เซี่ยซางมิได้แสดงออก รอจนซูถิงหว่านถูกคนนำตัวมาที่ห้องโถงด้านหน้า สายตาของเขาถึงได้ตบไปอยู่บนตัวนางเช่นกันเห็นนางสวมกระโปรงผ้าไหมสีเรียบ บนมวยผมก็มิได้มีเครื่องประดับมากนัก นางประทินโฉมอย่างบางเบา ดุจดั่งสาวงามจากครอบครัวเล็กๆ ราวกับว่าความสดในเริงร่าในอดีตไม่เคยปรากฏขึ้นบนร่างนางมาก่อนเมื่อเซี่ยซางพินิจนาง ก็รู้สึกราวกับนางเปลี่ยนไปเป็นอีกคนซูถิงหว่านยอบกายคารวะไปทางเซี่ยซางและเจียงเฟิ่งหัวอย่างเคารพ “หม่อมฉันคารวะท่านอ๋องและพระชายาเพคะ”เซี่ยซางกล่าวเรียบๆ ว่า “ลุกขึ้นเถอะ”“เพคะ” ซูถิงหว่านหยัดกายขึ้นอย่างอ่อนช้อย สายตาก็มิได้ตกอยู่บนตัวเซี่ยซาง หากแต่เหลือบมองไปทางฮูหยินผู้เฒ่าซูคราหนึ่ง“พระชายานั้นเป็นบุตรสาวของราชครู มากด้วยวิชาความรู้นัก หวานหว่านยังคงต้องรู้จักศึกษาจากพระชายาให้มาก ไม่อาจทำตัวไร้กฎเกณฑ์มารยาทเหมือนเมื่อก่อนเด็ดขาด” ฮูหยินผู้เฒ่าซูย่อมมาเพื่อช่วยนาง ขอเพียงนางได้รับการยกเลิกการกักบริเวณ เรื่องในภายหลังก็จะง่ายขึ้นมากแล้วจู่ๆ ซูถิงหว่านก็คุกเข่าลงที่ด้านหน้าของเจียงเฟิ่งหัวอีกครั้ง จากนั้นก็โขกศีรษะให้นาง “เมื่อก่อนหม่อมฉันไม่รู้ระเบียบมารยาท หม่อมฉัน
ซูถิงหว่านมิได้ติดตามฮูหยินผู้เฒ่าซูไป แต่กลับหอหล่านเยว่ไปพร้อมเจียงเฟิ่งหัวแทน ใช้ข้ออ้างอันไพเราะว่ามาเรียนรู้เรื่องกฎระเบียบกับธิดาของราชครูต่อหน้าเซี่ยซาง ฮูหยินผู้เฒ่าซูยกยอเจียงเฟิ่งหัวไว้สูงส่งนัก ราวกับว่าที่ชายารองไม่รู้กฎระเบียบเป็นเพราะสกุลซูของนางสั่งสอนได้ไม่ดี นางไหว้วานให้เจียงเฟิ่งหัวที่รู้เรื่องกฎเกณฑ์มารยาทเป็นผู้อบรมซูถิงหว่านแล้วเมื่อสาวใช้ทั้งสองฟังมาถึงตรงนี้ ก็โมโหจะกระทืบเท้า ทว่าเจียงเฟิ่งหัวกลับสงบอ่อนโยนเช่นเดิม หนังหน้าของคนสกุลซูช่างหนายิ่งหนัก ถึงกับใช้วิธีนี้ ซูถิงหว่านคิดว่าแล่นมาถึงหอหล่านเยว่ รั้งอยู่ไม่ยอมจากไปก็จะหาโอกาสใกล้ชิดเซี่ยซางได้หรือ?นางหัวเราะหยัน เยี่ยงนั้นก็รอดูไปเถิด!ซูถิงหว่านมองหอหล่านเยว่ที่งดงามหรูหรา โอ่อ่าและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพรรณไม้ แล้วนึกถึงเรือนถานเซียงอันเดียวดายไร้ชีวิตชีวาที่นางพำนัก ในใจของนางก็รู้สึกย่ำแย่อย่างยิ่ง เดิมที่นี่ควรจะเป็นของนางต่างหากนางสาวเท้า ก้าวน้อยๆ ตามไปอย่างชดช้อยระมัดระวังเจียงเฟิ่งหัวให้คนอุ้มหนังสือมาให้นางกองหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “ชายารองตั้งใจเรียนให้ดีเถิด! พวกนี้ล้วนเป็นธรรมเน
