ระหว่างปั่นจักรยานมาตลาดมืด ทั้งสองคนไม่รู้เลยว่ามีสายตาสองคู่กำลังมองด้วยความตกใจ
“นายเห็นเหมือนฉันหรือเปล่าอาโจว”
จื้อเฉียงสะกิดสหายด้วยความตกใจ พร้อมกับถามว่าเห็นเหมือนที่เขาเห็นไหม
“ฉันไม่ได้ตาบอด นั่นมันเจ้านายของพวกเรา ว่าแต่คนที่นั่งซ้อนท้ายจักรยานใช่ว่าที่คู่หมั้นของเจ้านายหรือเปล่า” จงอี้ตอบกลับ เขาแทบจะไม่เชื่อสายตาตนเองเหมือนกัน
เจ้านายผู้แสนเย็นชาโหดเหี้ยมที่ไม่เคยก้มหัวให้ใครแม้แต่กลุ่มทหารแดงที่ชาวบ้านล้วนหวาดกลัว ทำไมวันนี้เจ้านายเขาช่างดูเป็นผู้ชายที่อบอุ่นแบบนั้นล่ะ ทั้งสองคล้ายจะมุ่งหน้าไปตลาดมืดใช่หรือไม่
“ถ้าอย่างนั้นเราสองคนรีบกลับไปตลาดมืดกันก่อนดีไหม เผื่อเจ้านายเรียกหา”
วันนี้เขามาจัดการธุระบางอย่างให้เฉินหยางคุน แต่ในเวลานี้ควรจะกลับไปยังตลาดมืดก่อนดีกว่าเผื่อว่าเจ้านายมีเรื่องด่วนและเรียกหา
จากนั้นทั้งสองจึงขี่จักรยานกลับมายังตลาดมืดอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว
ในตลาดมืดแห่งนี้ดูไม่เหมือนกับชาติก่อน ในนี้คล้ายกับมีของมาขายมากขึ้นกว่าเดิม แต่พอคิดไปคิดมาที่นี่ไม่ใช่ที่เดียวกับที่เธอเคยมาซื้อของชาติที่แล้ว
“ตลาดมืดแห่งนี้ดูเหมือนจะมีของเยอะเลยนะพี่ใหญ่เฉิน เจ้าของคงมีอิทธิพลไม่น้อยถึงกล้ามีร้านค้าให้เช่า มากกว่าที่วางขายตามพื้นหรือแผงตั้งชั่วคราว”
“อืม ตลาดมืดแห่งนี้เท่าที่ผมรู้น่าจะเปิดได้เกือบสามปีแล้ว ส่วนเจ้าของมีอิทธิพลไหมผมไม่รู้หรอก แต่เท่าที่รู้เจ้าของที่นี่บริจาคอาหารและเครื่องนุ่งห่มมากมายให้กับหมู่บ้านที่เดือดร้อน และยังส่งอาหารให้กับกองทัพในราคาย่อมเยา”
“จริงเหรอคะ ดูแล้วเจ้าของที่นี่ก็ไม่น่าจะใช่คนเลวร้ายอะไรนะคะ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เห็นใจชาวบ้านที่ลำบากเหล่านั้น ตอนนี้อาหารและเครื่องนุ่งห่มล้วนแต่เป็นสินค้าที่จำกัดปริมาณ ต่อให้คนมีเงินก็หาซื้อลำบาก แต่ในตลาดแห่งนี้มีแทบทุกอย่างเลยนะคะ”
ร้านค้าถาวรและแผงชั่วคราวต่างก็เปิดขายกันละลานตา เธอคิดว่าเจ้าของที่นี่คงเส้นใหญ่ไม่น้อย การที่เปิดตลาดมืดได้เกินหนึ่งปีโดยที่ไม่มีใครมาก่อกวนหรือบุกเข้ามาจับแสดงว่าคนคนนั้นมีเส้นสายพอตัว
“ไปเถอะ ผมจะพาไปดูเสื้อผ้า เริ่มงานใหญ่ ซื้อชุดใหม่สักหน่อยเถิด และไม่ต้องปฏิเสธ คิดเสียว่าเป็นของขวัญจากคู่หมั้น”
เฉินหยางคุนปิดช่องทางการปฏิเสธก่อนจะพยักหน้าให้เธอเดินนำ ส่วนเขาจะเป็นคนเดินตามเอง เมื่อมาถึงร้านเสื้อผ้าเขาจึงเรียกเธอไว้
“ร้านนี้ล่ะ ลองเข้าไปเลือกดู”
“สวัสดีค่ะ ต้องการชุดแบบไหนคะ ร้านเรามีทั้งแบบสำเร็จรูปและแบบสั่งตัด ลูกค้าสามารถแจ้งได้นะคะ”
