로그인เมื่อถึงยามซื่อ สายลมเย็นสดชื่นชวนให้กระปรี้กระเปร่า แดดในเวลานั้นสาดแสงแจ่มจ้า สะท้อนผ่านต้นเฟิงที่ใบของมันกำลังกลายเป็นสีแดงอมส้มเต็มต้นทำให้บรรยากาศโดยรอบอบอุ่นขึ้น โถงจัดเลี้ยงในตอนนี้วิจิตรตระการ เหล่าเชื้อพระวงศ์เริ่มทยอยมาตามลำดับ ทุกผู้ต่างแต่งกายอย่างหรูหราพิถีพิถันประชันกันไม่มีใครยอมใคร จวงหมิ่นกั๋วฟูเหรินเองก็ได้รับเชิญมางานเลี้ยงสังสรรค์นี้ด้วยเนื่องจากเป็นพระสหายสนิทขององค์หญิงใหญ่เผิงเฉิง ทันทีที่นางได้เห็นหานฉงหรงก็แย้มยิ้มยินดี “ไม่เจอเจ้าเสียนาน งดงามขึ้นเป็นกอง แถมเริ่มมีราศีของว่าที่ชายาเอกเป่ยหนานอ๋องแล้วด้วย ข้าต้องแสดงความยินดีจากใจจริงๆ”หานฉงยิ้มเอ่ย “พี่สาวล้อข้าเล่นแล้ว ข้าก็ยังเป็นข้าอยู่เช่นเดิม มีเพียงพี่สาวที่งามยิ่งกว่าครั้งสุดท้ายที่เราพบกัน” นางกล่าวเช่นนั้นก่อนกดเสียงเบา “ยิ่งพระสนมหานกลับมาได้รับความโปรดปรานตามเดิม ราศีเชื้อพระวงศ์ของท่านยิ่งแจ่มชัดกว่าข้าเสียอีก”“น้องสาวคนดีก็พูดเกินไป เรื่องราศีเชื้อพระวงศ์แจ่มชัดกว่าผู้ใดนั้นข้าคงเทียบกับชายาเอกของโซ่วอ๋องมิได้หรอก” จวงหมิ่นกั๋วฟูเหรินยิ้มน้อยๆ พลางปรายตาไปยังสตรีสูงศักดิ์นางหนึ่งที่กำลังถูกผู้
เวลาผันผ่านไปหลายวัน ในที่สุดก็ถึงวันที่งานเลี้ยงสังสรรค์ของเหล่าเชื้อพระวงศ์หญิงเริ่มต้น เนื่องจากงานเลี้ยงจะเริ่มในยามซื่อ[1] หานฉงหรงจึงตื่นตั้งแต่ช่วงเช้ามืดตรงไปยังโถงจัดเลี้ยงและห้องเครื่องเพื่อสำรวจความเรียบร้อยของอาหารและสถานที่จัดงานจนแน่ใจว่าจะมิมีสิ่งใดผิดพลาด จากนั้นจึงติดตามหลิวกูกูที่ได้รับพระราชเสาวนีย์จากหวงไทโฮ่วที่เรียกให้นางไปแต่งตัวและประทินโฉม เมื่อมาถึงไทโฮ่วได้เลือกอาภรณ์และเครื่องประดับที่เข้าชุดกันเอาไว้ให้แล้ว“วันนี้เป็นวันสำคัญของเจ้าอีกทั้งมีเหล่าเชื้อพระวงศ์หญิงมาร่วมงานจำนวนมาก จำเป็นต้องพิถีพิถันในการแต่งกายและประทินโฉมให้ดี สิ่งนี้เป็นของที่ตัวข้าให้ซ่างกงฝ่ายอาภรณ์และเครื่องประดับทำมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ เจ้าลองสวมดูว่าพอดีหรือไม่”หานฉงหรงรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่ง “ขอบพระทัยไทโฮ่วสำหรับพระกรุณา เพียงแต่วันนี้เป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ของเหล่าเชื้อพระวงศ์ หม่อมฉันเป็นผู้น้อยไม่สมควรแต่งกายหรูหรานัก เกรงว่าจะทำให้พระนางถูกติฉินไปด้วย หม่อมฉันคิดว่าแต่งกายเรียบง่ายก็เพียงพอแล้วเพคะ”“แสดงว่าเจ้าไม่เข้าใจจุดประสงค์ของการจัดเลี้ยงนี้” หวงไทโฮ่วขมวดคิ้ว รู้ได้ทันทีว่าไ
