นางจัดแจงเสื้อผ้าจนเรียบร้อย พร้อมกล่าวเสียงอ่อนโยน “ก่อนกลับจวน หม่อมฉันมีเรื่องอยากถามท่านอ๋อง คืนนั้นที่บอกว่าจะตรึกตรองเรื่องชอบหม่อมฉันอย่างจริงจัง ยังเชื่อถือได้หรือไม่?”เซี่ยซางหันมองนาง วันนี้ตอนอยู่ในวังเมื่อเขารู้ว่าเจียงเฟิ่งหัวลงชื่อในหนังสือคำร้อง ใจเขารู้สึกตื้นตัน วินาทีนั้นเขาร้อนใจอยากพบนางเหลือเกินมีคนคนหนึ่งยืนสนับสนุนเขาอยู่ท่ามกลางฝูงชนเงียบ ๆ ในใจเขารู้สึกอบอุ่นกระนั้น เมื่อเขาเห็นนางถูกชายอื่นปกป้องอยู่ด้านหลังบนสะพาน ตัวเขาราวกับถูกราดด้วยน้ำเย็น ในใจเขาทั้งโกรธทั้งแค้น เจียงเฟิ่งหัวที่งดงามเพียงนั้นดึงดูดสายตาของชายอื่น ทำให้เขาริษยาจนแทบคลั่งเมื่อเห็นนางถูกชายเมาเหล้ารังแก เขาแทบอยากจะสังหารพวกมันทันที นางบอบบางน่าสงสาร เขาอยากปกป้องนางทุกปฏิกิริยาของเขาแสดงให้เห็นอย่างหนึ่งว่าเขาสนใจเจียงเฟิ่งหัว ไม่ใช่เพียงเพราะนางเป็นพระชายาของเขาจิตใจของเขาว้าวุ่น เขาเกิดความรู้สึกอื่นต่อนาง หนำซ้ำยังยากจะควบคุมเขาไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเปลี่ยนใจแล้ว ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองผิดต่อคำสาบานที่ให้ไว้กับซูถิงหว่าน ยามนั้นเขากล่าวอย่างฮึกเฮิมว่าจะชอบสตรีอย่างซูถิงหว่า
มือของซูถิงหว่านที่จู่ ๆ ก็ลูบคลำอยู่บนร่างของเขา ทำให้เขาแข็งทื่อทันใด แล้วพลิกตัวลุกขึ้นนั่งเขาเอ่ยกะทันหัน “หวานหว่าน...”แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยวาจา ซูถิงหว่านก็เป็นฝ่ายจูบริมฝีปากของเขา “ท่านอ๋อง หวานหว่านอยากเป็นของท่าน...”ในใจเซี่ยซางรู้สึกคลื่นไส้กะทันหัน จึงผลักนางออกไป “หวานหว่าน อย่าทำเช่นนี้”ซูถิงหว่านไม่ทันตั้งตัวกับการกระทำของเขา ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย “อาซาง ท่านไม่รักข้าแล้วหรือ”ทันใดนั้นเซี่ยซางโผเข้าหานางราวกับคนบ้า เขาอยากจูบซูถิงหว่านโดยไม่สนใจสิ่งใด จูบนางโดยไม่ต้องรู้สึกถึงภาระทางใจ เขาอยากยืนยันว่าจะชอบนางเพียงคนเดียวแววตาซูถิงหว่านเต็มไปด้วยความปรารถนา นางนึกว่าสุดท้ายนางจะกลายเป็นคนของเขา กลายเป็นสตรีที่เหิงอ๋องรักมากที่สุด ทว่าจู่ ๆ ข้างหูกลับมีเสียงไร้เรี่ยวแรงของเซี่ยซางดังขึ้น “หวานหว่าน ขอโทษ ข้าทำไม่ได้”“อาซาง ท่านเป็นอะไร?” ในใจซูถิงหว่านรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่างเห็นเพียงเขาพลิกตัวลงจากเตียงกะทันหัน แล้วหาเสื้อผ้าตัวเองมาสวม ไม่รู้ทำไมเขาจึงไม่มีความปรารถนาในตัวซูถิงหว่านสักนิด เมื่อสัมผัสนาง ภายในหัวมีแต่ใบหน้าของเจียงเฟิ่งหัว
