จางอวี่มั่วผลัดอาภรณ์เรียบร้อยแล้ว นางที่ประทินโฉมใหม่อีกครั้งกำลังเฝ้าอยู่หน้าฉากบังลมกับเจียงหรูเมิ่ง นางฟังอย่างสับสนงุนงง แอบคิดในใจว่า “บาดแผลบนร่างของเขาถูกคนตีมาหรือนี่ เป็นผู้ใดกันที่ใจดำต้องการทำร้ายเขา แถมเขายังยอมรับการทุบตีนี้อย่างเต็มใจอีก”เจียงหรูเมิ่งยิ้มน้อยๆ ว่า “คุณหนูจางโปรดอย่าได้คิดมาก พี่ชายของข้าเป็นคนดี เพียงแต่ตอนวัยรุ่นเขาโชคร้ายเท่านั้น”“เรื่องเป็นเช่นใดหรือ?” นางถามเจียงหรูเมิ่งกล่าว “สรุปคือ พี่ชายของข้าไม่ใช่พวกที่ทรยศต่อความรักพวกนั้น ในอนาคต หากเขาเต็มใจจะเล่าให้ท่านฟัง ท่านก็จะเข้าใจเอง ทุกสิ่งล้วนเป็นการกลั่นแกล้งของโชคชะตา พี่ชายของข้าเป็นคนคิดมาก คุณหนูจางเป็นผู้ศึกษาตำราจึงเข้าใจหลักเหตุผลต่างๆ ดังนั้น ท่านโปรดเข้าใจและเห็นใจเขามากหน่อยเถิด หลายปีมานี้เขาตัวคนเดียวก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ ทั้งตั้งมุ่งมั่นร่ำเรียนวิชาแถมยังต้องดูแลเรื่องที่บ้านอีก”และเป็นเพราะน้องสาม สาวน้อยที่ราวกับผู้ใหญ่คนนั้นให้เขาออกไปก่อร่างสร้างกิจการข้างนอก ไม่เช่นนั้น ด้วยความรู้ความสามารถของเขา คงเข้ารับราชการเป็นขุนนางไปนานแล้ว และไม่แน่ว่าบัดนี้ก็คงประสบความสำเร็จสร้างผล
แต่ดอกไม้ไม่บานไปตลอดกาล คนก็ไม่โชคดีตลอดไปเช่นเดียวกัน บุรุษล้วนชอบของใหม่รังเกียจของเก่า นางคิดว่านางได้เป็นพระชายาเหิงอ๋องแล้วก็จะอยู่ฝนตำแหน่งได้อย่างมั่นคงตลอดไปกระนั้นหรือยังคงเด็กเกินไปจริงๆ!หลี่ฮูหยินย่อมไม่ตำหนิพระชายาเหิงอ๋องอย่างเปิดเผย เพราะไม่ว่าอย่างไรตอนนี้นางก็เป็นพระชายาของเหิงอ๋องนางจึงกล่าวว่า “คำกล่าวนี้ของพระชายาหมายความเยี่ยงใดกันเพคะ ตอนนั้นเป็นคุณชายใหญ่เจียงที่ทำร้ายลูกชายของข้า เขาทำร้ายคนก่อน ตามหลักเหตุผลแล้ว เขาต่างหากที่ควรกินข้าวคุก แถมยังเกาะๆ แกะๆ กับหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนอีก ช่างเสียทีที่เป็นบัณฑิต ดูท่ากฎระเบียบของสกุลเจียงก็คงไม่เคร่งครัดนัก นี่หากมิใช่เหิงอ๋องทรงไปช่วยพูดแทน ยามนี้คุณชายเจียงก็คงยังถูกขังอยู่ในคุกกระมังเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวทั้งไม่โมโหจนหน้าแดงก่ำหรือกริ้วโกรธ นางกล่าวเบาๆ ด้วยแววตาที่สงบมั่นคงว่า “อ้อ ดูเหมือนทุกคนจะลืมคดีหญิงสาวหายตัวที่สกุลหยางก่อเมื่อครึ่งปีก่อนไปแล้ว ที่หลี่ฮูหยินรักและปกป้องบุตรชายของตนมากเกินไปเช่นนี้ ข้าเดาว่าคุณชายหลี่ก็คิดจะเลียนแบบหรือไม่กันนะ! ดังคำกล่าวที่ว่าสามขวบบอกอายุ เจ็ดขวบบอกสันดาน ลักษณะขอ
