บรรยากาศเช่นนี้และอารมณ์เช่นนี้ เฉิงฮองเฮาและคนสกุลเจียงล้วนดูสนิทสนมกลมเกลียว ทุกคนล้วนสนทนากันอย่างเบิกบานมีความสุข เฉิงฮองเฮาก็ทรงสนทนาเรื่องบ้านเรือนกับเหล่าสตรีในครอบครัวของขุนนางด้วย เวลานี้ ซูถิงหว่านเดินมาถึงเบื้องหน้าเฉิงฮองเฮา แล้วคารวะด้วยความนอบน้อม “ถวายบังคมเพคะฮองเฮา” นางเป็นตัวแทนของสกุลซู เพียงแต่น่าเสียดายที่มีเพียงฝ่ายชายของสกุลซูเท่านั้นที่มาร่วมงานเลี้ยง ด้วยฐานะของอนุหลิ่วไม่มีสิทธิ์เข้ามาในวังได้อยู่แล้ว มิเช่นนั้นคงเป็นการตบหน้าซูฮูหยินผู้ซึ่งอยู่เขตชายแดนแสนไกลตอนนี้อย่างเจ็บแสบ เฉิงฮองเฮามิอาจชักสีหน้าใส่ซูถิงหว่าน อย่างไรเสียฝ่าบาทก็ทรงยกย่องบิดาและพี่ชายใหญ่ของนางเสมือนแขกผู้ทรงเกียรติ อีกทั้งนางก็ยังเป็นพระชายารองของเหิงอ๋องด้วย นับว่าเป็นลูกสะใภ้ของนางเช่นกัน เฉิงฮองเฮาผุดยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “หวานหว่านเองก็มิต้องมากพิธี ลุกขึ้นมานั่งด้วยกันเถิด” เมื่อถ้อยคำนี้ถูกเอื้อนเอ่ยออกมา สีหน้าของคนสกุลซูแข็งไปเล็กน้อย แต่กระนั้นรอยยิ้มก็กลับมาประดับบนใบหน้าอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว พร้อมสละที่นั่งให้ ทุกคนล้วนชอบการซุบซิบนินทา พอลองยกพระชายาเหิงอ๋องแล
พระชายาอ๋องสี่ก็มีท่าทางอ่อนโยนสง่างามเช่นกัน แน่นอนว่าการมารับรางวัลตามความดีความชอบในครั้งนี้ย่อมไม่มีส่วนของนาง และนางก็มิได้ยินดีที่จะทำเรื่องเหล่านี้ที่สมควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ใส่ใจของบ่าวรับใช้ นางยังคงวางมาดของพระชายาอ๋องสี่ไว้ ใครขอให้นางนับญาติกับจวนจางกั๋วกงเล่า หลังจากจางกั๋วกงสองสามีภรรยาเสียชีวิต นางยังรู้สึกว่านับแต่ฮ่องเต้องค์ก่อนครองราชย์ทั้งตระกูลของจางซื่อก็สูงศักดิ์และทรงเกียรติ ทว่านางกลับต้องแต่งแก่คนไร้ค่าอ่อนแอไร้ความสามารถอย่างอ๋องสี่ พระชายาอ๋องสี่แอบเหลือบสายตามองเซี่ยซางซึ่งอยู่ห่างออกไป นางรู้สึกมาตลอดว่าอ๋องห้าจะต้องมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่แน่ และก็เป็นจริงอย่างที่คาดไว้บัดนี้นำทัพออกศึก แม้เป็นการรบครั้งแรกแต่ก็ได้ชัยชนะยิ่งใหญ่ ไม่มีใครล่วงรู้ความคิดในใจของนาง และนางก็ได้แต่ทอดถอนหายใจกับตนเองที่เลือกสมรสผิดคนไปแล้ว งานเลี้ยงฉลองดำเนินมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เจียงเฟิ่งหัวทูลต่อฮองเฮา “เสด็จแม่เพคะ มารดาของหม่อมฉันและฮูหยินทุกท่านก็อยู่ด้วย หม่อมฉันประสงค์จะเข้าไปทักทายพวกนางก่อนเพคะ” เฉิงฮองเฮาเคยพบมารดาเจียงเป็นการส่วนตัวมาแล้วหนึ่งครั้งเมื่อคราแรกที่ตัด