เซี่ยซางออกมาจากเรือนถานเซียงแล้วมุ่งหน้าไปที่หอหล่านเยว่ เมื่อเห็นแสงเทียนในห้องนางดับกะทันหัน เขาก็หยุดฝีเท้าทันทีเขายืนอยู่สักครู่แต่ไม่ได้เปิดประตูเข้าไป ต่อมาหันหลังไปหอทิงเสวี่ยภายในห้อง เจียงเฟิ่งหัวกำลังนั่งฝึกลมหายใจเข้าออกฝึกร่างกายอยู่บนเตียงเหลียนเย่มองเห็นเซี่ยซางจากไปผ่านหน้าต่างจึงกล่าว “ทั้งที่ท่านอ๋องกำลังจะเดินเข้ามา พระชายาท่านดับไฟทำไมเพคะ! นี่เป็นโอกาสเลยนะเพคะ!”“ทั้งที่เขาไปถึงเรือนถานเซียงแต่กลับไม่ค้างคืน เพราะอะไรกัน?” ดวงตาเจียงเฟิ่งหัวมีแววเจ้าเล่ห์แวบผ่าน“ท่านอ๋องไม่ชอบพระชายารองซูแล้วเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวยิ้มอ่อน “คนเรามักจะลืมคนแรกที่ชอบได้ยากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ความรักครั้งแรกมักจะดีงามที่สุดเสมอ ต่อให้เขาหลงรักคนอื่น แต่ในใจเขายังคงนึกถึงความดีงามของรักแรก ความรักเช่นนี้เกิดถ่านไฟเก่าได้ง่ายที่สุด”“ในเมื่อตอนนี้ในใจเซี่ยซางมีเงาของพระชายาอย่างข้าแล้ว ข้าจะเริ่มเป็นฝ่ายโจมตี ตอนนี้ต้องบีบให้ซูถิงหว่านลงมือ เขาจะได้เห็นความชั่วของนาง แล้วลืมความดีของนางซะ”เหลียนเย่เอ่ยถาม “พระชายามีคนแรกที่ชอบหรือไม่เพคะ อย่างเช่นคุณชายเซียว...”นา
หลังกล่าวจบพ่อบ้านเฉิงเข้าไปใกล้พร้อมกระซิบ “บ่าวคิดว่าที่พระชายากล่าวถูกต้อง ท่านอ๋องเพิ่งรับตำแหน่งผู้ดูแลเขตเมืองหลวง ซ้ำยังเพิ่งปิดคดีใหญ่ ราษฎรย่อมตื้นตันใจ ต่างชื่นชมว่าท่านอ๋องเป็นขุนนางดีที่ทำเพื่อประชาชน หากตอนนี้เก็บโต๊ะพวกนั้นกลับมา บ่าวเกรงชาวบ้านจะคิดว่าท่านอ๋องแค่ทำเอาหน้าไปอย่างนั้น ท่านอ๋อง ได้ใจชาวบ้านสำคัญมากนะพ่ะย่ะค่ะ”เซี่ยซางหันมองเจียงเฟิ่งหัว ในดวงตาเป็นประกาย “คำพูดเหล่านี้นางเป็นคนพูดหรือ”พ่อบ้านเฉิงพยักหน้า แสดงให้เห็นว่าพระชายาเป็นพระชายาที่ดี คิดแทนท่านอ๋องจริง ๆแววตาที่เซี่ยซางมองเจียงเฟิ่งหัวก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เข้าไปรับมือเจียงเฟิ่งหัวเอาไว้ “ขึ้นรถเถอะ เสด็จพ่อน่าจะรอจนร้อนใจแล้ว”เจียงเฟิ่งหัวเข้าใจ เซี่ยซางคือบุรุษที่ภายหน้าจะก้าวไปสู่จุดสูงสุด เขาไม่ต้องการพระชายาที่มีเพียงรูปโฉมงดงามนั้น จากนี้นางจะฉีกหน้าซูถิงหว่านอย่างแรงเซี่ยซางจะพิจารณาใหม่ ชาติที่แล้วนางก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ตอนแต่งตั้งฮองเฮา เซี่ยซางกลับลดฐานะนาง ไม่ว่านางจะทำดีเพียงใด เขากลับมองไม่เห็นความดีของนางแม้แต่น้อยอีกด้านหนึ่ง ซูถิ
เจียงเฟิ่งหัวก็นึกไม่ถึงว่าจู่ ๆ เขาจะโมโหขนาดนี้ “ฮ่องเต้จะดูหรือไม่ก็เป็นเรื่องของพระองค์ หม่อมฉันจะคัดหรือไม่เป็นเรื่องของหม่อมฉันเพคะ”“เจียงเฟิ่งหัว” เซี่ยซางตวาดนาง เขาอดกลั้นความโกรธเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน นางดูไม่ออกเลยหรือ?นางไม่กล้าขยับทันที ดวงตาทั้งคู่จ้องเขม็งไปที่เขา พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ “เหตุใดท่านอ๋องต้องโมโห หม่อมฉันไปทำอะไรให้ท่านอ๋องอีกเพคะ”เขาโกรธจนอยากจะทุ่มโต๊ะ แววตาดุจเสือดาวล่าเหยื่อที่แหลมคมและเยือกเย็น เมื่อเห็นแววตาน่าสงสารและสับสนของเจียงเฟิ่งหัว เขาอดกลั้นไฟโกรธแล้วจับมือนางกะทันหัน “ทำไมเมื่อคืนกลับไปแล้วไม่ใส่ยา”เจียงเฟิ่งหัวดึงมือกลับมา แล้วหลบหลีกสัมผัสจากเขา ก็เจ้าเป็นคนทำไม่ใช่หรือ?