ตอนนี้เจียงจิ่นเหยียนดำรงตำแหน่งขุนนางอยู่แล้ว หากเรื่องนี้เกิดขึ้นในหออี๋ชุน เกรงว่าเขาจะถูกตราหน้าว่าเป็นขุนนางที่เที่ยวโสเภณีโดยมิอาจปฏิเสธได้“ตระกูลจางรู้แล้วหรือไม่?” เซี่ยซางกำชับมิให้นางยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของจางอวี่มั่ว เรื่องนี้ให้พี่ใหญ่เป็นคนจัดการเอง นางจึงมิอาจรู้ได้ว่าตระกูลจางรู้ถึงธาตุแท้ของหลี่เฉิงแล้วหรือไม่ แม้กระทั่งไม่รู้เหตุการณ์ในค่ำคืนนี้ หากเป็นเช่นนั้นพี่ใหญ่ก็มิใช่ว่าถูกทำร้ายโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ“รู้หรือไม่ล้วนไม่สำคัญ ในเมื่อหมั้นหมายกันแล้ว แลกดวงชะตากันแล้ว จางอวี่มั่วก็คือคู่หมั้นของหลี่เฉิง นางย่อมต้องแต่งให้เขาเป็นแน่ ถึงแม้ว่าจวนจางกั๋วกงจะเคยทรงอำนาจเพียงใด แต่ความรุ่งโรจน์ในอดีตก็มลายสิ้นแล้ว ทว่าตระกูลหลี่กลับดำรงตำแหน่งขุนนางชั้นสูง มีอำนาจอยู่ในมือ เรื่องนี้เกรงว่ายากที่จะแก้ไขได้” กษัตริย์เปลี่ยนองค์ ขุนนางย่อมเปลี่ยนตาม นี่คือความจริงแห่งโลกหล้า“ต่อให้ตอนนี้พี่ใหญ่ของเจ้าตกลงรับจางอวี่มั่วเป็นภรรยา เขาก็จะถูกตราหน้าว่าแย่งคู่หมั้นของผู้อื่น ย่อมเสื่อมเสียไม่น้อยเช่นกัน”เจียงเฟิ่งหัวถามด้วยความฉงน “ต่อให้ยกความประพฤติของหลี่เฉิงมาเป็นเ
เจียงจิ่นเหยียนรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “แน่นอนว่าได้” เขาจะปฏิเสธได้หรือ?จางอวี่มั่วยิ้มออกมา รอยยิ้มของนางเผยให้เห็นลักยิ้มจางๆ บนแก้มทั้งสองข้าง ดวงตาของนางทอประกายสดใส ราวกับดวงดาราที่เจิดจ้าในราตรีกาลนางกล่าวว่า “ถึงอย่างไรบาดแผลบนตัวท่านก็เป็นเพราะข้า ข้าขอช่วยท่านทายาเถิด อย่าปฏิเสธข้าเลย ไม่เช่นนั้นข้าคงรู้สึกผิดมาก ข้าอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อชดเชย ให้ข้าได้ช่วยได้หรือไม่?”นางยืนอยู่ด้วยท่าทีสง่างามและสำรวม สมกับกิริยาสตรีผู้สูงศักดิ์ จนยากจะหาข้ออ้างปฏิเสธได้เจียงจิ่นเหยียนยังคงอยากจะปฏิเสธอยู่ดียังไม่ทันที่เขาจะพูดออกมา จางอวี่มั่วก็ยื่นมือไปถือยาทาให้เขาเอง เขากัดฟันแน่นเพราะความเจ็บปวด นางรู้สึกถึงความเจ็บปวดของเขา จึงค่อยๆ ลดแรงลงในมือให้เบาลงอีกนิดเจียงจิ่นเหยียนเห็นใบหน้าที่งดงามของนางเข้ามาใกล้ เพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัด เขาจึงตัดสินใจหลับตาลงทันทีนี่เป็นครั้งที่นางอยู่ใกล้เขามากที่สุด แม้นางจะรู้สึกหัวใจเต้นเร็วขึ้น แก้มแดงระเรื่อ แต่ก็ยังพยายามข่มใจ ไม่ให้ตัวเองเสียสมาธิไปเจียงจิ่นเหยียนมีขนตาที่ยาวและหนา ใบหน้าหล่อเหลาที่มีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำๆ นางมองด้วย
