หลังจากแยกตัวมาจากแม่ เขาก้มดูตนเองเล็กน้อย เมื่อเห็นสภาพที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นด้วยดิน เขาจึงเดินกลับเข้าห้องตนเองก่อนจะไปเปลี่ยนชุดใหม่
เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วจึงเดินไปทางหลังบ้าน เพื่อไปเอาจักรยานที่จอดอยู่ปั่นไปที่บ้านรองมู่ด้วยหัวใจที่อิ่มเอม ทว่าใบหน้าของชายหนุ่มกลับมีความเย็นชาไว้เช่นปกติ ทำให้ชาวบ้านที่เห็นต่างไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเฉินหยางคุนนั้นมีความสุขแค่ไหน
เมื่อมาถึงบ้านรองมู่ มู่อันเหมยนั่งรอเขาก่อนแล้ว
“รอนานไหม”
“ไม่เลยพี่ใหญ่เฉิน ฉันเพิ่งเดินออกมาก่อนหน้านี้ไม่นาน”
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวแดดจะร้อนเสียก่อน เพิ่งจะหายป่วย”
“แต่…แต่ฉันยังไม่ได้บอกพ่อกับแม่เลยนะพี่ กลัวกลับมาแล้วไม่เจอ…” มู่อันเหมยยังมีความกังวล เธอคิดจะไปที่คอมมูนเพื่อบอกกล่าวเรื่องที่เธอจะเข้าเมืองกับพี่ใหญ่เฉิน
“ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว อาหยวนรับรู้ คงไปบอกน้ามู่และน้าสะใภ้มู่ให้แล้ว”
คราวนี้มู่อันเหมยตกใจกับการกระทำของเขาไม่น้อย จึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับชายหนุ่มอย่างไม่ได้ตั้งใจ ต่อให้ใบหน้ายังคงเย็นชาเช่นเดิม แต่ทำไมดวงตาเขาถึงมีประกายคล้ายคนกำลังยิ้มล่ะ
“รีบไปเถอะ”
“ค่ะ”
มู่อันเหมยตอบรับ ก่อนจะซ้อนท้ายจักรยานของเฉินหยางคุนด้วยความเกร็ง
“ขออนุญาตค่ะ”
เมื่อหาที่เกาะไม่ได้จึงเอ่ยขออนุญาตแล้วจับชายเสื้อเขาไว้เพราะกลัวตก
จักรยานของเฉินหยางคุนกว่าจะถึงปากทางเข้าหมู่บ้านนั้นผ่านสายตาชาวบ้านไม่น้อย ทำให้เริ่มเกิดเสียงซุบซิบนินทาขึ้น ทว่าเฉินหยางคุนคล้ายไม่สนใจ เขาต้องการให้ชาวบ้านเห็นและพูดคุยกันอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะต้องการจะทำลายชื่อเสียงของมู่อันเหมย เขาต้องการที่จะหมั้นหมายไว้ก่อน ซึ่งเขาไม่อาจจะผิดสัญญาที่รับปากเธอไว้ก่อนหน้านี้
เขาไม่รู้หรอกว่าภายในหนึ่งปีนี้ระหว่างเขาและหญิงสาวในดวงใจจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอนนี้มู่อันเหมยเข้าทำงานในโรงงานยาสูบได้เหมือนกับชาติที่แล้ว อย่างไรผู้ชายคนนั้นยังคงทำงานอยู่ที่นั่น เขาไม่ไว้ใจมัน
ไม่ใช่เขาไม่คิดกับท่าทางของมู่อันเหมยที่ผิดแปลกไปจากเมื่อก่อน ในเมื่อเขายังย้อนกลับมาได้ ทำไมมู่อันเหมยจะย้อนกลับมาไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่คิดที่จะถาม และไม่ต้องการคำตอบ ไม่ว่าอย่างไรชาตินี้มู่อันเหมยจะต้องเป็นภรรยาเขาคนเดียวเท่านั้น
หากเธอย้อนกลับมาจริง ๆ คงแค้นผู้ชายคนนั้นน่าดู และถ้าเธอต้องการแก้แค้น เขาจะปล่อยให้เธอเล่นสนุกจนพอใจ แต่ถ้าไม่ เขาจะจัดการชายคนนั้นให้สาสมกับการหลอกลวง และทำร้ายจิตใจของมู่อันเหมยจนเธอจบชีวิตตนเอง
หากถามว่าทำไมเขาไม่จัดการก่อนที่ทั้งสองจะพบกันอีกครั้ง นั่นเพราะเขาอยากดูความเคลื่อนไหวของชายคนนั้น และต้องการให้มันตายอย่างช้า ๆ ด้วยวิธีการของเขาเอง! แต่ถ้ามันไม่เลวเหมือนชาติเดิมเขาก็อาจจะเล่นงานไม่ถึงตาย แต่ไม่มีทาง…คนมันเลวอย่างไรก็เลวด้วยสันดาน!
