ชาติก่อนนางตายอย่างทรมานพร้อมกับลูกในท้องครอบครัวถูกประหาร นางมีโอกาสกลับมาอีกครั้งและจะแก้แค้นสามีกับสหายสารเลวไม่ให้ตายดีแต่ใครจะคิดว่านางไม่ต้องลงมือเองเพราะเขาผู้นั้นเอาแต่คลั่งรักนางจัดการเองหมด
ดูเพิ่มเติมเส้นทางสู่แคว้นฉี
"นางทาสชั้นต่ำเดินช้าเช่นนี้คิดจะถ่วงเวลาพวกข้าอย่างนั้นรึ!!" ผู้คุมส่งเสียงตะโกนดังก้องด้วยโทสะเขาเดินเข้ามาหาทาสนางหนึ่งด้วยท่าทางคุกคามในมือของเขาถือแส้ที่ม้วนเป็นวงกลม ดวงตาฉายแววเหี้ยมโหดร่างเล็ก ๆ ของเจียอีคลานหนีด้วยความหวาดกลัว เขาเงื้อมมือขึ้นสูงแล้วฟาดแส้ลงมาอย่างหนักหน่วง
"โอ๊ย!!" เสียงร้องของฮุ่ยเจียงที่วิ่งเข้ามากอดร่างบางของสาวใช้คนสนิทเอาไว้แน่น นางใช้แผ่นหลังของนางรองรับแส้ที่ฟาดลงมาความแรงของมันทำให้ร่างของนางทรุดลงทันที
นางกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่นกลั้นเสียงร้องจากอาการเจ็บปวดแผ่นหลังของนางปริแตกเลือดไหลออกมาตามผิวเนื้อ ร่างเล็กผอมแห้งซูบเซียวประหนึ่งต้นหญ้าขาดน้ำแต่กลับแฝงไปด้วยความแข็งแกร่งนางพยายามปกป้องสาวใช้ของตนเองถึงแม้ว่าตอนนี้นางเองก็สภาพย่ำแย่ไม่ต่างกัน เสื้อผ้าที่นางใส่ตอนนี้ขาดเป็นริ้วไม่ต่างจากขอทานแต่ถึงแม้จะผ่านความเจ็บปวดเพียงใดแต่ฮุ่ยเจียงก็ยังอดทน มือที่อ่อนแรงและสั่นเทาโอบกอดสาวใช้คนสนิทเอาไว้
"คุณหนู.." เจียอีสาวใช้ที่ติดตามมาตั้งแต่เล็กมองใบหน้าคุณหนูของนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสารอดีตบุตรสาวท่านราชครูหญิงสาวที่เคยงามพิลาศล้ำดั่งบุปผาแรกแย้มตอนนี้กลับมีรอยแผลจากการถูกกรีดเป็นทางยาวตั้งแต่หางคิ้วจนเกือบถึงปลายคางส่งให้ความงดงามหายไป ผิวเนื้อที่เคยขาวผ่องนวลเนียนไม่ต่างจากไข่มุกกลับหยาบแห้งกร้านผอมแห้งจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ดวงตาคู่งามฉายแววเศร้าหมองไม่จางหาย หญิงสาวผู้มีชาติตระกูลสูงส่งผู้ไม่เคยทะเยอทะยานไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับใครแต่ต้องเผชิญกับโชคชะตาอันโหดร้าย สามีและสหายสนิทที่นางไว้ใจวางแผนทำร้ายนางและใส่ร้ายครอบครัวของนางต้องถูกประหารทั้งตระกูล
ความทุกข์ยังไม่ทันจางหายคุณหนูของนางก็ถูกส่งตัวไปเป็นทาสเพราะความโหดร้ายของสามีของนางกับสหายรักเพียงหนึ่งเดียว
ตระกูลที่มั่งคั่งสูญสิ้นไปชั่วข้ามคืนเหลือเพียงคุณหนูฮุ่ยเจียงที่ถูกขายออกมาไปเป็นทาสเหมือนกับต้องการทรมานให้นางอยู่ไม่สู้ตาย เจียอีกอดร่างเล็กของคุณหนูเอาไว้แน่นก่อนจะเห็นผู้คุมเงื้อมมือที่ถือแส้เตรียมฟาดลงมา นางจะไม่ยอมให้คุณหนูต้องเจ็บอีก..