เจียงจิ่นเหยียนนึกว่านางรู้แล้ว จึงเอาแต่เงียบ ได้ยินเพียงซางอวี๋เพียนเพียนกล่าวว่า “พรุ่งนี้ข้าจะต้องกลับแล้ว วันนี้มาเพื่อบอกลาท่าน”นางกอดเอวเขาไว้ ซุกหัวเข้าไปที่บ่ากว้าง ๆ ของเขา “คราวนี้ ข้ากลับอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อย ทำอย่างไรดีเล่า?”เจียงจิ่นเหยียนรู้ว่านางเป็นหญิงที่ไม่ยึดติดกับจารีตประเพณี ความรู้สึกเจ็บในตัวทำให้เขาไม่อยากขยับแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังเป็นห้องนอนของเขาอีกด้วย คนที่ออกไปควรเป็นนางจึงจะถูก“องค์หญิง…” เขาอยากดึงมือคู่นั้นที่โอบเอวเขาไว้ออก “เช่นนี้ไม่เหมาะสม ข้าเป็นบุรุษ ท่านเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นเจาซี ย่อมพึงรู้จัก…”ซางอวี๋เพียนเพียนไหนเลยจะสนใจว่าเหมาะสมหรือไม่ นางเพียงแค่อยากทำตามใจปรารถนาก็พอ จึงผลักเขาล้มลงบนเตียงเลย ประกบริมฝีปากลงไป ราวกับว่าไม่มียางอายแม้แต่นิดเดียวเจียงจิ่นเหยียนโกรธสุดขีดแล้ว “ข้าไม่ใช่คุณชายไร้เทียมทานที่ท่านชอบ องค์หญิงโปรดระมัดระวังพระองค์ด้วย”ซางอวี๋เพียนเพียนตะลึง คนที่นางใส่ใจคือเจียงจิ่นเหยียน หรือว่าคุณชายไร้เทียมทาน นางก็แยกไม่ออกแล้ววันต่อมา องค์หญิงแคว้นเจาซีกลับแคว้นแล้ว ฮ่องเต้ส่งคนของกรมพิธีการไปส่งเสด
เจียงเฟิ่งหัวได้ยินข่าวลือข้างนอกแล้ว ใบหน้านางก็ไม่ได้แสดงอารมณ์มากมายแต่อย่างใด นางแววตาลุ่มลึก หัวคิ้วขมวดเล็กน้อยอยู่ไม่นานก็กลับมานิ่งสงบดังเดิมอย่างรวดเร็ว ท่าทางไม่สะทกสะท้านเหลียนเย่กล่าวอย่างร้อนใจ “พระชายา เหตุใดท่านจึงไม่มีปฏิกิริยาเลย ข้างนอกพูดถึงคุณชายใหญ่จนกลายเป็นแบบนี้แล้วนะเพคะ! คนพวกนั้นก็ปั้นน้ำเป็นตัวเสียจริงๆ”“เจ้าเลิกรบกวนพระชายาได้แล้ว พระชายาย่อมมีวิจารณญาณอยู่แล้ว” หงซิ่วฝนหมึกให้นางอย่างเงียบ ๆ เหลียนเย่ก็ไม่ส่งเสียงรบกวนแล้ว ยืนอยู่ด้านข้างอย่างสงบเสงี่ยมเจียงเฟิ่งหัวชอบคัดลายมือ เวลาคัดตัวอักษรนางจะทำใจให้สงบเพื่อใช้ความคิดได้ เวลานี้ ในสมองนางมีความคิดอยู่ร้อยแปดพันเก้า เพราะว่าประสบการณ์โชกโชน ทุกเรื่องที่นางคิดก็คิดไปในแง่ผลประโยชน์เสียมากกว่าด้วยความเคยชิน คิดอยากแสวงหาเงินทองถือว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ ทำลายชื่อเสียงคนก็เกี่ยวพันกับผลประโยชน์เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วใครจะได้ประโยชน์ และใครจะเสียประโยชน์จากเรื่องนี้ เรื่องเหล่านี้ต่างหากที่สำคัญฟังดูทีแรกเหมือนจะเป็นแค่เรื่องปัญหารัก ๆ ใคร่ ๆ ของชายหญิงสองสามคน แต่คิดให้ลึก ๆ แล้วกลับไม
