ログインตอนที่ 17 อยู่ดี ๆ ปัญหาก็ตามมาถึงบ้าน
เช้าวันต่อมารั่วซีก็ให้สามีเอาสบู่โลชั่นที่จัดเป็นชุดทดลองและมื้อเช้าไปส่งให้ครอบครัวพี่สาม โดยที่มีเหยาเหยาตัวน้อยวิ่งตามไปด้วย ในบ้านจึงเหลือเพียงลูกชายและเธอที่กำลังช่วยกันจัดเตรียมมื้อเช้ารอสองพ่อลูกกลับมา
วันนี้รั่วซีจะห่อสบู่ด้วยกระดาษไข เพราะสบู่ที่มีอยู่ยังไม่ได้ห่อหรือมีกล่องใส่เลย ต้องจัดเตรียมให้เรียบร้อย โดยมีสามีและลูก ๆ ช่วยทำงาน
วันนี้ต้องออกมาทำงานข้างนอกพื้นที่บ้าง จัดสวน จัดบ้าน ดีที่ครอบครัวของเธอต่างช่วยเหลือกันทั้งหมด ไม่ว่างานอะไรหาก ใครว่างต่างก็มาช่วยกันทำงานตลอด
"แม่ครับ วันนี้ต้องปลูกต้นไม้ไหม" ชางเฉิงมองดูต้นไม้ที่แม่เอาออกมาวางเรียงไว้ หากปลูกเขาจะได้ช่วย
"ทำจ้ะ แต่รอกินมื้อเช้าให้เรียบร้อยก่อน อาเฉิงต่อไปต้องแบ่งเวลา เริ่มหัดเขียนตัวอักษรด้วยนะ" รั่วซีบอกลูกชายจะได้เตรียมตัวได้ถูก
"แม่หรือพ่อเป็นคนสอนเหรอครับ" ชางเฉิงจะกระตือรือร้นทุกครั้งที่พูดเรื่องเรียนหนังสือ
"คงต้องให้พ่อสอน เพราะแม่เรียนมาน้อยกว่าพ่อ" รั่วซีบอกลูกไปตามความจริง เธอแค่อ่านออกเขียนได้คล่องนี่ถือว่าเก่งแล้ว
"เข้าใจแล้วครับ ผมกำลังโตขึ้น จะต้องเชื่อฟังและทำตามที่พ่อแม่บอกอยู่แล้วครับ" ชางเฉิงพูดเสียงดังฟังชัด
"อาเฉิง หากให้บอกตรง ๆ แม่ก็เพิ่งเคยมีลูก เคยเลี้ยงลูกครั้งแรกเหมือนกัน บางครั้งก็ใช่ว่าจะทำถูกเสมอ หากสิ่งไหนลูกไม่อยากทำต้องบอกรู้ไหม แต่ต้องมีเหตุผลว่าทำไมถึงไม่อยากทำ เราจะค่อย ๆ เรียนรู้ ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นพร้อมกัน เข้าใจไหมลูก" พอลูกบอกจะ 'เชื่อฟังและทำตามทุกอย่างที่พ่อแม่บอก' คำนี้มันสะกิดใจรั่วซี บางครั้งพ่อแม่ก็ไม่รู้ และพ่อแม่ก็ทำผิดได้ด้วยเช่นกัน ทางที่ดีควรพูดคุยและปรึกษากัน เพราะเธอก็เพิ่งเลี้ยงลูกครั้งแรก เหมือนกันกับลูก ๆ ที่เพิ่งเกิดมาเรียนสิ่งใหม่ ๆ ครั้งแรกเช่นกัน
"เข้าใจครับ" ถึงจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่เข้าใจว่ามีอะไรให้พูด หากไม่ชอบทำก็ให้บอกและบอกเหตุผลด้วย
"เหยาเหยาเห็นทหารมาเยอะ ๆ เหมือนมดเลย" พอมาถึงบ้าน เหยาเหยาตัวน้อยก็รีบเล่าในสิ่งที่ตัวเองไปเห็นมาทันที
"มดที่ไหนคะ" รั่วซีฟังไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่าอะไรมด ๆ นี่แหละ เพราะลูกสาวยังพูดไม่ชัด และถ้าตื่นเต้นจะยิ่งพูดเร็วจนฟังไม่รู้เรื่องเลยทีเดียว
"ข้างทางค่ะ" เหยาเหยาผู้ไม่รู้ว่าตัวเองพูดไม่รู้เรื่องก็ตอบคนเป็นแม่ พอนึกได้ก็มีหางเสียงต่อท้าย หากนึกไม่ได้ก็ไม่มี ส่วนมากจะไม่มีเพราะเหยาเหยาลืม!
