฉิง ลูกทำดีที่ปกป้องน้อง แม่ขอบใจลูกมาก ลูกกล้าหาญมาก ๆ เลยรู้ไหม" รั่วซีหันไปมองลูกชายที่หันมามองแม่พร้อมกับยิ้มรับคำที่แม่สอน หากเป็นแต่ก่อน แม่จะไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้แม่ชมที่เขาปกป้องน้องสาว
"อย่าคิดมาก... พึ่งรู้ว่าเหยาเหยาเอาแต่ใจเหมือนใคร" จือหยวนพูดเพื่อทำลายบรรยากาศตึงเครียด พร้อมกับเอื้อมมือมาโยกหัวภรรยาแล้วโยกหัวลูกสาวไปมา
"เหยาเหยาเหมือนใคร" เหยาเหยาถามขึ้น ไม่ได้ยินหรอกว่าคำแรกคืออะไร ได้ยินแต่ว่าเหยาเหยาเหมือนใครเพียงเท่านั้น
"เหยาเหยาเหมือนซีซี" คนเป็นพ่อตอบพร้อมกับยิ้มให้ลูก ๆ และภรรยา
"เหยาเหยาเหมือนซีซี" เหยาเหยาก็พูดตาม พร้อมกับโยกหัวไปมา จึงทำให้บรรยากาศดีขึ้นกว่าเดิม เกิดเป็นภาพครอบครัวเดินคุยกันไป หัวเราะกันไป พร้อมกับประโยคที่เหยาเหยาตัวน้อยคอยพูดเจื้อยแจ้วว่า เหยาเหยาเหมือนซีซี ตลอดทาง...
ตอนที่ 17 อยู่ดี ๆ ปัญหาก็ตามมาถึงบ้านเช้าวันต่อมารั่วซีก็ให้สามีเอาสบู่โลชั่นที่จัดเป็นชุดทดลองและมื้อเช้าไปส่งให้ครอบครัวพี่สาม โดยที่มีเหยาเหยาตัวน้อยวิ่งตามไปด้วย ในบ้านจึงเหลือเพียงลูกชายและเธอที่กำลังช่วยกันจัดเตรียมมื้อเช้ารอสองพ่อลูกกลับมาวันนี้รั่วซีจะห่อสบู่ด้วยกระดาษไขเพราะสบู่ที่มีอยู่ยังไม่ได้ห่อหรือมีกล่องใส่เลย ต้องจัดเตรียมให้เรียบร้อยโดยมีสามีและลูก ๆ ช่วยทำงานวันนี้ต้องออกมาทำงานข้างนอกพื้นที่บ้าง จัดสวน จัดบ้าน ดีที่ครอบครัวของเธอต่างช่วยเหลือกันทั้งหมด ไม่ว่างานอะไรหาก ใครว่างต่างก็มาช่วยกันทำงานตลอด"แม่ครับ วันนี้ต้องปลูกต้นไม้ไหม" ชางเฉิงมองดูต้นไม้ที่แม่เอาออกมาวางเรียงไว้ หากปลูกเขาจะได้ช่วย"ทำจ้ะ แต่รอกินมื้อเช้าให้เรียบร้อยก่อน อาเฉิงต่อไปต้องแบ่งเวลา เริ่มหัดเขียนตัวอักษรด้วยนะ" ร
ตอนที่ 16 ช่วยเหลือซึ่งกันและกันตอนนี้ทั้งสี่คนมาอยู่หน้าบ้านของพี่สามแล้ว ก่อนหน้านี้รั่วซีเข้าไปเอาของจากพื้นที่ออกมาเพิ่ม มีทั้งอาหารคาวอาหารหวานที่ปรุงเรียบร้อยแล้ว และยังไปเอาไข่ไก่และผลไม้มาเพิ่มอีก...รั่วซีถือถุงใส่เสื้อผ้าส่วนสามีถือข้าวสารอาหารและธัญพืชต่าง ๆ อาเฉิงถือสมุดคัดอักษรมาแบ่งลูกลุงสาม ส่วนเหยาเหยาเอาสมุดภาพระบายสีมาแบ่งลูกลุงสามเช่นกัน"จะพากันไปไหน" ยังไม่ทันที่รั่วซีจะตะโกนเรียกพี่ชายก็ได้ยินเสียงของพี่ชายถามขึ้น เสียงนั้นดังมาจากข้าง ๆ รั้วบ้าน"มาหาพี่สามนะสิถามได้" รั่วซีมองพี่ชายที่ลุกขึ้นยืนมอง"แล้วหอบอะไรกันมาทั้งครอบครัว เอามานี่ พี่ช่วยถือ" เกาซีหมิง เดินมาช่วยน้องสาวถือของโดยที่ยังไม่รู้ว่าคือสิ่งใด
ตอนที่ 15 ปรับปรุงตัวเอง... เพื่อให้เป็นคนที่ดียิ่งขึ้นรั่วซีกลับมาบ้านในวันต่อมา ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ยังไม่มีกลุ่มนักโทษชั้นดีมาใช้แรงงานหรือมาช่วยพัฒนาชุมชน นั่นแสดงว่ากัวเหลียงก็ยังไม่มาเช่นกัน พอกลับมาถึงบ้าน ทุกคนต่างก็ช่วยกันเอาสิ่งของที่ซื้อมาจากสหกรณ์จัดออกเป็น 3 ชุด แบ่งให้กับครอบครัวพ่อกับแม่เพื่อคืนในส่วนที่เธอยืมมาด้วย และจัดให้ครอบครัวพี่สาม ชุดสุดท้ายเอาไปให้สุ่ยหลิง คนที่รั่วซีจะเอาสิ่งของไปให้ ส่วนมากคือคนที่คอยช่วยเหลือเธอทั้งนั้น แต่วันนี้เธอตั้งใจจะไปเพียงสองบ้านเท่านั้น เพราะดูจากเวลาแล้วคงแวะไปหาเพื่อนไม่ทันแน่นอน..."แต่งตัวเรียบร้อยหรือยังครับ" จือหยวนถามภรรยาและลูก ๆ ที่หายเข้าห้องนานแล้ว แต่ยังไม่เห็นใครออกมาเลย"เรียบร้อยค่ะ" เหยาเหยาออกมาก่อนเป็นคนแรก"ตรวจดูหลังบ้านมาแล้วเหรอคะ" รั่วซีเดินออกมาก