เจียอีพลิกร่างมารับแส้แทนความแรงของมันทำเอานางกระอักเลือด นางเจ็บจนทนไม่ไหวตัวของนางสั่นสะท้านมือเท้าอ่อนปวกเปียก เจียอีมองใบหน้าคุณหนูเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงขาด ๆ หาย ๆ น้ำตาไหลออกมาด้วยความเสียใจที่จะไม่ได้อยู่รับใช้คุณหนูอีกแล้ว
"คุณหนูบ่าวไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ..แต่คุณหนู..บ่าวยังไม่อยากตาย บ่าวอยากอยู่รับใช้คุณหนู อึก!บ่าวอยากอยู่เลี้ยงนายน้อยให้ท่าน" มือที่อ่อนปวกเปียกเลื่อนลงมาแตะมาที่หน้าท้องคุณหนู ถึงแม้เจ้านายตัวน้อยจะยังเป็นเพียงเม็ดถั่วก็ตามแต่เหมือนกับว่าตอนนี้นางไม่มีโอกาสนั้นแล้วนางไม่มีโอกาสเห็นลูกของคุณหนูของนางแล้ว
"เจียอีไม่นะเจ้าต้องไม่เป็นอะไร เจียอีอยู่กับข้า ฮึก!! อยู่กับข้าก่อน.." ฮุ่ยเจียงจับมือของสาวใช้คนสนิทเอาไว้พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน น้ำตานางหลั่งออกมาไม่ขาดท่ามกลางแดดร้อนจัดร่างเล็ก ๆ ของสาวใช้ที่หายใจติดขัดจับมือประสานนิ้วมือเข้ากับคุณหนูด้วยความเคารพรักแต่ตอนนี้นางรู้สึกผิดยิ่งนักที่ทิ้งคุณหนูผู้แสนดีให้โดดเดี่ยว รอยยิ้มสุดท้ายปรากฏอยู่บนใบหน้าเหมือนต้องการจดจำเอาไว้ ฮุ่ยเจียงมองสาวใช้ที่กำลังสิ้นใจด้วยสายตาพร่ามัวความเจ็บปวดรวดร้าวเกาะกินหัวใจ สาวใช้ของนางกำลังจะจากไปอีกคนหนึ่งแล้ว...
"คุณหนู..เจียอี.." เจียอีเอ่ยออกมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ร่างของนางจะทิ้งตัวลงพร้อมกับลมหายใจที่หมดลง ดวงตาของฮุ่ยเจียงเบิกโพลงยามที่เห็นร่างของสาวใช้กระตุกอยู่หลายครั้งก่อนจะนอนแน่นิ่งในอ้อมกอดทั้งที่ดวงตายังเบิกโพลง
"เจียอี เจียอี!!" เสียงร้องเรียกชื่อสาวใช้ราวกับคนขาดสติ นางกอดร่างอันไร้วิญญาณของเจียอีเอาไว้แน่นส่งเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนราวกับจะขาดใจเป็นที่น่าเวทนาต่อทาสที่พากันยืนมองด้วยความหวาดกลัวเพราะไม่รู้ว่าตนเองนั้นจะมีสภาพแบบคนที่เพิ่งตายไปตอนไหน
ผู้คุมทั้งหลายต่างมองหน้ากันก่อนจะให้สัญญาณ พวกมันชักกระบี่ออกมาจัดการสังหารทาสที่เหลืออยู่ด้วยความรวดเร็วเพราะคนพวกนี้ก็เป็นทาสที่ถูกว่าจ้างให้พามาสังหารไม่ต่างกัน ยังไม่มีใครได้วิ่งหนีเพราะมัวแต่ตกตะลึงเพียงพริบตาเดียวพื้นที่แห่งนี้ก็แดงฉานในอากาศคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ฮุ่ยเจียงกับกลุ่มคนเหล่านี้