นางกล่าวเสียงเรียบ “อาการเขียวช้ำเช่นนี้ไม่เจ็บไม่คันใส่ยาก็ไร้ประโยชน์ ต้องรอให้จางหายไปเองเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวหลบหลีกสายตาของเขา กลับไปนั่งตัวตรงที่โต๊ะ จากนั้นตั้งใจคัดภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายเซี่ยซางรับรู้ถึงความห่างเหินเย็นชาของนางอย่างชัดเจน ราวกับนางถอนตัวทันที เพราะคำถามที่นางถามเมื่อคืนเขาไม่ให้คำตอบนางหรือ ดังนั้นนางจึงปล่อยวางแล้ว?นางอยากถอนตัว ได้รับอน
ริมฝีปากบางของเขาสัมผัสปลายจมูกนาง ดั่งลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านผิวน้ำ จนกลายเป็นระลอกน้ำแพร่กระจายการกระทำของเขาละมุนละไมอย่างที่สุด ราวกับเขาเป็นสามีที่รักมากกำลังให้ความสุขแก่ภรรยานางเรียกเสียงค่อย “ท่านอ๋อง...”“เจ้าบอกมาสิ เจ้าชอบข้าหรือไม่” น้ำเสียงเซี่ยซางแหบแห้ง ริมฝีปากกำลังถูไถอยู่ข้างหูนาง กำลังหยอกเย้านางอย่างไม่ตั้งใจ เขาไม่ได้รีบร้อนจะจูบนาง ริมฝีปากวาดผ่านแก้มนางแผ่วเบา ราวกับขนนกที่ไล้ผ่านหัวใจของนางเขารู้ว่าริมฝีปากของนางอ่อนนุ่ม แต่เขาอยากได้ยินด้วยตัวเองว่านางชอบเขาเจียงเฟิ่งหัวไม่ตอบ นางปิดปากแน่น กระทั่งก้มหน้าลงเล็กน้อยไม่ให้เขาสัมผัสโดนตัวนางเซี่ยซางยังคงไม่ยินยอม เข้าไปโอบเอวนางเอาไว้ กอดนางเข้าสู่อ้อมอก มุมปากมีรอยยิ้มที่ทำให้ลุ่มหลงผุดขึ้น โน้มเข้าไปใกล้ข้างหูแล้วจงใจหยอกเย้านาง พร้อมกล่าวเสียงค่อย “ยังไม่ยอมพูดหรือ? เจ้าชอบข้าหรือไม่”น้ำตาคลออยู่ในดวงตาเจียงเฟิ่งหัว นางหลับตาแน่น กัดริมฝีปากสีชมพูพร้อมพยักหน้า “หม่อมฉันชอบท่านอ๋อง หม่อมฉันชอบท่านอ๋องนานแล้วเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวรู้สึกเพียงใกล้ขาดลมหายใจเพราะจูบของเขา เซี่ยซางคือยอดฝีมือด้านความรัก ไม่ร
เขาอุ้มเจียงเฟิ่งหัวลงมาจากโต๊ะ พร้อมจูบริมฝีปากนางแผ่วเบา “ข้าสามารถเรียกเจ้าว่าหรวนหร่วนเหมือนมารดาเจ้าได้กระมัง!”“แล้วแต่ท่านอ๋องเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวดิ้นออกจากอ้อมกอดเขานางเริ่มจัดแจงกระโปรงและทรงผม สีปากบนริมฝีปากก็ถูกเขากินไปแล้ว ต่อให้ไม่แต่งหน้าหรือแต่งอ่อน ๆ นางก็ยังงดงาม บริสุทธิ์หมดจด ราวกับเทพธิดาลงมาโลกมนุษย์รูปร่างนางสูงโปร่ง เรือนร่างงดงาม ก้าวเดินอรชรอ้อนแอ้น ทุกการเคลื่อนไหวล้วนสวยงามนางแตกต่างกับซูถิงหว่านสิ้นเชิง ซูถิงหว่านไม่เคยสนใจเรื่องแต่งตัวเจียงเฟิ่งหัวเดินไปตรงหน้าเขา ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยเสน่ห์ “หม่อมฉันเสร็จแล้ว พวกเราไปกันเถอะเพคะ!”