“เจ้าหมายความว่าหนังสือหมื่นประชาลงนามเป็นสิ่งที่เหิงอ๋องเตรียมการเอาไว้แต่แรกแล้ว” หลินอวี่รู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง “เขาทำแบบนี้ไม่กลัวว่าฮ่องเต้จะทรงกริ้วรึ?”“กฎหมายไม่ลงโทษคนหมู่มากนี่นา” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว “เขาร้องทุกข์เรียกร้องความยุติธรรมแทนราษฎร เรื่องยังวุ่นวายใหญ่โตปานนี้ ถ้าฮ่องเต้ทรงลงโทษเหิงอ๋องแล้วจะอธิบายต่อไพร่ฟ้าอย่างไรเล่า” อย่างไรเสียเซี่ยซางก็ไม่เคยได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เขาคงไม่สนใจอันใดอีกแล้วจึงทำเช่นนี้กระมัง!ทางด้านนี้ หลังจากเซี่ยซางง้อซูถิงหว่านเสร็จแล้ว ราชโองการจากในวังก็มาถึง ทว่าคนที่มาถ่ายทอดราชโองการกลับเป็นองค์ชายรองเซี่ยอวี้เซี่ยอวี้เห็นว่าซูถิงหว่านอยู่ข้างกายเซี่ยซางก็เสียดสีว่า “ผู้ดูแลเขตเมืองหลวงมาสืบคดีก็ไม่ลืมพาอนุคนงามมาด้วย พวกเจ้าช่างรักใคร่กันดีเหลือเกินนะ!”ซูถิงหว่านฟังออกว่าเซี่ยอวี้พูดจาเสียดสีจึงอธิบายว่า “อวี้อ๋องเข้าใจผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันมาเจอท่านอ๋องโดยบังเอิญ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องกำลังสืบคดีอยู่ที่นี่”เป็นเพราะเซี่ยซางอธิบายสถานการณ์ให้นางฟัง นางจึงรู้ว่าเซี่ยซางกำลังสืบคดีอยู่ เดิมยังคับข้องใจที่เซี่ยซางไม่ให้ความร่วมมือนา
สำนักหลิงอวิ๋นเมื่อเซี่ยซางมาถึงหน้าทางเข้าสำนัก บ่าวเฝ้าประตูไม่ได้ถามว่าเป็นใคร กลับเอ่ยทันที “เหิงอ๋องโปรดเชิญทางนี้ เจ้าสำนักของพวกเรารอท่านนานแล้ว”เซี่ยซางเต็มไปด้วยความสงสัย ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ฐานะของเขา เชื่อว่าน่าจะเตรียมการไว้แต่แรก เขาเดินตามบ่าวเฝ้าประตูเข้าไปในสำนักอย่างเงียบขรึมเมื่อเข้ามาในสำนักเขาจึงได้รู้ว่าด้านในแตกต่าง ลูกไม้แพรวพราวถานหว่านชิงเตรียมน้ำชาไว้แต่แรก เดินออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง “หม่อมฉันถานหว่านชิงคารวะเหิงอ๋องเพคะ”เซี่ยซางหันไปมอง หญิงสาวตรงหน้าซึ่งมีอายุประมาณยี่สิบปีเศษเท่านั้น นางสวมชุดทะมัดทะแมงสีดำทั้งชุด แต่งกายด้วยชุดของบุรุษ ดูเหมือนผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งเขาไม่อยากเชื่อว่าคนตรงหน้าคือเจ้าสำนักหลิงอวิ๋น“เจ้าสำนักถานเกรงใจเกินไปแล้ว ในสายตาเจ้าสำนักถานข้าคงเป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น” เขากล่าวต่อ “ขนาดเจ้ากรมอาญา พวกเจ้ายังสังหารโดยไม่ให้รู้ตัว”ถานหว่านชิงกล่าวด้วยแววตาจริงใจ “ตอนหยางจิ้งทำให้น้องสาวหม่อมฉันตายนางอายุเพียงสิบสองปีเท่านั้น ขณะที่นางตายเอาแต่ขอร้องตลอด แต่หยางจิ้งกลับไม่ได้หยุดพฤติกรรมเยี่ยงเดรัจฉานของเขา น้องสาวหม่อมฉันถูกเขาท