"คุณจะไปบ้านเพื่อนตอนไหนครับ" จือหยวนถามภรรยาก่อนที่จะช่วยจัดโต๊ะกับข้าว
"คงเป็นตอนเย็นค่ะ" เพราะไม่รู้ว่าอาหลิงจะไปไหนในตอนกลางวันไหม ถ้าอยากไปแล้วได้เจอแน่ ๆ ควรไปตอนเย็น
"ให้ผมถือของไปส่งไหม" จือหยวนถามเพื่อที่จะได้วางแผนงานได้ถูก เพราะพรุ่งนี้ต้องเข้าเมืองไปจัดเตรียมอาหารตามที่ลูกค้าสั่งแล้ว
"ดีเหมือนกันค่ะ จะได้พาเด็ก ๆ ไปสอบถามเรื่องโรงเรียนด้วย" รั่วซีรับปากลูกแล้วยังไงก็ต้องไปถาม ถึงแม้ว่าคนส่วนมากที่ไปเรียนจะมีอายุมากกว่า 6 ขวบ แต่ลองถามดูก็ไม่เสียหายอะไร จะได้เตรียมตัวไว้ได้
วันนี้ครอบครัวหลัวกินมื้อเช้าอย่างเอร็ดอร่อย พ่อลูกต่างเติมโจ๊กคนละสองรอบ ภาพที่รั่วซีอยากเห็นก็คือตอนที่ครอบครัวได้กินดีอยู่ดี มีความสุขแบบนี้แหละ เธอชอบมองมากที่สุด มันทำให้เธอยิ้มได้ตลอด ถึงแม้ว่าเธอกำลังว้าวุ่นใจกับเรื่องราวต่าง ๆ หลายเรื่องก็ตาม
เมื่อคืนสามีเหมือนต้องการมีอะไรกับเธอ ซึ่งรั่วซียังไม่สามารถทำใจได้ เหมือนภาพที่ตัวเองโดนกระทำมันผ่านมาไม่นาน บอกเลยว่าเธอยังนึกรังเกียจตัวเองจนไม่กล้ามีความสัมพันธ์กับสามี ต้องเลี่ยงบอกว่าขอพักผ่อน เพราะช่วงนี้เธอเหนื่อยง่าย สารพัดข้ออ้างที่ตัวเองนำมาอ้าง ดีที่สามีไม่ว่าอะไรขอแค่ได้นอนกอดก็พอ เรื่องนี้ก็ทำให้รั่วซีคิดมากพอสมควร รู้ว่าทุกอย่างมันผ่านมาแล้ว แต่ทุกภาพมันยังติดตาเธออยู่เลย
"เป็นอะไรครับ" จือหยวนถามภรรยาทันทีที่เห็นภรรยานั่งเหม่อ
"ฉันแค่กลัวที่จะมีอะไรกับคุณ ไม่ใช่ว่าคุณไม่ดีนะคะแต่มันกลัว" รั่วซีตัดสินใจบอกตามตรง เพราะเธอจะบ่ายเบี่ยงว่าเหนื่อยตลอดไม่ได้ บางอย่างเธอก็คงต้องให้สามีเข้าใจเธอด้วย
"พอจะอธิบายได้ไหมครับ" จือหยวนมองดูแล้วว่าลูก ๆ ไม่อยู่แถวนี้เลยเอ่ยถามภรรยาออกไป
"กลัวค่ะ" รั่วซีไม่รู้จะบอกแบบไหน จะบอกเรื่องที่กลัวทั้งหมดก็ไม่ได้ ได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
"ลองดูก่อนไหมครับ หากไม่ไหวแล้วเราค่อยหยุด" จือหยวนไม่แน่ใจคำว่ากลัวของภรรยาคือแบบไหน คิดได้หลายอย่างกลัวเจ็บหรือกลัวอะไร
"หากว่าฉันไม่ได้ดีอย่างที่คุณคิดล่ะ" รั่วซีไม่ตอบเรื่องนั้น แต่กลับถามคำถามในมุมกว้าง ๆ
"ซีซี คุณก็คือคุณ เป็นแบบนี้มานานแล้ว แต่ก่อนคุณแค่ไม่พูด ตอนนี้คุณพูดมา ผมก็พร้อมรับฟังและอยู่เคียงข้าง คุณไม่ต้องกลัวอะไร ผมกับลูกอยู่ตรงนี้เสมอ" จือหยวนเข้าใจไปคนละอย่าง เพราะคำถามที่ภรรยาถามมามันค่อนข้างกว้างเลยต้องตอบแบบกว้าง ๆ
