หลังจากที่ไป๋ถังสงบสติอารมณ์ลง เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสามีจอมขี้เกียจของร่างเดิม เนื่องจากโดยปกติแล้วเขาเป็นคนที่เอาแต่นอนทั้งวัน จะมีทักษะในการต่อสู้อย่างเช่นเมื่อสักครู่นี้ได้อย่างไร
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีวิญญาณจากที่อื่นมาแทนที่ด้วยเช่นกัน เธอจึงถามออกไปว่าเขาทะลุมิติมาเหมือนกันใช่ไหม
แล้วก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ อีกฝ่ายก็เหมือนกันกับเธอ!
ไป๋ถังหัวเราะ รู้สึกว่าเรื่องราวมันน่าตื่นเต้นขึ้นทุกที เธอพูดกับอีกฝ่ายด้วยท่าทีผ่อนคลาย “เรามาคุยกันหน่อยไหม “
ลู่หยางมองผู้หญิงตรงหน้าที่เปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว เมื่อสักครู่เธอยังอยากจะฆ่าเขา แต่ตอนนี้กลับยิ้มให้อย่างสบายๆ
ผู้หญิงคนนี้...ช่างแปลกประหลาดจริงๆ
“แล้วเด็กสองคนนี้ล่ะ “ลู่หยางมองเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนของพวกเขา
สองพี่น้องซบอยู่ที่อกของพ่อกับแม่ มีน้ำมูกไหลออกมาจากรูจมูกของพวกเขาและมันกำลังจะไหลเข้าไปในปาก ไป๋ถังเห็นแล้วก็รีบตะโกน “เร็วๆ เอากระดาษมาเช็ดน้ำมูกของพวกเขาก่อน”
“ดูเหมือนว่าจะใช้หมดไปเมื่อสองสามวันก่อนและพวกเราก็ไม่มีเงินซื้อมัน”ลู่หยางนึกถึงความทรงจำของร่างเดิม
ไป๋ถังนึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้เธอกำลังให้ความสนใจกับสวีจ้าว จึงพยายามยั่วยวนเขา วันนี้เจ้าของร่างตั้งใจว่าจะแอบไปพบเขาที่บ้าน โดยจะใช้ข้ออ้างว่าจะไปยืมกระดาษชำระ หญิงสาวนึกแล้วก็ถอนหายใจออกมา ชีวิตของพวกเขาในเวลานี้ช่างยากจนนัก แม้แต่เงินจะซื้อกระดาษชำระยังไม่มี
“เอาล่ะ ใช้เสื้อกล้ามของคุณเช็ดน้ำมูกให้พวกเขาแล้วกัน”
เธอยื่นมือออกมาเพื่อคว้าเสื้อกล้ามขาดๆ บนตัวของลู่หยาง ชายหนุ่มรีบหลบและมองเธอด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “ทำไมคุณไม่ใช้เสื้อผ้าของคุณล่ะ”
“เสื้อผ้าของฉันมันใหม่กว่าของคุณถ้าเอาไปเช็ดน้ำมูกมันก็น่าเสียดายแย่สิ”ไป๋ถังไล่ตามชายหนุ่มไปอย่างไม่ลดละ ลู่หยางกอดเด็กแล้วเดินถอยหลังหนี
“นี่คุณเป็นพ่อนะคะ ทำไมคุณถึงเสียสละเสื้อกล้ามเน่าๆ ของตัวเอง เพื่อเช็ดน้ำมูกให้ลูกชายของเราไม่ได้ล่ะคะ”ไป๋ถังเลิกคิ้วถามอย่างไร้เดียงสา
ลู่หยางได้ฟังแล้วก็รู้สึกจั๊กจี้หู “คุณต้องการที่จะต่อยกันอีกครั้งใช่ไหม” “ช่างเถอะ! ฉันเหนื่อยแล้ว”ไป๋ถังยิ้มออกมา หลังจากที่ทั้งสองต่อสู้กันไปเมื่อสักครู่ ทั้งคู่ต่างก็รู้ทักษะของกันและกัน และคิดว่าสู้กันไปก็เหนื่อยเปล่า เพราะไม่มีใครเอาชนะอีกฝ่ายได้“พ่อกับแม่ ไม่ต้องทะเลาะกัน เสี่ยวเป่าเช็ดน้ำมูกเองได้”เสียงเล็กๆ ของเสี่ยวเป่าพูดแทรกขึ้นมา เด็กน้อยเช็ดจมูกด้วยฝ่ามือของตนและใบหน้าของเขาก็สกปรกมากขึ้นไปอีก แก้มของเขาเต็มไปด้วยน้ำมูก
ต้าเป่ายกมือขึ้นเพื่อปิดตาด้วยความอับอายที่น้องชายของตนทำเช่นนั้น แต่ลู่หยางคิดว่าเขากำลังจะเช็ดจมูกของตนตามผู้เป็นน้องชาย ดังนั้นชายหนุ่มจึงคว้ามือเขาเอาไว้ “อย่าใช้มือเช็ดไปเรื่อย มันสกปรก”
ไป๋ถังเมื่อเห็นใบหน้าของเสี่ยวเป่าที่สกปรกยิ่งกว่าเดิม เธอก็เกือบจะปล่อยเขาลงจากอ้อมแขน
เด็กคนนี้!