“ลุกขึ้นมาเถิด ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว” เซี่ยซางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ“เพคะ” นางตอบกลับอย่างอ่อนโยนกล่าวจบเขาก็เข้าไปในห้องนอนหลักของเจียงเฟิ่งหัว เจียงเฟิ่งหัวเหลือบมองนางทีหนึ่ง บังเอิญสบเข้ากับสายตาของนางพอดี นางกำลังยั่วยุ ทำให้ซูถิงหว่านโมโหจนต้องหยิกต้นขาตนเองสุดแรงเจียงเฟิ่งหัวมิได้กล่าวสิ่งใดอีก นางตรงจากไปแล้ว กลับเข้าไปในห้องหลักเหลียนเย่และหงซิ่วที่เฝ้าอยู่หน้าประตู ใช้มือกุมท้องกลั้นหัวเราะเบิกบานไม่หยุด สีหน้าในตอนที่พระชายารองซูเห็นหนังสือกองนั้นเมื่อครู่ จนถึงบัดนี้พวกนางก็ยังรู้สึกสาแก่ใจนักยังคงเป็นพระชายาที่ร้ายกาจ หากฮูหยินผู้เฒ่าซูที่ให้นางมาตามติดข้างกายพระชายา รู้ว่าพระชายาจะสอนชายารองอ่านหนังสือ เกรงว่าคงเสียใจจนหน้าเขียวแล้วนับจากวันนี้ไป ชายารองซูต้องตั้งใจอ่านหนังสือ แล้วนางยังจะเหลือความคิดไปยั่วยวนท่านอ๋องได้อีกหรือพวกคำพูดไม่รู้เรื่อง กำกวมคลุมเครือไม่ชัดเจนพวกนั้น แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว ไม่รู้ว่าพระชายาทรงศึกษาเข้าใจได้อย่างไรเจียงเฟิ่งหัวเพิ่งกลับมาถึงห้องชั้นใน ก็เห็นเซี่ยซางกำลังผลัดชุดขุนนางออกเตรียมหาชุดอื่นมาเปลี่ยน นางจึงรีบก้าวเข้าไปช่วย “
เซี่ยซางสีหน้าฉายประกายรู้สึกผิด “หรวนหร่วน ซูกุ้ยเฟยอาจจะต้องการทำร้ายเจ้าจริง แต่ข้าเชื่อว่าหวานหว่านเพียงแค่ถูกนางยุยงมาก็เท่านั้น ความจริงหวานหว่านไม่ได้ผิด ข้ารู้จักนางมาสามปีกว่าแล้ว และค่อนข้างรู้จักนางดี นางก็แค่อารมณ์อ่อนไหวง่ายและง่ายต่อการถูกผู้อื่นชักจูง พูดจาโผงผางตรงไปตรงมา” “นับแต่ซูกุ้ยเฟยส่งนางกำนัลคนหนึ่งมาปรนนิบัตินาง หวานหว่านก็เปลี่ยนไปจนข้าแทบไม่รู้จักแล้ว เหมือนอย่างการแสดงออกในวันนี้ของนาง ข้ารู้สึกราวกับว่าไม่เคยรู้จักนางมาก่อน บางทีอาจเป็นเพราะข้าทำร้ายนางไปแล้ว นางถึงได้ระมัดระวังตัวมากขึ้นถึงเพียงนี้” “นางเหมือนกับเจ้าในตอนแรก ไม่กล้าเปิดเผยด้านที่เป็นธรรมชาติต่อหน้าข้า ข้าหวังจริง ๆ ว่าพวกเจ้าจะสามารถอยู่ด้วยกันอย่างปรองดอง” เซี่ยซางยังคิดจะให้โอกาสซูถิงหว่านอีกครั้ง เจียงเฟิ่งหัวในใจคิดอยากจะพ่นลมออกจมูก ดูเหมือนว่าการแสดงของซูถิงหว่านวันนี้จะกระตุ้นสัญชาตญาณการปกป้องเอาใจของเซี่ยซางได้สำเร็จแล้ว! เห็นใบหน้าของนางปรากฏสีหน้างุนงงไม่เข้าใจ “นางกำนัลที่ท่านพูดถึงคืออวิ๋นฟางกูกูหรือเพคะ? เป็นนางที่ยุยงพระชายารองซู” เซี่ยซางผงกศีรษะ “ใช่แล้ว” “เช่น
