Masukยามซี่หวีละเอียดหวีที่เรือนผมของหานฉงหรงแต่ละครั้งพร้อมคำอวยพรที่ขอให้ชีวิตสมรสราบรื่นเป็นสุข มีบุตรหลานสืบสกุล นางหวนระลึกถึงบิดามารดาของตน แม้ท่านแม่จะสิ้นบุญไปตั้งแต่หานฉงหรงยังเป็นเด็ก แต่ก็สัมผัสได้ถึงความรักของทั้งสองสามีภรรยาที่รักใคร่ปรองดอง ได้แต่หวังอย่างเต็มหัวใจว่าชีวิตสมรสของตนในภายภาคหน้านี้ก็จะราบรื่นสดใสเช่นเดียวกับบุพการีทั้งสององค์หญิงใหญ่เผิงเฉิงมองไทโฮ่วหวีผมเงียบๆ ก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบ “ก่อนที่ข้ากับไทโฮ่วเสด็จมา ข้าเห็นว่าหานไฉเหรินเพิ่งออกจากตรงนี้ไป นางมาทำอันใดที่นี่หรือ”หวงไทโฮ่วหยุดมือเล็กน้อย “นางมาที่นี่หรือ”หานฉงหรงพยักหน้า สบตาหวงไทโฮ่วพลางเอ่ยเสียงซื่อ “เพคะ เมื่อครู่หานไฉเหรินมาที่นี่ บอกว่านำของขวัญของหานฟูเหรินและจวงหมิ่นกั๋วฟูเหรินมามอบให้ จวงหมิ่นกั๋วฟูเหรินกับหม่อมฉันเคยช่วยเหลือองค์หญิงเวินอี๋จัดงานเลี้ยงฉลองพระราชสมภพให้กับฝ่าบาทเมื่อหลายเดือนก่อน จึงอาศัยโอกาสนี้แสดงความยินดีที่หม่อมฉันแต่งงานและขอบคุณหม่อมฉันไปพร้อมๆ กันเท่านั้นเพคะ”องค์หญิงใหญ่เผิงเฉิงคลี่ยิ้ม “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แล้วไปเถิด ตอนนี้พวกเจ้าผูกมิตรกันได้ แต่ตั้งแต่พรุ่งนี้เจ้าก
วันเวลาผ่านไป จนกระทั่งผ่านช่วงเทศกาลฉงหยางไปหลายวัน รสชาติหวานล้ำของสุราเบญจมาศยังอวลในปากและหัวใจของประชาชนไม่ทันจาง วังหลวงและจวนเป่ยหนานก็ได้เปิดไหสุรานารีแดง ดื่มฉลองพิธีเสกสมรสของเป่ยหนานอ๋อง อวิ๋นรุ่นและฉงหรงจวิน หานฉงหรง สองหนุ่มสาวที่หนึ่งบุรุษนั้นเป็นพระอนุชาที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยมากที่สุด ส่วนหนึ่งสตรีนั้นก็เป็นที่โปรดปรานเอ็นดูของหวงไทโฮ่วทางฝ่ายในเลือกวันดีวันหนึ่งในช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็นไม่มากเตรียมงานเสกสมรสตั้งแต่เช้าตรู่ ตำหนักไท่หยางเต็มไปด้วยอักษรมงคลและสีแดงชาดของแถบแพรที่ประดับตกแต่งโดยรอบ หานฉงหรงตื่นมาแต่เช้ามืดเพื่อให้เหล่ากูกูช่วยเกล้าผมประทินโฉม โดยมีหลานชุ่ยที่หวงไทโฮ่วมอบให้เป็นนางกำนัลส่วนตัวของนางคอยส่งเครื่องประดับให้พลางส่งเสียงเจื้อยแจ้ว “คุณหนู ท่านทราบหรือไม่ กองสินเดิมที่หวงไทโฮ่วประทานให้แต่แรกตอนนี้มีมากขึ้นเป็นเท่าตัวจากสินเดิมที่องค์หญิงใหญ่เผิงเฉิงร่วมประทานให้ ทำให้ในห้องโถงกลางของตำหนักไท่หยางดูคับแคบลงไปถนัดตาเลยเจ้าค่ะ และข้ายังได้ยินว่าจะมีของขวัญมากมายจากเหล่าเชื้อพระวงศ์ส่งไปยังจวนอ๋องเป่ยหนานด้วย”“นั่นเพราะว่าท่านอ๋องเป็นที่รักของทุ