“เสี่ยวเป่าห้ามขยับ ต่อไปห้ามเช็ดน้ำมูกอย่างนี้อีก มันสกปรก...เข้าใจไหม”ไป๋ถังสอนเสี่ยวเป่าอย่างจริงจัง
ลู่หยางมองดูใบหน้าของเด็กทั้งสองที่สกปรกมอมแมม “พาพวกเขาไปล้างหน้าก่อนเถอะ”
โชคดีที่ในห้องน้ำหลังบ้านมีผ้าเช็ดตัวอยู่ ดังนั้นลู่หยางจึงปล่อยต้าเป่าลงให้ยืนบนพื้น จากนั้นให้เด็กทั้งสองยืนเรียงแถว โดยที่เขาเป็นคนตักน้ำในถังออกมาให้เด็กน้อยทั้งสองล้างหน้า
พ่อกับแม่ของเด็กทั้งสองคนนี้ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย พวกเขาไม่คิดที่จะล้างหน้าให้ลูกๆ ของตัวเองด้วยซ้ำ
ใบหน้าของต้าเป่าและเสี่ยวเป่าจึงเป็นสีเทา และผิวของพวกเขาก็ดูหมองคล้ำ แต่หลังจากล้างหน้าแล้ว ผิวขาวๆ ของเด็กน้อยก็เผยออกมา
นอกจากว่าพวกเขาดูผอมเกินไปต้าเป่าและเสี่ยวเป่าก็ดูน่ารักเหมือนตุ๊กตาฝาแฝด โตขึ้นพวกเขาจะต้องหล่อเหลาอย่างแน่นอน
โดยปกติท่าทางของไป๋ถังอาจจะดูคล้ายกับผู้ชาย แต่เธอก็มีมุมที่อ่อนโยนและชอบเด็กน้อยที่น่ารักมากๆ
ดังนั้นเมื่อเห็นว่าลูกฝาแฝดทั้งสองเป็นเด็กน้อยน่ารัก เธอจึงบีบใบหน้าของเสี่ยวเป่าด้วยความหมั่นเขี้ยว “หนูน่ารักมากเลย ถ้าโตขึ้นจะทำให้สาวๆ หวั่นไหวได้ขนาดไหนกันนะ”
ตั้งแต่ที่เสี่ยวเป่าจำความได้ นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ชมเขา เด็กน้อยจึงมีความสุขมาก จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง “นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ชมเสี่ยวเป่า แม่เริ่มชอบเสี่ยวเป่าแล้วหรือยัง เสี่ยวเป่ากับพี่ชายสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี แม่จะไม่เกลียดเสี่ยวเป่าแล้วใช่ไหม “
ไป๋ถังไม่ไม่คาดคิดว่าเพียงแค่ตนเองชมเสี่ยวเป่าจะทำให้เขาร้องไห้ หญิงสาวรู้สึกเสียใจแทนเด็กน้อยฝาแฝดยิ่งนัก ทำไมเจ้าของร่างเดิมกับสามีถึงไม่ชอบเด็กน่ารักแบบนี้กันนะ
สายตาที่ไป๋ถังจ้องมองลู่หยางเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ เธอนึกอยากจะดึงวิญญาณของร่างเดิมและสามีออกมาทุบตีอีกแล้ว แต่หญิงสาวพยายามสงบสติแล้วหันไปพูดกับเสียวเป่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แม่ชอบเสี่ยวเป่ากับต้าเป่าอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องร้องไห้อีกแล้วนะ”ไป๋ถังพูดพร้อมกับลูบหัวลูกชายฝาแฝดทั้งสอง
เสี่ยวเป่ายิ้มอย่างมีความสุข มือสั้นๆทั้งสองข้างเข้าไปโอบรอบคอแม่อย่างแผ่วเบา ต้าเป่าเองก็ทำตามเขาด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจของเด็กน้อยไม่เชื่อในสิ่งที่แม่เขาพูดเลยสักนิด!