"ปล่อยนางไว้ที่นี่แหละถือว่าภารกิจของเราจบสิ้นแล้วยังไงนางก็ไม่มีทางมีชีวิตรอดไปได้ " หนึ่งในผู้คุมพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจราวกับว่าเมื่อกี้ไม่ได้ทำการสังหารผู้คนอย่างโหดเหี้ยมราวกับเป็นผักปลา และคำสั่งที่ได้รับมาคือทำให้ผู้หญิงคนนี้ตายอย่างทรมานที่สุดแต่พวกเขาคิดว่าจากสภาพของนางตอนนี้ก็คงไม่มีทางรอดไปได้
"เอาอย่างที่เจ้าว่าข้าเองก็ขี้เกียจเดินทางแล้วเหมือนกัน" ผู้คุมที่อยู่บนม้าพูดขึ้นก่อนจะหันมาทางฮุ่ยเจียง
"ฮึเจ้านี่ช่างน่าสงสารจริง ๆ ชาติที่แล้วเจ้าคงทำเวรทำกรรมเอาไว้เยอะสินะ ชาตินี้ถึงได้เกิดมารับกรรมตั้งแต่ยังเยาว์แต่จะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าโง่เขลาเบาปัญญาถึงเพียงนี้ ป่านนี้สามีกับสหายของเจ้าคงกำลังมีความสุขกับสมบัติของตระกูลเจ้าอย่างสบายใจน่าดู" พูดจบพวกมันก็ควบม้าทะยานออกไปปล่อยนางนอนรอความตายอย่างทรมาน
ฮุ่ยเจียงที่ได้ยินคำเยาะเย้ยถากถางก็จิกมือแน่นพอคิดไปถึงสามีชั่วกับสหายเลวของตัวเองก็พลันเจ็บแน่นในอกจุกจนพูดไปไม่ออก เพราะสิ่งที่ผู้คุมพูดออกมานั้นมันเป็นจริง เพราะความโง่เง่าของนางเองที่ทำให้เรื่องเป็นแบบนี้ ใบหน้าของชายโฉดหญิงชั่วสองคนที่ลอยมาทำเอาฮุ่ยเจียงเจ็บจนกระอักเลือดและเพราะร่างกายที่ไม่สามารถทนต่อบาดแผลได้อีก ร่างเล็ก ๆ ของนางค่อย ๆ เอนลงบนผืนดินที่แตกระแหงพร้อมกับความแค้นที่มีต่อชายโฉดหญิงชั่วคู่นั้น
"โอ๊ย!! อึก!" จู่ ๆ นางก็มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงความเจ็บร้าวเล่นงานไปทั่วร่างทั้งภายในช่องท้องยังบีบรัดถี่ ๆ จนแทบทนไม่ไหว รู้สึกถึงน้ำหนืดกับกลิ่นคาวเลือดที่ไหลออกมาตรงหว่างขามืออันสั่นเทาแตะไปที่กลางหว่างขาแล้วยกขึ้นมาดูพลันหัวใจของนางก็แตกสลายเมื่อรู้ว่าตอนนี้ลูกของนางได้จากไปแล้วเลือดเนื้อเชื้อไขของผู้ชายสารเลวคนนั้นแต่ถึงอย่างนั้นนางก็เสียใจเพราะเลือดอีกครึ่งหนึ่งนั้นเป็นของนางถึงจะอยู่ในท้องนางยังไม่ถึงสองเดือนแต่นางก็รู้สึกผูกพัน คงเพราะการเดินทางอันแสนทรมานกับความเหนื่อยล้าสะสมจนถึงวาระสุดท้ายลูกน้อยถึงได้จากนางไปยังที่ไกลแสนไกล ตอนนี้ทุกคนคงรอนางอยู่...