เซี่ยซางไม่อยากให้เรื่องราวใหญ่โตไปมากกว่านี้ ต่อให้คนของเขาสืบสาวมาถึงสำนักหลิงอวิ๋น เขาก็ไม่ได้ให้ใครรู้เขาเอ่ยเสียงเข้ม “สำนักหลิงอวิ๋น ข้าจะจำไว้”พูดจบ เขาก็เดินออกจากห้องรับแขกทันที เมื่อมาถึงด้านนอก จึงเห็นคนมามุงอยู่เต็มเรือน หนำซ้ำยังเป็นสตรีทั้งหมด สีหน้าพวกนางหวาดกลัว จ้องเขาตาไม่กระพริบเซี่ยซางถูกหญิงมากมายจ้องมอง อีกทั้งนึกถึงหญิงสาวร้อยกว่าคนที่ตายไป จู่ ๆ ในใจเขาหวาดกลัวเล็กน้อย ดูท่าคงต้องให้หลินเฟิงไปสืบที่มาของสตรีเหล่านี้ทว่าสุดท้ายกลับทำให้เซี่ยซางผิดหวัง หญิงเหล่านี้เป็นเพียงหญิงน่าสงสารที่ไม่มีบ้าน ถานหว่านชิงเองก็เป็นหญิงชาวบ้าน ที่ถูกหยางจิ้งทำร้ายจนบ้านแตกสาแหรกขาด ส่วนพวกหญิงสาวที่อยู่ในสำนักหลิงอวิ๋นถูกนางรับไว้ทั้งหมดสำนักหลิงอวิ๋นก็เป็นเหมือนศูนย์เมตตาธรรม......อีกด้านหนึ่ง เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับไปที่ทะเลสาบร้อยบุปผา งานชมบุปผาได้จบลงแล้วงานชมบุปผาปีนี้มีทั้งเรื่องประหลาดใจและเรื่องน่าเสียใจ ทุกคนพูดกันไปต่าง ๆ นานา “คุณชายใหญ่เจียงไม่มาร่วมงาน น่าเสียดายยิ่งนัก ปีก่อนที่เขาร่วมงาน เวลานี้งานชมบุปผาก็ยังไม่จบ ทุกคนแข่งกันจนไม่อยากกลับ เด็กรับ
ซูถิงหว่านมองไปตามสายตาของนาง พบกับเซียวอวี้กำลังจ้องมาทางพวกนางไม่วางตาเห็นเพียงบนเรือยังมีคุณชายอื่นกำลังดื่มสุรา บนเรือมีหญิงสาวดีดพิณผีผาพร้อมขับร้อง น้ำเสียงดังเข้าหู อ่อนหวานกังวานเจียงเฟิ่งหัวไม่ตอบนาง คล้ายกำลังตั้งใจฟังเสียงบรรเลงซูถิงหว่านดูแคลน “พวกเขาใช้ชีวิตเสพสุข มีสตรีคลอเคลีย แต่ทหารชายแดนกลับลำบากพายุทรายล้างหน้าแทนน้ำ ปกป้องบ้านเมือง ลำบากตรากตรำ ช่างไม่ต่างจากหญิงร้องเร่ไม่รู้ความแค้นแห่งการเสียชาติ ยังคงขับขานบทเพลงผ่านแม่น้ำ!”เสียงของนางไม่เบา ดึงดูดสายตาคนรอบข้างได้ทันที มีคนชื่นชมเมตตาจิตของนาง ที่มีคุณธรรมอันยิ่งใหญ่แต่ก็มีบางคนที่ดูแคลนนางที่สารแน ทำไมนางไม่ไปเฝ้าชายแดนเองล่ะนางสวมชุดทะมัดทะแมงสีแดง เรือนร่างสง่างาม เมื่อเทียบกับหญิงอื่นทำให้ดูนางแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเจียงเฟิ่งหัวกล่าวเสียงค่อย “มิได้ พระชายารองกล่าวเช่นนี้ดูเหมารวมไปทั้งหมด อคติเกินไป ทำให้ไม่เที่ยงตรง”ซูถิงหว่านพูดจาเถรตรง ไม่รู้จักแต่งโคลงกลอน ยิ่งไม่รู้จักพวกคำสร้อย “พระชายาเองก็เป็นบุตรสาวราชครู แต่กลับช่วยออกหน้าพูดแทนพวกนาง คงเสียเกียรติลูกคุณหนูตระกูลใหญ่”“ข้าไม่ได้ช่ว