ลู่ซีซีโทรกลับไปหาที่บ้านและบอกว่าตอนนี้เธอได้อยู่กับพี่ชายคนรองเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อคือคนที่มารับสาย“ลูกดูแลตัวเองดีๆ นะ รีบพักผ่อนเถอะ”ลู่หยางวางสายแล้วถอนหายใจออกมาไป๋ถังที่นั่งอยู่ด้านข้างยิ้มอย่างเข้าใจ “เริ่มคิดถึงลูกสาวแล้วใช่ไหมคะ” เธอจับมือของสามีเอาไว้และพูดปลอบใจ “ลูกๆ ของเราทุกคนโตขึ้นทุกวัน พวกเขาย่อมต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง”ลู่หยางเข้าใจในข้อนี้ดี แต่เขาก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ “ซีซีเป็นเด็กผู้หญิง เธอไม่เคยออกจากบ้านไปอยู่ในที่ไกลๆ นานแบบนี้”“ตอนนี้คุณต้องทำใจไว้ให้ชินเถอะค่ะ ในอนาคตลูกสาวของเราก็จะต้องแต่งงาน” ไป๋ถังพูดแกล้งอีกฝ่าย“ลูกเขยในอนาคตของผมต้องสามารถดูแลซีซีของเราได้ ถ้าหาลูกเขยไม่ได้จริงๆ พวกเราก็แค่เลี้ยงดูเธอไปตลอดเท่านั้น”“ช่างเถอะค่ะ ฉันไม่คุยกับคุณเรื่องนี้แล้ว ยิ่งแก่คุณก็ยิ่งเรื่องมากนะคะ” ไป๋ถังบ่นแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องลู่หยางได้ยินเธอบ่นว่าตนเองแก่ เขาก็รีบตามเข้าไปในห้องเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้แก่อย่างที่เธอคิด“ผมแก่อย่างที่คุณว่าอยู่หรือเปล่าครับ” ลู่หยางถามขณะทาบทับอยู่บนหลังของเธอไป๋ถังส่งเสียงครางในลำคอ มือทั้งสองกุมผ้าห่มใต้ร่
ในปี 1999 ไป๋ถังได้นำเข้าคอมพิวเตอร์มาจากต่างประเทศ เธอเปิดร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่หลายสาขาแม้จำนวนเกมส์ในเครื่องจะมีไม่มากแต่พวกเด็กวัยรุ่นก็นิยมเข้ามาเล่นเป็นจำนวนมากเพราะว่ารู้สึกว่ามันแปลกใหม่ กิจการนี้เฟื่องฟูจนทำให้ครอบครัวของเธอยิ่งร่ำรวยมากขึ้นกว่าเดิม เรียกได้ว่าเหลือกินเหลือใช้จนถึงรุ่นเหลนฝาแฝดทั้งสองในปีนี้มีอายุได้ยี่สิบสองปี ลู่เจี้ยนลูกชายคนโตชอบเรียนหนังสือ ตอนนี้เขากำลังจะเรียนต่อปริญญาโทและในอนาคตอาจจะเรียนต่อปริญญาเอกต่อไป ซึ่งลู่หยางและไป๋ถังสนับสนุนลูกทุกคนให้ทำตามสิ่งที่ชอบอย่างเต็มที่โดยไม่บังคับใดๆส่วนลู่จวิ้นลูกชายคนรองชอบทำธุรกิจ เขาชื่นชอบธุรกิจสื่อบันเทิง จึงตั้งบริษัทเพื่อซื้อภาพยนตร์ในวงการฮอลลีวูดมาฉายภายในประเทศ ซึ่งธุรกิจนี้สร้างเม็ดเงินให้กับเขาเป็นจำนวนมาก ชายหนุ่มจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ต่างประเทศ เพื่อสรรหาภาพยนตร์ที่น่าสนใจเข้ามาฉายและปีนี้ลู่ซีซีลูกสาวคนเล็กอายุสิบเจ็ด เพราะเข้าเรียนเร็ว เธอจึงจบระดับมัธยมปลายตั้งแต่ต้นปี ตอนนี้หญิงสาวตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ โดยมีลู่จวิ้นที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศนั้นคอยดูแลวันนี้ลู่หยาง ไป๋ถังและลู่