แน่นอนว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น หลังจากเอนหลังพักผ่อนจนสบายใจแล้ว องค์หญิงเวินอี๋เดินนำซีเยวี่ยและผู้ติดตามจำนวนหนึ่งไปยังห้องเครื่องเล็กที่อยู่ใกล้กับโถงจัดเลี้ยง เมื่อไปถึงก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายอย่างโกลาหล ทั้งเสียงหวีดร้องห้ามปรามของเหล่าแม่ครัว ทั้งกลิ่นแปลกประหลาดที่ทั้งสาบทั้งฉุนจนแสบจมูก เวินอี๋ยกผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมประดับพู่ไหมทองยกขึ้นปิดจมูกพร้อมกับขมวดคิ้ว “นี่มันกลิ่นอันใด แสบจมูกยิ่ง”ซีเยวี่ยไอโขลกๆ อยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยกล่าวออกมาอย่างกระท่อนกระแท่น “ทูลองค์หญิง...แค่กๆ...เป็นกลิ่นเครื่องเทศเพคะ”“กลิ่นเครื่องเทศฉุนปานนี้คิดจะให้คนทั้งวังขาดใจตายหรืออย่างไรกัน” เวินอี๋ทั้งฉิวทั้งขันเพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเกิดอันใดขึ้น “ฉงหรงจวิน ท่านยังปลอดภัยดีหรือไม่”ไม่นานนักหานฉงหรงก็เดินเข้ามา ใบหน้ามอมแมมด้วยผงขมิ้นและผงเครื่องเทศอื่นๆ นางมีท่าทีเก้อกระดาก หลังจากเช็ดหน้าตนเองลวกๆ แล้วก็รีบถวายบังคม “หม่อมฉันกำลังยุ่งอยู่ในครัว จึงไม่ได้ออกมาต้อนรับทันที ต้องขอประทานอภัยเพคะ”เวินอี๋ยกผ้าเช็ดหน้ากดริมฝีปากมิให้เผยอรอยยิ้มสาแก่ใจออกมา ก่อนจะเปลี่ยนมันเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนระคนเห็นใจ “มิเป
องค์หญิงใหญ่เผิงเฉิงที่เพิ่งแยกกับฮ่องเต้ที่ตำหนักทรงพระอักษร ตั้งใจว่าจะกลับจวนองค์หญิงของตนโดยไม่แวะไปหาที่ใดหรือผู้ใด กลับพบบุรุษผู้หนึ่งที่เดินมาหานางพร้อมกับรอยยิ้มบางที่ดูอบอุ่นเป็นมิตร เขาหยุดยืนประสานมือ เรียกขานนางว่า “พี่หญิง” อย่างสนิทสนม องค์หญิงเผิงเฉิงเอียงคอเล็กน้อยก่อนยกยิ้มตอบ “นึกว่าใคร ที่แท้รุ่นเอ๋อร์น้องชายคนดีของข้านั่นเอง ลมอันใดหอบเจ้ามาหาถึงวังหลวงได้กัน” นางกล่าวเว้นช่วงเล็กน้อย คล้ายว่ากล่าวสิ่งใดไม่ถูกไม่ควร “ไม่สิ ลมที่ว่าคงไม่ได้หอบเจ้ามาหาข้ากระมัง แต่มาหาคนที่อยู่ที่ตำหนักไท่หยางนู่น”อวิ๋นรุ่นทำหน้าตาใสซื่อ “แน่นอนว่ารุ่นเอ๋อร์ต้องไปตำหนักไท่หยาง เยี่ยมเยียนเสด็จแม่ในฐานะบุตรชายผู้กตัญญู”นิ้วเรียวงามขององค์หญิงใหญ่เผิงเฉิงจิ้มที่หน้าผากน้องชายแผ่วเบา “อย่ามาทำเฉไฉสวมบทบาทลูกกตัญญู เสด็จแม่ทรงบอกข้าจนหมดสิ้นแล้วว่าว่าที่น้องสะใภ้ของข้าพำนักที่นั่น แถมยามค่ำคืนยังมีการดัดเสียงอ่อนเสียงหวานเป็นขันทีน้อยแถมติดสินบนหลิวกูกูเพื่อให้ได้พบนาง ใช้ได้ที่ไหนกัน”ชายหนุ่มลูบหน้าผากแก้เก้อ “ผู้ใดให้เสด็จแม่ใจร้ายไม่ยอมให้ข้าพบนางกัน มิเช่นนั้นข้าคงมิยอมใช้เล่ห์เพท