“รีบไปที่ตำหนักหลักเถิด อย่าปล่อยให้เสด็จแม่รอนาน” ชายหนุ่มสำทับกับนางอีกคราพร้อมกุมมือนางเอาไว้แน่น ท่าทีสนิทสนมชิดใกล้พาให้ข้ารับใช้ที่พบเห็นพลอยอมยิ้มอย่างมีความสุขตามเนื่องจากมีการทำความสะอาดลานตำหนักไท่หยาง ทำให้มีการเปิดกระตูตำหนักเช็ดถูทำความสะอาด ขันทีน้อยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดบานประตูสีแดงชาดอย่างตั้งอกตั้งใจ กระทั่งหมุดทองเหลืองที่ประดับประตูก็ขัดเสียเงาวับ ทอประกายรังรองสะท้อนแสงตะวัน รับกับแมกไม้ที่ประดับอยู่ด้านนอก เนื่องจากเป็นฤดูใบไม้ร่วง ทางฝ่ายคัดสรรพืชพรรณจึงสร้างร้านขึ้นมาแล้วนำต้นเฟื่องฟ้าสายพันธุ์จากหนี่ปั๋ว[1] มาปลูกตั้งแต่ช่วงฤดูร้อน ปล่อยให้มันเลื้อยพันขึ้นเป็นพุ่มใหญ่แล้วหมั่นให้คนตกแต่งมิให้เลื้อยระพื้นจนเสียรูปทรง พอเข้าฤดูใบไม้ร่วงจึงผลิดอกเบ่งบานสะพรั่ง ปลิวไสวไปตามสายลมดุจม่านไหมทองในห้องหอของดรุณีแรกรุ่น“เจ้าหยุดอันใด” อวิ่นรุ่นเห็นนางหยุดเดินจึงเอ่ยถาม เมื่อมองตามก็ร้องอ้อ “เฟื่องฟ้าสายพันธุ์นี้นอกจากสีดอกเป็นสีทองอมส้มคล้ายกับสีอาภรณ์พิธีการของเสด็จแม่ งดงามหาใดเปรียบ ยังไร้หนามให้ทิ่มตำเนื้อหรือเกี่ยวเสื้อผ้าให้รำคาญใจ ไม่ว่าจะสนมนางในหรือฮ่องเต้ที่ได้มาเ
เหตุการณ์ในงานเลี้ยงผ่านไปไม่กี่วัน ตำหนักไท่หยางก็ได้ต้อนรับอาคันตุกะมาใหม่อีกสองคน เสียงของทั้งสองเจื้อยแจ้วสดใสขนาดที่ทำให้ตำหนักปีกที่หานฉงหรงกำลังนั่งอ่านตำราอยู่เงียบกลายเป็นรังนกกระจอกขึ้นมาทันที“พี่สาว! ข้าคิดถึงท่านยิ่งนัก”เป็นหย่งเยี่ยกับเสี่ยวมี่นั่นเอง พวกเขาสองคนแข่งกันวิ่งมาหาข้าที่ตำหนักปีกอย่างไม่มีใครยอมใคร หานฉงหรงรีบเดินออกมาต้อนรับพอดีกับที่เด็กชายตัวแสบพุ่งมากอดนางเต็มรัก หญิงสาวแม้จะดีใจที่มีคนรู้จักมาเยี่ยมเยียนแต่ก็อดเอ็ดเสียงอ่อนมิได้ “องค์ชาย ที่นี่เป็นพระราชฐานชั้นใน อีกทั้งยังเป็นที่ประทับของพระนางไทโฮ่ว ส่งเสียงดังเช่นนี้จะเป็นการรบกวนพระนางนะเพคะ”หย่งเยี่ยใช้ใบหน้าซุกหน้าท้องของหญิงสาวพลางเอ่ยอู้อี้ “เสด็จย่าอนุญาตให้ข้าเสียงดังได้แล้ว อีกทั้งพี่สาวเอาแต่อ่านหนังสือ ข้าวิ่งเสียงดังขนาดนี้ยังไม่สนใจจะเงยหน้ามอง ข้าเลยต้องส่งเสียงดังเช่นนี้”หานฉงหรงส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “แล้วกัน ไฉนกลายเป็นหม่อมฉันที่ผิดไปได้เล่า”ว่าจบก็พินิจร่างเล็กๆ ที่ดูจะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะลูบแก้มยุ้ยๆ นั้นเล่น “ไม่พบเพียงหนึ่งเดือน ทั้งองค์ชายและเสี่ยวมี่ก็สูงขึ้นอีกห