เจ้าของร้านสาวสวยรีบปรี่เข้ามาสอบถาม เธอใช้สายตามองไปยังชายหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างกำยำ เธอจึงยิ้มให้เขาอย่างยั่วยวนเล็กน้อย มู่อันเหมยขมวดคิ้วกับท่าทางเจ้าของร้าน คุยกับเธอแต่ส่งสายตาให้กับว่าที่คู่หมั้นของเธอ แบบนี้หมายความว่าอย่างไร
“ไม่ซื้อแล้วค่ะ ไปกันเถอะพี่”
อยู่ ๆ มู่อันเหมยกลับไม่พอใจขึ้นมาดื้อ ๆ เธอไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไมรู้สึกหงุดหงิด เพียงแค่มีหญิงสาวส่งสายตาให้กับพี่ใหญ่เฉิน ก่อนจะเผลอคว้าแขนของเฉินหยางคุนเดินออกมาอย่างลืมตัว
เฉินหยางคุนเลือกที่จะไม่คัดค้านเพราะในตลาดมืดแห่งนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ที่คอยตรวจสอบความสัมพันธ์ของชายหญิง เขาจึงตีมึนทำเฉยเดินตามมู่อันเหมยไปอย่างนั้น
“มีร้านอื่นอีกไหมคะ ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นอะไร” น้ำเสียงยังคงหงุดหงิดไม่น้อยในขณะที่ถาม
“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่ซื้อร้านนั้นล่ะ นั่นคือร้านที่ใหญ่ที่สุดในตลาดมืดแห่งนี้ บรรดาคุณนายต่างก็แอบมาตัดชุดกับร้านนี้ไม่น้อย”
“รู้ดีจังเลยนะคะ พี่ใหญ่เฉินมาตลาดแห่งนี้บ่อยเหรอ ถึงได้รู้ดีจัง หรือว่าสนิทกับเจ้าของร้านนั้นคะ เธอสวยนะ”
“ผมว่าคุณสวยกว่า แต่ต่อให้ใครจะสวยกว่าคุณ ผมก็ไม่สนใจ”
เฉินหยางคุนโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู ทำให้มู่อันเหมยรู้สึกขนลุกเพราะอยู่ ๆ มีลมหายใจอุ่น ๆ มาเป่ารดหู เธอทำอะไรไม่ถูกได้แต่เดินไปดูของร้านอื่นแทน
ทั้งสองเดินเข้าออกอยู่หลายร้าน เฉินหยางคุนยินดีที่จะซื้อให้ทุกอย่างขอเพียงมู่อันเหมยมองสิ่งนั้นแล้วแววตาเป็นประกาย ทำให้ในมือของชายหนุ่มเต็มไปด้วยสิ่งของ
“พอแล้วค่ะพี่ใหญ่เฉิน แค่นี้ฉันก็ใช้แทบไม่หมดแล้ว”
มู่อันเหมยต้องห้ามปราม เธอรู้หรอกว่าบ้านเฉินมีฐานะ แต่หากใช้เงินแบบนี้เธอคิดว่ามันเกินไป หากไม่รู้จักเก็บออม วันหนึ่งก็ต้องหมด พี่ใหญ่เฉินไม่ได้เป็นทหารแล้ว เขาเป็นเพียงชายหนุ่มชนบททำงานแลกแต้มในคอมมูนเท่านั้น จะมีเงินมาเติมในส่วนที่จ่ายไปได้อย่างไร
พอคิดถึงเรื่องเงินทำให้มู่อันเหมยคิดถึงเรื่องหลังแต่งงานขึ้นมา หากเธอจะขอเขาทำงานต่อหลังจากแต่งงานจะได้หรือไม่
“โรงงานยาสูบต้องให้ทำงานครบหกเดือนไม่ใช่เหรอ โรงงานถึงจะแจกชุดพนักงานให้ เท่านี้ไม่มากไปหรอก หรือจะไปซื้อแบบฟอร์มใส่ให้เหมือนคนอื่น”
“ไม่เอาหรอกพี่ใหญ่เฉิน อีกหกเดือนก็ได้ฟรีแล้วจะเสียเงินจ่ายทำไม จริงสิ หากครบสัญญาที่ฉันขอพี่ไว้หนึ่งปี หลังจากที่เราแต่งงานกันแล้วฉันขอทำงานต่อได้ไหม จะได้แบ่งเบาภาระพี่บ้าง”