“เซียวอวี้ ผู้ชนะในงานประชันบุปผา เรียนหนังสือเก่งมาก สหายอย่างเจ้าข้ากัวเซี่ยวคบแน่นอน” กัวเซี่ยวพูดเสียงดัง “แต่เจ้าจะแย่งคนงามกับข้าไม่ได้นะ”“คุณชายกัวระวังคำพูดด้วย” เซียวอวี้ยิ่งนอบน้อม พร้อมเอ่ยเตือนเสียงเข้มด้านหลังยังมีอีกสองประโยคไม่คิดยามนี้กลับต้องโศกาใช้พัดบังหน้า เฝ้ารอความรักจากราชาใต้เงาจันทร์ กัวเซี่ยวท่องกลอน ‘ความโศกาแห่งตำหนักตะวันตก’ ทำให้แคลงใจว่ากำลังหลอกล่อนางดั่งหญิงเปล่าเปลี่ยวในวัง เขาไม่อนุญาตให้ใครเกี้ยวเจียงเฟิ่งหัวต่อมา เขาหันไปยกมือคารวะเจียงเฟิ่งหัวเพื่อแสดงความเคารพ “ไม่ทราบว่าปีนี้คุณหนูสามก็มาร่วมงานชมบุปผาด้วย ข้านึกว่าหลังแต่งงานคุณหนูสามจะไม่ออกมาแล้ว คุณชายใหญ่เจียงดูเหมือนยังไม่กลับมา” เขาแอบดีใจ แม้จะเห็นนางเพียงแวบเดียวก็ยังดีใจ เพื่อปกปิดความในใจ เขายิ่งแสดงท่าทีนอบน้อมมีมารยาท“พี่ชายใหญ่ข้าไปเล่าเรียนที่แดนตะวันตก ตอนนี้ยังไม่กลับเมืองเซิ่งจิง แต่ก็น่าจะเร็วๆ นี้แล้ว” เจียงเฟิ่งหัวสีหน้าเรียบเฉย ไม่กลัวไม่เกรงเซียวอวี้กล่าวอีก “ปีที่ผ่านมาคุณชายใหญ่เจียงมางานชมบุปผาเป็นเพื่อนคุณหนูสาม ปีนี้เจ้ามาคนเดียว...”กัวเซี่ยวหันมองเซียวอวี้
เห็นเพียงเซี่ยซางขวางหน้านางกะทันหัน สายตาที่จ้องนางเยือกเย็นราวจะกินคน ไม่พูดกับนางสักคำหันหลังจากไปทันทีดวงตาเจียงเฟิ่งหัวไร้เดียงสา อยากพูดบางอย่างแต่สุดท้ายกลับไม่พูดสิ่งใดเห็นเพียงซูถิงหว่านรีบตามไปทันที “ท่านอ๋อง ท่านเสร็จธุระแล้ว! พวกเราไปท่องทะเลสาบกันดีกว่าเพคะ!”“อืม” เขาไม่หันหลัง สำหรับคำขอของซูถิงหว่านเขาล้วนรับปากทั้งสิ้น อีกทั้งไม่อยากกลับจวนเร็วขนาดนั้น พอดีเจียงเฟิ่งหัวอยู่ที่นี่ด้วยเดิมทีเขามีเรื่องบางอย่างอยากถามเจียงเฟิ่งหัว แต่เมื่อเห็นนางยักคิ้วหลิ่วตาให้ชายอื่น ทำให้เขาไม่อยากสนใจนาง เจียงเฟิ่งหัวไม่รู้ว่าตัวเองคือหญิงที่มีสามีแล้วหรือ?เจ้าคนแซ่เซียวนั่นมีสิทธิ์อะไรมายืนขวางนางแก้ปัญหาให้นาง เขารู้จักกับพี่ใหญ่ของนาง สนิทกับสกุลเจียงด้วยหรือไม่ พวกเขารู้จักกันแต่แรกแล้วหรือ...ขณะนี้ในหัวของเซี่ยซางเต็มไปด้วยคำถาม ซูถิงหว่านเดินมาขวงแขนเขา เขาก็ยังไม่รู้สึกตัวเมื่อเห็นพวกเขาเดินออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นเจียงเฟิ่งหัวเดินย้อนไปอีกทาง ในไม่ช้านางหายไปท่ามกลางฝูงชนรอให้เซี่ยซางรู้สึกตัวหันกลับมาดูว่าเจียงเฟิ่งหัวตามไม่ทันก็สายไปเสียแล้วกำลังจะเอ่
หงซิ่วกับเหลียนเย่รีบเข้าไปประคอง เมื่อเห็นแผ่นหลังอวิ๋นฟางวิ่งหนีอย่างลนลาน มุมปากนางยิ้มเย็น ปากของกลุ่มชายเมาเหล้าร้องตะโกนตลอด “คนงาม เจ้าหนีทำไมเล่า มาให้พวกพี่ชายเอ็นดูเจ้าดี ๆ สักทีเถอะ!”ทันใดนั้นเมื่อเห็นความงามของเจียงเฟิ่งหัวก็ไม่อยากตามหญิงคนเมื่อครู่ไปอีก กลุ่มชายเมาเหล้าหันไปพูดจาหยาบโลนกับเจียงเฟิ่งหัวแทน “เหล่าสหาย ที่นี่มีสาวงามอีกสามคน”แววตาเจียงเฟิ่งหัวมีแต่ความผวาและหวาดกลัว หงซิ่วและเหลียนเย่ปกป้องนางไว้ด้านหลังพร้อมตะโกน “พวกเจ้าหลีกไป อย่าเข้ามานะ คุณหนู รีบหนีเร็วเจ้าค่ะ”เสียงของพวกนางดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบข้าง แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ดื่มเหล้าเมามาย ใครก็ไม่อยากข้องเกี่ยว เพราะไม่มีใครอยากหาเรื่องใส่ตัวเจียงเฟิ่งหัวเองก็วิ่งไปทางทะเลสาบร้อยบุปผา เมื่อเห็นเซี่ยซางอยู่ด้านหน้า นางจึงล้มลงทันใด ดวงตาแดงก่ำมีน้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด ร่างกายหมอบลงกับพื้นและสั่นงก ๆ เซี่ยซางที่รีบมาเห็นภาพเจียงเฟิ่งหัวอ่อนแอบอบบางเข้าพอดี เขาโกรธแค้นมาก ดวงตาราวกับจะมีไฟลุกโชน เขารีบเดินดุ่มเข้าไปตรงหน้าเจียงเฟิ่งหัวพร้อมเรียกขานเสียงค่อย “หรวนหร่วน”
หลังขึ้นรถม้า ซูถิงหว่านกล่าวเสียงค่อย “พระชายางดงามเพียงนั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกหมายปอง โชคดีที่ไม่เกิดเรื่องราวใหญ่โต หม่อมฉันกับท่านอ๋องเป็นห่วงแทบแย่ คราวหน้าพระชายาจะไปที่ใดต้องแจ้งพวกเราก่อน ท่านจากไปโดยพลการเช่นนี้อันตรายเกินไปเพคะ”ความหมายแฝงคือต้องโทษเจียงเฟิ่งหัวที่งดงามเกินไปจึงทำให้ผู้คนหวังผลจากนาง เตือนสติเซี่ยซางว่าเจียงเฟิ่งหัวมีความคลุมเครือกับชายอื่น นางหนีไปโดยพลการจึงพบกับชายเมาเหล้า ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของเจียงเฟิ่งหัวเจียงเฟิ่งหัวจ้องซูถิงหว่านกะทันหัน พร้อมสอบถาม “ความหมายของพระชายารองซูคือข้าผิดที่เกิดมางาม ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดข้าหรือ”ซูถิงหว่านชะงักไป ก่อนจะรีบอธิบาย “หม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น พระชายาอย่าโกรธเคือง หม่อมฉันไม่ทันได้คิด ใจร้อนชั่วขณะจึงพูดออกไป ไม่ได้ตั้งใจ...”เจียงเฟิ่งหัวไล่ต้อนอย่างไม่ลดละ “พระชายารองซูช่างไร้เดียงสายิ่ง แค่คำว่าไม่ตั้งใจก็ทำให้ผู้อื่นตกสู่หุบเหวลึกไม่เห็นก้น พระชายารองซูเองก็เป็นสตรี เจ้าควรรู้ว่าชื่อเสียงสำคัญมากเพียงใดต่อสตรีคนหนึ่ง”“วันนี้ท่านอ๋องช่วยข้าไว้ ถือเป็นบุญของข้า แต่เหล่าหญิงสาวที่ถูกทำ