คนทั้งสองนอนจนอิ่มแล้วจึงมาถึงงานสายอย่างไม่เร่งร้อน ภายในห้องโถงที่จัดงานเลี้ยง คนทั้งหลายร่วมดื่มกันอย่างครึกครื้น เสียงขับร้องกับเสียงดนตรีสลับกันไปมาเพื่อเฉลิมฉลองต่อยุคสมัยอันสงบรุ่งเรือง แม้นักดนตรีจะบรรเลงทำนองที่สามารถสะกดให้คนเข้าสู่นิทราได้ และเหล่านางรำก็ร่ายรำไปมาอยู่เพียงไม่กี่ท่า แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สลักสำคัญ เพราะการคงอยู่ของพวกเขาล้วนเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่พิธีการที่ดำเนินไปอย่างพอเป็นพิธีเท่านั้นเซี่ยซางจับมือเจียงเฟิ่งหัวไปช้าๆ อย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย เมื่อทุกคนเห็นเหิงอ๋องและพระชายาเหิงอ๋องมาก็ต่างพากันทักทาย เยินยอเหิงอ๋องกับพระชายาว่ารักใคร่กันขึ้นทุกวัน บุรุษมากความสามารถส่วนสตรีก็งามล้ำบนใบหน้าของเจียงเฟิ่งหัวประดับไว้ด้วยรอยยิ้มอันสุภาพ อากัปกิริยางามสง่าสูงส่งเหนือธรรมดา พวกเขาราวกับเป็นตัวเอกตัวจริงของงานเลี้ยงในครั้งนี้ซูถิงหว่านนั่งอยู่ในงานเลี้ยงมองคนทั้งสองเดินเคียงข้างกันเข้ามา หัวใจของนางกำลังหลั่งโลหิต นางเป็นผู้ที่ควรอยู่ข้างกายเซี่ยซางคนนั้นชัดๆ เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นเจียงเฟิ่งหัวไปได้? บิดาและพี่ชายของนางกำลังนั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับฮ่องเต้
เซี่ยซางมองไปที่รังนกบนต้นไม้ ด้านในมีนกกางเขนสองตัวกำลังอิงแอบกันอยู่จริงๆ ในห้วงเวลานี้ ฉากนี้งดงามราวกับภาพวาด ชีวิตก็สงบสุขยิ่งนัก “ทว่าสุดท้ายนกก็เป็นเพียงนก พวกมันต้องการไม่มาก จึงสามารถยึดมั่นต่ออีกฝ่ายโดยไม่แปรเปลี่ยนได้”“ความรักที่หรวนหร่วนมีต่อท่านอ๋องก็คงมั่นไม่แปรเปลี่ยนเช่นกันเพคะ และหรวนหร่วนก็ต้องการไม่มากเช่นกันเพคะ” นางรับรู้ได้ถึงความจนใจในตอนที่เขากล่าวคำพูดพวกนั้นออกมา หัวใจของพวกเขายังคงมีระยะห่างระหว่างกัน เจียงเฟิ่งหัวข้ามไปไม่ได้ เซี่ยซางก็ไม่อาจมอบคำมั่นสัญญาให้นางได้เช่นกันแม้เป้าหมายของพวกเขาจะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่พวกเขาล้วนใช้วิธีของตนเองในการมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายนั้นเจียงเฟิ่งหัวพุ่งตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขาเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของเขา แล้วกล่าวคำพูดที่ไม่ตรงกับใจ “หลายเดือนมานี้ หม่อมฉันเฝ้ารอให้ท่านอ๋องกลับมาอย่างปลอดภัยอยู่ทุกวัน หม่อมฉันคิดถึงท่านอ๋องอยู่ตลอด ลูกของเราก็ด้วยเพคะ พวกเขาก็เฝ้ารอที่จะได้เห็นเสด็จพ่อของพวกเขาเช่นกัน ต่อให้ไม่อาจเป็นดั่งนกน้อย แต่แค่หรวนหร่วนได้รู้ว่าในใจของท่านอ๋องมีหรวนหร่วนอยู่ แค่นั้นก็พอใจแล้วเพคะ”เซี่ยซางก็ชอบฟังคำ