น้ำเสียงขอมู่อันเหมยประโยคสุดท้ายคล้ายกับไม่มั่นคง เธอรู้ดีว่าชาวบ้านเช่นพวกเธอส่วนมากหากแต่งงานต้องอยู่บ้านดูแลสามีและแม่สามีรวมถึงลูก ๆ ที่ยังไม่เกิดมา น้อยนักที่จะได้ทำงานนอกบ้านแบบคนในเมืองทำกัน
“อะไรที่ทำแล้วสบายใจก็ทำเถอะ ผมแต่งงานกับคุณ ผมไม่ได้ต้องการแม่บ้าน”
เฉินหยางคุนยังคงยืนยันคำเดิม อะไรที่สบายใจก็ทำไปเถอะ ตัวเขาไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน หากแต่งงานแล้วเธออยากทำงานต่อเขาก็ไม่ห้าม เพราะนั่นหมายถึงความสุขของมู่อันเหมย
“จริงเหรอคะ ขอบคุณค่ะ”
มู่อันเหมยเงยหน้ามองเขาดวงตาเป็นประกาย และคิดว่าชาติที่แล้วเธอปล่อยผู้ชายที่แสนอบอุ่นและยอมอ่อนข้อให้เธอแบบนี้ได้อย่างไร
จากนั้นเฉินหยางคุนจึงพาเธอเดินไปที่ร้านขายเสื้อผ้าร้านอื่น เขาไม่รอให้มู่อันเหมยเลือก เพราะคงเลือกเพียงชุดเดียว สุดท้ายมู่อันเหมยได้เสื้อผ้ามาหกชุด หากเธอไม่ห้ามคงได้มาเป็นสิบชุด
“นายคิดว่าเจ้านายดูอบอุ่นเกินไปหรือไม่” จื้อเฉียงที่ตามมาดูเจ้านายยังคงสงสัยกับอาการของเฉินหยางคุน
“ผู้หญิงคนนั้น เจ้านายคงจะรักมาก ครั้งก่อนที่ไปส่งเสบียงให้กับท่านนายพลหู คุณหนูหูส่งสายตาให้เจ้านาย ฉันยังไม่เห็นเจ้านายจะสนใจแบบนี้เลย”
“เราสองคนอย่ามัวแต่มานินทาเจ้านายเลย หากเจ้านายไม่เรียกก็ทำเฉย ๆ ไว้”
ทั้งสองคนยังใช้สายตามองไปยังเฉินหยางคุนและมู่อันเหมย เมื่อเห็นว่าทั้งสองเดินออกไปจากตลาดมืดแห่งนี้แล้ว จึงได้เดินกลับออกมาเช่นกัน
ทันทีที่จักรยานของเฉินหยางคุนเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านบางคนที่ไม่ทำงานในวันนี้ต่างก็มองมู่อันเหมยด้วยความอิจฉา มีใครไม่รู้บ้างว่าบ้านเฉินมีฐานะดีแค่ไหน
วันนี้ลูกชายบ้านเฉินพาลูกสาวบ้านรองมู่ไปในเมือง ข้าวของมากมายที่แขวนอยู่ที่จักรยานและในตะกร้าด้านหน้าย่อมต้องเป็นของมู่อันเหมย อีกทั้งบ้านรองมู่ไม่ได้มีฐานะ แสดงว่าของพวกนี้ย่อมเป็นเฉินหยางคุนซื้อให้
“นั่นมันลูกชายบ้านใหญ่เฉินกับลูกสาวบ้านรองมู่นี่”
“ใช่แล้ว ว่าแต่ปกติทั้งสองคนนี้แทบจะไม่คุยกันไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้ไปด้วยกันได้ล่ะ ทั้งสองดูมีความสนิทสนมกันพอสมควรเลย แบบนี้บ้านรองมู่รู้หรือเปล่าว่าลูกสาวทำตัวหน้าไม่อายเช่นนี้”
มีอย่างที่ไหน ซ้อนท้ายจักรยานชายหนุ่มไปในเมืองทั้ง ๆ ที่ทั้งสองคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกัน หากเจอทหารแดงหรือเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความสัมพันธ์คงจะมีโทษไม่น้อย