“จะไปห้างสรรพสินค้าของรัฐหรือตลาดมืด” เมื่อเข้ามาในเมืองเฉินหยางคุนจึงเอ่ยถามคนซ้อนท้ายจักรยาน
“ไปทำไมเหรอคะ หรือว่าพี่ใหญ่เฉินมีธุระกับสถานที่ที่กล่าวถึง” มู่อันเหมยถามกลับด้วยความสงสัย ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายชวนเธอมาแล้วจะมาถามเธอทำไมว่าอยากไปที่ไหน
“ถ้าอย่างนั้นไปห้างสรรพสินค้าก่อน หากไม่มีของที่ต้องการค่อยไปตลาดมืดอีกครั้ง”
เฉินหยางคุนจึงปั่นจักรยานตรงดิ่งไปยังห้างสรรพสินค้าของรัฐ มู่อันเหมยจึงได้แต่มองสองข้างทางโดยคิดในใจว่าคงไม่ใช่ความฝันแล้วล่ะ เธอย้อนกลับมาจริง ๆ
แต่พอคิดว่าเวลาทำงานแล้วต้องพบหน้ากับชายคนนั้นอีก มือที่กุมเสื้อของเฉินหยางคุนสั่นโดยไม่รู้ตัว เขารับรู้อาการของเธอและนั่นทำให้เขาเริ่มมั่นใจว่ามู่อันเหมยย้อนกลับมาเหมือนกัน!
“อยากได้อะไรไหม” ขณะเดินในห้างสรรพสินค้า เฉินหยางคุนจึงเอ่ยถามเสียงนุ่ม
“พี่จะซื้อให้ฉันเหรอ ฉันไม่เกรงใจนะ”
มู่อันเหมยสลัดความนึกคิดเรื่องชาติที่แล้วทิ้งไป และคิดว่าเวลานี้ชายตรงหน้าต่างหากที่จะมาเป็นสามีของเธอในชาตินี้ จึงได้แกล้งเอ่ยล้อออกมา
“ผมสามารถซื้อให้คุณได้ หากคุณต้องการ” ยกเว้นพระจันทร์และพระอาทิตย์เท่านั้นที่เขาไม่สามารถหาให้ได้ ประโยคสุดท้ายเขาได้แต่คิดในใจเท่านั้น
ใบหน้ามู่อันเหมยเกิดริ้วแดงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เธอไม่คิดมาก่อนว่าคนที่เย็นชาและคนที่เธอไม่เคยมองเขาในแง่ดีเลยสักครั้งในชาติที่แล้วจะทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นได้ขนาดนี้
เธอไม่กล่าวอะไรอีก ทำเพียงเดินนำหน้าเลือกดูของที่วางขายในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้
เฉินหยางคุนมีรอยยิ้มในแววตาอย่างห้ามไม่อยู่เช่นกัน เมื่อเห็นอาการของหญิงสาวที่ตอบกลับมา เขาจึงเดินตามเธอไม่ห่างและดูว่าเธอต้องการซื้ออะไรหรือไม่ สำหรับเขาไม่ว่ามู่อันเหมยต้องการอะไร เขายินดีที่จะซื้อให้ทุกอย่าง
มู่อันเหมยยังคงเดินดูอย่างเดียว ไม่คิดที่จะซื้ออะไร เพราะเธอมองว่าในห้างสรรพสินค้าของรัฐนอกจากราคาที่ต้องจ่ายแล้ว ยังมีคูปองที่ต้องจ่ายด้วย ซึ่งชาวบ้านแบบเธอแต่ละปีนั้นได้คูปองมาไม่มากเลย หากพี่ใหญ่เฉินซื้อของให้เธอนอกจากเสียเงินแล้วยังต้องจ่ายคูปองอีกด้วย
ซึ่งสินค้าในห้างสรรพสินค้าของรัฐนั้นมีไม่ต่างจากตลาดมืด และตัวเธอเองชาติก่อนมักจะซื้อของในตลาดมืดเสียมากกว่า เพราะจ่ายเพียงแค่เงินไม่ต้องวุ่นวายหาคูปองมาจ่าย
“นี่ก็เลยเที่ยงมาแล้ว ฉันคิดว่าเราหาอะไรกินกันก่อนไหม กินเสร็จแล้วฉันจะรบกวนให้พี่พาเข้าตลาดมืดได้หรือเปล่า ที่นี่นอกจากของจะมีราคาแล้วยังต้องจ่ายร่วมกับคูปองด้วย”