ท่ามกลางแดดร้อนระอุและผืนดินอันแห้งแล้ง ฮุ่ยเจียงถูกทิ้งให้นอนตายอย่างทรมาน
ความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจ บวกกับความสูญเสียลูกในท้องทำให้ฮุ่ยเจียงสิ้นหวังมองโลกมืดมน
ฮุ่ยเจียงทิ้งร่างอันเหนื่อยล้าลงบนผืนดินแห้งแล้งดวงตาพร่ามัวมองตามผู้คุมที่ควบม้าทะยานออกไปด้วยความสิ้นหวัง ความเร็วของม้าทำเอาฝุ่นฟุ้งลอยตลบอบอวลอยู่ในอากาศ นางเตรียมรับวาระสุดท้ายที่จะมาถึงลมหายใจขาดห้วงใกล้จะสิ้นลมแต่ยังไม่ทันที่ฮุ่ยเจียงจะปิดเปลือกตาลง นางก็เห็นกลุ่มคนที่ควบม้าตรงมา ดวงตาที่กำลังจะปิดพยายามลืมขึ้นอีกครั้งนางมองไปยังบุรุษที่กำลังควบม้าทะยานเข้ามาใกล้ มือของเขากวาดกระบี่ไปคราเดียวก็สังหารคนตายไปถึงสองในสามนางมองเหล่าผู้คุมจนพวกมันทีละร่างราวกับใบไม้ร่วงก่อนจะเห็นเขาเข้ามาใกล้มากขึ้น
บุรุษร่างสูงใหญ่กระโจนลงจากม้าตรงมาหานางด้วยความรวดเร็วแต่ตอนนี้นางเจ็บปวดจนทนไม่ไหวและสิ่งที่ได้สัมผัสครั้งสุดท้ายคืออ้อมกอดของเขาพร้อมกับเสียงทุ้มฟังรื่นหูแต่ก็แฝงไปด้วยความร้อนรนนางได้ยินเขาพูดขอโทษซ้ำ ๆ สลับพูดปลอบโยนพลันหัวใจก็อุ่นซ่าน
"เจียงเอ๋อร์..พี่ขอโทษ พี่มาช้าไปพี่ผิดต่อเจ้าแล้ว"
"เจียงเอ๋อร์ พี่ผิดต่อเจ้า..พี่ขอโทษ ตื่นขึ้นมา..ลืมตาขึ้นมาสิ! ได้โปรด..."
ร่างสูงโอบกอดนางด้วยความอ่อนโยนทะนุถนอมราวกับกลัวว่านางจะบุบสลาย
ฮุ่ยเจียงรู้สึกถึงความอบอุ่นที่โอบล้อมและทำให้นางรู้สึกปลอดภัย ใบหน้าที่เคยงดงามยิ้มออกมาด้วยความสุขเป็นครั้งแรก ความเจ็บปวดที่ถาโถมทำให้นางหายใจลำบากสมองขาวโพลน ช่วงเวลาที่เปรียบเสมือนคนใกล้ตายนางเห็นภาพในวันวานวิ่งวนเข้ามาในสมองอันเลอะเลือนของเธอ
ภาพครอบครัวอันแสนสุข ท่านพ่อท่านแม่ แม่รองพี่ใหญ่น้องชายและน้องสาวที่นั่งร่วมวงกันทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา
ภาพในยามที่ทุกคนส่งเสียงหัวเราะให้กันด้วยความสุข
ภาพน้องน้อยทั้งสองคนวิ่งไล่กวดกัน
ภาพที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งชอบเข้ามาเล่นกับนางเป็นประจำ
ภาพที่นางร้องไห้น้ำตานองหน้าต่อว่าเด็กชายคนนั้นเมื่อรู้ว่าเขาจะจากนางไปไกล
เบื้องหน้านางเห็นครอบครัวของนางยืนส่งยิ้มให้เจียอีเองก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน
เปลือกตาของนางหนักอึ้งขึ้นทุกขณะทั้งที่อยากจะเห็นใบหน้าบุรุษผู้มีอ้อมกอดอบอุ่นผู้นี้นักแต่นางก็มิอาจฝืนต่อไปได้มือบางยกขึ้นเพื่อต้องการสัมผัสใบหน้าบุรุษตรงหน้า เหมือนเขาจะรู้ความคิดของนางฝ่ามือหนาจับมือของนางเอาไว้แล้วนำไปวางที่แก้มสากของเขาด้วยความทะนุถนอม
ฮุ่ยเจียงรับรู้ถึงสัมผัสอุ่นร้อนแผ่วเบาที่หน้าผากและหยาดน้ำอุ่น ๆ ที่ไหลลงมากระทบใบหน้าของนาง
ก่อนที่นางจะสิ้นลมหายใจ ฮุ่ยเจียงได้สัมผัสถึงความรักและความห่วงใยจากบุรุษผู้ลึกลับ
...แต่เขาคือผู้ใดกัน...