เซี่ยซางถูกเจียงเฟิ่งหัวตรงหน้าดึงดูด จึงเป็นฝ่ายจูงมือนางแล้วพาเดินออกไปอู๋ซินยืนเฝ้าอยู่ข้างประตูอย่างนอบน้อม “บ่าวคารวะเหิงอ๋อง พระชายาเหิงอ๋อง”เซี่ยซางพยักหน้าพร้อมเหลือบมองเขา “หัวหน้าขันทีเฉาให้เจ้ามาหรือ”“อาจารย์รับใช้อยู่ข้างกายฝ่าบาท จึงให้บ่าวมาเรียนเชิญท่านอ๋องกับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” อู๋ซินกล่าวเสียงต่ำอีกครั้ง “พ่อบุญธรรมบอกว่า ฝ่าบาททรงกำลังกลัดกลุ้มเพราะคดีลักขโมยคดีหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”อู๋ซินพูดมาขนาดนี้แล
หากนางเอ่ยปากออกไปว่าฝ่าบาททรงกริ้วก็เพราะนางลงชื่อในหนังสือคำร้องทุกข์ของราษฎร มิเท่ากับเป็นการกล่าวว่าฝ่าบาททรงใจแคบ ไร้เหตุผล คอยก่อความวุ่นวายหรอกหรือ เช่นนี้บารมีของโอรสสวรรค์จะอยู่ตรงไหนกัน นางมิใช่คนโง่เขลาเซี่ยซางไม่ได้รู้สึกว่าตนเองทำผิด เขาไม่ยอมรับว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงจ้องเล่นงานเขาอยู่ร่ำไป เจียงเฟิ่งหัวจึงเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงประเด็นหลัก แต่กลับเอ่ยคำพูดนี้ขึ้นมาแทนเขารู้สึกเพียงว่าเจียงเฟิ่งหัวงดงามเจิดจรัสเช่นนี้ ทำให้จิตใจของเขาใฝ่หามุมปากของฮ่องเต้ยกยิ้มขึ้นมาอย่างกะทันหัน ช่างเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวกัน เป็นลูกสะใภ้ที่มีไหวพริบดีเสียจริงในเวลานี้ ฮ่องเต้ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพระชายาเหิงอ๋องคือบุตรสาวของราชครูเจียง เจียงหวย บิดาของนางนั้นเป็นผู้รอบรู้จริง ๆ เจียงเฟิ่งหัวไม่ได้กล่าวถึงความผิดของเซี่ยซางแม้แต่น้อย แต่ค่อย ๆ กล่าวขึ้นว่า “ท่านอ๋องยังเยาว์วัย หุนหันพลันแล่น เลือดร้อน มีความกระตือรือร้นอย่างเต็มที่ แต่เขาก็วู่วามเกินไป วิธีที่เขาแบ่งเบาภาระให้ฝ่าบาทก็ผิดพลาด”“หากเป็นหม่อมฉัน หม่อมฉันจะกราบทูลรายละเอียดให้เสด็จพ่อทรงทราบก่อน เสด็จพ่อทรงเปี่ยมด้วย
ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นอู๋ซินก็เดินมาตรงหน้าเจียงเฟิ่งหัว “กราบทูลพระชายา ฝ่าบาทมีรับสั่งเชิญท่านเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ”เขาก็กังวลมากว่านางจะติดร่างแหไปกับฮองเฮาด้วยโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เนื่องด้วยเรื่องวันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพระชายาเหิงอ๋อง อู๋ซินจึงไม่ได้ส่งคนไปอธิบายสถานการณ์ก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยากโดยไม่จำเป็นเจียงเฟิ่งหัวจัดแจงเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปในพระตำหนักเฉียนชิงอย่างเคารพนบนอบก็ได้เห็นว่าเซี่ยหลิงเอ๋อร์ก็คุกเข่าอยู่ด้านใน ใบหน้านางมีแต่น้ำตา สะอึกสะอื้น ท่าทางดูเหมือนน้อยเนื้อต่ำใจมาก แขนของนางก็โผล่ออกมาข้างนอก แขนเสื้อม้วนขึ้นมา บนแขนเต็มไปด้วยรอยแผลถูกตี เลือดแดงสามารถสังเกตเห็นได้ ผิวเหมือนมีเลือดซึมออกมาแล้วนางครุ่นคิดในใจ แผลเหล่านี้เป็นฝีมือวังหมัวมัว หรือว่าเป็นฝีมือของนางเองกันแน่? อย่างมากวังหมัวมัวก็แค่ตีฝ่ามือ ไม่มีทางตีไปจนถึงแขนเด็ดขาดเจียงเฟิ่งหัวเดินเข้าไปด้านหน้า ถวายคำนับด้วยความเคารพ “หม่อมฉันถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”ขณะที่นางกำลังจะคุกเข่าลงนั้นเอง ฝ่าบาทก็ตรัสว่า “ตามสบายเถิด ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว ดึกดื่นป่านนี้แล้ว เจ้ามาทำอะไร”เจ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวตามมาถึงพระตำหนักเฉียนชิง เหล่าพระสนมในวังส่วนใหญ่ต่างก็มาถึงแล้วพระสนมเยี่ยนเฟยผู้ชอบประสมโรงเมื่อมีเรื่องวุ่นวายร่ำสุราจนเมาแล้วก็มาแทรกตัวอยู่แถวหน้า หญิงอายุเยอะแล้วอย่างนางหัวเราะเยาะโดยไม่สนใจว่าเรื่องจะยิ่งบานปลาย “หวังเจาอี๋ร้ายจริง ๆ กล้าสวมเขาให้ฝ่าบาท นางเข้าวังมายังไม่ถึงสองปีหรอกกระมัง แค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ อยู่ในวังมันเหงาหงอย มิน่าล่ะ มิน่าล่ะ!”“ราตรีช่างยาวนานวังกว้างใหญ่ หญิงเดียวดายลำพังร่ำรำพัน…”“ใบหน้าอันเคยงามชราไป อยู่จำใจในวังให้ระทม…”“ฝันสลายน้ำตานองเต็มผ้า แว่วเสียงจากวังหน้ายามดึกดื่น…”“…”พระสนมเยี่ยนเฟยเริ่มขับขานบทกลอนต่อหน้าทุกคน ดูท่าทางเหมือนได้ระบายความโกรธเป็นอย่างมากเพียงไม่นาน หัวหน้าขันทีเฉาไม่สนใจลำดับยศต่ำสูงแล้ว สั่งให้คนรีบลากตัวพระสนมเยี่ยนเฟยออกไป “พระสนมเยี่ยนเฟย ท่านก็เงียบ ๆ ลงสักหน่อยเถิด หากทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธแล้วท่านไม่เพียงแต่จะทำร้ายตัวเอง ยังจะทำร้ายอวี้อ๋องด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ!”เยี่ยนเฟยกระเสือกกระสน พูดอ้อม ๆ แอ้ม ๆ ว่า “หวังเจาอี๋กล้าคบชู้เพราะนางมีความกล้า ข้ากลับเสียเวลาในวังไปเปล่า ๆ อยู่หลายสิบปี
เซี่ยหลิงเอ๋อร์เมื่อชาติที่แล้วพูดได้เลยว่าเรียกร้องความสนใจ เกินหน้าเกินตาคนอื่นถึงขีดสุด มีหน้ามีตาไปทั้งชีวิต ชาตินี้ก็ไม่แน่นอนแล้ว ได้ยินว่าเฉิงฮองเฮามักจะลงโทษนางโดยใช้เหตุผลว่าเป็นการสั่งสอนกฎระเบียบแก่นางทันใดนั้นเจียงเฟิ่งหัวก็มองนางแวบหนึ่ง เพียงแค่ปราดเดียว นางก็ดูออกว่าสายตาที่เซี่ยหลิงเอ๋อร์จับจ้องที่นางเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้ายในวังก็ต้องอยู่รอเฝ้าคืนข้ามปีเช่นกัน เพียงแค่ว่าหลังจากอาหารมื้อสุดท้ายของปีแล้ว ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกลับไปเฝ้ารอช่วงเวลาข้ามปีในตำหนักตัวเอง เวลานี้เอง คนในวังก็ยิ่งรู้สึกเหงาหงอยกลอนวรรคหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า ทุกเทศกาลยิ่งคะนึงถึงครอบครัว ยิ่งถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มที่ในช่วงเทศกาลเช่นนี้เจียงเฟิ่งหัวก็ต้องอยู่เฝ้าคืนข้ามปี เพื่อคนในครอบครัว