ทั้งเงินและคูปองเธอเองก็มีไม่มาก เธอเกรงใจที่จะให้พี่ใหญ่เฉินต้องจ่ายเงินให้ แม้จะมีสัญญาหมั้นหมายกันก็ตาม ทว่าเวลานี้มีเพียงแค่สัญญาเท่านั้น ยังไม่ได้หมั้นหมายกันจริง ๆ
“ไม่มีของที่อยากได้เหรอ” ชายหนุ่มถามกลับ เขาคิดว่าอย่างน้อยมู่อันเหมยอยากได้สิ่งของบ้าง หรือว่าเธอไม่ต้องการอะไร
“เราไปดูที่ตลาดมืดกันดีกว่าค่ะ”
“อืม”
จากนั้นเฉินหยางคุนจึงพามู่อันเหมยออกมาร้านอาหารของรัฐ ทั้งสองเลือกทานอาหารคนละจานโดยที่ชายหนุ่มเป็นคนจัดการจ่ายให้ แม้ว่าจะเกรงใจแต่มู่อันเหมยกลับยินยอมแต่โดยดี
ระหว่างกินอาหารมื้อนี้ทั้งสองคนไม่มีใครพูดหรือถามอะไร ทว่าพออาหารหมด มู่อันเหมยกลับถามขึ้นมาอย่างที่เฉินหยางคุนก็คิดไม่ถึง
“พี่ใหญ่เฉิน พี่ต้องการแต่งงานกับฉันเพราะตัวพี่เอง หรือเพราะสัญญาระหว่างลุงเฉินกับพ่อของฉัน หากพี่ทำตามเพราะคำ...”
“ชอบ”
ทว่ามู่อันเหมยยังกล่าวไม่ทันจบ เฉินหยางคุนกลับสวนขึ้นมาเพียงคำเดียว
คำพูดห้วน ๆ แต่ความหมายลึกซึ้ง ทำให้มู่อันเหมยรู้สึกถึงความรู้สึกของคนตรงหน้าที่มีต่อเธอจริง ๆ ใบหน้าของเธอจึงแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“พี่รู้ว่างานบ้านงานเรือนฉันไม่เอาไหน งานในคอมมูนฉันก็ไม่เคยทำ อาหารยิ่งแล้วใหญ่ฉันแทบทำอะไรไม่เป็นเลย หุงข้าวยังไหม้”
“ผมไม่ได้แต่งงานเพราะต้องการแม่บ้าน อะไรที่ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ในหมู่บ้านมีชาวบ้านที่ยินดีทำให้ และผมก็จ้างป้ากู้มาช่วยทำความสะอาดบ้านให้อยู่แล้ว แม่ผมท่านอายุเยอะแล้ว ผมไม่อยากให้ท่านต้องเหนื่อย ส่วนอาหารผมทำเองได้ และอร่อยด้วย”
นี่คงเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่มู่อันเหมยเคยได้ยินจากปากเขา เรื่องของป้ากู้ เธอพอจะได้ยินมาบ้างจากความทรงจำของชาตินี้ว่าบ้านเฉินนั้นให้ป้ากู้มาช่วยทำความสะอาดบ้าน แต่เรื่องอาหารเธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาทำเป็น ผู้ชายส่วนมากไม่ค่อยมีความชำนาญเรื่องนี้
“ไม่เชื่อเหรอ”
เฉินหยางคุนเห็นสีหน้าของเธอคล้ายแปลกใจจึงคิดว่ามู่อันเหมยไม่เชื่อ จึงได้ถามย้ำอีกครั้ง
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่ผู้ชายส่วนมากไม่ค่อยทำเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เหรอคะ”
“เว้นผมไว้หนึ่งคน หากไม่เชื่อเย็นนี้ไปกินมื้อเย็นที่บ้านผม แล้วจะรู้ว่าผมทำอาหารอร่อยหรือไม่”
คล้ายกับมัดมือชกอย่างไรอย่างนั้น หากมู่อันเหมยปฏิเสธก็เท่ากับว่าไม่เชื่อ แต่ถ้าเธอไปความหมายก็จะเปลี่ยน นี่คือสิ่งที่เฉินหยางคุนต้องการ เขาไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ แต่เขาไม่อยากเสียเธอไปอีกในชาตินี้
“ค่ะ เย็นนี้ฉันจะไป นานแล้วที่ฉันไม่ได้เข้าไปเยี่ยมป้าสะใภ้เฉิน”