ฮูหยินผู้เฒ่าซูไม่รู้ว่าเหตุใจจู่ๆ นางจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา นางก็เดาใจเจียงเฟิ่งหัวไม่ถูก เมื่อครู่นางบีบหลี่ฮูหยินจนพูดไม่ออกโดยไม่เห็นแก่หน้าสกุลหลี่เลยสักนิด ท่าทางกดข่มบีบคั้นผู้คนเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกรังเกียจนักเดิมนางคิดว่าเจียงเฟิ่งหัวเป็นเพียงบุตรสาวของขุนนางบุ๋นผู้หนึ่งเท่านั้น คิดไม่ถึงว่านิสัยจะแข็งกร้าวเพียงนี้ อายุยังน้อยเช่นนี้ก็ปากคอเราะรายขนาดนี้แล้วเจียงเฟิ่งหัวเห็นนางไม่ตอบ ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าซูมิได้พาหลานชายมาร่วมงานเลี้ยงด้วยคนหนึ่งหรอกหรือ ท่านฮูหยินผู้เฒ่าคงมิได้คิดจะทำการสู่ขอให้คุณชายจีหรอกนะ!” อาศัยเขาก็คิดจะแต่งกับหลานสาวของท่านกั๋วกงอย่างนั้นหรือ การกระทำเช่นนี้ของฮูหยินผู้เฒ่าซูคิดจะดูถูกจางกั๋วกง หรือจงใจสร้างเรื่องกันแน่คนตาดีแค่มองก็รู้ว่า ฮูหยินผู้เฒ่าซูมิใช่คนดีกระไร“แน่นอนว่าไม่ใช่ เขาก็ไม่ใช่หลานชายแท้ๆ ของข้าเสียหน่อย พระชายาเหิงอ๋องโปรดอย่ากล่าววาจาอย่างไร้มูล” กระแสโทสะฮูหยินผู้เฒ่าซูคุกรุ่น เมื่อครู่นางก็พูดถึงเรื่องที่เฉินแต่งหญิงรับใช้ของจวนเหิงอ๋องเป็นภรรยาไปแล้ว ตอนนี้ยังพูดขึ้นมาอีก เจียงเฟิ่งหัวจงใจหาเรื่องชัดๆฮูหย
ฮูหยินผู้เฒ่าซูไม่ได้คิดมาก นางคิดแต่จะเล่นงานเจียงเฟิ่งหัวเท่านั้น อันที่จริงแล้วซูเซวี่ยนเคยแต่งภรรยามาก่อน และยังแต่งถึงสองรอบด้วย ทว่าภรรยาทั้งสองคนล้วนจากโลกนี้ไปหมดแล้ว การแต่งกับจางอวี่มั่วถือเป็นการแต่งภรรยาเอกคนที่สาม แต่หากเขาไม่พูด คนสกุลซูไม่บอก ก็จะไม่มีผู้ใดรู้ที่เจียงเฟิ่งหัวรอก็คือคำนี้ นางวางแผนมาสิบปี ที่ระวังก็คือคนสกุลซู แล้วจะไม่ตรวจสอบลำดับสายตระกูลของตระกูลซูให้ชัดเจนได้อย่างไรอีกหลายปีข้างหน้า ซูเซวี่ยนจะได้กุมอำนาจทางทหารจริงๆ วิธีการของเขาโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่ใช่คนดีมีคุณธรรม ชาติก่อนเป็นเพราะมีซูถิงหว่านคอยกระซิบอยู่ข้างหมอน ซูเซวี่ยนจึงยังได้เป็นแม่ทัพใหญ่พิทักษ์แผ่นดินด้วยในชาตินี้ เขาก็เป็นหนึ่งในศัตรูอันแข็งแกร่งที่เจียงเฟิ่งหัววางแผนจะต่อกรด้วยแต่นางคิดไม่ถึงว่า ในชาตินี้ ฮูหยินผู้เฒ่าซูจะให้ซูเซวี่ยนแต่งจางอวี่มั่วเป็นภรรยานางคิดว่า ชะตาของจางอวี่มั่วได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ดังนั้นจึงได้ดึงซูเซวี่ยนเข้ามาพัวพันด้วยเจียงเฟิ่งหัวกล่าวเรียบๆ ว่า “อย่างนั้นหรือ?” ถึงขนาดทำภรรยาตายไปสองคนแล้ว ยังบอกว่าไม่มีอีกในเวลานั้นเอง ฮูหยินผู้เฒ่าจางก็เดินอ