ร่างแกร่งของบุรุษปริศนาร่ำไห้ออกมาด้วยหัวใจที่แตกสลายน้ำตาไหลลงข้ามแก้มสู่ปลายคางสองมืออันสั่นเทาโอบประคองร่างเล็กผอมแห้งที่ไร้วิญญาณด้วยความรักใคร่ที่ไม่เคยจางหาย ใบหน้าคมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าร้องเรียกชื่อนางออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนมันสะท้อนก้องไปทั่วหุบเขา
"เจียงเอ๋อร์..ม่าย!!!"
ร่างสูงโอบกอดร่างที่ไร้วิญญาณเนิ่นนานความรู้สึกภายในใจรวดร้าวทรมานเจียนตายจากนั้นจึงลุกขึ้นอุ้มร่างของคนที่ตัวเองรักเดินผ่านทหารและองครักษ์ที่นั่งคุกเข่าลงแสดงความเคารพต่อผู้ที่จากไปด้วยฝีเท้าที่มั่นคงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน
"คุณหนู คุณหนูเจ้าคะตื่นเถอะเจ้าค่ะ"
⋇⊶⊰❣⊱⊷⋇ ⋇⊶⊰❣⊱⊷⋇
จวนราชครู"นะ..ฮุ่ยเจียง เจ้าไปกับข้าเถิด ข้าจำได้ว่าปีที่แล้วมีอาหารอร่อย ๆ ตั้งหลายร้าน เจ้ากับข้ายังเดินเล่นกันจนเพลินลืมเวลากลับจวนเลย เจ้าจำได้หรือไม่" จิ่วเย่วลูกสาวนายอำเภอที่เป็นเพื่อนเล่นของฮุ่ยเจียงมาตั้งแต่เด็กวันนี้นางมาเพื่อจะพาฮุ่ยเจียงไปเทศกาลหยวนเจียง* (เทศกาลโคมไฟ) ตามที่ได้วางแผนกับห่าวอู๋เอาไว้วันนี้นางจะพลาดไม่ได้ส่วนฮุ่ยเจียงนั้นรู้อยู่แล้วว่าวันนี้เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้นางได้แต่งงานกับห่าวอู๋ นางเองก็ไม่อยากไปแต่ถ้าปฏิเสธตอนนี้ก็เกรงว่า จะทำให้สหายพี่เติบโตมาด้วยกันสงสัยเอาได้ ว่าเหตุใดนางจึงไม่หัวอ่อนและดูโง่เง่าเหมือนอย่างเคย"เช่นนั้นก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าไปเจอเจ้ายามโหย่ว (17:00-18.59) ก็แล้วกัน" ฮุ่ยเจียงพูดพร้อมกับยกน้ำชาขึ้นจิบ แต่สายตาก็มองไปยังสหายที่ชาติที่แล้วเคยเชื่อใจ และรักนางเหมือนกับคนในครอบครัว ไม่คิดว่าสหายหน้าซื่อใจคดผู้นี้จะทำให้ตระกูลนางถูกสังหาร และสั่งฆ่านางกับของนางได้อย่างเลือดเย็นความโกรธแค้นสุมแน่นอยู่ในอก ฮุ่ยเจียงจิกเล็บเข้าไปในเนื้อเพื่อระงับอารมณ์ สายตาเย็นชาแต่ใบหน้ายังคงยิ้มบาง 'ชาตินี้อ