พิจารณานิสัยขี้หึงของเซี่ยซางแล้ว จุดนี้ก็ไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างมากเจียงเฟิ่งหัวให้เหลี่ยนเย่แต่งตัวให้นางอย่างพิถีพิถัน เห็นหน้าตาท่าทางที่ดูน่ารักบริสุทธิ์ในกระจกแล้ว นางเกือบหลงใหลในใบหน้าของตัวเองใบหน้าผัดแป้งและแต่งแต้มอย่างประณีต การแต่งหน้าก็ไม่เกินพอดี ราวกับดอกไม้ที่เหนียมอายดอกหนึ่งที่กำลังรอผลิบาน ดึงดูดสายตาของผู้คนเจียงเฟิ่งหัวเดินไปที่เรือนด้านหน้า นางก็นั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์เช่นนี้ สาวใช้เฝ้าขนาบนางซ้ายขวา สงบเสงี่ยมเรียบร้อยพ่อบ้านเฉิงนำสมุดบัญชีของจวนอ๋องมาถวายให้ดูทีละเล่ม ๆ “ผลกำไรเดือนนี้ไม่เลวเลยพ่ะย่ะค่ะ ความเห็นจากพระชายาเดือนที่แล้วมีประโยชน์จริง ๆ นี่จึงมีกำไรเพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง”เจียงเฟิ่งหัวดูทีละเล่ม ๆ อย่างถี่ถ้วน ภายใต้แสงอาทิตย์สีทอง ทั้งตัวของนางเหมือนมีรัศมีแผ่ออกมา ชวนให้คนหลงใหลก็ได้ยินนางกล่าวเสียงหนักแน่นว่า “ก็เพราะทุกคนให้ความร่วมมือกับข้า พ่อบ้านเฉิงไปจัดการเถิด เงินรางวัลเดือนนี้ของทุกคนให้เพิ่มอีกเท่า”พ่อบ้านเฉิงตกใจ “เดือนที่แล้วพระชายาก็ให้เงินค่าแรงพวกเขาเพิ่มไปแล้ว อีกทั้งยังให้รางวัลเพิ่มเติม เด
เซี่ยซางยกเลิกคำสั่งกักบริเวณซูถิงหว่านแล้ว เขาก็ให้อวิ๋นฟางไปทำงานเป็นบ่าวชั้นต่ำที่เรือนคนรับใช้ ซูถิงหว่านถูกส่งตัวออกไปแล้ว ก็พาไปแต่อิ๋นซิ่ง เซี่ยซางไม่ยุ่งกับเรื่องของผู้หญิงในเรือน เขาเอ่ยปากไล่นางไปเรือนคนรับใช้แล้วก็ลืมอวิ๋นฟางไปเสียสนิท นางจึงถือว่ารอดจากความซวยมาได้ อวิ๋นฟางเฉียบแหลมมาก นางรู้สึกได้ว่าซูถิงหว่านห่างเหินจากนาง ถึงขั้นไม่เชื่อใจ นางก็เริ่มทดสอบดูนี่จึงเพิ่งรู้จากปากซูถิงหว่านว่า ที่จริงเหิงอ๋องรู้เรื่องเหล่านั้นที่พวกนางทำ และถึงกับรู้ว่านางเป็นคนยุแยงพระชายารองให้ไปทำอีกด้วย นางคิดอยากหนีเอาตัวรอด แต่เมื่อนึกว่าหากนางหนีไปจริง ๆ ต่อไปก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว นอกจากนั้นนางไม่มีหนังสือยืนยันสถานะอยู่กับตัว สัญญาขายตัวเป็นบ่าวของนางยังอยู่ในวังนางไม่เคลื่อนไหวมาตลอด จนกระทั่งจีเฉินปรากฏตัว นางคิดว่าโอกาสของตัวเองมาถึงอีกครั้งแล้วนางรู้ว่าตัวเองหน้าตามีความงามอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นจีเฉินจึงคอยส่งสายตาให้นาง แต่ที่ผ่านมานางก็ไม่ยอมด้อยกว่าคนอื่น ยิ่งไม่อยากให้จีเฉินได้เปรียบ จึงไว้เชิงมาตลอดไว้เชิงอย่างไร นางก็มีกลวิธีของตัวเองจีเฉินนึกว่าแค่พูดจาหวานหูไม่ก
