เสียงหัวเราะของเด็กชายดังขึ้นภายในสวนหลังเรือนใหญ่ เป็นเสียงที่สดใสเกินไปสำหรับสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเย็นเยียบแห่งความชิงชังและการหลอกลวง
เซียวเทียนหยู บุตรชายของเจินซูเม่ย เด็กชายในวัยสิบสามปีผู้เป็นที่รักของบิดายิ่งนัก
แม้ในชาติก่อนเขายังเยาว์วัยนัก แต่กลับเป็นผู้ที่กล่าวหานางว่าลอบขโมยของหลวง และเป็นผู้ที่ผลักดันให้บิดาสั่งลงโทษนางและแม่ในช่วงท้ายของชีวิตอย่างไร้เมตตา
“ในชาติก่อน แม้จะยังเด็ก แต่ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส เป็นอสรพิษในคราบเด็กน้อย”
“ในชาตินี้ ข้าจะขุดรากเจ้า ก่อนที่เขี้ยวจะงอก!”
บ่ายวันนั้น ลี่อินปรากฏตัวในสวน นางแต่งกายเรียบง่าย เอาผ้าบางคลุมศีรษะ ถือกระเช้าผลไม้เดินตรงเข้าไป
“เทียนหยู ข้านำผลไม้มาให้เจ้า”
เด็กชายชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยืดอกพูดด้วยท่าทีจองหอง
“พี่หญิงใหญ่!”
“ใช่ ข้าเอง”
“วันนั้น ท่านคือคนที่ทำถาดหล่นใส่ท่านอ๋องใช่หรือไม่”
เสียงหัวเราะเหี้ยม ๆ จากปากเด็กชายทำเอาคนรับใช้รอบตัวสะอึก แต่ลี่อินกลับยิ้มบาง ย่อตัวลงนอบน้อม
“ข้าสะเพร่าไปหน่อย เพียงแค่อยากไปช่วยงาน”
เซียวเทียนหยูเลิกคิ้วอย่างงุนงง ก่อนจะโบกมือ “วางไว้ตรงนั้น แล้วไปเถอะ”
ทว่าก่อนนางจะผละไป ลี่อินก็หันกลับมายิ้มอีกครั้ง
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าชอบอ่านตำราศึก พอดีข้ามีคัมภีร์ปิ่นอี้ฉบับจำลอง ที่เคยได้มาจากตลาดกลางเมื่อปีกลาย เจ้าอาจสนใจ…”
แววตาของเด็กชายเปลี่ยนไปทันที
“คัมภีร์ปิ่นอี้หรือ?”
“ข้าชอบเล่มนั้น ข้าอยากได้แต่ท่านแม่บอกว่าของปลอมเยอะ ไม่ให้ซื้อ!”
ลี่อินโค้งเล็กน้อย “ข้าเก็บไว้อย่างดี เจ้าอยากได้หรือไม่?”
เด็กชายพยักหน้า “ดี! เอามาให้ข้า”
เมื่อลี่อินกลับมายังเรือนหลัง นางเปิดห่อผ้าที่เก็บไว้ใต้พื้นกระดาน ดึงตำราปิ่นอี้ฉบับลอกเลียนเก่าเก็บเล่มหนึ่งขึ้นมา แล้วเขียนแทรกบันทึกบางอย่างไว้ระหว่างหน้า
“คุณหนูทำอะไรหรือเจ้าคะ” เสี่ยวจูถามขึ้น
“เซียวเทียนหยูชอบอวด อยากเด่น และเชื่อฟังเจินซูเม่ย หากข้าจะจับผิดการปลูกฝังของเจินซูเม่ย ก็ต้องเริ่มจากเขา ข้าจะให้เขาพูด โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังทำลายครอบครัวตัวเอง”
ในคืนนั้นเอง เจินซูเม่ยนั่งสนทนากับซูหรูในห้องนอน
“วันนี้นังลี่อินไปที่สวนหลังเรือนของเทียนหยู”
“มันคิดจะทำอันใด?”
นางใช้ปลายนิ้วแตะพัดอย่างช้า ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความระแวง
“มันแปลกไป…”
“ฮูหยิน ท่านต้องการให้ข้าจัดการหรือไม่?”