สุดท้ายมู่อันเหมยจึงยอมรับปากว่าเย็นนี้เธอจะไปยังบ้านเฉิน ในใจอยากรู้เหมือนกันว่าชายผู้แสนเย็นชาคนนี้ เมื่ออยู่ในมุมของพ่อครัวจะเป็นอย่างไร
ตอนพิเศษ 2 จงอี้ - เสี่ยวผิงพอหายดี จื้อเฉียงก็ได้ออกจากโรงพยาบาล ทุกคนก็ได้รู้พร้อมกันว่าตอนนี้เสี่ยวเฟิ่งและเขาคบหากันเป็นคนรักและตอนนี้ทั้งสองคนตัวติดกันมากจงอี้ที่ปกติจะไปไหนมาไหนกับเพื่อนสนิท ก็คล้ายจะโดนทิ้ง จึงทำให้เขามานั่งทำหน้าเซ็งอยู่แบบนี้ในช่วงค่ำหลังจากที่เลิกงาน“เป็นอะไรของนาย” เสี่ยวผิงเดินออกมาเจอพอดีจึงเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัย เพราะท่าทางของจงอี้เหมือนคนไม่มีชีวิตชีวาเลย“เบื่อ” จงอี้ยังหันมามองเธอและตอบคำถาม“เบื่ออะไร”“เพื่อนเธอแย่งเพื่อนฉันไป” พอนึกถึงเสี่ยวเฟิ่ง เขาก็อดมองค้อนสหายของแฟนเพื่อนอย่างเสี่ยวผิงไม่ได้“เป็นบ้าอะไรของนาย ก่อนหน้านี้ยังสนับสนุนให้ทั้งสองคบหากันอยู่แท้ ๆ” เสี่ยวผิงก็พอจะเข้าใจ ก่อนหน้านี้เธอเองก็ตัวติดกับเสี่ยวเฟิ่ง แต่พออีกฝ่ายมีแฟนก็ต้องแบ่งเวลาให้แฟนด้วย แต่ที่เธอไม่เข้าใจคือจงอี้ที่มานั่งทำหน้าหงิกหน้างออยู่ตรงนี้นี่แหละ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาสนับสนุนให้จื้อเฉียงและเสี่ยวเฟิ่งคบหากันด้วยซ้ำ“...” นั่นทำให้จงอี้เถียงไม่ได้เลย“นี่ล่ะหนา ที่เขาเรียกว่าหมาหัวเน่า” “เธอว่าใคร” พอถูกพูดถึงแบบนั้น เขาก็หันขวับไปมองหญิงสาวทันที“เปล
ตอนพิเศษ 1 จื้อเฉียง - เสี่ยวเฟิ่งนับตั้งแต่มู่อันเหมยคลอด เฉินหยางคุนก็เห่อลูกน้อยทั้งสอง แทบจะไม่ได้มาทำงานเลย ภาระทั้งหมดจึงไปตกอยู่ที่จงอี้และจื้อเฉียง จงอี้นั้นจัดการเรื่องตลาดแห่งใหม่และเรื่องสำนักงานรวมถึงการค้าต่าง ๆ ของนายส่วนจื้อเฉียง เขาได้ออกเดินทางไปคุยงานแทนผู้เป็นนายบ่อยครั้งและครั้งนี้ก็เป็นการไปคุยเรื่องเสบียงที่ทางใต้ “ฉันฝากด้วยนะ” หยางคุนกล่าวกับคนสนิทที่เขาไว้ใจให้ไปทำงานแทน“นายไม่ต้องห่วงครับ” จื้อเฉียงตอบรับด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ“อืม ช่วงนี้ฉันจะไม่ค่อยว่าง ขอบใจพวกนายมากที่ทำงานแทน”“เพื่อนายพวกผมพร้อมทำงานถวายหัวครับ”จงอี้ก็พูดขึ้นประจบประแจงอย่างติดตลก ทำให้หยางคุนยิ้มออกมาและส่ายหน้าให้กับเขาเล็กน้อย“หึ เกินไป”“ถ้าอย่างนั้นผมไปเตรียมตัวก่อนนะครับ” จื้อเฉียงขอตัวไปเตรียมของที่จะเดินทาง“ไปเถอะ” หยางคุนก็พยักหน้าให้ทั้งคู่แล้วแยกย้ายกันไปทำงานหรูเฟิ่งและเสี่ยวผิงเองก็ไม่ได้อยู่เฉย พวกเธอไม่ได้อยู่ติดตามมู่อันเหมยแล้ว เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนมากนัก จึงตัดสินใจมาช่วยทำงานที่สำนักงาน แล้วก็ทำให้สนิทกับจื้อเฉียงและจงอี้มากกว่าเดิมไปอีก วัน