ส่วนความแค้นระหว่างสกุลเฉิงและสกุลซู เฉิงฮองเฮาวางความสำคัญไว้หลังเซี่ยซางแล้ว ขอเพียงเซี่ยซางได้เป็นฮ่องเต้ ไม่ว่าเรื่องอะไรนางสามารถละทิ้งไปก่อนชั่วคราวได้ทั้งสิ้น ซูถิงหว่านยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเซี่ยซางจะต้องได้เป็นฮ่องเต้ และนางก็เชื่อมั่นอย่างไร้ข้อกังขา รู้สึกว่าโอรสของตนเองมีความสามารถมากถึงเพียงนั้น สมควรได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัชทายาท เป็นฮ่องเต้ นางเฝ้ารอวันที่ว่านี้มายี่สิบกว่าปีแล้ว เฉิงฮองเฮาเปลี่ยนน้ำเสียงให้อบอบอุ่นอ่อนโยน “ความหมายของหรวนหร่วนคือ? แม่นางเหล่านี้ไม่ว่าด้วยอุปนิสัย รูปโฉมหน้าตา หรือชาติกำเนิดล้วนหาได้ยากยิ่ง หากพวกนางหมั้นหมาย หรือสมรสกับผู้อื่นไปแล้วจริง ๆ ก็เท่ากับว่าพลาดไปแล้ว ข้าเองก็คิดเพื่อซางเอ๋อร์นะ” นางยังเอ่ยด้วยเสียงที่เบาลงอีกว่า “หรวนหร่วน ความจริงข้าเองก็กำลังคิดว่าจะดึงขุนนางให้มาเป็นพวกพ้องของซางเอ๋อร์ เจ้าในฐานะภรรยาของเขา ก็น่าจะรู้ว่าบิดาของพวกนางมีความสำคัญในราชสำนักอย่างไรบ้าง” ได้ยินถึงตรงนี้ เจียงเฟิ่งหัวอยากจะอาเจียนออกมาเต็มที คนที่ไม่รู้คงเข้าใจผิดไปกันใหญ่ว่านางกำลังเฟ้นหาลูกสะใภ้ให้ตนเอง ทั้งที่ความจริงแม่สามีเป็นคนลากลูกสะ
เฉิงฮองเฮาก็หยิบภาพเหมือนออกมาให้เจียงเฟิ่งหัว พลางอธิบายทีละใบว่าคนในภาพเป็นธิดาของขุนนางท่านใด หลังจากเจียงเฟิ่งหัวดูแล้ว ในบรรดาภาพเหมือนเหล่านั้นก็มีคนคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง ดูเหมือนว่านางจะเตรียมการทุกอย่างให้เซี่ยซางตามกฎเกณฑ์การคัดเลือกพระสนมจริง ๆ “สตรีที่เสด็จแม่ทรงเลือกมาเหล่านี้ งดงามเพริศพริ้งจริงเพคะ เพียงแต่ชาติกำเนิดของพวกนางจะไม่เอิกเกริกเกินไปหรือเพคะ ล้วนเป็นธิดาจากตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ทั้งสิ้น พวกนางจะยอมสมรสกับท่านอ๋องเป็นเพียงอนุภรรยาได้อย่างไรเพคะ เสด็จแม่หากไปสู่ขอแบบนี้ เกรงว่าจะหมางใจกับขุนนางได้นะเพคะ!” “ได้เป็นอนุชายาของซางเอ๋อร์ ถือเป็นวาสนาของพวกนางแล้ว” เฉิงฮองเฮาเริ่มอวดดีขึ้นมาบ้างแล้ว คอยให้โอรสของตนได้เป็นฮ่องเต้ พวกเขาจะต้องระริกระรี้อยากส่งบุตรีเข้าวังจนทนไม่ไหวแน่ เจียงเฟิ่งหัวได้ยินคำพูดนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก ตอนนางเชิญท่านแม่เข้าวังเมื่อครั้งแรก ก็แสดงท่าทางสูงส่งถือดีเช่นนี้เหมือนกัน ราวกับว่าการที่เจียงเฟิ่งหัวได้สมรสเป็นพระชายาของโอรสของนาง นับว่าเป็นโชคดีที่บรรพบุรุษได้สั่งสมบุญบารมีจุดธูปใหญ่บูชาสวรรค์มา ก่อนที่เฉิงฮองเฮาจะเล