เจียงห้วนเด็กเฝ้าประตูมีความสุขจนหุบยิ้มไม่ได้ “คุณหนูสาม ท่านไม่ได้กลับมาเสียนาน ระยะนี้จวนสกุลเจียงของพวกเราเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเลยขอรับ” “เกิดอะไรขึ้นหรือ?” นางเอ่ย “จวนของพวกเรามีคุณหนูอวี๋เพิ่มมาอีกหนึ่งท่านแล้ว เหมือนว่าจะเป็นสะใภ้ใหญ่ของพวกเราขอรับ ทว่านายท่านกับฮูหยินดูจะเคารพนางมาก” แน่นอนว่า เจียงห้วนย่อมไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของซางอวี๋เพียนเพียน และคนทั้งจวนก็ไม่ทราบเหมือนกัน ยกเว้นเจียงหวยสามีภรรยาและเจียงจิ่นเหยียน “แม่นางคนนั้นอยู่ที่ใดหรือ? อยู่ที่จวนหรือไม่” เจียงห้วนก็เอ่ยอีก “ไม่ขอรับ ตามคุณชายใหญ่ออกไปแล้ว” เป็นไปตามที่เจียงเฟิ่งหัวคาดเดาไว้ทุกประการ ป่าวประกาศออกไปขนาดนี้แล้ว สกุลจางย่อมจำเป็นต้องหาคู่หมั้นใหม่ให้จางอวี่มั่ว เฝิงจิ้งย่วนเมื่อเห็นบุตรีก็ตื่นเต้นดีใจและท่าทางดูมีลับลมคมใน นางลากเจียงเฟิ่งหัวเข้าไปด้านใน จากนั้นก็ไล่บรรดาสาวใช้ออกไปด้านนอกทันที ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา “หรวนหร่วน เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครมาพำนักที่เรือนของพวกเรา?” เจียงเฟิ่งหัวสีหน้าเรียบเฉย “ทราบเจ้าค่ะ ซางอวี๋เพียนเพียนองค์หญิงรัชทายาทแคว้นเจาซี ลูกเ
เจียงเฟิ่งหัวและมารดาของนางพูดคุยเปิดเผยความในใจกันอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานนักเทียบเชิญจากจวนจางกั๋วกงก็ถูกส่งถึงมือเจียงเฟิ่งหัว เจียงเฟิ่งหัวรับมา “ฮูหยินผู้เฒ่าจางต้องการพบลูกหรือ? นางอยู่ที่ใด?” พ่อบ้านกล่าวตอบ “มาถึงโถงด้านหน้าแล้วขอรับ” เจียงเฟิ่งหัวและเจียงฮูหยินต่างรีบจัดแจงตนเองและเดินไปโถงหน้าทันที พวกนางพอจะไว้ว่าการมาเยือนครั้งนี้เพื่อเรื่องของจางอวี่มั่วแน่นอน ฮูหยินผู้เฒ่าจางครั้นเห็นเจียงเฟิ่งหัวแล้ว ทันใดนั้นก็คุกเข่าคารวะอย่างยิ่งใหญ่ “หม่อมฉันคารวะพระชายาเหิงอ๋องเพคะ” “ฮูหยินผู้เฒ่ามิต้องมากพิธี” เจียงเฟิ่งหัวเดินเข้าไปพยุงมือนางไว้ด้วยตนเอง ก่อนจะเชิญนางไปนั่งตรงที่นั่งหลัก “ฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านย่าของข้าอายุไล่เลี่ยกัน การคารวะใหญ่เช่นนี้ลำบากใจเฟิ่งหัวแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการพบเฟิ่งหัวกะทันหันเพียงนี้คงจะมีเรื่องสำคัญกระมัง!”“กระหม่อมเองก็หมดหนทางถึงได้บากหน้ามาพบท่าน” เพื่อเรื่องของหลานสาวฮูหยินผู้เฒ่าจางวิตกกังวลและทอดถอนใจ นางเหลือบสายตามองเจียงฮูหยินปราดหนึ่ง “ทั้งหมดก็เพื่อหลานสาวที่ไม่เอาไหนของหม่อมฉัน” เจียงฮูหยินดวงหน้าแววตาเต็มไปด้วยความละอายใจ “