"ต้นท้อหลวงเป็นพันธุ์ไม้แปลกหายากสิบปีถึงจะออกดอกออกผล" เขาพูดแล้วยิ้มด้วยความดีใจที่เด็กน้อยยอมพูดด้วยฮุ่ยเจียงตาโต มีต้นไม้ที่ใช้เวลาออกดอกออกผลนานขนาดนี้ด้วยหรือ "นานถึงเพียงนั้นเลยหรือพี่ชาย ไม่ใช่ว่ามันจะตายก่อนหรือเจ้าคะกว่าจะได้เห็นผลของมันหรือกว่าจะได้ลิ้มรสชาติของต้นไม้ต้นนี้" เด็กน้อยพูดขึ้นด้วยความสงสัยยื่นมือไปสัมผัสเจ้าต้นท้อหลวงด้วยความสนใจ"ถ้าเจ้าดูแลมันด้วยความรัก หมั่นรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยแล้วอย่าลืมใส่ใจลงไปด้วย ถ้าหากว่าคิดถึงข้าเจ้าก็พูดกับมันออกมา ให้เจ้าคิดว่าข้าคือต้นไม้ต้นนี้ถึงแม้ว่าข้าจะตอบโต้เจ้าไม่ได้ แต่ข้ารับรู้ได้แน่นอน" สวีเสวียนหนานพูดจากหลอกล่อเด็กน้อย “จริงหรือเจ้าคะ” เด็กน้อยถามด้วยความกระตือรือร้น นางเชื่ออย่างสนิทใจ"จริงที่สุดเพียงแค่เจ้าทำตามทุกอย่างที่ข้าพูด ดังนั้นข้าขอฝากเจ้าดูแลต้นไม้ต้นนี้ได้หรือไม่" เขายื่นต้นไม้ให้นาง ฮุ่ยเจียงรับต้นท้อหลวงมาด้วยความระมัดระวัง "ข้าจะดูแลมันอย่างดี ขอบคุณพี่ชายมากนะเจ้าคะ ท่านเชื่อใจข้าได้เลย สิบปีก็สิบปี หากถึงวันนั้นท่านกลับมาแล้วท่านจะได้ลิ้มรสชาติผลไม้ต้นนี้อย่างแน่นอน" ฮุ่ยเจียงตอบด้วยท่าทางขึงขัง ดวง
ซีฮั่นที่ได้ยินก็ส่ายหัวอย่างนึกระอา สิ่งที่เขาเตือนคงไม่เข้าหูคนอย่างนาง พลางนึกไปถึงครั้งที่นางถูกส่งมาเป็นหญิงอุ่นเตียงให้ท่านอ๋องใหม่ ๆ ตอนนั้นนางอยู่แบบเจียมเนื้อเจียมตัวโดนเหล่าบรรดาหญิงอุ่นเตียงก่อนหน้านั้นรังแกสารพัด จนท่านอ๋องทนความรำคาญไม่ไหวจึงส่งพวกนางออกไปแต่ยังเหลือนางเอาไว้เพราะสงสาร แต่ไม่คิดว่านางจะคิดกำเริบเสิบสานคงคิดว่าท่านอ๋องเอ็นดูนางกระมัง แต่ที่นางไม่มีโอกาสเข้ามารับใช้ท่านอ๋องเลยสักครั้งก็เพราะว่าท่านอ๋องมิได้สนใจนางต่างหาก แม้ว่านางจะแต่งกายยั่วยวนเพียงใด สายตาท่านอ๋องก็มิเคยชายตาแล แต่นางก็ไม่คิดยอมแพ้และหาวิธีเข้าใกล้ท่านอ๋องทุกครั้งแต่ครั้งนี้เหมือนว่าท่านอ๋องคงไม่เก็บไว้ให้ระคายสายตาซีฮั่นยกสุราเข้ามาวางแล้วจัดการเทสุราให้ท่านอ๋องก่อนที่จะได้ยินท่านอ๋องพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม"ข้าได้ลองคุยกับเสด็จแม่แล้ว