จู่ๆ หลินเฟิงก็โผล่ขึ้นมาเบื้องหน้าพวกนาง “แม่นางเหลียนเย่กำลังตำหนิท่านอ๋องอีกแล้วหรือ”เหลียนเย่มองสำรวจเขาทีหนึ่ง แล้วยอมรับอย่างผ่าเผยว่า “แน่นอนว่าย่อมตำหนิท่านอ๋องของพวกท่านอยู่แล้ว”“ยิ่งกล้าหาญชาญชัยขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋อง เจ้าไม่กลัวท่านอ๋องเปลี่ยนเจ้านายให้เจ้าหรือ” หลินเฟิงจงใจแกล้งนาง“เปลี่ยนเป็นใคร เปลี่ยนเป็นแม่นางเย่งั้นเหรอ?” เหลียนเย่ราวกับถูกเหยียบหางก็ไม่ปาน “นางเป็นเทพธิดาหรือไง! ท่านอ๋องถึงต้องได้รีบส่งสาวใช้ไปอยู่ข้างกายนาง ข้าจะติดตามใครยังไม่ถึงรอบให้ท่านอ๋องของพวกท่านมาจัดแจงกระมัง! ตอนนั้นองครักษ์หลินคำก็แม่นางเย่ สองคำก็แม่นางเย่ องครักษ์หลินคงไม่ได้ถูกใจนางเข้าเหมือนกันแล้วหรอกนะ!”“ข้าก็ไม่ได้หาเรื่องเจ้าเสียหน่อย เจ้าจะเสียงดังใส่ข้าทำไม ผู้ใดถูกใจนางกัน” หลินเฟิงรู้สึกน้อยใจแทบตายแล้ว กลับมาแล้วก็ไม่พูดต้อนรับสักคำ แถมยังพูดเรื่องที่ไม่มีมูลอีก พวกผู้หญิงล้วนไร้เหตุผลเช่นนี้กันหมดหรือ?“แน่นอนว่าคงมีคนถูกใจเข้าแล้วล่ะสิ!” นางคร้านจะสนใจเขาแล้ว นางได้ยินว่าท่านอ๋องปฏิบัติต่อเย่ซู่ซู่ไม่ธรรมดา เกรงว่าจวนอ๋องคงจะมีคนใหม่เพิ่มมาอีกแล้ว
เฉิงฮองเฮามีฐานะเป็นผู้นำแห่งวังหลังย่อมไม่อาจดึงบุตรชายไว้ไม่ยอมปล่อย นางต้องไปรับมือกับเหล่าขุนนางในราชสำนักและสตรีในครอบครัวของพวกเขา ยังต้องเข้าร่วมเลี้ยงต้อนรับเหล่าทหารสู่กลับเมืองกับฮ่องเต้ด้วยหลังเซี่ยซางหลุดพ้นจากการพัวพันต่างๆ นานาของเฉิงฮองเฮาได้ก็เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามให้หลังแล้ว เพราะเจียงเฟิ่งหัวกำลังตั้งครรภ์จึงได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ ให้นางไม่ต้องไปต้อนรับบรรดาแขกเหรื่อเหมือนพระชายานางอื่นๆในพระราชวังยิ่งยุ่งขิงไปหมด ผู้ดูแลของตำหนักทั้งหก รวมทั้งเหล่าขันทีและนางกำนัลล้วนเคลื่อนไหวไปมาท่ามกลางงานเลี้ยงเซี่ยซางดึงนางมุ่งหน้าไปทางตำหนักเฉินซีที่อยู่ตำหนักใน จากนั้นก็ไล่สาวใช้และองครักษ์ที่ตามเขามาออกไป มือข้างหนึ่งของเจียงเฟิ่งหัวถูกเขากุมไว้ มืออีกข้างปกป้องท้องไว้ ฝีเท้าดูเหมือนจะช้าไปอีกเล็กน้อยเขาเห็นนางเดินไม่ไหวแล้ว จึงถามนางว่า “ข้าอุ้มเจ้าดีหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวชี้ไปที่ท้องของตน “ยามนี้หม่อมฉันหนักกว่าหมูอีกเพคะ”เซี่ยซางกับไม่เชื่อเรื่องนี้ ขณะคิดจะลงมือ เจียงเฟิ่งหัวก็รีบเบี่ยงกายหลบ “หม่อมฉันรู้ว่าท่านอ๋องทรงอุ้มไหว เพียงแต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาพิเศษ อาจทำ