เจียงเฟิ่งหัวมองความคิดนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง “ท่านทำร้ายตัวเอง ทว่าคนที่เจ็บปวดกลับเป็นคนใกล้ชิดที่ดีที่สุดของท่าน หากท่านโศกเศร้าจนสิ้นลมหายใจไป คนนอกไม่มีทางเจ็บปวดเสียใจได้สักครึ่งหนึ่งหรอก รวมถึงพี่ใหญ่ของข้าด้วย เขาเองก็จะไม่เจ็บปวดทุกข์ใจ ยิ่งเป็นสกุลหลี่ยิ่งไม่มีวัน พวกเขามีแต่จะรู้สึกว่าท่านเป็นเคราะห์ร้าย ผิดกับท่านปู่ท่านย่าที่เลี้ยงดูสั่งสอนท่านจนเติบใหญ่กลับต้องกลายเป็นคนผมขาวส่งศพคนผมดำ พวกเขาจะต้องทุกข์ทรมานจนแทบขาดใจ” จางอวี่มั่วจ้องมองเจียงเฟิ่งหัวนิ่ง ๆ “ท่าน…ท่านปู่ท่านย่าของข้า…” เจียงเฟิ่งหัวแววตาเยือกเย็น “ท่านคิดว่าข้าเดาออกเองหรือว่าท่านไม่ได้กินข้าวมาแล้วสองวัน ท่านคิดว่าข้าจะเป็นห่วงท่านทุกเวลา วางความคิดและจิตใจไว้บนตัวท่านตลอดเวลา จางอวี่มั่ว หากวันนี้ข้าไม่มา ท่านอดข้าวต่อไปอีกครึ่งเดือนแบบนี้ ท่านอาจจะได้ตายไปจริง ๆ เลยก็ได้ เมื่อถึงยามนั้น ข้าก็ทำได้แค่ไปที่หลุมศพของท่านจุดธูปสามดอกส่งวิญญาณของท่าน และทอดถอนใจว่าเด็กสาวเอย ตายไปเสียแล้ว หลังจากนั้นสองวัน ข้าก็คงลืมท่านไปแล้ว และไปใช้ชีวิตของข้าอย่างสุขสบายใจ ท่านตายไปก็ไม่รับรู้อะไรแล้ว ทว่าสกุลจางขอ
เซียงหย่าหยวน เซี่ยซางและเหล่าสหายร่ำสุราได้ครึ่งรอบ เจียงเฟิ่งหัวก็พาจางอวี่มั่วมาสมทบด้วย สิ่งที่ทำให้นางคิดไม่ถึงคือซูถิงหว่านเองก็ร่วมโต๊ะสุราด้วย นางยังแต่งกายแบบเมื่อเช้า และนั่งอยู่ข้างกายเซี่ยซางด้วยท่าทางเรียบร้อยงดงาม เซี่ยซางเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเงาร่างของเจียงเฟิ่งหัวและจางอวี่มั่วปรากฏที่หน้าประตู นางยังพาจางอวี่มั่วเข้ามาด้วยกัน ซางอวี๋เพียนเพียนยกจอกสุราขึ้นพลางตะโกนเรียกนางอย่างมีความสุข “เฟิ่งหัว ท่านมาได้อย่างไร ข้าเพิ่งจะถามเหิงอ๋องไป เหตุใดไม่พาท่านมาด้วยกัน เขาบอกว่าท่านกลับจวนสกุลเจียงแล้ว หากรู้เร็วกว่านี้ข้ากับพี่ใหญ่เจ้าจะได้รอเจ้าก่อน” เจียงเฟิ่งหัวเยื้องกรายเข้ามาที่โต๊ะสุราอย่างงดงาม วันนี้นางเข้ามาในเวลาที่ไม่เหมาะสมเลยจริง ๆ เจียงเฟิ่งหัวพยักหน้าให้ซางอวี๋เพียนเพียน “ข้ากลับไปที่เรือนสกุลเจียงแล้ว ทว่าจากนั้นเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ข้าจึงไปที่จวนจางกั๋วกง และลองสอบถามดูถึงได้ทราบว่าพวกท่านมาที่เซียงหย่าหยวน” นางหันไปเอ่ยกับเซี่ยซางอีกครั้ง “หม่อมฉันคิดไม่ถึงว่าพระชายารองซูก็อยู่ที่นี่ด้วยเพคะ” เซี่ยซางชี้นิ้วไปยังบุรุษผู้หนึ่งซึ่งแต่งกายด้วย