แต่นางเล่า ก็ได้แต่ทนทรมานต่อไปแบบนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้หลุดพ้นออกมาเสียที ปัจจัยสำคัญคือบุตรชายไม่มีปัญญาจะไปแย่งชิงตำแหน่งนั้น มิเช่นนั้นนางเองก็… ฮองเฮาเห็นนางเงียบไปไม่พูดจา กระนั้นก็มิได้สั่งให้นางออกไป แต่ตรัสขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่า “ใกล้จะปีใหม่แล้ว พวกเจ้าทุกคนประสงค์จะฉลองวันปีใหม่อย่างไรหรือ ข้าขอย้ำประโยคนั้น อย่าฟุ่มเฟือยสิ้นเปลือง บัดนี้ที่เขตชายแดนกำลังทำศึกสงคราม พวกเรายิ่งสมควรมัธยัสถ์ ต่อหน้าสตรีทั้งใต้หล้าควรเป็นแบบอย่างที่ดี พวกเจ้าทุกคนจงจำไว้ พวกเราเป็นสตรีของฝ่าบาท จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้ผู้คนปฏิบัติตาม แต่ละตระกูลของพวกเจ้า ก็ให้พวกเจ้าทุกคนกลับไปดูแลควบคุมกันเอง…” เฉิงฮองเฮาพร่ำพูดแต่เรื่องเดิมราวกับกำลังท่องบทสวดภาวนา ถ้อยคำเหล่านี้พวกนางฟังจนเบื่อหน่ายแล้ว ทุกคนขานรับด้วยความนอบน้อมราวกับสายน้ำไร้ชีวิต “เพคะ หม่อมฉันน้อมรับพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาอย่างเคร่งครัดเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวมองดูแล้ว ก็รู้สึกจืดชืดไร้รสชาติ นางฉลองปีใหม่ที่จวนสกุลเจียงยังน่าสนใจมากกว่า คนทั้งเรือนล้อมวงกินอาหารด้วยกัน ท่านพ่อท่านแม่ยังมอบเงินแต๊ะเอียปีใหม่ให้พวกนางเหล่าพี่สาวน้อ
“หากเยี่ยนเฟยประสงค์จะพบพี่สะใภ้รอง ส่งคนไปตามนางก็ได้เพคะ เพียงแต่บัดนี้เสด็จพ่อทรงมอบราชกิจให้นาง และนางก็กำลังยุ่งมากเพคะ เกรงว่าจะไม่มีเวลาว่าเขาวังมาปรนนิบัติเยี่ยนเฟย มองจากพระวรกายของเยี่ยนเฟยแล้วเหมือนจะสบายดีเพคะ!” เจียงเฟิ่งหัวสุขุมเยือกเย็นมิได้ขุ่นเคือง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “จะอย่างไรก็ตาม ความไม่กตัญญูมีสามประการ การไร้ทายาทสำคัญที่สุด…” เยี่ยนเฟยเพิ่งเอ่ยปากออกมา ทันใดนั้น เหล่านางสนมจากในวังก็ทยอยเดินออกมา เห็นเพียงพวกนางแสดงความเคารพต่อเจียงเฟิ่งหัวอย่างนอบน้อมก่อนคนแรก “น้อมคารวะพระชายาเหิงอ๋อง” นางผุดยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “คารวะพระสนมทุกท่าน” เดิมทีวันนี้เป็นวันที่เหล่านางสนมในวังทุกพระองค์ต้องเข้ามาถวายบังคมต่อฮองเฮาในยามเช้า มองจากอาภรณ์แพรพรรณและการแต่งกายของพวกนางก็เห็นชัดเจนแล้วว่า ในระยะนี้นางสนมพระองค์ใดได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมากที่สุด ใบหน้าของพวกนางยิ่งเปล่งปลั่งแดงเรื่อ มากถึงขั้นฉายแววภาคภูมิใจอย่างเต็มที่ หย่าเฟยเป็นผู้คว้าชัยเหนือใครอย่างไม่ต้องสงสัย และนางก็ยังคงวางมาดงามสง่าในแบบองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ดังเดิม ทรวดทรงอรชรอ้อนแอ้น ด