“ยังก่อน” เจินซูเม่ยหยุดคำทันที
“การฆ่าแมลงตัวหนึ่งอาจทำให้ตัวใหญ่อื่นระวังตัว ข้ายังไม่รู้แน่ชัดว่ามันคิดทำอะไร”
ดวงตานางเปล่งประกายอำมหิตใต้แสงตะเกียง
เช้าวันถัดมา ฟ้าแจ่มกระจ่าง แสงอาทิตย์โปรยปรายเหนือยอดหลิวในสวนของจวนสกุลเซียว กลิ่นหอมจางของเกาลัดย่างลอยตามลมมาจากโรงครัวหลังเรือน ละลายความเย็นของยามเช้าอย่างเงียบงัน แต่ในใจของลี่อินกลับสงบไม่ได้แม้เพียงอึดใจเดียว
วันนี้เป็นวันแรกที่นางจะเริ่ม ‘ฝังพิษในน้ำชา’ ที่ครอบครัวนี้เคยให้นางลิ้มรสมานับไม่ถ้วน
ลี่อินนำตำราปิ่นอี้จำลองเล่มเก่ามาห่อด้วยผ้าปักลายธรรมดา แล้วแอบสอดกระดาษแผ่นเล็กบางเฉียบไว้ในหน้า 15 บนกระดาษมีข้อความที่จดไว้ด้วยลายมือของนางเอง
“วันที่ 4 เดือน 5
บิดาข้าสั่งให้เบิกเงินหลวงสามพันตำลึงในนามของสำนักจัดซื้ออาวุธเจินซูเม่ยเป็นผู้ประสานกับผู้ดูแลคลัง”ข้อความถูกเขียนคล้ายร่างฝึกฝนการจดจำ แต่มิได้มีคำใดระบุเจตนา
“ข้าจะใช้ปากของลูกชายมัน สะกิดให้คนเริ่มสงสัย แม้เพียงครึ่งบรรทัด ก็พอสร้างรอยร้าวได้แล้ว”
เมื่อเข้าไปในสวน ลี่อินพบเซียวเทียนหยูนั่งอยู่ใต้ศาลาหิน ข้างกายมีบ่าวสองคนและแม่นมหลิว เด็กชายมองเห็นนางก็รีบลุกขึ้นทันที
“ข้ามารอตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง!” เทียนหยูว่าด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ลี่อินยิ้มบาง ๆ “ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าต้องรอนาน”
นางยื่นห่อผ้าส่งให้ และรอให้เขาเปิด เด็กชายเปิดตำราอย่างกระตือรือร้น พลิกหน้าไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้า 15 ก็ชะงักสายตาไปชั่วครู่
“นี่อะไร?” เขาเอ่ยถาม พลางหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา
ลี่อินแกล้งแสดงสีหน้าตกใจเล็กน้อย “อ่า…กระดาษแผ่นนั้น ข้าเขียนไว้ตอนฝึกเขียนคำคัดลอก ไม่รู้เผลอสอดเข้าไปตอนไหน”
“แต่ชื่อ ‘เจินซูเม่ย’ และ ‘เงินหลวง’ มันเกี่ยวกับท่านแม่ข้า?”
คำถามนั้นถูกพ่นออกมาด้วยความไร้เดียงสา แต่นางกลับแสร้งทำสีหน้าตื่นตระหนก
“เทียนหยู ข้าไม่ได้ตั้งใจจะให้เจ้าเห็นเรื่องในครอบครัวเช่นนี้เลย…”
“อย่าเข้าใจผิด ข้าจะเผากระดาษแผ่นนั้นทิ้งเสีย!”
นางรีบเอื้อมมือไปหมายจะดึงกระดาษคืน แต่เด็กชายกลับชักมือหลบ
“เดี๋ยว! ข้าอยากอ่าน!”
บ่าวทั้งสองทำสีหน้าอึดอัด แม่นมหลิวพยายามดึงคุณชายน้อยให้ออกห่าง
“คุณชายเจ้าคะ เรื่องพวกนี้ไม่เหมาะสม ฮูหยินคงไม่...”
“หุบปาก! ข้าอยากรู้ว่าทำไมชื่อท่านแม่ถึงอยู่ในนี้!”
เสียงห้วน ๆ ของเทียนหยูทำให้แม่นมต้องก้มหน้าถอยออกห่าง
รอยยิ้มในหัวของลี่อินค่อย ๆ คลี่ออก เด็กน้อยผู้หยิ่งทะนง ไม่รู้เลยว่ากำลังกลืนพิษลงไป
เวลาผ่านไปไม่นาน ข่าวลือเริ่มกระซิบผ่านปากบ่าวไพร่ในจวน
บางคนกล่าวว่า “คุณชายเทียนหยูพูดเรื่องเงินหลวงกับเพื่อนเล่นเสียงดังลั่น”
บางคนบอกว่า “เห็นคุณชายถือกระดาษโบกไปมา แล้วหัวเราะบอกว่าเป็นหลักฐาน’”
ในห้องของเจินซูเม่ย เสียงกระแทกโต๊ะดังสนั่น
“เทียนหยูพูดอะไรออกไปบ้าง?!”