วันนี้ พระชายาองค์ชายสามนำของขวัญมาที่จวนเหิงอ๋อง “เฟิ่งหัว ยินดีด้วย!”เจียงเฟิ่งหัวยิ้มบางๆ “เหตุใดพี่สะใภ้สามถึงล้อคนเป็นแบบพวกเขาด้วยเล่า”“เหิงอ๋องสร้างความชอบในการบรรเทาภัยพิบัติ ฝ่าบาททรงดีพระทัยอย่างยิ่ง เดิมก็เป็นเรื่องดีนี่นา” พระชายาองค์ชายสามกล่าวต่ออีกว่า “เหิงอ๋องจากเมืองหลวงไปสองเดือนแล้ว น่าจะใกล้กลับมาแล้วกระมัง!”เจียงเฟิ่งหัวรินชาให้นาง “พอจัดการงานทางเจียงหนานเสร็จก็น่าจะกลับมาแล้ว”พระชายาองค์ชายสามยิ้มแย้มอย่างเบิกบาน “เหิงอ๋องก่อตั้งหอการกุศลขึ้นมา ได้รับการยกย่องจากเหล่าบัณฑิตและนักปราชญ์จำนวนมาก กล่าวกันว่าเหิงอ๋องมีจิตเมตตาต่อมวลชน เป็นบุญของราษฎร และยังมีคนกล่าวว่า พระชายาของเหิงอ๋องไม่เพียงมีรูปโฉมงดงาม ยังมีจิตใจดุจพระโพธิสัตว์ ส่วนเหิงอ๋องก็หล่อเหลาสง่าไม่ธรรมดา ไอหยา พวกเจ้าสองสามีภรรยาช่างเป็นคู่สร้างคู่สมที่สวรรค์สรรค์สร้างจริงๆ…”“หากพี่สะใภ้สามยังกล่าวคำพูดยกยอพวกนี้กับเฟิ่งหัวอีก ข้าจะไม่ต้องรับท่านแล้วนะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวต่อว่า “พี่สะใภ้สามสิ่งใดก็กล่าวมาตามตรงเถิด”“อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่เหล่าฮูหยินสูงศักดิ์ทั้งหลายในเมื
พระชายาขององค์ชายสามนับเป็นผู้ที่มีความสามารถและเด็ดเดี่ยวนัก นางถึงกับช่วยองค์ชายสามรับชายารอง และยังมีอนุคอยปรนนิบัติอีก บัดนี้นางได้ให้กำเนิดทายาทถึงสามคนแล้ว แต่ชายารองและอนุนางอื่นต่างมิได้คลอดสักคน นี่ก็เพราะพวกนางล้วนคนที่นางแอบวางไว้ข้างกายเพื่อให้บุรุษใช้แก้เบื่อเท่านั้น นางถึงจะเป็นภริยาเอก เมื่อมีลูกแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็สั่นคลอนตำแหน่งของนางไม่ได้“เฟิ่งหัวนับถือพี่สะใภ้สามนัก พี่สะใภ้เป็นผู้ที่มองเรื่องราวได้กระจ่างจริงๆ” เจียงเฟิ่งหัวยิ้มอย่างผ่อนคลาย“เจ้าอย่าได้เปลี่ยนเรื่อง ข้าเห็นว่าสาวใช้ข้างกายเจ้าสองคนนั้นล้วนไม่เลว ก็ไม่เคยคิดจะให้พวกนางช่วยเจ้าหรือ” พระชายาองค์ชายสามกล่าว“ท่านพูดถึงหงซิ่วกับเหลียนเย่หรือ?”“ปกติยามออกเรือน บ้านเดิมล้วนจะจัดหาสาวใช้ที่หน้าตาดีสองสามคนแต่งมาเป็นสินเดิมด้วย คนที่รับใช้ข้างกายเจ้าก็น้อยเกินไปแล้ว พวกเราเป็นพระชายา อย่างน้อยข้างกายต้องมีสาวใช้ขั้นหนึ่งสี่คนคอยปรนนิบัติ แบบนี้ ต่อให้ยกขึ้นเป็นอนุคนสองคนก็ยังเหลือคน” พระชายาองค์ชายสามถ่ายทอดประสบการณ์ให้นางตอนที่เจียงเฟิ่งหัวออกเรือน มารดาของนางก็คิดถึงจุดนี้แล้วเช่นกัน แต่ถูกนางปฏิเ
เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางมีรูปโฉมงดงามสดใส มีลักษณะของสตรีเจียงหนานอยู่หลายส่วน ในดวงตาก็มีความหยิ่งทระนงบางส่วน ภายในใจของนางก็กระตุกขึ้นมา ยิ้มน้อยๆ ว่า “เจ้าเป็นผู้ใดกัน?”“หม่อมฉันมีนามว่าเย่ซู่ซู่ คนที่บ้านล้วนถูกน้ำพัดหายเสียชีวิตไปหมดแล้วเพคะ บัดนี้เหลือเพียงหม่อมฉันเพียงคนเดียว ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง โชคดีที่ได้เหิงอ๋องทรงให้ความช่วยเหลือ พระคุณที่ทรงช่วยชีวิต หม่อมฉันไร้สิ่งใดตอบแทน หม่อมฉันจึงคิดจะขายตัวเป็นบ่าว ขอพระชายาโปรดรับซู่ซู่ไว้ด้วยเถิดเพคะ” เย่ซู่ซู่คุกเข่าอยู่บนพื้นโขกศีรษะติดต่อกัน น้ำเสียงที่อ่อนแอ อ่อนละห้อยอย่างน่าสงสารนั้น เสนาะหูราวดั่งระฆังเงินเจียงเฟิ่งหัวมีสีหน้าสงบนิ่ง นางมองไปยังเซี่ยซาง “ท่านอ๋องทรงคิดเห็นอย่างไรเพคะ?”“ตอนนี้ข้างกายของหรวนหร่วนมีเพียงหงซิ่วกับเหลียนเย่เป็นสาวใช้ประจำกายสองคนเท่านั้น มีคนปรนนิบัติเพิ่มอีกสักสองสามคนก็ยังได้” เซี่ยซางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “แต่สุดท้ายจะเก็บนางไว้หรือไม่ หรวนหร่วนก็ตัดสินใจเองเถิด”เก็บสาวใช้ที่หน้าตาดีเช่นนี้ไว้ข้างกาย แถมยังมีเจตนาซ่อนเร้นอีก! แม้แต่เซี่ยซางก็คิดจะเก็บนางไว้ นางมีความสามารถเ
เซี่ยซางลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วชะโงกกายมาที่เบื้องหน้าของนาง บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยไรหนวด แต่กลับไม่สูญเสียความหล่อเหลา ให้ความรู้สึกงดงามแบบดิบเถื่อนชนิดหนึ่งน้ำเสียงของเขานุ่มนวลและอ้อยอิ่ง ดวงตาอันแสนลึกซึ้งคู่นั้นเปล่งกายแวววาวดุจแก้วเจียระไน “ดูเหมือนเจ้าไม่พอใจอยู่บ้าง กำลังโมโหอยู่หรือ?”ความเคลื่อนไหวบนมือของเจียงเฟิ่งหัวชะงักเล็กน้อย นางรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องมีสตรีจำนวนมาก และก็มิได้โมโห เพียงแต่สะท้อนใจที่พระชายาองค์ชายสามช่างพูดได้ตรงจุดเหลือเกิน กล่าวเพียงประโยคเดียวก็ตรงสถานการณ์ทันที นางกล่าวอย่างเรียบๆ ว่า “มิได้เพคะ”เซี่ยซางตวัดจมูกของนาง “หลอกลวงข้าต่อหน้าข้า เจ้าไม่กลัวข้าจะลงโทษเจ้าหรือไร”เจียงเฟิ่งหัวเบิกตากว้าง “ท่านอ๋องจะลงโทษหม่อมฉันด้วยเรื่องใดเพคะ? ทรงพาสตรีกลับมาทำให้ผู้อื่นไม่พอใจแท้ๆ ยังจะมาลงโทษหม่อมฉันอีก ใต้หล้านี้ยังจะมีที่ให้หม่อมฉันถกเหตุผลอีกไหมเพคะ”นางโยนผ้าเช็ดหน้าลงบนร่างของเขา “ท่านอ๋องทรงอาบเองเถิดเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวเบี่ยงร่างออกไป แม้นางจะตั้งครรภ์แล้ว แต่รูปร่างยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง เสื้อและกระโปรงที่หลวมไม่รัดแน่นทำให้มอง