ตอนพิเศษ 2 จงอี้ - เสี่ยวผิงพอหายดี จื้อเฉียงก็ได้ออกจากโรงพยาบาล ทุกคนก็ได้รู้พร้อมกันว่าตอนนี้เสี่ยวเฟิ่งและเขาคบหากันเป็นคนรักและตอนนี้ทั้งสองคนตัวติดกันมากจงอี้ที่ปกติจะไปไหนมาไหนกับเพื่อนสนิท ก็คล้ายจะโดนทิ้ง จึงทำให้เขามานั่งทำหน้าเซ็งอยู่แบบนี้ในช่วงค่ำหลังจากที่เลิกงาน“เป็นอะไรของนาย” เสี่ยวผิงเดินออกมาเจอพอดีจึงเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัย เพราะท่าทางของจงอี้เหมือนคนไม่มีชีวิตชีวาเลย“เบื่อ” จงอี้ยังหันมามองเธอและตอบคำถาม“เบื่ออะไร”“เพื่อนเธอแย่งเพื่อนฉันไป” พอนึกถึงเสี่ยวเฟิ่ง เขาก็อดมองค้อนสหายของแฟนเพื่อนอย่างเสี่ยวผิงไม่ได้“เป็นบ้าอะไรของนาย ก่อนหน้านี้ยังสนับสนุนให้ทั้งสองคบหากันอยู่แท้ ๆ” เสี่ยวผิงก็พอจะเข้าใจ ก่อนหน้านี้เธอเองก็ตัวติดกับเสี่ยวเฟิ่ง แต่พออีกฝ่ายมีแฟนก็ต้องแบ่งเวลาให้แฟนด้วย แต่ที่เธอไม่เข้าใจคือจงอี้ที่มานั่งทำหน้าหงิกหน้างออยู่ตรงนี้นี่แหละ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาสนับสนุนให้จื้อเฉียงและเสี่ยวเฟิ่งคบหากันด้วยซ้ำ“...” นั่นทำให้จงอี้เถียงไม่ได้เลย“นี่ล่ะหนา ที่เขาเรียกว่าหมาหัวเน่า” “เธอว่าใคร” พอถูกพูดถึงแบบนั้น เขาก็หันขวับไปมองหญิงสาวทันที“เปล
ตอนพิเศษ 1 จื้อเฉียง - เสี่ยวเฟิ่งนับตั้งแต่มู่อันเหมยคลอด เฉินหยางคุนก็เห่อลูกน้อยทั้งสอง แทบจะไม่ได้มาทำงานเลย ภาระทั้งหมดจึงไปตกอยู่ที่จงอี้และจื้อเฉียง จงอี้นั้นจัดการเรื่องตลาดแห่งใหม่และเรื่องสำนักงานรวมถึงการค้าต่าง ๆ ของนายส่วนจื้อเฉียง เขาได้ออกเดินทางไปคุยงานแทนผู้เป็นนายบ่อยครั้งและครั้งนี้ก็เป็นการไปคุยเรื่องเสบียงที่ทางใต้ “ฉันฝากด้วยนะ” หยางคุนกล่าวกับคนสนิทที่เขาไว้ใจให้ไปทำงานแทน“นายไม่ต้องห่วงครับ” จื้อเฉียงตอบรับด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ“อืม ช่วงนี้ฉันจะไม่ค่อยว่าง ขอบใจพวกนายมากที่ทำงานแทน”“เพื่อนายพวกผมพร้อมทำงานถวายหัวครับ”จงอี้ก็พูดขึ้นประจบประแจงอย่างติดตลก ทำให้หยางคุนยิ้มออกมาและส่ายหน้าให้กับเขาเล็กน้อย“หึ เกินไป”“ถ้าอย่างนั้นผมไปเตรียมตัวก่อนนะครับ” จื้อเฉียงขอตัวไปเตรียมของที่จะเดินทาง“ไปเถอะ” หยางคุนก็พยักหน้าให้ทั้งคู่แล้วแยกย้ายกันไปทำงานหรูเฟิ่งและเสี่ยวผิงเองก็ไม่ได้อยู่เฉย พวกเธอไม่ได้อยู่ติดตามมู่อันเหมยแล้ว เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนมากนัก จึงตัดสินใจมาช่วยทำงานที่สำนักงาน แล้วก็ทำให้สนิทกับจื้อเฉียงและจงอี้มากกว่าเดิมไปอีก วัน