เหลียนเย่หยิบมาลองดม รู้สึกเพียงกลิ่นหอมสดชื่นโชยปะทะจมูก หอมยิ่งนัก “หากว่าคุณหนูมีของสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อเยาว์วัยก็คงดี ตอนเด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องฝันร้ายบ่อย ๆ อีก” อ้าวเสวี่ยถามเหลียนเย่ “เกิด อะไรขึ้นกับพระชายากันแน่ พวกเจ้ารับใช้พระชายามาตั้งแต่ยังเล็ก เคยเกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัวใดขึ้นกับนางมาก่อนหรือไม่?” “ไม่มี คุณหนูมีชีวิตเป็นสุขดีมาตลอด หากว่ายาหอมคืนเรือนสามารถช่วยให้คุณหนูไม่ต้องฝันร้ายอีกเช่นนั้นก็ดีมากแล้วจริง ๆ” ที่เหลียนเย่กล่าวมาเป็นความจริง เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากเจียงเฟิ่งหัวตื่นขึ้นมาแล้วนางดูปกติคล้ายว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน เห็นอ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เฝ้าอยู่ในห้องของนาง นางก็เหยียดตัวบิดขี้เกียจพลางกล่าวว่า “เมื่อคืนหลับสบายจริง ๆ ข้ารู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง ร่างกายสดชื่นดีมาก พวกเจ้าได้จุดกำยานอะไรเอาไว้หรือไม่?” เหลียนเย่เห็นนางลืมเรื่องเมื่อคืนที่ละเมอร้องไห้ในความฝันไปก็ถามขึ้นว่า “พระชายาจำอะไรไม่ได้เลยหรือเพคะ?” “ข้าต้องจำอะไรได้หรือ?” เจียงเฟิ่งหัวประคองท้องของตนเองเดินลงมาจากเตียงพลางเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนข้ากับเจ้านอนด้วยกัน” “ใช่แล้วเพค
ครั้นส่งสี่หมัวมัวออกไปแล้ว เจียงเฟิ่งหัวเองก็มิอาจใจเย็นอยู่เฉยได้ ซูถิงหว่านต้องมีความทรงจำจากเมื่ออดีตชาติแล้วแน่ ซูถิงหว่านรู้แล้วว่าหลังจากนี้นางจะได้เป็นฮองเฮา เพราะฉะนั้นนางถึงได้ไม่เกรงกลัวเพราะมีสิ่งยึดเหนี่ยว หากมิใช่เพราะการตายของจีเฉินทำให้การเดินทางของนางล่าช้า นางอาจจะมุ่งหน้าไปเขตชายแดนเพื่อรวมตัวกับคนสกุลซูแล้วก็ได้ นางมิอาจเอาความโปรดปรานของเซี่ยซางมาเดิมพันว่าตำแหน่งของนางจะมั่นคง เมื่อวานฝ่าบาทนอกจากพระราชทานสิ่งล้ำค่าให้กับนางเพื่อเป็นรางวัลแล้ว ยังพระราชทานป้ายอาญาสิทธิ์ทองคำส่วนพระองค์ป้ายหนึ่งให้กับนางด้วย ด้านบนมีอักษรเขียนว่า ‘เสมือนฮ่องเต้เสด็จ’ มีมันแล้ว นางก็สามารถเดินผ่านได้ทุกที่ในวังหลวงแม้กระทั่งทั่วทั้งใต้หล้า ตอนแรกนางงุนงงอยู่เล็กน้อย ต่อมาเฉากงกงถึงได้เร่งให้นางรีบกล่าวขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทได้ สัญลักษณ์ของผู้ที่ได้รับป้ายทองอาญาสิทธิ์อันนี้ก็คืออำนาจ คือความไว้เนื้อเชื่อใจที่ฝ่าบาทมีต่อนาง “พระชายา ท่านเป็นอะไรไปเพคะ หน้าซีดเชียวเพคะ” เหลียนเย่เห็นนางเงียบไปนาน เหม่อลอยอยู่ตามลำพัง “เปล่า อาจเพราะเหนื่อยล้าเกินไปหน่อยกระมัง ข