"ค่ะ ฉันจะลองดู" รั่วซีพยายามตอบและทำตัวปกติ ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่รู้ว่าจะผ่านไปได้ไหม แต่หากเธอไม่เผชิญหน้ามันก็แก้ปัญหาไม่ได้ ในเมื่อเลือกที่จะเก็บเรื่องนั้นให้มันตายไปกับเธอแล้ว ก็ควรที่จะลองแก้ปัญหา แบบนี้น่าจะดีกว่า
"ซีซีอยู่ไหม" เสียงเรียกดังมาจากหน้าบ้าน ทำให้สองสามีภรรยามองหน้ากันอย่างประหลาดใจ เนื่องจากอยู่มานาน ไม่เคยมีใครมาหา แต่ทำไมวันนี้ถึงมีคนมาหาแต่เช้าได้
"ผมไปดูเองครับ" จือหยวนเห็นว่าภรรยากำลังจัดผ้าอยู่ ก็เลยอาสาเป็นคนออกไปเอง
"ใครมาเหรอ" เหยาเหยาที่ได้ยินวิ่งออกมาจากแปลงดอกไม้ของตัวเอง เพื่อที่จะไปดูว่าใครมาบ้าน
"ไม่ไปดูดอกไม้แล้วเหรอ" จือหยวนอุ้มลูกสาวพร้อมกับจูงมือลูกชายที่วิ่งตามน้องมาติด ๆ ออกไปที่กำแพงบ้านทันที
"สวัสดีค่ะคุณยาย / สวัสดีครับคุณยาย" เด็กน้อยทั้งสองกล่าวทักทายคนเป็นยายทันทีที่รู้ว่าเป็นใครมาบ้าน
"อือ ซีซีอยู่ไหน" ชุนผิงถามหาลูกสาวทันที ทั้งกังวลใจและแปลกใจในเวลาเดียวกัน กังวลใจที่เมื่อวานลูกสาวคนเล็กออกจากบ้านมาโดยที่ไม่สนใจใครเลย และต้องมาแปลกใจที่เห็นกำแพงบ้านลูกสาวมันใหญ่โตมิดชิดขนาดนี้เลยเหรอ หรือเพราะปล่อยปละละเลยลูกสาวมากเกินไป เลยไม่เคยรู้เลยว่าลูกสาวเป็นอยู่อย่างไร
"เข้ามาก่อนครับ ซีซีอยู่ข้างในครับ" จือหยวนก็แปลกใจไม่ต่างกัน อยู่มาหลายปีไม่เคยเห็นแม่ยายมาหา
ชุนผิงเดินเข้ามองก็ต้องแปลกใจมากกว่าเดิม บ้านลูกสาวสะอาดสะอ้านใหญ่โตน่าอยู่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร จำได้ว่าตอนที่มาส่งลูกสาวนั้น บ้านหลังเล็กนิดเดียว การสร้างบ้านหลังหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ไม่ใช่แค่มีเงินอย่างเดียวก็สร้างได้ จะต้องจองคิวซื้ออิฐแดงอีก แล้วทำไมลูกสาวถึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลย มีแต่บอกว่าอาหารไม่พอกิน หรือเพราะเก็บเงินสร้างบ้านเลยทำให้อาหารไม่พอ ร้อยความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวของชุนผิงในเวลาไม่นาน ทั้งคิดทั้งสงสัยในสิ่งที่ตัวเองเห็น
"อ้าว แม่มาได้ยังไง" พอเห็นว่าเป็นแม่ของตัวเอง รั่วซีก็ถามทันที รั่วซีก็หลงลืมลงท้ายด้วยหางเสียงไม่แตกต่างกับเหยาเหยาเช่นกัน เพราะเธอเพิ่งจะเริ่มพูดเหมือนกัน ถึงแม้แต่ก่อนตอนไปเรียนจะพูดจนติดปาก แต่พอไม่ได้ไปเรียนก็พูดบ้างไม่พูดบ้างจนทุกคนเห็นว่าเป็นเรื่องปกติของรั่วซี นึกอยากจะพูดก็พูด ไม่อยากพูดก็ไม่พูด