ให้คุยกับเสด็จพ่อเรื่องการส่งหญิงงามเข้ามาที่จวน ต่อไปนี้คงไม่มีอีก ส่วนคนที่เหลือเจ้าจัดการพาพวกนางออกไปให้พ้น ๆ หน้าข้าด้วยก็แล้วกัน ยิ่งมีคนมากข้าก็ยิ่งรำคาญ มันผู้ใดที่ต้องการจะปีนเตียงข้าเจ้าควรรู้ว่าต้องกำจัดเช่นไร” สวีเสวียนหนานพูดพร้อมกับถอนหายใจอ
แผนล้มล้างตระกูลของราชครูจะส่งผลดีต่อหลายฝ่ายรวมถึงเขาและนางด้วย ขอเพียงสำเร็จเท่านั้น!ห่าวอู๋จับมือนุ่มนิ่มขึ้นมาจูบซ้ำ ๆ" โธ่จิ่วเย่วในชีวิตนี้นอกจากเจ้าแล้วมีหรือว่าข้าจะชายตาแลหญิงใดเจ้าก็รู้ว่าข้ามีเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าเรื่องนี้มิใช่แผนการมีหรือข้าจะยอมเอาตัวไปผูกมัดกับนางได้ นางขี้ริ้วขี้เหร่ออกปานนั้น ข้ามีสาวงามอยู่ใกล้ชิดขนาดนี้เหตุใดจะต้องเอาใจไปผูกมัดหญิงผู้นั้นกันเล่า ถ้ามิใช่ว่าตระกูลนางร่ำรวยและจะเป็นผลดีต่อเราในภายภาคหน้าข้าไม่มีวันทำเยี่ยงนี้แน่" ห่าวอู๋เองถึงจะเคยได้ยินคำร่ำลือถึงความงามของฮุ่ยเจียงมาบ้างแต่ก็คิดว่าอย่างไรเสียเขาก็มีเพียงจิ่วเย่วเท่านั้นทั้งรู้ใจทั้งตอบสนองเขาได้ดีที่สุดขนาดหญิงสาวจากหอนางโลมยังสู้นางมิได้"ท่านพี่ข้าเองก็ใช่ว่าอยากให้ท่านทำเยี่ยงนั้นเสียเมื่อไร" นางยังพูดออดอ้อนมือบางลูบแผ่นอกเบา ๆ เป็นการปลุกเร้าดวงหน้าหวานมองไปที่ห่าวอู๋แสดงการเชื้อเชิญ"เอาล่ะแผนการแรกที่เจ้าว่าให้เป็นไปตามนั้น แต่วันนี้ให้ข้าได้ชื่นใจอีกสักหน่อยได้หรือไม่""ได้สิเจ้าคะท่านพี่ ข้ามาหาท่านก็เพื่อสิ่งนี้ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน" นางพูดพร้อมกับก้มลงจูบแผ่นอกกว
"ข้ามิได้ต้องการรางวัล นี่คือสิ่งที่ข้าควรกระทำ ท่านอ๋องไม่ต้องให้อะไรข้าทั้งนั้น ที่นี่เป็นเรือนของข้าต้นไม้ก็เป็นของข้าเหตุใดข้าจึงไม่บำรุงรักษากันล่ะเจ้าคะ" นางถามด้วยความใสซื่อดวงตากลมโตฉายถึงความบริสุทธิ์ชัดเจน"เอาเป็นว่าเดี๋ยวข้าจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเอามาให้เจ้าก็แล้วกัน เพราะเจ้ามีความดีความชอบดูแลต้นไม้ของข้าจนสวยเติบโตเป็นอย่างดี" ความนัยที่อยากสื่อก็คือนางเติบโตมาอย่างดีแต่ไม่รู้ว่านางจะเข้าใจหรือเปล่า