ตอนที่ 14 เจรจาการค้า"ซีซี ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะครับ คนบางคนเราไม่ควรที่จะพูดคุยแบบนั้น มันอันตราย" จือหยวนช่วยภรรยาทำความสะอาดร้านก่อนจะพากันเอากุญแจไปคืนคนดูแล"ขอโทษค่ะ ฉันคิดน้อยไปหน่อย ทีหลังจะไม่ทำแบบนั้นอีก" รั่วซีลืมไปว่าคนอื่นไม่รู้เหมือนเธอ และที่เธอรู้ก็ไม่ได้รู้เยอะมากนัก การเชื่อใจคนง่ายเป็นข้อเสียของเธอตั้งแต่ชีวิตก่อน หรือจะบอกว่าเธอโง่ก็ไม่ผิด พอมาชีวิตนี้ก็ยังหลงลืม ยังทำเหมือนชีวิตที่แล้วอีก ลืมนึกไปว่า... แม้แต่คนที่มีพระคุณก็อาจเป็นคนที่ทำร้ายเราได้"ผู้ชายคนนั้นดูอันตราย แต่หากเราจะทำการค้ากับเขา... เราก็ต้องระวังด้วย" จือหยวนเน้นย้ำให้ภรรยาเข้าใจ"ค่ะ" รั่วซีรับคำและไม่ได้โต้เถียงอะไร เพราะสามีหวังดีเลยเตือน เธอก็ควรระวังตัวกว่านี้"อย่าคิดมากครับ ในเมื่อเขาแสดงตัวแล้ว เขาก็คงต้องการทำการค้ากับเรา เหลือแค
ตอนที่ 13 ผู้มีพระคุณสองสามีภรรยาเดินทางมาที่ตลาดมืดตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมจัดร้าน รั่วซีคือคนที่เข้าออกเพื่อหยิบสิ่งของที่เตรียมกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืนส่วนสามีคือคนจัดร้าน แยกทุกอย่างให้ง่ายในการหยิบขาย ทั้งสองช่วยกันอย่างขะมักเขม้นเพื่อเร่งให้ทันเวลา คนส่วนมากจะเข้ามาหาซื้อของที่ตลาดมืดในช่วงเวลาสายหลังกินมื้อเช้าแล้ว ทั้งสองต้องรีบเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเมื่อคืนจือหยวนได้บอกภรรยาว่าวันนี้ขายเยอะได้ แต่วันหลังจะไม่ขายเยอะแบบนี้อีก วันนี้สามารถอ้างได้ว่าเอาของมาเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวาน จือหยวนคิดหาวิธีป้องกันไว้ก่อน เพราะทั้งสองเดินผ่านคนเฝ้าประตูเข้ามาโดยไม่มีอะไรติดตัวมาเลย หากมีของขายเยอะอาจทำให้คนพวกนั้นสงสัยได้ วันนี้ทำได้เพราะเมื่อวานคนพวกนั้นเห็นเขามาเช่าร้านแล้ว สามารถหาข้ออ้างได้ แต่ครั้งต่อไปอาจไม่ง่ายและอาจถูกจับตาดูอีกด้วยการที่คนเรามีกินมีใช้มากกว่าคนอื่นก็จะถูกจับตามอง ถูกจ้องจับผิด ท
บทที่ 12 วันแรกของการค้าขายหลังจากที่เจอภรรยาก็พาเดินมาอีกด้าน เพื่อดูสถานที่ตั้งร้าน สถานที่แห่งนี้อยู่ในมุมลับตาคน เป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้างพอสมควร ด้านในมีชั้นวางของ จือหยวนคิดว่าตรงนี้เหมาะและปลอดภัยสำหรับเข้าออกพื้นที่ และยังมีพื้นที่กว้าง สามารถเอาสิ่งของออกจากพื้นที่ทีละเยอะ ๆ จะได้ไม่ต้องเข้าออกพื้นที่บ่อย ๆห้องนี้ให้เช่าวันต่อวัน ราคาเช่าวันละ 100 หยวน ตอนที่ได้ยินราคา จือหยวนคิดว่าราคาแพงเกินไป คงไม่มีเงินจ่ายทันที อาจต้องขอจ่ายหลังจากขายของเสร็จ แต่พอเขารู้ว่าระยะเวลาที่เขามาหาสถานที่นั้น ภรรยาสามารถขายของได้เกือบ 300 หยวน หากเช่าห้องนี้จะได้ไม่ต้องเสี่ยงหามุมลับตาคน ตรงนี้ปลอดภัยแน่นอน เพราะเขาตรวจดูก่อนจะรู้ราคาเช่าเสียอีก"ถึงจะเป็นมุมลับตาคน แต่หากเรามีลูกค้าประจำ เราก็ขายได้" รั่วซีไม่รู้ว่าสามีคิดยังไง เลยเป็นพูดออกมาก่อน"ราคาเช่าวันละ 100 หยวน ต้อง