บทส่งท้าย สงบสุขจริง ๆ เสียทีวันเวลาก็ผ่านพ้นไปอย่างสงบสุข บ้านสามในเวลานี้ไม่มีฤทธิ์อะไรอีกแล้ว ตัวของย่ามู่แทบจะไม่ออกจากบ้านอีกเลย คนอื่น ๆ ก็ใช้ชีวิตกันไปอย่างปกติและมีความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยดีเท่าไรเวลานี้มู่อันเหมยท้องได้เจ็ดเดือนกว่าแล้ว ซึ่งท้องของเธอโตมาก หมอวินิจฉัยแล้วว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกแฝด คนที่ตื่นเต้นที่สุดคงไม่พ้นคุณพ่อมือใหม่อย่างเฉินอยางคุน!!ซึ่งตั้งแต่ที่รู้ว่าภรรยาท้อง ชายหนุ่มแทบจะไม่ไปทำงานอีกเลย มัวแต่เกาะติดอยู่กับมู่อันเหมยภรรยารักของตนซึ่งเวลานี้มู่อันเหมยได้ย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์แล้ว เพราะสะดวกมากกว่าโดยมีนางอี่หนิงแม่สามีมาคอยดูแล และให้คำปรึกษาลูกสะใภ้ในช่วงเวลาตั้งครรภ์“อีกไม่กี่เดือนเราจะได้เจอกันแล้วนะลูกรัก” เฉินหยางคุนก้มลงไปพูดกับลูกที่อยู่ในท้องของภรรยาสองแฝดเหมือนจะรู้ว่าพ่อคุยกับตนเอง ทำให้มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นจนผู้เป็นแม่อย่างมู่อันเหมยตกใจและทำหน้าเหยเกเล็กน้อย“อ๊ะ”“เหมยเหมยเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บไหมล่ะนั่น” เฉินหยางคุนเงยหน้าขึ้นมาถามภรรยาด้วยความเป็นห่วง ซึ่งมู่อันเหมยพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะลูบท้องตนเองเบาๆ และตอบกลับสามีด้วยความรู้ส
บทที่ 68 จัดการบ้านสามให้เด็ดขาดเฉินฟางเซียนตัดสินใจไปสอบที่ปักกิ่ง โดยมีเว่ยซิ่วตงพาไปด้วยตนเอง ทั้งยังพาเธอไปพบกับครอบครัวของเขาอีกด้วย ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่บ้านเว่ย เฉินฟางเซียนก็ไม่ได้เล่าให้กับใครฟังเธอสอบที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งตามที่ตั้งใจไว้ ส่วนสหายอีกสองคนไม่ได้ไปด้วยเฉินฟางเซียนมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะสอบเป็นอย่างมาก อ่านหนังสือจนดึกดื่นและเธอก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เฉินฟางเซียนสอบติดอย่างที่ตั้งใจไว้พอกลับมาที่หมู่บ้าน ทุกคนก็ร่วมแสดงความยินดีกับเธอ ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงก็รู้เรื่องกันทั่ว“ยินดีด้วยนะลูก” นางอี่หนิงสวมกอดลูกสาวแสดงความยินดี“ขอบคุณนะคะแม่ พี่หยางคุน พี่สะใภ้”“เก่งมาก” เฉินหยางคุนก็ยกมือขึ้นลูบหัวน้องสาวที่เขาเลี้ยงมากับมือด้วยความภาคภูมิใจมู่อันเหมยก็ยิ้มให้กับน้องสามี ในตอนนี้เธอตั้งท้องได้ห้าเดือนแล้ว บ้านเฉินในตอนนี้มีแต่เรื่องน่ายินดี กิจการของเฉินหยางคุนก็กำลังไปได้สวยจริง ๆเรื่องที่เฉินฟางเซียนกำลังจะไปเป็นนักศึกษาที่เมืองหลวงถูกแพร่กระจายไปทั่ว ชาวบ้านก็ยินดีด้วย พร้อมกับเชิดหน้าชูตาได้ เพราะในตอนนี้หมู่บ้านของพวกเขาไม่เพียงมีนายท่านเ