สี่หมัวมัวตกใจกลัวตัวสั่น รีบยั้งปากทันใด ครั้นมาถึงด้านในตำหนักเฉินซี เจียงเฟิ่งหัวก็สั่งให้เหลียนเย่ปิดประตูทันที ทิ้งให้อยู่ในห้องกับสี่หมัวมัวลำพัง เห็นเพียงนางสีหน้าเยือกเย็น พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “สี่หมัวมัว เจ้าคงจะทราบดีว่าคำพูดเมื่อครู่ของเจ้ามีโทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ บัดนี้เสด็จพ่อมีพระพลานามัยแข็งแรงดี ตำแหน่งองค์รัชทายาทยังมิได้แต่งตั้ง เจ้ากลับเผยแพร่คำพูดเหล่านี้โดยพลการ มิเพียงเจ้าจะรักษาศีรษะของเจ้าไว้ไม่ได้ แม้แต่เสด็จแม่ ท่านอ๋องและข้าก็จะพลอยได้รับเคราะห์จากคำพูดประโยคนี้ของเข้าไปด้วย” สี่หมัวมัวตกใจกลัวจนเหงื่อเย็นไหลพราก ๆ “บ่าวทราบเพคะ ดังนั้นบ่าวถึงได้เก็บงำไว้ในใจมาตลอด บางคำมิได้พูด บ่าวเองก็ทุกข์ใจเพคะ หนนี้ถึงได้อยากแจ้งพระชายา อยากให้พระชายาช่วยโน้มน้าวฮองเฮาด้วยเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างจงใจ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าถ้อยคำเหล่านี้พระชายารองซูเอ่ยกับเสด็จแม่ เจ้ามิได้โป้ปดจริงแน่หรือ” สี่หมัวมัวเล่าอย่างละเอียดไม่มีปิดบัง “ถ้อยคำเหล่านี้บ่าวมิได้เป็นคนพูดเพคะ บ่าวจะกล้าพูดแบบนี้ออกไปได้อย่างไรเพคะ และมิใช่ฮองเฮาเป็นคนตรัสด้วยเพคะ ถ้อยคำเห
ผ่านไปสองวัน ซูถิงหว่านยังไม่กลับมา สุดท้ายแล้วนางเลือกเดินซ้ำรอยเดิมของชาติก่อนติดตามเซี่ยซางไปที่เขตชายแดน และที่น่าขันคือข่าวนี้เฉิงฮองเฮาเป็นคนมาบอกนางด้วยตนเอง ได้ยินเฉิงฮองเฮากล่าวว่า “พระชายารองซูไปที่เขตชายแดนเพื่อช่วยซางเอ๋อร์ทำศึก ซางเอ๋อร์เองก็จำเป็นต้องมีสตรีสักคนคอยดูแลอยู่เคียงข้างกาย ส่วนเจ้าก็ท้องแก่แล้ว ข้าจึงอนุญาตให้นางไป หรวนหร่วนเจ้าคงไม่กล่าวโทษข้ากระมัง” เจียงเฟิ่งหัวผุดยิ้มน้อย ๆ พลางเอ่ยว่า “เสด็จแม่ทรงคิดรอบคอบ ท่านอ๋องมีคนเอาใจใส่อยู่เคียงข้างกายสักคนก็นับว่าดีเพคะ เพียงแต่เหมันต์ฤดูอากาศข้างนอกหนาวเย็นยิ่งนัก และอีกไม่นานก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว พระชายารองซูเป็นสตรีตัวคนเดียวเดินทางไปเช่นนั้นจะปลอดภัยหรือเพคะ” “นางมีวรยุทธ์ติดตัว และมีกองทัพสกุลซูปกป้องคุ้มครอง ปลอดภัยไร้กังวล เราเห็นว่านางก็มิได้มีท่าทีอิดออดอะไร” “เป็นเช่นนี้ก็ดียิ่งนักเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ฮองเฮาเปลี่ยนใจรวดเร็วเสียจริง ตอนแรกยังคัดค้านเซี่ยซางอย่างสุดกำลังไม่ให้พาสตรีไปออกศึก อ้างว่าจะไม่เป็นสิริมงคล ถึงขั้นทำลายความองอาจน่าเกรงขามของหัวหน้าแม่ทัพ ทว่าบัดนี้กลับอ
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