การเดินขบวนกลับบ้านของแม่ทัพฮุ่ยเหอและทหารเป็นเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ชาวบ้านต่างออกมาต้อนรับต่างก็แสดงความเคารพและสรรเสริญขบวนทัพที่เดินอย่างเป็นระเบียบเสียงดนตรีที่ดังกึกก้องไปทั่วเป็นการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งภาพที่น่าจดจำและสร้างความประทับใจฮุ่ยเจียงมองเห็นพี่ใหญ่ของนางนั่งอยู่บนหลังม้าผงาดในชุดเกราะเหล็กท่ามกลางแสงแดดเขามองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาเข้มแข็งและมีรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้ารวมถึงทหารทุกนายที่เดินอย่างเป็นระเบียบด้วยการแต่งกายที่เต็มยศไม่ต่างกันถัดไปเป็นนายทหารยศรองลงมาขี่ม้าและถือธงชัยที่แสดงถึงการชนะศึกขบวนทัพมีการบรรเลงดนตรีด้วยกลองและแตรเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งชัยชนะเสียงดนตรีดังกึกก้องไปทั่วเส้นทางที่ผ่านชาวบ้านพากันออกมาต้อนรับ บ้านเรือนของพวกเขาประดับบ้านเรือนด้วยธงและดอกไม้มีการจุดดอกไม้ไฟเพื่อเฉลิมฉลองพวกชาวบ้านนำของขวัญและอาหารมามอบให้ทหารเพื่อแสดงความขอบคุณและยินดีต้อนรับทหารทุกคนที่ได้กลับบ้านในที่สุดขบวนก็เข้ามาหยุดที่หน้าบ้านสกุลฮุ่ยร่างสูงสง่าของบุตรชายคนโตค้อมศีรษะให้บิดามารดาและแม่รองด้วยท่วงท่าสง่างาม แต่ยังมิได้ลงมาแสดงความเคารพอย่างใกล้ชิดเพราะขบ
"บ่าวพูดจริงต่างหากละเจ้าคะในเมืองหลวงนี้ใครก็รู้ว่าบุตรสาวคนรองของท่านราชครูงดงามที่สุด” เจียอีพูดพร้อมกับเดินไปที่ชั้นวางเสื้อผ้า แต่แทนที่นางจะเลือกให้คุณหนู นางกลับเลือกไม่ถูก ชุดนี้ก็งาม ชุดนั้นก็งาม มือของนางยกขึ้นเกาศีรษะอย่างคิดไม่ตก นางเลยหันไปหาคุณหนู"คุณหนูต้องการชุดแบบไหนเจ้าคะ บ่าวเลือกไม่ถูกเจ้าค่ะ” เจียอีส่งยิ้มแหยให้คุณหนู ฮุ่ยเจียงมองสาวใช้พลางส่ายหัวแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ "ข้าว่าข้าอยากได้ชุดสีฟ้าอ่อนที่มีลายปักดอกเหมยเจ้าคิดว่าอย่างไร""เจ้าค่ะ” เจียอีรีบหยิบชุดที่คุณหนูต้องการมาให้ แล้วช่วยคุณหนูแต่งตัววันนี้เป็นวันดี เป็นวันที่กองทัพของคุณชายใหญ่เดินทางกลับจากการทำศึกมาเนิ่นนาน ศึกจากชายแดนใต้ที่สู้ต่อเนื่องเป็นเวลานานตอนนี้ก็สิ้นสุดลงสักที หลังจากนำทหารโจมตีข้าศึกจนชนะ แม่ทัพใหญ่บุตรชายของท่านราชครูก็ได้รับการยกย่องจากทั่วทุกสารทิศต่างพากันแซ่ซ้องสรรเสริญในความสามารถของแม่ทัพใหญ่ฮุ่ยเจียงคิดถึงภาพของพี่ใหญ่ในชุดเกราะนางก็ยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจ "พี่ใหญ่ของข้าช่างเก่งกาจจริง ๆ" นางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เจียอีได้ยินก็อดยิ้มตามไม่ได้ "ท่านแม่ทัพใหญ่เป็