บทส่งท้าย สงบสุขจริง ๆ เสียทีวันเวลาก็ผ่านพ้นไปอย่างสงบสุข บ้านสามในเวลานี้ไม่มีฤทธิ์อะไรอีกแล้ว ตัวของย่ามู่แทบจะไม่ออกจากบ้านอีกเลย คนอื่น ๆ ก็ใช้ชีวิตกันไปอย่างปกติและมีความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยดีเท่าไรเวลานี้มู่อันเหมยท้องได้เจ็ดเดือนกว่าแล้ว ซึ่งท้องของเธอโตมาก หมอวินิจฉัยแล้วว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกแฝด คนที่ตื่นเต้นที่สุดคงไม่พ้นคุณพ่อมือใหม่อย่างเฉินอยางคุน!!ซึ่งตั้งแต่ที่รู้ว่าภรรยาท้อง ชายหนุ่มแทบจะไม่ไปทำงานอีกเลย มัวแต่เกาะติดอยู่กับมู่อันเหมยภรรยารักของตนซึ่งเวลานี้มู่อันเหมยได้ย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์แล้ว เพราะสะดวกมากกว่าโดยมีนางอี่หนิงแม่สามีมาคอยดูแล และให้คำปรึกษาลูกสะใภ้ในช่วงเวลาตั้งครรภ์“อีกไม่กี่เดือนเราจะได้เจอกันแล้วนะลูกรัก” เฉินหยางคุนก้มลงไปพูดกับลูกที่อยู่ในท้องของภรรยาสองแฝดเหมือนจะรู้ว่าพ่อคุยกับตนเอง ทำให้มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นจนผู้เป็นแม่อย่างมู่อันเหมยตกใจและทำหน้าเหยเกเล็กน้อย“อ๊ะ”“เหมยเหมยเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บไหมล่ะนั่น” เฉินหยางคุนเงยหน้าขึ้นมาถามภรรยาด้วยความเป็นห่วง ซึ่งมู่อันเหมยพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะลูบท้องตนเองเบาๆ และตอบกลับสามีด้วยความรู้ส
บทที่ 68 จัดการบ้านสามให้เด็ดขาดเฉินฟางเซียนตัดสินใจไปสอบที่ปักกิ่ง โดยมีเว่ยซิ่วตงพาไปด้วยตนเอง ทั้งยังพาเธอไปพบกับครอบครัวของเขาอีกด้วย ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่บ้านเว่ย เฉินฟางเซียนก็ไม่ได้เล่าให้กับใครฟังเธอสอบที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งตามที่ตั้งใจไว้ ส่วนสหายอีกสองคนไม่ได้ไปด้วยเฉินฟางเซียนมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะสอบเป็นอย่างมาก อ่านหนังสือจนดึกดื่นและเธอก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เฉินฟางเซียนสอบติดอย่างที่ตั้งใจไว้พอกลับมาที่หมู่บ้าน ทุกคนก็ร่วมแสดงความยินดีกับเธอ ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงก็รู้เรื่องกันทั่ว“ยินดีด้วยนะลูก” นางอี่หนิงสวมกอดลูกสาวแสดงความยินดี“ขอบคุณนะคะแม่ พี่หยางคุน พี่สะใภ้”“เก่งมาก” เฉินหยางคุนก็ยกมือขึ้นลูบหัวน้องสาวที่เขาเลี้ยงมากับมือด้วยความภาคภูมิใจมู่อันเหมยก็ยิ้มให้กับน้องสามี ในตอนนี้เธอตั้งท้องได้ห้าเดือนแล้ว บ้านเฉินในตอนนี้มีแต่เรื่องน่ายินดี กิจการของเฉินหยางคุนก็กำลังไปได้สวยจริง ๆเรื่องที่เฉินฟางเซียนกำลังจะไปเป็นนักศึกษาที่เมืองหลวงถูกแพร่กระจายไปทั่ว ชาวบ้านก็ยินดีด้วย พร้อมกับเชิดหน้าชูตาได้ เพราะในตอนนี้หมู่บ้านของพวกเขาไม่เพียงมีนายท่านเ