"ก็มานี่แหละ เมื่อวานไม่พอใจหรือยังไงถึงออกมาแบบนั้น รู้ไหมทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วง" ชุนผิงพูดเรื่องที่ตัวเองตั้งใจที่จะพูดในตอนแรก
"ใช่ ฉันไม่พอใจ" ในเมื่อไม่พอใจจริง ๆ จะบอกปัดไปทำไม ก็ยอมรับเสียเลยเนี่ยแหละ
"พี่น้องกันทั้งนั้น เข้าไปคุยกับพี่ใหญ่พี่สะใภ้ดี ๆ เดี๋ยวพวกเขาก็หายแล้ว" ชุนผิงบอกวิธี เป็นผู้น้อยก็ต้องเข้าหาผู้ใหญ่ ไม่ใช่ให้ผู้ใหญ่เข้าหา คนเป็นแม่ไม่อยากให้มีปัญหาระหว่างพี่น้อง เลยต้องเดินมาตั้งไกลเพื่อบอกลูกสาวคนเล็ก
"แม่... ผู้ใหญ่ไม่ผิดเลยใช่ไหม หากผู้ใหญ่ทำผิดก็คือไม่ผิดหรือยังไง" หากเป็นแต่ก่อน เธอก็จะทำตามแม่ให้มันจบ ๆ จะได้ไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้มีโอกาสกลับมาแล้ว ต้องทำให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่ใช้ชีวิตแบบเดิมอีก
"แต่นั่นพี่ใหญ่" ชุนผิงบอกเสียงดัง ทำไมตอนนี้ลูกสาวคนเล็กถึงได้เอาแต่ใจนัก
"พี่ก็ผิดได้ พ่อก็ผิดได้ แม้แต่แม่ก็ทำผิดได้ ไม่มีคนทำถูกเสมอหรอกแม่ ขึ้นอยู่กับคนคนนั้นจะรู้ไหมว่าผิด หากรู้ว่าผิดแล้วสามารถแก้ไขปรับปรุงได้ นั่นถึงจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ ดีกว่าผิดแล้วยังให้คนอื่นเข้าหาขอโทษอยู่แบบนั้น หากวันหนึ่งพี่ใหญ่หรือคนในครอบครัวทำผิดขึ้นมา เขาก็ไม่ผิดเลยเหรอ ตำรวจ ทหารไม่มีสิทธิ์มาจับเขา เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วหรืออย่างไร" รั่วซีอยากบอกว่าหากวันหนึ่งความลับที่แม่ปกปิดนั้นแดงขึ้นมา แม่ก็ผิดอยู่ดี ไม่ใช่ว่าไม่ผิด
"มันไม่เหมือนกัน นั่นพี่ชายของลูก พี่ใหญ่ของลูก" ชุนผิงยังคงคิดว่าตัวเองคิดถูกในเรื่องนี้
"ลูกพี่ใหญ่ทำร้ายลูกฉันนะแม่ แล้วยังมาสั่งสอนลูกคนอื่น แทนที่จะสอนลูกตัวเองว่าอย่าทำร้ายน้อง เคยเห็นลูกฉันเป็นลูกเป็นหลานบ้างไหม" เมื่อมีโอกาสได้พูด รั่วซีก็พูดทั้งหมด ชีวิตก่อนสอนอะไรหลาย ๆ อย่าง ต้องพูดก่อนที่ตัวเองจะไม่มีโอกาสได้พูดอะไร
"ซีซี หลานขอโทษแล้วก็ให้มันจบ แต่เรื่องที่ลูกยอกย้อนพี่สะใภ้ใหญ่นั้นมันไม่ดีเข้าใจไหม รู้ถึงไหนอายถึงนั่น สะใภ้ใหญ่ก็เหมือนแม่คนที่สอง ไม่รู้หรืออย่างไร" อย่างไรเสีย ชุนผิงก็ไม่อยากให้เรื่องนี้เล็ดลอดออกไปให้คนอื่นได้รู้ หากคนอื่นรู้จะมองลูกสาวคนเล็กเป็นคนไม่ดี ไม่มีความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่