ต่อให้นางง่วงแค่ไหนนางก็ต้องห่อตัวไว้ด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์ นั่งล้อมอยู่ข้างเตาไฟเวลานี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงตีฆ้องและกลองดังขึ้น ทั้งวังก็แปรเปลี่ยนจากที่เงียบสงบกลายเป็นอึกทึกครึกโครมขึ้นมาในชั่วพริบตาเหลียนเย่เปิดประตูวิ่งออกไปดูความวุ่นวาย เพียงไม่นานนางก็นำข่าวกลับมา “ในวังเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วเพคะ
เหลียนเย่นำข่าวที่ไปสืบมากลับมา “แต่ละคนแข่งกันแต่งตัวอย่างยั่วยวน จัดจ้าน ทั้งดีดพิณ เล่นหมากรุก เขียนตัวอักษร วาดภาพ แย่งกันแสดงความสามารถ กลัวสุด ๆ ว่าจะสู้คนอื่นไม่ได้ ดูท่างานชมดอกเหมยที่ฮองเฮาทรงจัดครั้งนี้ ทุกคนต่างก็รู้ว่าที่จริงแล้วมีวัตถุประสงค์อะไร”เจียงเฟิ่งหัวสีหน้าเรียบเฉย กำลังอ่านหนังสือเรื่องเล่าออกใหม่ที่อยู่ในมือ เนื้อหาตลกขบขันน่าสนใจ สนุกจนนางหัวเราะแฮะ ๆ ขึ้นมาเหลียนเย่กล่าว “พระชายา ท่านได้ฟังบ่าวพูดอยู่บ้างหรือไม่เพคะ!”เจียงเฟิ่งหัวไม่ละสายตาจากหนังสือ นิ้วอันเรียวงามทั้งสิบนิ้วพลิกหน้าหนังสือเบา ๆ ผ่อนคลายสบายอารมณ์ กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ได้ยินแล้ว ไม่มีอะไรน่าฟังเลย คิดไว้อยู่แล้ว” เพราะว่าหญิงสาวเหล่านี้ต่อไปล้วนจะกลายเป็นพระสนมในวังทั้งสิ้น“ว่ากันว่าลูกสาวบ้านเจ้ากรมถังกับลูกชายใต้เท้าลู่เจ้ากรมยุติธรรมสนิทสนมรักกันมาตั้งแต่เยาว์วัยมิใช่หรือ? นางมีคนที่อยู่ในใจอยู่แล้ว ยังมาร่วมวงด้วยอีก ท่านน่ะไม่ได้เห็นท่าทางของนาง กลัวมาก ๆ ว่าจะด้อยกว่าคนอื่น แสดงออกอย่างกระตือรือร้นสุด ๆ” เหลียนเย่จิกกัดต่อไป“แล้วก็ยังมีจูเจินเจินกับเฉียวเซวียนเอ๋อร์นั่นอีก พว
ส่วนความแค้นระหว่างสกุลเฉิงและสกุลซู เฉิงฮองเฮาวางความสำคัญไว้หลังเซี่ยซางแล้ว ขอเพียงเซี่ยซางได้เป็นฮ่องเต้ ไม่ว่าเรื่องอะไรนางสามารถละทิ้งไปก่อนชั่วคราวได้ทั้งสิ้น ซูถิงหว่านยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเซี่ยซางจะต้องได้เป็นฮ่องเต้ และนางก็เชื่อมั่นอย่างไร้ข้อกังขา รู้สึกว่าโอรสของตนเองมีความสามารถมากถึงเพียงนั้น สมควรได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัชทายาท เป็นฮ่องเต้ นางเฝ้ารอวันที่ว่านี้มายี่สิบกว่าปีแล้ว เฉิงฮองเฮาเปลี่ยนน้ำเสียงให้อบอบอุ่นอ่อนโยน “ความหมายของหรวนหร่วนคือ? แม่นางเหล่านี้ไม่ว่าด้วยอุปนิสัย รูปโฉมหน้าตา หรือชาติกำเนิดล้วนหาได้ยากยิ่ง หากพวกนางหมั้นหมาย หรือสมรสกับผู้อื่นไปแล้วจริง ๆ ก็เท่ากับว่าพลาดไปแล้ว ข้าเองก็คิดเพื่อซางเอ๋อร์นะ” นางยังเอ่ยด้วยเสียงที่เบาลงอีกว่า “หรวนหร่วน ความจริงข้าเองก็กำลังคิดว่าจะดึงขุนนางให้มาเป็นพวกพ้องของซางเอ๋อร์ เจ้าในฐานะภรรยาของเขา ก็น่าจะรู้ว่าบิดาของพวกนางมีความสำคัญในราชสำนักอย่างไรบ้าง” ได้ยินถึงตรงนี้ เจียงเฟิ่งหัวอยากจะอาเจียนออกมาเต็มที คนที่ไม่รู้คงเข้าใจผิดไปกันใหญ่ว่านางกำลังเฟ้นหาลูกสะใภ้ให้ตนเอง ทั้งที่ความจริงแม่สามีเป็นคนลากลูกสะ