แม้ว่าลู่หยางและลูกชายทั้งสองจะพยายามขัดขวาง ไม่ให้ลู่ซีซีได้เข้าใกล้กับผู้ชายมากเกินไป แต่ไป๋ถังค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องนี้และต้องการให้ลูกสาวมีเพื่อนเพิ่มหลายๆ คนไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ในปี 1985 ลู่ซีซีมีอายุได้สามขวบ ขณะที่เธอกำลังขี่จักรยานอยู่ในสนามเด็กเล่น ก็มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ วิ่งเข้ามาหาและชวนเธอพูดคุยด้วย “น้องสาว หยุดจักรยานก่อน ฉันขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” ซีซีหยุดและหันหน้าไปหาเขา ดวงตากลมโตฉายแววสงสัย “พี่ชาย มีอะไรจะคุยกับซีซีเหรอคะ” เด็กน้อยมีท่าทีเขินอาย “ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ” “ได้สิค่ะ” ซีซีตอบด้วยรอยยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มของเธอ เด็กชายเมื่อเห็นลักยิ้มของซีซี เขาก็คิดว่าเธอน่ารักมาก เขารีบแนะนำตัวเองให้เด็กหญิงรู้จักทันที “ฉันชื่อสือหยง ปีนี้อายุ 6 ขวบ กำลังจะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา แล้วเธอล่ะ?” ลู่ซีซีตอบกลับด้วยเสียงเล็กๆ “หนูชื่อลู่ซีซี ปีนี้อายุสามขวบ ปีหน้าจะเข้าเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง” เธอยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อจับมือกับอีกฝ่าย เพราะผู้เป็นแม่บอกว่าเวลามีเพื่อนใหม่ต้องจับมือกันเพื่อแสดงความเป็นมิตรที่ดี แต่มือของเด็กน้อยทั้งสองยังไม่ทันจะได้สัมผัสกัน
ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ภายใต้การดูแลของลู่หยาง ทำให้ไป๋ถังมีความสุขมาก และตอนนี้เธออยู่ในช่วงใกล้คลอด วันนี้เธอจึงไปเดินเที่ยวที่สวนสาธารณะเพื่อที่จะได้คลอดง่ายๆลู่หยางซื้อกล้องถ่ายรูปมาถ่ายภรรยาและลูกๆ เก็บไว้เป็นความทรงจำ ลู่เจี้ยนและลู่จวิ้นวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาวิ่งกันไปรอบๆ และขอให้ผู้เป็นพ่อถ่ายรูปของพวกเขา“พ่อ ถ่ายรูปผมหน่อย”“พ่อ ผมอยู่นี่”“พ่อ ทำไมพ่อไม่ถ่ายรูปผมเลย”“พ่อ!”เด็กน้อยวิ่งกันวุ่นวาย ลู่หยางที่กำลังจดจ่ออยู่กับการถ่ายภาพของไป๋ถัง บางครั้งก็หันไปถ่ายลูกชายทั้งสองที่วิ่งไปวิ่งมา เด็กน้อยทั้งคู่ดูสดใสร่าเริงมากขึ้นตามวัยของพวกเขาไป๋ถังหัวเราะกับท่าทางถ่ายรูปของเด็กน้อยทั้งสองที่กำลังทำท่าตลกๆ แต่ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกปวดท้อง หญิงสาวรีบตะโกนเรียกสามี “เสี่ยวหยาง”เมื่อลู่หยางได้ยิน เขาก็วิ่งไปหาเธอแทบจะทันที “เสี่ยวไป๋!”“ฉันปวดท้อง ตอนนี้รู้สึกเหมือนกับว่าจะคลอดเลยค่ะ” ไป๋ถังพูดพร้อมกุมท้องของเธอ ที่ส่วนล่างก็รู้สึกเหมือนกับมีน้ำไหลออกมาลู่หยางอุ้มเธอขึ้นมาในทันที แล้วหันไปบอกลูกๆ ทั้งสอง “อาเจี้ยนจูงมือน้องตามพ่อมา”ลู่เจี้ยนและลู่จวิ้นตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จ