สวีเสวียนหนานพูดอย่างเอาแต่ใจพร้อมกับเอื้อมมือขึ้นมาหยิบดอกไม้ที่ติดอยู่บนหัวนาง แล้วเปลี่ยนเป็นลูบผมนางเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้ก็นำพาหัวใจดวงน้อยของฮุ่ยเจียงเต้นระรัวมากขึ้นกว่าเดิม ความรู้สึกอุ่นซ่านก่อเกิดในใจ ไฉนเลยท่านอ๋องผู้เหี้ยมโหดถึงดูอ่อนโยนถึงเพียงนี้"นี่เจ้าเติบโตถึงเพียงนี้แล้วหรือ เด็กน้อยที่วิ่งตามข้าต้อย ๆ ในครานั้นคงไม่มีแล้วสินะ" เสียงทุ้มเอ่ยด้วยความเอ็นดูใบหน้าของเขาละมุนลงหลายส่วน ดวงตาทอดมองนางด้วยความลุ่มหลง"ท่านอ๋อง ข้าบอกท่านแล้วว่าตอนนั้นข้ายังเด็กนัก" ฮุ่ยเจียงพูดขึ้นด้วยความขัดเขินอย่างแท้จริง เหตุใดท่านอ๋องเอาแต่พูดเรื่องตอนที่ยั
"สหาย เหตุใดเจ้าพูดเช่นนี้ เจ้าหวงน้องสาวเกินไปแล้ว เจียงเอ๋อร์เจ้าจำได้หรือไม่ยามเมื่อครั้งยังเด็ก ข้าฝากต้นไม้ต้นหนึ่งให้เจ้าดูแลไหนเจ้าพาข้าไปดูหน่อย ตอนนี้มันใหญ่โตขนาดไหนแล้ว" สวีเสวียนหนานตัดความรำคาญเลยชิงพูดทำให้ฮุ่ยเหอทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่มองตามหลังสหายกับน้องสาวไปเพียงเท่านั้น เจ้านี่มันจริง ๆ เลยนะเหตุใดถึงหลงใหลน้องสาวข้าถึงเพียงนี้ เฮ้อ!สงสัยข้าจะห้ามเจ้าไม่ได้ใส่กระมัง เอาเป็นว่าข้าไม่ห้ามเจ้าก็ได้ แต่เจ้าก็พยายามเข้าก็แล้วกัน ฮุ่ยเหอพูดตามหลังก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใครจะไปรู้ว่าเจ้านี่จะฝังใจกับน้องสาวเขาถึงเพียงนี้ทางด้านฮุ่ยเจียง นางเดินนำสวีเสวียนหนานมาด้วยความประหม่าไม่น้อย นางรู้ถึงสายตาร้อนแรงที่มองตามหลัง ทำให้นางทำตัวไม่ถูกแต่ยังดีที่สาวใช้ยังเดินตามมาไม่ห่างคงเป็นพี่ชายนางเรียกมา ฮุ่ยเจียงเดินมาหยุดที่ต้นท้อหลวงต้นใหญ่ที่นางหมั่นดูแลรักษาและบำรุงอย่างดี นางก็ได้ยินเสียงทุ้มที่ดังขึ้นด้านหลังก่อนที่นางจะหันกลับมาก็เห็นเขายืนอยู่ไม่ไกลเหตุใดน้ำเสียงของเขาช่างคุ้นหูนัก ทำไมทุกอย่างที่เป็นเขาช่างคุ้นเคยไปหมด นางช้อนสายตามองบุรุษตรงหน้าด้วยความสงสัยแต่พวกเราเพิ
ความคิดเห็น