นางตะคอกใส่แม่นมหลิวด้วยความโกรธสุดขีด
“ข้า ข้าไม่อาจหยุดคุณชายได้เจ้าค่ะ ฮูหยิน ข้าน้อยพยายามแล้ว”
เจินซูเม่ยกัดฟัน ดวงตาลุกวาว
“ฝีมือนังลี่อินสินะ ดี! เช่นนั้น ข้าก็จะเริ่มเล่นกับเจ้าเช่นกัน เซียวลี่อิน!”
เสียงกระจกหน้าต่างฝั่งตรงข้ามแตกดังแกรก นักฆ่าคนที่สองพุ่งตัวเข้ามาพร้อมควันไฟที่ถูกจุดล่อเบี่ยงความสนใจ แต่นางยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม นั่นเพราะเงาร่างสีขาวเคลื่อนผ่านแสงตะเกียงด้วยความเร็วราววิหคเหิน เขายกตะเกียงในมือโบกขึ้น เป่าดับไฟ แล้วแทงคมมีดกลับไปยังต้นเสียงโดยไม่ต้องมอง เสียงร่างกระแทกพื้นดังตึง ร่างที่สามลอบเข้ามาจากประตูหลัง หยุดกึกกลางทางเงาของไป๋อวิ๋นยืนนิ่งอยู่ตรงกลางห้อง และเสียงของลี่อินก็เอ่ยขึ้นเบื้องหลังเขา“ถ้าเจ้าไม่ถอยออกไป จะไม่มีโอกาสได้ตายดี”นักฆ่าคนสุดท้ายลังเลชั่วครู่ ก่อนจะโยนอะไรบางอย่างลงพื้น มันคือกระบอกไม้ไผ่ที่มีตราสัญลักษณ์ลบลายบนปลอก“จงส่งสาส์นนี้คืนไปยังผู้ส่งมันมา…” ลี่อินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “…และบอกมันว่า นับแต่นี้ ข้าจะไม่ยอมทนอยู่เงียบ ๆ อีก!”รุ่งเช้าในวันถัดมา เสี่ยวจูเปิดประตูเรือนก็พบว่าหน้าประตูถูกกวาดเรียบจนไม่มีแม้ร่องรอยของการต่อสู้ ไป๋อวิ๋นจากไปแล้วเช่นทุกครั้ง ไม่เอ่ยคำร่ำลา ไม่ปล่อยแรอยเท้าไว้เบื้องหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่เหลืออยู่คือลายมือสั้น ๆ บนกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งที่วางใต้หม้อน้ำชา“ครั้งหนึ่งข้าเคยพลาด ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมพลาด
ค่ำคืนเงียบงันยิ่งกว่าที่เคย ลมเย็นพัดเบา ๆ ผ่านแนวต้นหลิวที่ปลิดใบอย่างเชื่องช้า ในจวนสกุลเซียว แม้ภายนอกจะดูเงียบสงบ หากแต่ในความมืดของราตรีนั้น จิตใจของใครหลายคนต่างเต็มไปด้วยแรงเคลื่อนไหวที่ยากจะหยุดยั้งเรือนหลังที่เงียบเชียบของเซียวลี่อินกลับไม่มืดสนิทเหมือนเช่นทุกคืน ตะเกียงน้ำมันถูกจุดไว้ตรงกลางห้อง ราวกับนางตั้งใจ ‘เปิดทาง’ ให้ใครบางคนที่กำลังจะมาเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นหน้าประตูหลัง ลี่อินไม่แสดงท่าทีแปลกใจ นางลุกขึ้นอย่างสงบ แล้วเปิดประตูออกด้วยมือนิ่งมั่นบุรุษในชุดผ้าฝ้ายสีขาวยืนอยู่ตรงหน้า รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมครึ่งหน้านั้นมีเพียงดวงตาคมลึกที่จ้องมองนางนิ่ง ๆ“เจ้าคือผู้ที่จิ้งอ๋องส่งมาหรือ?” ลี่อินเอ่ยเสียงเบาบุรุษชุดขาวพยักหน้า “ข้า ไป๋อวิ๋น เคยเป็นองครักษ์ลับประจำกรมคลัง เมื่อหกปีก่อนข้าเห็นสิ่งหนึ่ง แต่ไม่อาจกล่าวออกมาได้”เสียงของเขานุ่มทุ้ม แต่ทว่าเย็นยะเยือกคล้ายลมภูผา“และข้าจะไม่พูดกับใคร หากไม่มีเหตุผลพอ”ลี่อินไม่ตอบในทันที นางเชื้อเชิญเขาเข้าไปนั่งในเรือนอย่างสงบ ตะเกียงสว่างเพียงพอให้เห็นเงาบนฝาผนังสั่นไหว แต่ไม่มากพอให้เห็นสีหน้าของทั้งสองช