บทที่ 67 มู่อันเหมยท้องแล้วทุกอย่างดำเนินมาอย่างราบรื่นจนปีปฏิวัติผ่านพ้นไป เฉินหยางคุนสั่งปิดตลาดมืดในช่วงที่มีการปฏิวัติ และนายพลหม่า นายพลหู รวมไปถึงครอบครัวของเว่ยซิ่วตงก็เลือกข้างได้ถูกเพราะคำแนะนำจากเขาจากนั้นพอมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เขาก็เริ่มมีความคิดที่จะทำหลายอย่าง เช่นการทำให้ตลาดมืดกลายเป็นการค้าเสรีที่ชาวบ้านทุกคนสามารถนำของมาขายได้จนกระทั่งทางการประกาศให้มีการเวนคืนที่ดินให้กับผู้ที่เคยถูกยึด ยกเลิกการทำงานในคอมมูน แบ่งที่ดินให้ทำกินอย่างเท่าเทียมทางด้านเฉินหยางคุนก็จัดตั้งตลาดที่ถูกกฎหมายขึ้นมา ส่วนตลาดมืดก็ยังคงมีอยู่และคึกคักเหมือนเดิม แม้จะมีการค้าเสรี แต่สินค้าบางอย่างรัฐยังจำกัดการซื้อ ดังนั้นตลาดมืดยังเป็นที่ต้องการของประชาชนทั่วไปในช่วงนี้สองสามีภรรยาจึงค่อนข้างจะยุ่งวุ่นวายกับงานมาก เช้าวันนี้มู่อันเหมยตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัว หน้ามืด อยากจะอาเจียน“อุบ” เธอรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำจัดการกับตัวเองสักพักก็เดินออกมา ในเวลานี้สามีของเธอคงจะออกกำลังกายอยู่ที่หน้าบ้านมู่อันเหมยรู้สึกว่าช่วงนี้ร่างกายของเธออ่อนเพลียเป็นอย่างมาก แต่เธอคิดว่าเป็นเพราะพักผ่อนน้อย เ
บทที่ 66 เสี่ยวฟางรนหาที่เรื่องราวของว่านปี่หมิงที่ต้องมีสภาพที่น่าอนาถแบบนั้น เสี่ยวฟางก็รับรู้เช่นกัน เธอไม่คิดที่จะกลับไปหาคนไร้ประโยชน์อย่างชายคนนั้นอีก เพราะไม่เช่นนั้นก็คงเป็นเธอที่ลำบากในตอนนี้ชีวิตของเสี่ยวฟางที่บ้านก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน พ่อแม่ของเธอกำลังจะหาชายแก่หรือพ่อม่ายมาแต่งงานกับเธอ เพื่อส่งเธอออกไปให้พ้นตระกูลเธอไม่ยินยอม แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะตอนนี้ยังพึ่งพาพวกเขาอยู่ เธอนึกไปถึงมู่อันเหมยที่ตอนนี้กลายเป็นนายหญิงเฉินแล้วก็รู้สึกอิจฉา คนบ้านนอกอย่างมู่อันเหมยไม่ควรได้รับสิ่งดี ๆ พวกนี้เลยด้วยซ้ำ เลยมีความคิดหนึ่งขึ้นมา ไม่รอช้า วันต่อมาจึงเดินทางมาที่บ้านของมู่อันเหมยทันที“มาหาใครคะ” เฉินฟางเซียนเป็นคนออกมาดูด้วยตนเอง“ฉันมาหาอันเหมยค่ะ”“เป็นสหายของพี่สะใภ้เหรอคะ” ได้ยินคำตอบ เฉินฟางเซียนก็เอียงคอมองอย่างพิจารณา“ใช่ค่ะ” เสี่ยวฟางตอบรับและทึกทักเอาเองว่าเป็นสหายของมู่อันเหมย“ใครมาเหรอฟางเซียน” มู่อันเหมยออกมาพอดี เธอถามน้องสามีและหันไปมองแขกที่มา พอเห็นว่าเป็นใคร เธอก็ชะงักไปทันทีเสี่ยวฟางที่พอเห็นอันเหมย เธอก็กำหมัดแน่น มองการแต่งตัวด้วยชุดสวย ๆ ของอันเหมยด้ว