"หากผู้ใหญ่ไม่ดี ก็ไม่ควรได้รับคำว่าเคารพ หากฉันไม่ปกป้องลูกและครอบครัวตัวเอง ฉันก็ไม่ควรได้รับความเคารพจากลูก ๆ เช่นกัน และฉันเลือกครอบครัวตัวเองมากกว่าคนที่ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด แม่ไม่ต้องห่วงฉัน สะใภ้ใหญ่อยากเอาไปป่าวประกาศก็ให้เอาไปพูดได้เลย ฉันไม่สนใจ และแม่เลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว อย่าเอาชีวิตของเราไปขึ้นอยู่กับปากชาวบ้าน เพราะชาวบ้านไม่ได้หาเลี้ยงเรา ฉันรู้ว่าแม่หวังดี แต่นี่มันไม่ถูก ฉันไม่ไป"
"เออตามใจแก!! อย่ามาร้องทีหลังแล้วกัน" เตือนแล้วไม่ฟังเอง เวลาดี ๆ ชุนผิงจะบอกลูกอย่างนั้น ลูกอย่างนี้ แต่พอไม่ได้ดังใจคำเรียกก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน
"หากฉันได้ยิน ฉันจะตบปากคนที่มันเอามาพูด" รั่วซีไม่เข้าใจในกระบวนการความคิดของแม่ตัวเอง แทนที่จะห้ามสะใภ้ใหญ่ รู้ ๆ กันอยู่ว่าทางนั้นเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน เมื่อวานทุกคนก็เข้าข้างครอบครัวพี่ใหญ่ทั้งนั้น
"เก่งเหลือเกิน ร้อยวันพันปีไม่มีปากมีเสียง แต่พออยู่ดีกินดีกลับมีปากมีเสียง" คำพูดบอกกับลูกสาวแต่สายตามองลูกเขยที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ
"แม่เกลียดฉันเหรอ" รั่วซีตัดสินใจถามออกไปทันที คำถามนี้ทำให้คนที่ได้ยินถึงกับตกใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยินจากปากลูกสาว
"ฉันแม่แกนะ!! จะมาถามอย่างนี้ได้ยังไง" นิสัยเดิมกลับมาแล้ว นี่มันไม่ใช่เอาแต่ใจ นี่คือนิสัยเดิม คำถามเดิมที่เวลาลูกสาวคนเล็กไม่ได้ดังใจจะชอบถามคำถามนี้ขึ้นมา
"มันทำให้คิดว่าแม่เกลียดฉัน หากฉันทำผิด ฉันพร้อมจะไปขอโทษปรับปรุงและแก้ไข แต่หากฉันไม่ผิด ฉันไม่มีทางไปเด็ดขาด พี่สะใภ้ใหญ่ดีขนาดนั้นเลยหรือยังไงถึงทำให้แม่ต้องบอกฉันให้เข้าไปขอโทษ ฉันเป็นลูก แต่แม่ไม่ฟังที่ฉันพูด แต่กลับฟังพี่สะใภ้ แบบนี้จะไม่ให้ฉันคิดได้อย่างไร" รั่วซีไม่รู้จะพูดยังไงแม่ถึงจะเข้าใจ ชีวิตก่อนเธอก็คงเป็นแบบนี้ ถึงหูตามืดบอด พี่สามบอกให้คิดให้ทำตาม เธอถึงคิดตามไม่ได้ แบบนี้เธอพูดไปก็ไม่มีประโยชน์แน่นอน