เหลียนเย่หยิบมาลองดม รู้สึกเพียงกลิ่นหอมสดชื่นโชยปะทะจมูก หอมยิ่งนัก “หากว่าคุณหนูมีของสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อเยาว์วัยก็คงดี ตอนเด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องฝันร้ายบ่อย ๆ อีก” อ้าวเสวี่ยถามเหลียนเย่ “เกิด อะไรขึ้นกับพระชายากันแน่ พวกเจ้ารับใช้พระชายามาตั้งแต่ยังเล็ก เคยเกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัวใดขึ้นกับนางมาก่อนหรือไม่?” “ไม่มี คุณหนูมีชีวิตเป็นสุขดีมาตลอด หากว่ายาหอมคืนเรือนสามารถช่วยให้คุณหนูไม่ต้องฝันร้ายอีกเช่นนั้นก็ดีมากแล้วจริง ๆ” ที่เหลียนเย่กล่าวมาเป็นความจริง เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากเจียงเฟิ่งหัวตื่นขึ้นมาแล้วนางดูปกติคล้ายว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน เห็นอ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เฝ้าอยู่ในห้องของนาง นางก็เหยียดตัวบิดขี้เกียจพลางกล่าวว่า “เมื่อคืนหลับสบายจริง ๆ ข้ารู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง ร่างกายสดชื่นดีมาก พวกเจ้าได้จุดกำยานอะไรเอาไว้หรือไม่?” เหลียนเย่เห็นนางลืมเรื่องเมื่อคืนที่ละเมอร้องไห้ในความฝันไปก็ถามขึ้นว่า “พระชายาจำอะไรไม่ได้เลยหรือเพคะ?” “ข้าต้องจำอะไรได้หรือ?” เจียงเฟิ่งหัวประคองท้องของตนเองเดินลงมาจากเตียงพลางเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนข้ากับเจ้านอนด้วยกัน” “ใช่แล้วเพค
ครั้นส่งสี่หมัวมัวออกไปแล้ว เจียงเฟิ่งหัวเองก็มิอาจใจเย็นอยู่เฉยได้ ซูถิงหว่านต้องมีความทรงจำจากเมื่ออดีตชาติแล้วแน่ ซูถิงหว่านรู้แล้วว่าหลังจากนี้นางจะได้เป็นฮองเฮา เพราะฉะนั้นนางถึงได้ไม่เกรงกลัวเพราะมีสิ่งยึดเหนี่ยว หากมิใช่เพราะการตายของจีเฉินทำให้การเดินทางของนางล่าช้า นางอาจจะมุ่งหน้าไปเขตชายแดนเพื่อรวมตัวกับคนสกุลซูแล้วก็ได้ นางมิอาจเอาความโปรดปรานของเซี่ยซางมาเดิมพันว่าตำแหน่งของนางจะมั่นคง เมื่อวานฝ่าบาทนอกจากพระราชทานสิ่งล้ำค่าให้กับนางเพื่อเป็นรางวัลแล้ว ยังพระราชทานป้ายอาญาสิทธิ์ทองคำส่วนพระองค์ป้ายหนึ่งให้กับนางด้วย ด้านบนมีอักษรเขียนว่า ‘เสมือนฮ่องเต้เสด็จ’ มีมันแล้ว นางก็สามารถเดินผ่านได้ทุกที่ในวังหลวงแม้กระทั่งทั่วทั้งใต้หล้า ตอนแรกนางงุนงงอยู่เล็กน้อย ต่อมาเฉากงกงถึงได้เร่งให้นางรีบกล่าวขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทได้ สัญลักษณ์ของผู้ที่ได้รับป้ายทองอาญาสิทธิ์อันนี้ก็คืออำนาจ คือความไว้เนื้อเชื่อใจที่ฝ่าบาทมีต่อนาง “พระชายา ท่านเป็นอะไรไปเพคะ หน้าซีดเชียวเพคะ” เหลียนเย่เห็นนางเงียบไปนาน เหม่อลอยอยู่ตามลำพัง “เปล่า อาจเพราะเหนื่อยล้าเกินไปหน่อยกระมัง ข