อวิ๋นฟางตะลึงงัน ปฏิเสธว่า “ท่านว่าอะไรน่ะ ข้าเปล่านะเจ้าคะ”จีเฉินกระชากกระเป๋าที่เอวนางออกมาทันที ควักของที่อยู่ด้านในออกมา ยกขึ้นมาอังที่จมูก ลองดมดู “พกยาปลุกกำหนัดพวกนี้ไว้กับตัว เจ้าคงคิดหาโอกาสจะเอาไปใช้กับเซี่ยซางสินะ”อวิ๋นฟางสะดุ้ง รีบไปแย่งคืน “คืนให้ข้านะเจ้าคะ ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด นี่ไม่ใช่ยาปลุกกำหนัด เป็นเพียงยาหอมที่ทำให้ตื่นตัวโล่งสมองเท่านั้นเจ้าค่ะ”มีอะไรบ้างที่จีเฉินไม่เคยเห็น เขาบีบคางนางไว้คิดจะกรอกเม็ดยาใส่ปากนาง “ในเมื่อเจ้าบอกว่าเป็นยาหอม กินสักหน่อยก็คงไม่ถึงตายหรอก!”อวิ๋นฟางตกใจจนร้องไห้ รีบขอความเมตตา “ข้าผิดไปแล้ว นี่ไม่ใช่ยาหอม แต่เป็นยาปลุกกำหนัด ขอให้คุณชายจีผู้สูงศักดิ์อย่าถือโทษคนต่ำต้อยเลยเจ้าค่ะ คราวหน้าบ่าวจะนำเสื้อผ้ามาให้คุณชายที่ห้องด้วยตัวเองแน่นอนเจ้าค่ะ”จีเฉินไม่ชอบบังคับขืนใจผู้หญิง เขาต้องการความยินยอมสมัครใจ เขายื่นยากลับไปใส่มือนาง สูดดมฟุดฟิดที่ลำคอนางอย่างวิปริต งับติ่งหูของนางแล้วพ่นลมอุ่น ๆ ออกมา “หวังว่าเซี่ยซางจะทำให้เจ้าสมใจปรารถนาได้”อวิ๋นฟางรู้สึกร้อนขึ้นมาในทรวงอก นึกถึงภาพตอนที่เหิงอ๋องร่วมห้องกับพระชายารองซู ทันใดนั้
เมื่อเซี่ยซางกลับมา ไม่เห็นเงาเจียงเฟิ่งหัวที่หอหล่านเยว่ จึงถามสาวใช้ในเรือนว่าเจียงเฟิ่งหัวอยู่ที่ใดสาวใช้ตอบอย่างเคารพนบนอบ “พระชายาอยู่ที่ห้องครัวน่ะเพคะ”เขากลับห้องไปเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่บางเบาใส่สบาย อาบน้ำอาบท่าจนสะอาดแล้วจึงค่อยเดินไปทางห้องครัวบริเวณรอบห้องครัวมีข้ารับใช้รุมล้อมเต็มไปหมด จุดสนใจและสายตาของทุกคนล้วนอยู่ที่เจียงเฟิ่งหัว จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าเขามาเห็นท่าทางที่เจียงเฟิ่งหัวทำอาหารแล้ว เขาทั้งประหลาดใจ ดีใจ และกังวล เมื่อนึกถึงว่าในครรภ์นางมีลูกอยู่ เขาก็อยากก้าวเข้าไปห้าม แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเหล่าข้ารับใช้เฮขึ้นมาเขาก็มองดูจนเหม่อลอยไปชั่วขณะ ไม่เคยเห็นด้านนี้ของเจียงเฟิ่งหัวมาก่อนผ่านมานานขนาดนี้แล้ว นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเจียงเฟิ่งหัวในครัว ปกตินางไม่ถือหนังสือเปิดดูก็จะคัดลายมือ เต้นระบำหรือไม่ก็ดีดพิณ ชุดแม่ครัวน้อยวันนี้ทำให้ดูสวยงามไปอีกแบบผมของนางห่อไว้ด้วยผ้าสีเข้มผืนหนึ่ง ใบหน้าขาวใสปรากฏให้เห็นแก้มแดงระเรื่อ ดูแล้วยิ่งเหมือนลูกท้อที่มีสีแดงสวยงามแซมอยู่ในสีขาว บนหน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ซึมออกมาทุกอณู ดูเหมือนจะสาละวนอยู่ในครั