ตลอดมื้ออาหาร หานฉงหรงรู้สึกเจริญอาหารไม่น้อยถึงกับรับประทานข้าวหมดไปถ้วยหนึ่ง อีกฝ่ายยังคงเท้าคางมองนางที่กำลังตักสาลี่ตุ๋นเข้าปาก นางเม้มปากยิ้มแล้วไม่ได้เอื้อนเอ่ยอันใด เขาเองก็มองนางกินจนหมดแล้วค่อยเอ่ยถาม “วันนี้ข้าไม่ได้อยู่เห็นเจ้าแสดงความสามารถ นับว่าน่าเสียดายอยู่เหมือนกัน”“ถึงแม้ท่านอ๋องมิได้เสด็จมาที่งานเลี้ยง แต่เนื้อแกะที่เป็นเบี้ยหวัดของจวนเป่ยหนาน ยังไม่นับเครื่องเทศและเครื่องปรุงแบบป๋อสื่อ (เปอร์เซีย) ที่ท่านอ๋องให้พี่เหวินซิ่วจัดหามาให้ ก็ช่วยเป็นกำลังให้หม่อมฉันได้มากเหลือเกินแล้วเพคะ”“กาลก่อนเจ้าชอบบ่นว่าข้าใช้อำนาจมิถูกมิควรทั้งติดสินบน ทั้งข่มขู่ แต่ครานี้อำนาจและเบี้ยหวัดที่มีล้วนยกให้เจ้าอย่างไม่เสียดาย” เขาว่าพลางขยิบเข้ามาใกล้“ข้าลงทุนลงแรงไปมากเช่นนี้ จะไม่มีรางวัลสักหน่อยหรือ”หานฉงหรงวางถ้วยลงแล้วหันไปสบตาเขา “อย่างที่หม่อมฉันเคยบอก หม่อมฉันมาร่ำเรียนมารยาทชาววังย่อมมาตัวเปล่า จะมีก็แต่ปิ่นเหมยกุ้ยทองคำที่ข้ารักใคร่หวงแหนยิ่งกว่าชีวิต ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมมอบให้ผู้ใดเด็ดขาด เช่นนี้แล้วหม่อมฉันจะมีสิ่งใดมอบให้เพื่อตอบแทนท่านอ๋องกัน”ยังไม่ทันได้ตั้งตัว วงแ
หลังจากนั้น หานฉงหรงก็อยู่สนทนากับหวงไทโฮ่วอีกครู่หนึ่งจึงขอตัวกลับห้องของตน ฟ้าด้านนอกเริ่มมืดอากาศเริ่มหนาวเย็น เหล่าขันทีน้อยประจำตำหนักเริ่มแยกย้ายกันไปจุดโคมตามทางเดินและจุดต่างๆ ในราชอุทยาน จนเกิดแสงนุ่มนวลอบอุ่นประหนึ่งอาทิตย์อัสดง พลันนึกขึ้นได้ว่าห้องของตนเองยังมิได้จุดเทียน ยิ่งเมื่อนึกถึงอากาศหนาวเย็นที่ไร้แสงเทียนและไอร้อนจากถ่านให้ความอบอุ่น นางก็อดลูบแขนของตนไปมามิได้ นึกหงุดหงิดตนเองที่อาการกลัวเปลวไฟยังคงไม่หายไป ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่อาการพรั่นพรึงอย่างมิอาจควบคุมนั้นจะหายไปเสียทีจะให้รบกวนบรรดานางกำนัลขันที ทุกคนต่างก็กำลังยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตนเอง จะให้พวกเขามาทำตามที่นางต้องการก็ใช่ที่ เช่นนั้นก็รอสักหน่อยค่อยเรียกนางกำนัลเด็กสักคนมาจุดเทียนกับขอกระถางถ่านสักใบก็แล้วกันทว่าเมื่อเดินใกล้ถึงห้องของตนกลับเห็นแสงสว่างนวลตาสาดลอดออกมาจากช่องประตูที่บุกระดาษสาลวดลายประณีต ดวงตาของหานฉงหรงฉายแววประหลาดใจน้อยๆ นางผลักประตูเข้าไปก็เห็นว่าหลานชุ่ยกำลังยิ้มกว้างมองนาง จากนั้นจึงเอ่ยทักทาย “ฉงหรงจวิน ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”นางมองไปรอบๆ เทียนไขจำนวนหนึ่งถูกจุดทั่ว ทำให้ทั้งห