เมื่อลู่หยางและไป๋ถังกลับมาถึงบ้าน เด็กน้อยทั้งสองก็รีบวิ่งมาหาพ่อกับแม่ของตนด้วยความดีใจ“พ่อ!” ต้าเป่ากอดต้นขาของลู่หยาง ส่วนเสี่ยวเป่ากอดต้นขาของไป๋ถัง เด็กน้อยทั้งคู่เงยหน้ามองด้วยดวงตาใสแจ๋วทั้งสองสามีภรรยาจึงอุ้มเด็กน้อยเข้าเอว และเช็ดหน้าที่เปื้อนเหงื่อให้กับพวกเขาก่อนจะหัวเราะเสียงดัง“แม่ครับ ซื้อขนมมาให้พวกผมด้วยหรือครับ” เสี่ยวเป่าถามด้วยน้ำเสียงเล็กๆไป๋ถังหัวเราะออกมาและพูดว่า “เจ้าหนูน้อยชอบกิน!”จากนั้นเธอก็ให้ลู่หยางส่งกระเป๋าที่อยู่ด้านข้างมาให้ แล้วหยิบขนมขึ้นชื่อจากเมืองหลวงมาแกะแบ่งให้กับเด็กน้อยทั้งสองได้ชิม“ขอบคุณครับพ่อ!” เด็กแฝดทั้งคู่พูดอย่างมีความสุขและเริ่มกินขนม ลู่หยางและไป๋ถังยิ้มอย่างมีความสุขการมีลูกๆ ตัวน้อยคอยอยู่ที่บ้านมันช่างทำให้พวกเขาอบอุ่นในหัวใจราวกับมีเสื้อบุนวมตัวเล็กๆ ห่อหุ้มอยู่ฝ่ายลี่จูเห็นไป๋ถังกลับมาจากเมืองหลวงพร้อมกับลู่หยาง ดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะมีอนาคตที่ดีขึ้นอีกแล้ว เธอนึกเศร้าใจว่าทำไมตนเองถึงไม่โชคดีแบบนี้บ้าง ตอนนี้คนในครอบครัวของสามีต่างเกลียดเธอ เป็นเพราะว่าเธอแอบนำเงินเก็บในบ้านไปลงทุนและสินค้าก็ขายไม่ออกจนสูญเสียเงินไปเปล่
สองสามีภรรยาวัยชรายิ้มออกมาอย่างมีความสุข เมื่อได้ยินว่าลู่หยางตกลงที่จะซื้อบ้าน“นี่เป็นเงินสองพันหยวนค่ะ คุณลุงลองนับดูอีกครั้งสิคะว่าครบหรือไม่”ไป๋ถังนับเงินสองพันหยวน จากกระเป๋าให้ลุงมู่ เมื่อชายชรารับไปก็นับเงินอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ห่อด้วยผ้าอย่างอย่างระมัดระวัง ส่งให้ภรรยาของตนเป็นคนเก็บไว้เมื่อตกลงซื้อขายบ้านกันได้ลุงมู่ก็เข็นจักรยานออกไปกับกลุ่มของลู่หยาง เพื่อทำการโอนบ้าน ในอนาคตการซื้อทรัพย์สินค่อนข้างยุ่งยาก แต่ว่าในยุคนี้พวกเขาเพียงแค่ไปลงทะเบียนโดยตรงกับสำนักงานการจัดการที่อยู่อาศัยหลังจากจ่ายค่าธรรมเนียม เมื่อเจ้าหน้าที่ประทับตราลงบนหนังสือความเป็นเจ้าของบ้าน มันก็มีผลตามกฎหมายทันที บ้านหลังนี้จึงกลายเป็นของไป๋ถัง พวกเขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง การดำเนินการทุกอย่างก็เสร็จสิ้น และลุงมู่จะย้ายออกจากบ้านไปเซี่ยงไฮ้ในสิ้นเดือนนี้ในเวลานี้พวกเขาได้มีบ้านเป็นของตัวเองอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ต่อไปคือการซื้อโกดังเพื่อก่อตั้งโรงงาน “ผมมีโกดังเก่าอยู่แห่งหนึ่ง คุณลู่อยากลองไปดูไหมครับ” “ไปเลยครับ” เมื่อได้ยินดังนั้นผู้จัดการฟ่านจึงพาเขาและไป๋ถังไปดูโกดังที่อยู่ไม่ไกล เมื่อเห็