บทที่ 67 มู่อันเหมยท้องแล้วทุกอย่างดำเนินมาอย่างราบรื่นจนปีปฏิวัติผ่านพ้นไป เฉินหยางคุนสั่งปิดตลาดมืดในช่วงที่มีการปฏิวัติ และนายพลหม่า นายพลหู รวมไปถึงครอบครัวของเว่ยซิ่วตงก็เลือกข้างได้ถูกเพราะคำแนะนำจากเขาจากนั้นพอมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เขาก็เริ่มมีความคิดที่จะทำหลายอย่าง เช่นการทำให้ตลาดมืดกลายเป็นการค้าเสรีที่ชาวบ้านทุกคนสามารถนำของมาขายได้จนกระทั่งทางการประกาศให้มีการเวนคืนที่ดินให้กับผู้ที่เคยถูกยึด ยกเลิกการทำงานในคอมมูน แบ่งที่ดินให้ทำกินอย่างเท่าเทียมทางด้านเฉินหยางคุนก็จัดตั้งตลาดที่ถูกกฎหมายขึ้นมา ส่วนตลาดมืดก็ยังคงมีอยู่และคึกคักเหมือนเดิม แม้จะมีการค้าเสรี แต่สินค้าบางอย่างรัฐยังจำกัดการซื้อ ดังนั้นตลาดมืดยังเป็นที่ต้องการของประชาชนทั่วไปในช่วงนี้สองสามีภรรยาจึงค่อนข้างจะยุ่งวุ่นวายกับงานมาก เช้าวันนี้มู่อันเหมยตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัว หน้ามืด อยากจะอาเจียน“อุบ” เธอรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำจัดการกับตัวเองสักพักก็เดินออกมา ในเวลานี้สามีของเธอคงจะออกกำลังกายอยู่ที่หน้าบ้านมู่อันเหมยรู้สึกว่าช่วงนี้ร่างกายของเธออ่อนเพลียเป็นอย่างมาก แต่เธอคิดว่าเป็นเพราะพักผ่อนน้อย เ
บทที่ 66 เสี่ยวฟางรนหาที่เรื่องราวของว่านปี่หมิงที่ต้องมีสภาพที่น่าอนาถแบบนั้น เสี่ยวฟางก็รับรู้เช่นกัน เธอไม่คิดที่จะกลับไปหาคนไร้ประโยชน์อย่างชายคนนั้นอีก เพราะไม่เช่นนั้นก็คงเป็นเธอที่ลำบากในตอนนี้ชีวิตของเสี่ยวฟางที่บ้านก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน พ่อแม่ของเธอกำลังจะหาชายแก่หรือพ่อม่ายมาแต่งงานกับเธอ เพื่อส่งเธอออกไปให้พ้นตระกูลเธอไม่ยินยอม แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะตอนนี้ยังพึ่งพาพวกเขาอยู่ เธอนึกไปถึงมู่อันเหมยที่ตอนนี้กลายเป็นนายหญิงเฉินแล้วก็รู้สึกอิจฉา คนบ้านนอกอย่างมู่อันเหมยไม่ควรได้รับสิ่งดี ๆ พวกนี้เลยด้วยซ้ำ เลยมีความคิดหนึ่งขึ้นมา ไม่รอช้า วันต่อมาจึงเดินทางมาที่บ้านของมู่อันเหมยทันที“มาหาใครคะ” เฉินฟางเซียนเป็นคนออกมาดูด้วยตนเอง“ฉันมาหาอันเหมยค่ะ”“เป็นสหายของพี่สะใภ้เหรอคะ” ได้ยินคำตอบ เฉินฟางเซียนก็เอียงคอมองอย่างพิจารณา“ใช่ค่ะ” เสี่ยวฟางตอบรับและทึกทักเอาเองว่าเป็นสหายของมู่อันเหมย“ใครมาเหรอฟางเซียน” มู่อันเหมยออกมาพอดี เธอถามน้องสามีและหันไปมองแขกที่มา พอเห็นว่าเป็นใคร เธอก็ชะงักไปทันทีเสี่ยวฟางที่พอเห็นอันเหมย เธอก็กำหมัดแน่น มองการแต่งตัวด้วยชุดสวย ๆ ของอันเหมยด้ว