แม้ว่าองค์หญิงเวินอี๋จากไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่สุดท้ายก็ยังมีแก่ใจให้ซีเยวี่ยนางกำนัลคนสนิทของนางมาบอกกล่าวให้นางกำนัลและรวมไปถึงตัวของหานฉงหรงเองให้เลิกงานก่อนกำหนด หานฉงหรงจึงเก็บรายละเอียดและบอกกล่าวงานที่จะเริ่มทำต่อในวันรุ่งขึ้นแก่นางกำนัลที่เกี่ยวข้อง ก่อนให้พวกนางแยกย้ายกันไปพักผ่อน ส่วนตนเองเดินทางกลับตำหนักไท่หยาง เนื่องจากยังมีบันทึกสมาชิกราชวงศ์และรายละเอียดอื่นๆ ที่สำคัญต้องเรียนรู้อีกมาก ทว่าขณะที่เดินใกล้มาถึงประตูตำหนัก พลันเห็นฮ่องเต้ก้าวออกมาพร้อมสตรีวัยไล่เลี่ยกันนางหนึ่ง สตรีนางนั้นรูปโฉมงดงาม แต่งกายอย่างสตรีชาววังที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูงถักทอจากไหมเลอค่า ศีรษะประดับมุกหยกและเครื่องทองเป็นหลัก ท่วงท่าการเดินล้วนสง่างาม ยามโอภาปราศรัยกับฮ่องเต้ก็ดูเป็นมิตรมิเคอะเขิน อีกทั้งด้านหลังของนางยังมีสาวใช้สวมชุดกระโปรงแบบชาวนอกด่านสองคน ประดับเครื่องเงินแพรวพราวแปลกตา ยามเคลื่อนไหวมีเสียงเครื่องกระทบกันแผ่วเบาทว่าไพเราะ ซึ่งการแต่งกายเช่นนี้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของหญิงสาวเผ่าหูหานฉงหรงถอยมายืนชิดริมกำแพงพร้อมย่อกายคารวะฮ่องเต้และสตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นแล้วก้มหน้าเล็ก
แน่นอนว่าเมื่อการประชันบรรเลงพิณจบลง ย่อมมีผู้ที่พึงพอใจระคนลำพองด้วยชัยชนะ และผู้ที่เก็บสีหน้าผิดหวังระคนเคืองขุ่นเอาไว้ไม่มิดจากผู้พ่ายแพ้ ผู้ใดจะรู้ว่าฝีมือการบรรเลงพิณของหานลู่นั้นเหนือล้ำกว่าเนี่ยไหวหยางอยู่หลายขุม ทำเอาฮ่องเต้พอพระทัยอย่างยิ่ง “หานไฉเหรินฝีมือบรรเลงพิณเลิศล้ำ ราวกับได้เทพเจ้าขุย[1]คุ้มครองประทานพร ไม่เสียทีที่เรามอบพิณหยกขาวของราชวงศ์ก่อนให้กับเจ้า นับว่าให้กับผู้ที่คู่ควรโดยแท้”หานลู่ซ่อนสีหน้าสาแก่ใจไว้ภายใต้รอยยิ้มนุ่มนวลอย่างที่สนมนางในพึงมี กล่าววาจาอ่อนน้อมถ่อมตน “ฝ่าบาทกล่าวชมเกินไป หม่อมฉันเพียงไม่อยากให้ฝ่าบาทที่อุตส่าห์พระราชทานของล้ำค่าต้องทรงผิดหวังที่มอบให้กับคนที่ไม่เหมาะสม จึงจำเป็นต้องทำอย่างสุดความสามารถเพคะ”ยิ่งได้ฟังฮ่องเต้ก็ยิ่งพึงใจ มือใหญ่แตะถูกหยกพกที่ห้อยอยู่ข้างเอว จึงปลดออกจากสายคาดเอวแล้วยื่นให้นาง “นี่คือหยกเหอเถียนที่เป็นของบรรณาการจากซื่อชวน ทั้งลวดลายสีสันเราชมชอบยิ่งนัก ช่วงนี้จึงมักพกติดกายเป็นประจำ บัดนี้ขอมอบให้เจ้า หวังว่าเราจะได้สดับรับฟังดนตรีอันยอดเยี่ยมเช่นนี้อีก”หานลู่กล่าวขอบพระทัยพลางรับด้วยสองมือ คลี่ยิ้มยวนเสน่ห์ “