เหลียนเย่หยิบมาลองดม รู้สึกเพียงกลิ่นหอมสดชื่นโชยปะทะจมูก หอมยิ่งนัก “หากว่าคุณหนูมีของสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อเยาว์วัยก็คงดี ตอนเด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องฝันร้ายบ่อย ๆ อีก” อ้าวเสวี่ยถามเหลียนเย่ “เกิด อะไรขึ้นกับพระชายากันแน่ พวกเจ้ารับใช้พระชายามาตั้งแต่ยังเล็ก เคยเกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัวใดขึ้นกับนางมาก่อนหรือไม่?” “ไม่มี คุณหนูมีชีวิตเป็นสุขดีมาตลอด หากว่ายาหอมคืนเรือนสามารถช่วยให้คุณหนูไม่ต้องฝันร้ายอีกเช่นนั้นก็ดีมากแล้วจริง ๆ” ที่เหลียนเย่กล่าวมาเป็นความจริง เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากเจียงเฟิ่งหัวตื่นขึ้นมาแล้วนางดูปกติคล้ายว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน เห็นอ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เฝ้าอยู่ในห้องของนาง นางก็เหยียดตัวบิดขี้เกียจพลางกล่าวว่า “เมื่อคืนหลับสบายจริง ๆ ข้ารู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง ร่างกายสดชื่นดีมาก พวกเจ้าได้จุดกำยานอะไรเอาไว้หรือไม่?” เหลียนเย่เห็นนางลืมเรื่องเมื่อคืนที่ละเมอร้องไห้ในความฝันไปก็ถามขึ้นว่า “พระชายาจำอะไรไม่ได้เลยหรือเพคะ?” “ข้าต้องจำอะไรได้หรือ?” เจียงเฟิ่งหัวประคองท้องของตนเองเดินลงมาจากเตียงพลางเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนข้ากับเจ้านอนด้วยกัน” “ใช่แล้วเพค
ครั้นส่งสี่หมัวมัวออกไปแล้ว เจียงเฟิ่งหัวเองก็มิอาจใจเย็นอยู่เฉยได้ ซูถิงหว่านต้องมีความทรงจำจากเมื่ออดีตชาติแล้วแน่ ซูถิงหว่านรู้แล้วว่าหลังจากนี้นางจะได้เป็นฮองเฮา เพราะฉะนั้นนางถึงได้ไม่เกรงกลัวเพราะมีสิ่งยึดเหนี่ยว หากมิใช่เพราะการตายของจีเฉินทำให้การเดินทางของนางล่าช้า นางอาจจะมุ่งหน้าไปเขตชายแดนเพื่อรวมตัวกับคนสกุลซูแล้วก็ได้ นางมิอาจเอาความโปรดปรานของเซี่ยซางมาเดิมพันว่าตำแหน่งของนางจะมั่นคง เมื่อวานฝ่าบาทนอกจากพระราชทานสิ่งล้ำค่าให้กับนางเพื่อเป็นรางวัลแล้ว ยังพระราชทานป้ายอาญาสิทธิ์ทองคำส่วนพระองค์ป้ายหนึ่งให้กับนางด้วย ด้านบนมีอักษรเขียนว่า ‘เสมือนฮ่องเต้เสด็จ’ มีมันแล้ว นางก็สามารถเดินผ่านได้ทุกที่ในวังหลวงแม้กระทั่งทั่วทั้งใต้หล้า ตอนแรกนางงุนงงอยู่เล็กน้อย ต่อมาเฉากงกงถึงได้เร่งให้นางรีบกล่าวขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทได้ สัญลักษณ์ของผู้ที่ได้รับป้ายทองอาญาสิทธิ์อันนี้ก็คืออำนาจ คือความไว้เนื้อเชื่อใจที่ฝ่าบาทมีต่อนาง “พระชายา ท่านเป็นอะไรไปเพคะ หน้าซีดเชียวเพคะ” เหลียนเย่เห็นนางเงียบไปนาน เหม่อลอยอยู่ตามลำพัง “เปล่า อาจเพราะเหนื่อยล้าเกินไปหน่อยกระมัง ข