เหลียนเย่หยิบมาลองดม รู้สึกเพียงกลิ่นหอมสดชื่นโชยปะทะจมูก หอมยิ่งนัก “หากว่าคุณหนูมีของสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อเยาว์วัยก็คงดี ตอนเด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องฝันร้ายบ่อย ๆ อีก” อ้าวเสวี่ยถามเหลียนเย่ “เกิด อะไรขึ้นกับพระชายากันแน่ พวกเจ้ารับใช้พระชายามาตั้งแต่ยังเล็ก เคยเกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัวใดขึ้นกับนางมาก่อนหรือไม่?” “ไม่มี คุณหนูมีชีวิตเป็นสุขดีมาตลอด หากว่ายาหอมคืนเรือนสามารถช่วยให้คุณหนูไม่ต้องฝันร้ายอีกเช่นนั้นก็ดีมากแล้วจริง ๆ” ที่เหลียนเย่กล่าวมาเป็นความจริง เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากเจียงเฟิ่งหัวตื่นขึ้นมาแล้วนางดูปกติคล้ายว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน เห็นอ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เฝ้าอยู่ในห้องของนาง นางก็เหยียดตัวบิดขี้เกียจพลางกล่าวว่า “เมื่อคืนหลับสบายจริง ๆ ข้ารู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง ร่างกายสดชื่นดีมาก พวกเจ้าได้จุดกำยานอะไรเอาไว้หรือไม่?” เหลียนเย่เห็นนางลืมเรื่องเมื่อคืนที่ละเมอร้องไห้ในความฝันไปก็ถามขึ้นว่า “พระชายาจำอะไรไม่ได้เลยหรือเพคะ?” “ข้าต้องจำอะไรได้หรือ?” เจียงเฟิ่งหัวประคองท้องของตนเองเดินลงมาจากเตียงพลางเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนข้ากับเจ้านอนด้วยกัน” “ใช่แล้วเพค
ครั้นส่งสี่หมัวมัวออกไปแล้ว เจียงเฟิ่งหัวเองก็มิอาจใจเย็นอยู่เฉยได้ ซูถิงหว่านต้องมีความทรงจำจากเมื่ออดีตชาติแล้วแน่ ซูถิงหว่านรู้แล้วว่าหลังจากนี้นางจะได้เป็นฮองเฮา เพราะฉะนั้นนางถึงได้ไม่เกรงกลัวเพราะมีสิ่งยึดเหนี่ยว หากมิใช่เพราะการตายของจีเฉินทำให้การเดินทางของนางล่าช้า นางอาจจะมุ่งหน้าไปเขตชายแดนเพื่อรวมตัวกับคนสกุลซูแล้วก็ได้ นางมิอาจเอาความโปรดปรานของเซี่ยซางมาเดิมพันว่าตำแหน่งของนางจะมั่นคง เมื่อวานฝ่าบาทนอกจากพระราชทานสิ่งล้ำค่าให้กับนางเพื่อเป็นรางวัลแล้ว ยังพระราชทานป้ายอาญาสิทธิ์ทองคำส่วนพระองค์ป้ายหนึ่งให้กับนางด้วย ด้านบนมีอักษรเขียนว่า ‘เสมือนฮ่องเต้เสด็จ’ มีมันแล้ว นางก็สามารถเดินผ่านได้ทุกที่ในวังหลวงแม้กระทั่งทั่วทั้งใต้หล้า ตอนแรกนางงุนงงอยู่เล็กน้อย ต่อมาเฉากงกงถึงได้เร่งให้นางรีบกล่าวขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทได้ สัญลักษณ์ของผู้ที่ได้รับป้ายทองอาญาสิทธิ์อันนี้ก็คืออำนาจ คือความไว้เนื้อเชื่อใจที่ฝ่าบาทมีต่อนาง “พระชายา ท่านเป็นอะไรไปเพคะ หน้าซีดเชียวเพคะ” เหลียนเย่เห็นนางเงียบไปนาน เหม่อลอยอยู่ตามลำพัง “เปล่า อาจเพราะเหนื่อยล้าเกินไปหน่อยกระมัง ข