สี่หมัวมัวตกใจกลัวตัวสั่น รีบยั้งปากทันใด ครั้นมาถึงด้านในตำหนักเฉินซี เจียงเฟิ่งหัวก็สั่งให้เหลียนเย่ปิดประตูทันที ทิ้งให้อยู่ในห้องกับสี่หมัวมัวลำพัง เห็นเพียงนางสีหน้าเยือกเย็น พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “สี่หมัวมัว เจ้าคงจะทราบดีว่าคำพูดเมื่อครู่ของเจ้ามีโทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ บัดนี้เสด็จพ่อมีพระพลานามัยแข็งแรงดี ตำแหน่งองค์รัชทายาทยังมิได้แต่งตั้ง เจ้ากลับเผยแพร่คำพูดเหล่านี้โดยพลการ มิเพียงเจ้าจะรักษาศีรษะของเจ้าไว้ไม่ได้ แม้แต่เสด็จแม่ ท่านอ๋องและข้าก็จะพลอยได้รับเคราะห์จากคำพูดประโยคนี้ของเข้าไปด้วย” สี่หมัวมัวตกใจกลัวจนเหงื่อเย็นไหลพราก ๆ “บ่าวทราบเพคะ ดังนั้นบ่าวถึงได้เก็บงำไว้ในใจมาตลอด บางคำมิได้พูด บ่าวเองก็ทุกข์ใจเพคะ หนนี้ถึงได้อยากแจ้งพระชายา อยากให้พระชายาช่วยโน้มน้าวฮองเฮาด้วยเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างจงใจ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าถ้อยคำเหล่านี้พระชายารองซูเอ่ยกับเสด็จแม่ เจ้ามิได้โป้ปดจริงแน่หรือ” สี่หมัวมัวเล่าอย่างละเอียดไม่มีปิดบัง “ถ้อยคำเหล่านี้บ่าวมิได้เป็นคนพูดเพคะ บ่าวจะกล้าพูดแบบนี้ออกไปได้อย่างไรเพคะ และมิใช่ฮองเฮาเป็นคนตรัสด้วยเพคะ ถ้อยคำเห
ผ่านไปสองวัน ซูถิงหว่านยังไม่กลับมา สุดท้ายแล้วนางเลือกเดินซ้ำรอยเดิมของชาติก่อนติดตามเซี่ยซางไปที่เขตชายแดน และที่น่าขันคือข่าวนี้เฉิงฮองเฮาเป็นคนมาบอกนางด้วยตนเอง ได้ยินเฉิงฮองเฮากล่าวว่า “พระชายารองซูไปที่เขตชายแดนเพื่อช่วยซางเอ๋อร์ทำศึก ซางเอ๋อร์เองก็จำเป็นต้องมีสตรีสักคนคอยดูแลอยู่เคียงข้างกาย ส่วนเจ้าก็ท้องแก่แล้ว ข้าจึงอนุญาตให้นางไป หรวนหร่วนเจ้าคงไม่กล่าวโทษข้ากระมัง” เจียงเฟิ่งหัวผุดยิ้มน้อย ๆ พลางเอ่ยว่า “เสด็จแม่ทรงคิดรอบคอบ ท่านอ๋องมีคนเอาใจใส่อยู่เคียงข้างกายสักคนก็นับว่าดีเพคะ เพียงแต่เหมันต์ฤดูอากาศข้างนอกหนาวเย็นยิ่งนัก และอีกไม่นานก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว พระชายารองซูเป็นสตรีตัวคนเดียวเดินทางไปเช่นนั้นจะปลอดภัยหรือเพคะ” “นางมีวรยุทธ์ติดตัว และมีกองทัพสกุลซูปกป้องคุ้มครอง ปลอดภัยไร้กังวล เราเห็นว่านางก็มิได้มีท่าทีอิดออดอะไร” “เป็นเช่นนี้ก็ดียิ่งนักเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ฮองเฮาเปลี่ยนใจรวดเร็วเสียจริง ตอนแรกยังคัดค้านเซี่ยซางอย่างสุดกำลังไม่ให้พาสตรีไปออกศึก อ้างว่าจะไม่เป็นสิริมงคล ถึงขั้นทำลายความองอาจน่าเกรงขามของหัวหน้าแม่ทัพ ทว่าบัดนี้กลับอ
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น