สี่หมัวมัวตกใจกลัวตัวสั่น รีบยั้งปากทันใด ครั้นมาถึงด้านในตำหนักเฉินซี เจียงเฟิ่งหัวก็สั่งให้เหลียนเย่ปิดประตูทันที ทิ้งให้อยู่ในห้องกับสี่หมัวมัวลำพัง เห็นเพียงนางสีหน้าเยือกเย็น พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “สี่หมัวมัว เจ้าคงจะทราบดีว่าคำพูดเมื่อครู่ของเจ้ามีโทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ บัดนี้เสด็จพ่อมีพระพลานามัยแข็งแรงดี ตำแหน่งองค์รัชทายาทยังมิได้แต่งตั้ง เจ้ากลับเผยแพร่คำพูดเหล่านี้โดยพลการ มิเพียงเจ้าจะรักษาศีรษะของเจ้าไว้ไม่ได้ แม้แต่เสด็จแม่ ท่านอ๋องและข้าก็จะพลอยได้รับเคราะห์จากคำพูดประโยคนี้ของเข้าไปด้วย” สี่หมัวมัวตกใจกลัวจนเหงื่อเย็นไหลพราก ๆ “บ่าวทราบเพคะ ดังนั้นบ่าวถึงได้เก็บงำไว้ในใจมาตลอด บางคำมิได้พูด บ่าวเองก็ทุกข์ใจเพคะ หนนี้ถึงได้อยากแจ้งพระชายา อยากให้พระชายาช่วยโน้มน้าวฮองเฮาด้วยเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างจงใจ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าถ้อยคำเหล่านี้พระชายารองซูเอ่ยกับเสด็จแม่ เจ้ามิได้โป้ปดจริงแน่หรือ” สี่หมัวมัวเล่าอย่างละเอียดไม่มีปิดบัง “ถ้อยคำเหล่านี้บ่าวมิได้เป็นคนพูดเพคะ บ่าวจะกล้าพูดแบบนี้ออกไปได้อย่างไรเพคะ และมิใช่ฮองเฮาเป็นคนตรัสด้วยเพคะ ถ้อยคำเห
ผ่านไปสองวัน ซูถิงหว่านยังไม่กลับมา สุดท้ายแล้วนางเลือกเดินซ้ำรอยเดิมของชาติก่อนติดตามเซี่ยซางไปที่เขตชายแดน และที่น่าขันคือข่าวนี้เฉิงฮองเฮาเป็นคนมาบอกนางด้วยตนเอง ได้ยินเฉิงฮองเฮากล่าวว่า “พระชายารองซูไปที่เขตชายแดนเพื่อช่วยซางเอ๋อร์ทำศึก ซางเอ๋อร์เองก็จำเป็นต้องมีสตรีสักคนคอยดูแลอยู่เคียงข้างกาย ส่วนเจ้าก็ท้องแก่แล้ว ข้าจึงอนุญาตให้นางไป หรวนหร่วนเจ้าคงไม่กล่าวโทษข้ากระมัง” เจียงเฟิ่งหัวผุดยิ้มน้อย ๆ พลางเอ่ยว่า “เสด็จแม่ทรงคิดรอบคอบ ท่านอ๋องมีคนเอาใจใส่อยู่เคียงข้างกายสักคนก็นับว่าดีเพคะ เพียงแต่เหมันต์ฤดูอากาศข้างนอกหนาวเย็นยิ่งนัก และอีกไม่นานก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว พระชายารองซูเป็นสตรีตัวคนเดียวเดินทางไปเช่นนั้นจะปลอดภัยหรือเพคะ” “นางมีวรยุทธ์ติดตัว และมีกองทัพสกุลซูปกป้องคุ้มครอง ปลอดภัยไร้กังวล เราเห็นว่านางก็มิได้มีท่าทีอิดออดอะไร” “เป็นเช่นนี้ก็ดียิ่งนักเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ฮองเฮาเปลี่ยนใจรวดเร็วเสียจริง ตอนแรกยังคัดค้านเซี่ยซางอย่างสุดกำลังไม่ให้พาสตรีไปออกศึก อ้างว่าจะไม่เป็นสิริมงคล ถึงขั้นทำลายความองอาจน่าเกรงขามของหัวหน้าแม่ทัพ ทว่าบัดนี้กลับอ
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น