สี่หมัวมัวตกใจกลัวตัวสั่น รีบยั้งปากทันใด ครั้นมาถึงด้านในตำหนักเฉินซี เจียงเฟิ่งหัวก็สั่งให้เหลียนเย่ปิดประตูทันที ทิ้งให้อยู่ในห้องกับสี่หมัวมัวลำพัง เห็นเพียงนางสีหน้าเยือกเย็น พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “สี่หมัวมัว เจ้าคงจะทราบดีว่าคำพูดเมื่อครู่ของเจ้ามีโทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ บัดนี้เสด็จพ่อมีพระพลานามัยแข็งแรงดี ตำแหน่งองค์รัชทายาทยังมิได้แต่งตั้ง เจ้ากลับเผยแพร่คำพูดเหล่านี้โดยพลการ มิเพียงเจ้าจะรักษาศีรษะของเจ้าไว้ไม่ได้ แม้แต่เสด็จแม่ ท่านอ๋องและข้าก็จะพลอยได้รับเคราะห์จากคำพูดประโยคนี้ของเข้าไปด้วย” สี่หมัวมัวตกใจกลัวจนเหงื่อเย็นไหลพราก ๆ “บ่าวทราบเพคะ ดังนั้นบ่าวถึงได้เก็บงำไว้ในใจมาตลอด บางคำมิได้พูด บ่าวเองก็ทุกข์ใจเพคะ หนนี้ถึงได้อยากแจ้งพระชายา อยากให้พระชายาช่วยโน้มน้าวฮองเฮาด้วยเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างจงใจ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าถ้อยคำเหล่านี้พระชายารองซูเอ่ยกับเสด็จแม่ เจ้ามิได้โป้ปดจริงแน่หรือ” สี่หมัวมัวเล่าอย่างละเอียดไม่มีปิดบัง “ถ้อยคำเหล่านี้บ่าวมิได้เป็นคนพูดเพคะ บ่าวจะกล้าพูดแบบนี้ออกไปได้อย่างไรเพคะ และมิใช่ฮองเฮาเป็นคนตรัสด้วยเพคะ ถ้อยคำเห
ผ่านไปสองวัน ซูถิงหว่านยังไม่กลับมา สุดท้ายแล้วนางเลือกเดินซ้ำรอยเดิมของชาติก่อนติดตามเซี่ยซางไปที่เขตชายแดน และที่น่าขันคือข่าวนี้เฉิงฮองเฮาเป็นคนมาบอกนางด้วยตนเอง ได้ยินเฉิงฮองเฮากล่าวว่า “พระชายารองซูไปที่เขตชายแดนเพื่อช่วยซางเอ๋อร์ทำศึก ซางเอ๋อร์เองก็จำเป็นต้องมีสตรีสักคนคอยดูแลอยู่เคียงข้างกาย ส่วนเจ้าก็ท้องแก่แล้ว ข้าจึงอนุญาตให้นางไป หรวนหร่วนเจ้าคงไม่กล่าวโทษข้ากระมัง” เจียงเฟิ่งหัวผุดยิ้มน้อย ๆ พลางเอ่ยว่า “เสด็จแม่ทรงคิดรอบคอบ ท่านอ๋องมีคนเอาใจใส่อยู่เคียงข้างกายสักคนก็นับว่าดีเพคะ เพียงแต่เหมันต์ฤดูอากาศข้างนอกหนาวเย็นยิ่งนัก และอีกไม่นานก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว พระชายารองซูเป็นสตรีตัวคนเดียวเดินทางไปเช่นนั้นจะปลอดภัยหรือเพคะ” “นางมีวรยุทธ์ติดตัว และมีกองทัพสกุลซูปกป้องคุ้มครอง ปลอดภัยไร้กังวล เราเห็นว่านางก็มิได้มีท่าทีอิดออดอะไร” “เป็นเช่นนี้ก็ดียิ่งนักเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ฮองเฮาเปลี่ยนใจรวดเร็วเสียจริง ตอนแรกยังคัดค้านเซี่ยซางอย่างสุดกำลังไม่ให้พาสตรีไปออกศึก อ้างว่าจะไม่เป็นสิริมงคล ถึงขั้นทำลายความองอาจน่าเกรงขามของหัวหน้าแม่ทัพ ทว่าบัดนี้กลับอ
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น