วังหลวงแห่งแคว้นต้าหลิงยามย่ำค่ำยิ่งดูเงียบสงบงดงาม โคมแก้วหินลอยเหนือคูน้ำทอดยาวรอบตำหนัก เงาสะท้อนของดวงจันทร์สาดลงบนพื้นศิลาหยกขาวนวล แต่ภายใต้เงาสว่างนั้น มีบางอย่างเคลื่อนไหวในความมืดอย่างเงียบงันภายในตำหนักซ่างอิงขององค์หญิงจ้าวฮุ่ย บ่าวรับใช้ก้มหน้าอย่างเคารพเมื่อหญิงสาวในชุดเรียบหรูเดินตามขันทีเข้ามาเซียวลี่อิน ถูกเชิญให้มาเข้าเฝ้าองค์หญิงอย่างเป็นทางการครั้งแรกนางน้อมคำนับอย่างงดงาม “หม่อมฉัน เซียวลี่อิน ถวายบังคมองค์หญิงเพคะ”บนบัลลังก์หยกขาวกลางตำหนัก องค์หญิงจ้าวฮุ่ยทอดพระเนตรหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยสายตาที่คมดุจหอก“เจ้าคือบุตรสาวคนโตของเซียวเฟิงเฉินหรือ?” น้ำเสียงนั้นเรียบนิ่ง ทว่าหนักแน่น“เพคะ” ลี่อินตอบโดยไม่ลังเล “หม่อมฉันเป็นบุตรภรรยาเอก แต่ถูกถอนชื่อจากทะเบียนเรือนตอนอายุสิบสาม”ดวงตาขององค์หญิงหรี่ลง “เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?”ลี่อินเงยหน้าขึ้น สบตากับองค์หญิงอย่างสงบนิ่ง“เพราะหม่อมฉันเป็นลูกของภรรยาที่ไม่ชื่นชอบ และไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อในสายตาผู้เป็นบิดา”คำตอบนั้นทำให้องค์หญิงนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนแย้มพระโอษฐ์“เจ้าพูดอย่างสงบนิ่งทั้งที่ความจริงนั้นราวกับน้ำก
สามวันถัดมา ภายในตำหนักซ่างอิงของวังหลวง ที่ประทับขององค์หญิงจ้าวฮุ่ย พระธิดาองค์โตของฮ่องเต้ ผู้มีอำนาจทั้งในวังหน้าและวังใน เป็นสตรีมากบารมีแห่งแคว้นต้าหลิงภายนอกตำหนักนั้นเงียบสงบด้วยมารยาทแห่งราชสำนัก แต่ภายใน สายตาขององค์หญิงกลับเต็มไปด้วยความคมกล้า เจินซูเม่ยนั่งชูคอขณะที่เข้าเฝ้าองค์หญิงร่วมกับฮูหยินขุนนางอีกหลายคน“เซียวเฟิงเฉิน เป็นผู้ดูแลกรมการคลังมานานปี ข้าได้ยินมาว่า เขามีบุตรสาวคนโตชื่อเซียวลี่อิน แต่กลับไม่ปรากฏนามในบรรดารายชื่อหญิงงามในงานราชพิธีใด ๆ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?”ขันทีข้างกายรายงานด้วยเสียงเบา “ทูลองค์หญิง กระหม่อมได้ยินมาว่านางเป็นบุตรีที่ไม่ได้รับความสนใจจากเสนาบดีเซียว เนื่องจากเป็นคนแข็งกร้าวไม่เชื่อฟังพะยะค่ะ”“งั้นหรือ บางครั้งข่าวลือที่ได้ยินมาก็มิอาจเชื่อถือได้ เจ้าว่าเช่นไรเล่า เจินซูเม่ย”“ทูลองค์หญิง สกุลเซียวให้ความใส่ใจกับบุตรทุกคน ข่าวลือนั้นไม่จริงเลยเพคะ”“เช่นนั้นหรือ ซูกงกง เจ้ายังได้ยินเรื่องใดมาอีก ว่าต่อสิ”“ทูลองค์หญิง กระหม่อมยังได้ยินมาอีกว่า เมื่อไม่นานมานี้คุณหนูเซียวผู้นี้ถูกฮูหยินรองเซียวกักขังในห้องตำรา แต่แล้วก็หายตัวออกมาได้เอ