"ตามใจ เดือดร้อนวิ่งไปหาเขา ระวังเขาจะไม่ช่วย" ถึงจะรู้สึกกับคำที่ลูกสาวพูดมา แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อตอนนี้ลูกชายใหญ่คือคนที่ต้องดูแลพ่อแม่ ถึงจะรักลูกสาว แต่ลูกสาวแต่งออกไปแล้วก็เหมือนคนอื่น แต่เพราะเป็นห่วงเลยยังคอยช่วยลูกสาวอยู่แบบนี้ บางครั้งก็ต้องยอมหลับตาข้างหนึ่ง หากเป็นครอบครัวอื่น ไม่มีทางทำแบบนี้แน่นอน
"ฉันรู้ว่าแม่ไม่อยากให้มีปัญหา ต่อไปฉันจะไม่ไปยุ่งเรื่องอาหารอีกแล้ว แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น และฉันมีกินแน่นอน เมื่อวานฉันบอกแม่แล้วว่าฉันยอมให้สามีไปทำงานแล้ว" รั่วซีเลิกอธิบายให้แม่เข้าใจในเรื่องที่มีปัญหา เพราะคนที่ไม่เข้าใจ พูดยังไงเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ที่รู้เพราะชีวิตก่อนเธอก็ไม่ยอมเข้าใจคนอื่น คิดแต่ว่าตัวเองคิดถูก จนได้รับบทเรียนถึงได้รู้ว่าจริง ๆ แล้ว การที่ไม่ฟังคนอื่นที่หวังดีคือการทำร้ายตัวเอง
"แล้วสร้างบ้านใหม่ตั้งแต่เมื่อไร" เมื่อพูดเรื่องนั้นไม่ได้ผล ชุนผิงเลยถามเรื่องที่ตัวเองสงสัยและกวาดสายตามองรอบ ๆ บ้าน มันไม่ได้ใหม่มาก น่าจะทำมานานแล้ว แต่เพราะเธอไม่เคยมาทางนี้เลยไม่รู้ และลูกสาวก็ไม่ค่อยคุยเรื่องบ้านของตัวเองสักเท่าไร จึงทำให้คิดว่ายังอยู่บ้านหลังเดิม
"ค่อย ๆ ทำมาเรื่อย ๆ ไม่ได้ทำทีเดียว หากไม่ได้ญาติพี่น้องของพ่อเด็ก ๆ มาช่วยก็คงทำกันเองไม่ได้หรอก" เพราะเคยคุยกับสามีและหาทางออกไว้แล้ว เลยตอบออกไปตามที่เคยคุยกันไว้ และยังดีที่หน้าจอสั่งงานส่งบ้านที่ไม่ใช่บ้านใหม่มาให้ ไม่อย่างนั้นแม่ต้องจับได้แน่ ๆ
ตอนที่ 17 อยู่ดี ๆ ปัญหาก็ตามมาถึงบ้านเช้าวันต่อมารั่วซีก็ให้สามีเอาสบู่โลชั่นที่จัดเป็นชุดทดลองและมื้อเช้าไปส่งให้ครอบครัวพี่สาม โดยที่มีเหยาเหยาตัวน้อยวิ่งตามไปด้วย ในบ้านจึงเหลือเพียงลูกชายและเธอที่กำลังช่วยกันจัดเตรียมมื้อเช้ารอสองพ่อลูกกลับมาวันนี้รั่วซีจะห่อสบู่ด้วยกระดาษไขเพราะสบู่ที่มีอยู่ยังไม่ได้ห่อหรือมีกล่องใส่เลย ต้องจัดเตรียมให้เรียบร้อยโดยมีสามีและลูก ๆ ช่วยทำงานวันนี้ต้องออกมาทำงานข้างนอกพื้นที่บ้าง จัดสวน จัดบ้าน ดีที่ครอบครัวของเธอต่างช่วยเหลือกันทั้งหมด ไม่ว่างานอะไรหาก ใครว่างต่างก็มาช่วยกันทำงานตลอด"แม่ครับ วันนี้ต้องปลูกต้นไม้ไหม" ชางเฉิงมองดูต้นไม้ที่แม่เอาออกมาวางเรียงไว้ หากปลูกเขาจะได้ช่วย"ทำจ้ะ แต่รอกินมื้อเช้าให้เรียบร้อยก่อน อาเฉิงต่อไปต้องแบ่งเวลา เริ่มหัดเขียนตัวอักษรด้วยนะ" ร