เฉิงฮองเฮาก็หยิบภาพเหมือนออกมาให้เจียงเฟิ่งหัว พลางอธิบายทีละใบว่าคนในภาพเป็นธิดาของขุนนางท่านใด หลังจากเจียงเฟิ่งหัวดูแล้ว ในบรรดาภาพเหมือนเหล่านั้นก็มีคนคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง ดูเหมือนว่านางจะเตรียมการทุกอย่างให้เซี่ยซางตามกฎเกณฑ์การคัดเลือกพระสนมจริง ๆ “สตรีที่เสด็จแม่ทรงเลือกมาเหล่านี้ งดงามเพริศพริ้งจริงเพคะ เพียงแต่ชาติกำเนิดของพวกนางจะไม่เอิกเกริกเกินไปหรือเพคะ ล้วนเป็นธิดาจากตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ทั้งสิ้น พวกนางจะยอมสมรสกับท่านอ๋องเป็นเพียงอนุภรรยาได้อย่างไรเพคะ เสด็จแม่หากไปสู่ขอแบบนี้ เกรงว่าจะหมางใจกับขุนนางได้นะเพคะ!” “ได้เป็นอนุชายาของซางเอ๋อร์ ถือเป็นวาสนาของพวกนางแล้ว” เฉิงฮองเฮาเริ่มอวดดีขึ้นมาบ้างแล้ว คอยให้โอรสของตนได้เป็นฮ่องเต้ พวกเขาจะต้องระริกระรี้อยากส่งบุตรีเข้าวังจนทนไม่ไหวแน่ เจียงเฟิ่งหัวได้ยินคำพูดนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก ตอนนางเชิญท่านแม่เข้าวังเมื่อครั้งแรก ก็แสดงท่าทางสูงส่งถือดีเช่นนี้เหมือนกัน ราวกับว่าการที่เจียงเฟิ่งหัวได้สมรสเป็นพระชายาของโอรสของนาง นับว่าเป็นโชคดีที่บรรพบุรุษได้สั่งสมบุญบารมีจุดธูปใหญ่บูชาสวรรค์มา ก่อนที่เฉิงฮองเฮาจะเล
แต่นางเล่า ก็ได้แต่ทนทรมานต่อไปแบบนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้หลุดพ้นออกมาเสียที ปัจจัยสำคัญคือบุตรชายไม่มีปัญญาจะไปแย่งชิงตำแหน่งนั้น มิเช่นนั้นนางเองก็… ฮองเฮาเห็นนางเงียบไปไม่พูดจา กระนั้นก็มิได้สั่งให้นางออกไป แต่ตรัสขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่า “ใกล้จะปีใหม่แล้ว พวกเจ้าทุกคนประสงค์จะฉลองวันปีใหม่อย่างไรหรือ ข้าขอย้ำประโยคนั้น อย่าฟุ่มเฟือยสิ้นเปลือง บัดนี้ที่เขตชายแดนกำลังทำศึกสงคราม พวกเรายิ่งสมควรมัธยัสถ์ ต่อหน้าสตรีทั้งใต้หล้าควรเป็นแบบอย่างที่ดี พวกเจ้าทุกคนจงจำไว้ พวกเราเป็นสตรีของฝ่าบาท จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้ผู้คนปฏิบัติตาม แต่ละตระกูลของพวกเจ้า ก็ให้พวกเจ้าทุกคนกลับไปดูแลควบคุมกันเอง…” เฉิงฮองเฮาพร่ำพูดแต่เรื่องเดิมราวกับกำลังท่องบทสวดภาวนา ถ้อยคำเหล่านี้พวกนางฟังจนเบื่อหน่ายแล้ว ทุกคนขานรับด้วยความนอบน้อมราวกับสายน้ำไร้ชีวิต “เพคะ หม่อมฉันน้อมรับพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาอย่างเคร่งครัดเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวมองดูแล้ว ก็รู้สึกจืดชืดไร้รสชาติ นางฉลองปีใหม่ที่จวนสกุลเจียงยังน่าสนใจมากกว่า คนทั้งเรือนล้อมวงกินอาหารด้วยกัน ท่านพ่อท่านแม่ยังมอบเงินแต๊ะเอียปีใหม่ให้พวกนางเหล่าพี่สาวน้อ