ในยามสายวันรุ่งขึ้น ลี่อินได้รับคำสั่งจากฮูหยินรองเจินซูเม่ย ให้นางเข้าไปช่วยจัดของในห้องเก็บตำราสำคัญของจวน“ห้องเก็บตำรา?”“ในอดีต ข้าจำได้ว่าเคยถูกล่อเข้าไปที่นั่น แล้วถูกกล่าวหาว่าขโมยหยกของฮูหยินรอง”“คุณหนู อย่าไปนะเจ้าคะ” เสี่ยวจูเอ่ยอย่างร้อนรน“ห้องนั้น ข้าได้ยินว่าวันก่อนซูหรูเพิ่งให้คนเข้าไปทำความสะอาด ข้าเกรงว่ามันจะเป็นกับดัก”ลี่อินวางมือบนไหล่เสี่ยวจู บีบเบา ๆ“เจ้าเคยบอกข้าว่ากลัว หากต้องอยู่ในเงามืดเพียงลำพังใช่หรือไม่?”“ข้าเองก็กลัว แต่ข้าจะไม่หนีอีก ยิ่งพวกมันกล้าลงมือเร็ว ข้ายิ่งแน่ใจว่ามันเริ่มหวาดหวั่นแล้ว”ยามเฉินลี่อินก้าวเข้าสู่เรือนใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ภายในเรือนตกแต่งหรูหรา ทุกกระเบื้องและมุมเสาล้วนประณีตงดงาม แต่สำหรับนางแล้ว มันไม่ต่างจากคุกสีทองที่เคยกักขังนางนางเดินตามบ่าวรับใช้จนถึงหน้าห้องเก็บตำรา ซึ่งตั้งอยู่ด้านในสุดของห้องปีกตะวันออก“เข้าไปได้เลยเจ้าค่ะ ฮูหยินรออยู่ข้างในแล้ว”เมื่อเปิดประตูเข้าไป สิ่งที่ปรากฏกลับไม่ใช่เจินซูเม่ย หากแต่เป็นเพียงห้องที่ว่างเปล่า เงียบสงัด และมีกล่องเก็บผ้าโบราณซ้อนกันสูงจนบดบังแสง ทันใดนั้น ประตูไม้ก็ปิดดั
เสียงหัวเราะของเด็กชายดังขึ้นภายในสวนหลังเรือนใหญ่ เป็นเสียงที่สดใสเกินไปสำหรับสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเย็นเยียบแห่งความชิงชังและการหลอกลวงเซียวเทียนหยู บุตรชายของเจินซูเม่ย เด็กชายในวัยสิบสามปีผู้เป็นที่รักของบิดายิ่งนักแม้ในชาติก่อนเขายังเยาว์วัยนัก แต่กลับเป็นผู้ที่กล่าวหานางว่าลอบขโมยของหลวง และเป็นผู้ที่ผลักดันให้บิดาสั่งลงโทษนางและแม่ในช่วงท้ายของชีวิตอย่างไร้เมตตา“ในชาติก่อน แม้จะยังเด็ก แต่ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส เป็นอสรพิษในคราบเด็กน้อย”“ในชาตินี้ ข้าจะขุดรากเจ้า ก่อนที่เขี้ยวจะงอก!”บ่ายวันนั้น ลี่อินปรากฏตัวในสวน นางแต่งกายเรียบง่าย เอาผ้าบางคลุมศีรษะ ถือกระเช้าผลไม้เดินตรงเข้าไป“เทียนหยู ข้านำผลไม้มาให้เจ้า”เด็กชายชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยืดอกพูดด้วยท่าทีจองหอง“พี่หญิงใหญ่!”“ใช่ ข้าเอง”“วันนั้น ท่านคือคนที่ทำถาดหล่นใส่ท่านอ๋องใช่หรือไม่”เสียงหัวเราะเหี้ยม ๆ จากปากเด็กชายทำเอาคนรับใช้รอบตัวสะอึก แต่ลี่อินกลับยิ้มบาง ย่อตัวลงนอบน้อม“ข้าสะเพร่าไปหน่อย เพียงแค่อยากไปช่วยงาน”เซียวเทียนหยูเลิกคิ้วอย่างงุนงง ก่อนจะโบกมือ “วางไว้ตรงนั้น แล้วไปเถอะ”ทว่าก่อนนางจะผละไป