ตอนที่ 16 ช่วยเหลือซึ่งกันและกันตอนนี้ทั้งสี่คนมาอยู่หน้าบ้านของพี่สามแล้ว ก่อนหน้านี้รั่วซีเข้าไปเอาของจากพื้นที่ออกมาเพิ่ม มีทั้งอาหารคาวอาหารหวานที่ปรุงเรียบร้อยแล้ว และยังไปเอาไข่ไก่และผลไม้มาเพิ่มอีก...รั่วซีถือถุงใส่เสื้อผ้าส่วนสามีถือข้าวสารอาหารและธัญพืชต่าง ๆ อาเฉิงถือสมุดคัดอักษรมาแบ่งลูกลุงสาม ส่วนเหยาเหยาเอาสมุดภาพระบายสีมาแบ่งลูกลุงสามเช่นกัน"จะพากันไปไหน" ยังไม่ทันที่รั่วซีจะตะโกนเรียกพี่ชายก็ได้ยินเสียงของพี่ชายถามขึ้น เสียงนั้นดังมาจากข้าง ๆ รั้วบ้าน"มาหาพี่สามนะสิถามได้" รั่วซีมองพี่ชายที่ลุกขึ้นยืนมอง"แล้วหอบอะไรกันมาทั้งครอบครัว เอามานี่ พี่ช่วยถือ" เกาซีหมิง เดินมาช่วยน้องสาวถือของโดยที่ยังไม่รู้ว่าคือสิ่งใด
ตอนที่ 15 ปรับปรุงตัวเอง... เพื่อให้เป็นคนที่ดียิ่งขึ้นรั่วซีกลับมาบ้านในวันต่อมา ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ยังไม่มีกลุ่มนักโทษชั้นดีมาใช้แรงงานหรือมาช่วยพัฒนาชุมชน นั่นแสดงว่ากัวเหลียงก็ยังไม่มาเช่นกัน พอกลับมาถึงบ้าน ทุกคนต่างก็ช่วยกันเอาสิ่งของที่ซื้อมาจากสหกรณ์จัดออกเป็น 3 ชุด แบ่งให้กับครอบครัวพ่อกับแม่เพื่อคืนในส่วนที่เธอยืมมาด้วย และจัดให้ครอบครัวพี่สาม ชุดสุดท้ายเอาไปให้สุ่ยหลิง คนที่รั่วซีจะเอาสิ่งของไปให้ ส่วนมากคือคนที่คอยช่วยเหลือเธอทั้งนั้น แต่วันนี้เธอตั้งใจจะไปเพียงสองบ้านเท่านั้น เพราะดูจากเวลาแล้วคงแวะไปหาเพื่อนไม่ทันแน่นอน..."แต่งตัวเรียบร้อยหรือยังครับ" จือหยวนถามภรรยาและลูก ๆ ที่หายเข้าห้องนานแล้ว แต่ยังไม่เห็นใครออกมาเลย"เรียบร้อยค่ะ" เหยาเหยาออกมาก่อนเป็นคนแรก"ตรวจดูหลังบ้านมาแล้วเหรอคะ" รั่วซีเดินออกมาก
ตอนที่ 14 เจรจาการค้า"ซีซี ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะครับ คนบางคนเราไม่ควรที่จะพูดคุยแบบนั้น มันอันตราย" จือหยวนช่วยภรรยาทำความสะอาดร้านก่อนจะพากันเอากุญแจไปคืนคนดูแล"ขอโทษค่ะ ฉันคิดน้อยไปหน่อย ทีหลังจะไม่ทำแบบนั้นอีก" รั่วซีลืมไปว่าคนอื่นไม่รู้เหมือนเธอ และที่เธอรู้ก็ไม่ได้รู้เยอะมากนัก การเชื่อใจคนง่ายเป็นข้อเสียของเธอตั้งแต่ชีวิตก่อน หรือจะบอกว่าเธอโง่ก็ไม่ผิด พอมาชีวิตนี้ก็ยังหลงลืม ยังทำเหมือนชีวิตที่แล้วอีก ลืมนึกไปว่า... แม้แต่คนที่มีพระคุณก็อาจเป็นคนที่ทำร้ายเราได้"ผู้ชายคนนั้นดูอันตราย แต่หากเราจะทำการค้ากับเขา... เราก็ต้องระวังด้วย" จือหยวนเน้นย้ำให้ภรรยาเข้าใจ"ค่ะ" รั่วซีรับคำและไม่ได้โต้เถียงอะไร เพราะสามีหวังดีเลยเตือน เธอก็ควรระวังตัวกว่านี้"อย่าคิดมากครับ ในเมื่อเขาแสดงตัวแล้ว เขาก็คงต้องการทำการค้ากับเรา เหลือแค