ยามโฉ่ว (01:00-02:59)ท้องฟ้าสีครามเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงและดำพร้อมกับดวงดาวที่ปรากฏขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปลมพัดเบา ๆ นำพากลิ่นหอมของดอกไม้ที่เพิ่งเริ่มบานออกมาท่ามกลางความมืดมิดยามราตรีแสงจันทร์กระจ่างถูกบดบังด้วยเมฆครึ้มที่เคลื่อนเข้ามาพอดีทำให้ร่างสูงของชายชาติทหารทะยานลงมาจากต้นไม้ลงมาสู่ผืนดินอย่างไร้เสียงด้วยวิชาตัวเบาเพราะเป็นผู้มีวรยุทธ์แกร่งกล้าทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายเสียงหน้าต่างเปิดพร้อมกับเงาดำที่เคลื่อนผ่านเข้ามาด้วยความรวดเร็วไม่ทำให้ผู้คนในเรือนฮุ่ยเหลินรู้ตัวสาวใช้คนสนิทยังนอนหลับอย่างสบายใจที่หน้าห้องอย่างเช่นปกติ แต่ค่ำคืนนี้หาใช่ปกติไม่เพราะมีบุรุษชุดดำบุกรุกเข้ามาในจวนโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้สวีเสวียนหนานที่เพิ่งแอบเข้ามาในห้องนอนของฮุ่ยเจียง กำลังจ้องมองใบหน้าของสาวงามที่นอนหลับตาพริ้มด้วยสายตาล้ำลึก แสงจากเทียนที่มีอยู่เพียงน้อยนิดไม่ทำให้การมองเห็นของเขาลดลง มือหนาเอื้อมไปแตะลงบนหน้าผากกลมมนแผ่วเบาเพราะเมื่อช่วงค่ำได้ยินว่านางนั้นมีไข้เลยอยากเข้ามาตรวจสอบให้แน่ใจว่านางจะไม่เป็นหนักเกินไป เพราะแอบตามมาตั้งแต่นางขึ้นมาจากน้ำเดินทางกลับจวน เขาก็ยังแฝงตัวเงียบ
ชาติก่อนในยามสงครามศึกนอกยังไม่น่ากลัวเท่ากับศึกภายใน...สงครามที่ยืดเยื้อกินเวลานานทำให้พี่ชายของนางไม่สามารถเข้าไปช่วยนางได้ทัน พอรู้ข่าวว่าครอบครัวถูกใส่ร้ายก็เร่งเดินทางไปทันทีใครจะคิดว่ามันคือหนึ่งในแผนการที่ล้มล้างตระกูลพอไปถึงหน้าประตูเมืองฮุ่ยเหอก็ถูกจับกุมในทันทีใครจะคิดว่าทั้งตระกูลของนางจะถูกคนชั่วช้าเล่นงานจนดิ้นไม่หลุด ส่วนเขาที่ยังทำสงครามอยู่อีกแคว้นไม่ได้รู้ข่าวคราวเกี่ยวกับครอบครัวของสหายเลยด้วยซ้ำ พอมารู้อีกทีก็ตอนที่ทั้งตระกูลถูกประหารชีวิตเหลือเพียงนางกับสาวใช้ที่ถูกขายไปเป็นทาส กว่าจะสืบสาวราวเรื่องได้ว่านางถูกพาไปที่ใดก็กินเวลาหลายวัน เขาควบม้าด้วยความเร่งรีบแม้อาหารสักมื้อก็ไม่พักรับประทานเพราะเกรงว่าจะไม่ทัน แต่ใครจะคิดว่านางนั้นถูกพามาทรมานแทนที่จะเป็นการส่งไปเป็นทาสตามที่ได้ยินมา ในตอนที่ไปถึงจุดที่นางอยู่ในตอนนั้นเป็นตอนที่นางกำลังจะทิ้งตัวลงบนผืนดินเหมือนกับไม่สามารถทนต่อไปได้เขาเร่งควบม้าอย่างไม่คิดชีวิตดวงตาคมเข้มสะท้อนความร้อนรนทอดมองร่างเล็กที่กำลังเอนลงบนผืนดินร้อนระอุสองมือก็ตวัดดาบบั่นคอคนที่บังอาจทำร้ายยอดดวงใจคมกระบี่ฟันฉับไปที่คนเหล่านั้นเพื่อแ
เสียงพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจพลางหันไปหาสาวใช้หวังว่าจะได้รับคำชื่นชมแต่ไม่คิดว่าในมือของสาวใช้ตอนนี้จะมีปลาเหมือนกันแต่ต่างกันที่ปลาในมือของสาวใช้นั้น ตัวใหญ่กว่าตัวที่นางจับได้เป็นเท่าตัว ดวงตาของฮุ่ยเจียงเบิกกว้างก่อนจะตะโกนถามสาวใช้ด้วยความตื่นเต้น"เจียอี เหตุใดเจ้าจึงจับได้ตัวใหญ่กว่าข้านักเล่า! ข้าไม่ยอมเจ้าแน่ นี่เจ้าปลาน้อยเจ้าจะไปไหนก็ไปเลย..ข้าจะจับตัวพ่อไม่ใช่ลูกปลาตัวน้อยแบบเจ้าสักหน่อย ชิ่ว ๆ ไปเลยนะ" ฮุ่ยเจียงที่เห็นว่าปลาที่อยู่ในมือสาวใช้ตัวใหญ่กว่าของนาง นางก็ยอมไม่ได้จึงปล่อยเจ้าปลาที่จับแล้วมองหาตัวใหญ่กว่า ส่วนเจียอีมองคุณหนูด้วยรอยยิ้มก่อนจะปล่อยปลาในมือตามไปอีกคนกลายเป็นว่าตอนนี้สองนายบ่าวพากันแข่งกันจับปลาการแข่งขันเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเสียงหัวเราะ ฮุ่ยเจียงแกล้งเจียอีด้วยการโยนหยดน้ำไปที่ตัว เจียอีหัวเราะและตอบโต้ด้วยการพยายามสาดน้ำกลับ ทั้งคู่สนุกกับการพยายามจับปลาและไม่ลืมที่จะหยอกล้อกัน เสียงหัวเราะและเสียงน้ำที่ดังกระจายยามที่พวกนางกระโจนจับปลากลายเป็นเสียงที่ไพเราะเสนาะหูต่อคนที่กำลังมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงคะนึงหาอย่างถึงที่สุดอีกฟากหนึ
รถม้าประทับตราสกุลฮุ่ยของราชครูเข้ามาจอดอยู่ที่เชิงเขาทางขึ้นวัดเสวียนคง วัดที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาดูเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ หลังจากลงรถม้าฮุ่ยเจียงกับสาวใช้ก็เดินขึ้นบันไดที่มีซุ้มต้นไผ่ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เรียงรายขนาบสองข้างทาง มันสูงจนปลายต้นโน้มเอียงเข้าหากันจนกลายเป็นอุโมงค์ต้นไผ่สร้างความร่มรื่นสวยงามฮุ่ยเจียงสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ สูดหายใจเข้าเต็มปอด ดวงหน้างดงามเผยรอยยิ้มสดใส ยามที่สายลมอ่อน ๆ โชยพัดมาปะทะร่างของนาง ช่างสดชื่นนัก! ความรู้สึกสดชื่นที่แทรกซึมเข้ามาในจิตใจทำให้นางมีความสุขอย่างแท้จริง ท้องฟ้าสีฟ้าใสและต้นไม้ที่พลิ้วไหวไปตามลม ความสงบเงียบของธรรมชาติช่วยปลอบประโลมจิตใจนางจากความทุกข์ทรมานจากชาติที่แล้ว สาวใช้ที่ติดตามมาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม เจียอีมองคุณหนูที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาฮุ่ยเจียงยิ้มอย่างสดใส ขณะสายลมพัดโชยพาให้ผมยาวสลวยของนางพลิ้วไหว ดวงตาของนางเป็นประกายสดใส ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านแมกไม้ลงมาราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ เจียอีอดไม่ได้ที่จะชื่นชมจากใจจริง“คุณหนู ท่านช่างงดงามเหลือเกินเจ้าค่ะ” ฮุ่ยเจียงหันมายิ้มให้สาวใช้ “เจียอี เจ้าไม่รู้หรอก