“หากเยี่ยนเฟยประสงค์จะพบพี่สะใภ้รอง ส่งคนไปตามนางก็ได้เพคะ เพียงแต่บัดนี้เสด็จพ่อทรงมอบราชกิจให้นาง และนางก็กำลังยุ่งมากเพคะ เกรงว่าจะไม่มีเวลาว่าเขาวังมาปรนนิบัติเยี่ยนเฟย มองจากพระวรกายของเยี่ยนเฟยแล้วเหมือนจะสบายดีเพคะ!” เจียงเฟิ่งหัวสุขุมเยือกเย็นมิได้ขุ่นเคือง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “จะอย่างไรก็ตาม ความไม่กตัญญูมีสามประการ การไร้ทายาทสำคัญที่สุด…” เยี่ยนเฟยเพิ่งเอ่ยปากออกมา ทันใดนั้น เหล่านางสนมจากในวังก็ทยอยเดินออกมา เห็นเพียงพวกนางแสดงความเคารพต่อเจียงเฟิ่งหัวอย่างนอบน้อมก่อนคนแรก “น้อมคารวะพระชายาเหิงอ๋อง” นางผุดยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “คารวะพระสนมทุกท่าน” เดิมทีวันนี้เป็นวันที่เหล่านางสนมในวังทุกพระองค์ต้องเข้ามาถวายบังคมต่อฮองเฮาในยามเช้า มองจากอาภรณ์แพรพรรณและการแต่งกายของพวกนางก็เห็นชัดเจนแล้วว่า ในระยะนี้นางสนมพระองค์ใดได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมากที่สุด ใบหน้าของพวกนางยิ่งเปล่งปลั่งแดงเรื่อ มากถึงขั้นฉายแววภาคภูมิใจอย่างเต็มที่ หย่าเฟยเป็นผู้คว้าชัยเหนือใครอย่างไม่ต้องสงสัย และนางก็ยังคงวางมาดงามสง่าในแบบองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ดังเดิม ทรวดทรงอรชรอ้อนแอ้น ด
เหลียนเย่หยิบมาลองดม รู้สึกเพียงกลิ่นหอมสดชื่นโชยปะทะจมูก หอมยิ่งนัก “หากว่าคุณหนูมีของสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อเยาว์วัยก็คงดี ตอนเด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องฝันร้ายบ่อย ๆ อีก” อ้าวเสวี่ยถามเหลียนเย่ “เกิด อะไรขึ้นกับพระชายากันแน่ พวกเจ้ารับใช้พระชายามาตั้งแต่ยังเล็ก เคยเกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัวใดขึ้นกับนางมาก่อนหรือไม่?” “ไม่มี คุณหนูมีชีวิตเป็นสุขดีมาตลอด หากว่ายาหอมคืนเรือนสามารถช่วยให้คุณหนูไม่ต้องฝันร้ายอีกเช่นนั้นก็ดีมากแล้วจริง ๆ” ที่เหลียนเย่กล่าวมาเป็นความจริง เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากเจียงเฟิ่งหัวตื่นขึ้นมาแล้วนางดูปกติคล้ายว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน เห็นอ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เฝ้าอยู่ในห้องของนาง นางก็เหยียดตัวบิดขี้เกียจพลางกล่าวว่า “เมื่อคืนหลับสบายจริง ๆ ข้ารู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง ร่างกายสดชื่นดีมาก พวกเจ้าได้จุดกำยานอะไรเอาไว้หรือไม่?” เหลียนเย่เห็นนางลืมเรื่องเมื่อคืนที่ละเมอร้องไห้ในความฝันไปก็ถามขึ้นว่า “พระชายาจำอะไรไม่ได้เลยหรือเพคะ?” “ข้าต้องจำอะไรได้หรือ?” เจียงเฟิ่งหัวประคองท้องของตนเองเดินลงมาจากเตียงพลางเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนข้ากับเจ้านอนด้วยกัน” “ใช่แล้วเพค