ตอนที่ 13 ผู้มีพระคุณสองสามีภรรยาเดินทางมาที่ตลาดมืดตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมจัดร้าน รั่วซีคือคนที่เข้าออกเพื่อหยิบสิ่งของที่เตรียมกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืนส่วนสามีคือคนจัดร้าน แยกทุกอย่างให้ง่ายในการหยิบขาย ทั้งสองช่วยกันอย่างขะมักเขม้นเพื่อเร่งให้ทันเวลา คนส่วนมากจะเข้ามาหาซื้อของที่ตลาดมืดในช่วงเวลาสายหลังกินมื้อเช้าแล้ว ทั้งสองต้องรีบเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเมื่อคืนจือหยวนได้บอกภรรยาว่าวันนี้ขายเยอะได้ แต่วันหลังจะไม่ขายเยอะแบบนี้อีก วันนี้สามารถอ้างได้ว่าเอาของมาเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวาน จือหยวนคิดหาวิธีป้องกันไว้ก่อน เพราะทั้งสองเดินผ่านคนเฝ้าประตูเข้ามาโดยไม่มีอะไรติดตัวมาเลย หากมีของขายเยอะอาจทำให้คนพวกนั้นสงสัยได้ วันนี้ทำได้เพราะเมื่อวานคนพวกนั้นเห็นเขามาเช่าร้านแล้ว สามารถหาข้ออ้างได้ แต่ครั้งต่อไปอาจไม่ง่ายและอาจถูกจับตาดูอีกด้วยการที่คนเรามีกินมีใช้มากกว่าคนอื่นก็จะถูกจับตามอง ถูกจ้องจับผิด ท
บทที่ 12 วันแรกของการค้าขายหลังจากที่เจอภรรยาก็พาเดินมาอีกด้าน เพื่อดูสถานที่ตั้งร้าน สถานที่แห่งนี้อยู่ในมุมลับตาคน เป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้างพอสมควร ด้านในมีชั้นวางของ จือหยวนคิดว่าตรงนี้เหมาะและปลอดภัยสำหรับเข้าออกพื้นที่ และยังมีพื้นที่กว้าง สามารถเอาสิ่งของออกจากพื้นที่ทีละเยอะ ๆ จะได้ไม่ต้องเข้าออกพื้นที่บ่อย ๆห้องนี้ให้เช่าวันต่อวัน ราคาเช่าวันละ 100 หยวน ตอนที่ได้ยินราคา จือหยวนคิดว่าราคาแพงเกินไป คงไม่มีเงินจ่ายทันที อาจต้องขอจ่ายหลังจากขายของเสร็จ แต่พอเขารู้ว่าระยะเวลาที่เขามาหาสถานที่นั้น ภรรยาสามารถขายของได้เกือบ 300 หยวน หากเช่าห้องนี้จะได้ไม่ต้องเสี่ยงหามุมลับตาคน ตรงนี้ปลอดภัยแน่นอน เพราะเขาตรวจดูก่อนจะรู้ราคาเช่าเสียอีก"ถึงจะเป็นมุมลับตาคน แต่หากเรามีลูกค้าประจำ เราก็ขายได้" รั่วซีไม่รู้ว่าสามีคิดยังไง เลยเป็นพูดออกมาก่อน"ราคาเช่าวันละ 100 หยวน ต้อง







