ลุงของลู่หยางชื่อว่าลู่ฮุ่ย แต่ก่อนที่บิดาของเขายังอยู่ ครอบครัวทั้งคู่ยังคงสนิทสนมกันดี แต่เมื่อไม่มีบิดาของลู่หยาง ลุงคนนี้ก็ไม่ได้สนใจใยดีหลานชายคนนี้อีก
ชายหนุ่มเสี่ยงดวงลองเคาะประตูบ้านของลุงดู หลังจากรออยู่ไม่นานหลี่กุ้ยหลันผู้เป็นป้าสะใภ้ก็ออกมาเปิดประตู และเมื่อเห็นว่าเป็นลู่หยาง ใบหน้าของเธอก็แสดงความรังเกียจออกมา “แกมาทำไม!”
นอกจากสีหน้าที่ไม่ชื่นชอบแล้วน้ำเสียงของป้าสะใภ้ก็เต็มไปด้วยความขยะแขยง
ลู่หยางรู้สึกอายเล็กน้อย ชาติก่อนชายหนุ่มหน้าตาน่ารักมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงเป็นที่โปรดปรานของผู้หลักผู้ใหญ่มาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนแสดงท่าทีรังเกียจเมื่อเห็นเขา
เขาพยายามยิ้มให้กับป้าสะใภ้ของร่างเดิม “ป้าสะใภ้ คือ... ผมขอโทษที่มารบกวน แต่ตอนนี้ไม่มีอาหารที่บ้าน และลูกทั้งสองของผมก็หิวมาก ป้าสะใภ้พอจะให้ผมยืมอาหารก่อนได้ไหม ผมจะรีบจ่ายคืนให้ทันทีหลังการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงสิ้นสุดลง”
“ให้แกยืมอาหารงั้นรึ”หลี่กุ้ยหลันหัวเราะราวกับได้ยินเรื่องตลก “ลู่หยาง แกมาขอยืมแล้วเคยคืนด้วยเหรอ... หลังจากพ่อของแกตาย ฉันเคยให้ยืมอาหารไปแล้ว เพราะว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันญาติมิตร สุดท้ายแล้วเป็นยังไง แกก็ไม่ได้เอามาคืนให้ฉันอยู่ดี”
ลู่หยางอยากจะดึงวิญญาณของร่างเดิมออกมาและทุบตีเขาเหลือเกิน ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นคนก่อวีรกรรมแต่เขากลับเป็นคนที่ได้รับความเดือดร้อนแทน
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงแห้ง และพูดต่อไปว่า “ป้าสะใภ้ ผมรู้ว่าผมผิดไปแล้ว แต่ครั้งนี้ผมจะไม่ทำอย่างนั้นอีก ขอให้ป้าสะใภ้ได้เชื่อใจผมสักครั้ง เมื่อสิ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวผมจะคืนทั้งอาหารที่ยืมในครั้งนี้และครั้งก่อนอย่างแน่นอน!”
“ฉันไม่เชื่อ! ออกไป! ออกไป!”หลี่กุ้ยหลันโบกราวกับกำลังไล่ขอทานออกไป จากนั้นก็ตั้งท่าจะปิดประตูหนี
ในเวลานี้เสียงของลี่จูดังขึ้นมาจากในบ้าน “แม่ใครมาหรือคะ”
ลี่จูเพิ่งกลับเข้าบ้านมาได้ไม่นานหลังจากเฝ้ารอให้ไป๋ถัง เดินกลับไปหาสวีจ้าว แต่รอจนบ่ายคล้อยอีกฝ่ายก็ไม่ได้ย้อนกลับมา เธอจึงกลับมาที่บ้านเมื่อสักครู่นี้เอง
เมื่อลี่จูได้เห็นลู่หยางยืนอยู่ที่หน้าประตู เธอก็รู้สึกประหลาดใจ “น้องสามี เธอมาที่นี่ทำไม”
“ผมต้องการยืมอาหาร”ลู่หยางพูดอย่างหน้าด้าน “พี่สะใภ้ให้ผมยืมก่อนได้ไหม แค่นิดเดียวก็ได้ ไป๋ถังและผมสามารถทนหิวได้ แต่เด็กน้อยสองคนต่างหิวกันจนตัวผอมหมดแล้ว”
ลี่จูได้ฟังก็ยิ่งนึกขำ คนในหมู่บ้านต่างก็รู้ว่าคู่สามีภรรยาไม่สนใจลูกของตนเอง ชาวบ้านมักเห็นว่าต้าเป่าและ เสี่ยวเป่านั้นมีสภาพร่างกายน่าสมเพชเพียงใด บางคนก็แอบเอาอาหารเล็กน้อยให้พวกเขากินเพราะกลัวว่าเด็กทั้งสองจะต้องอดตาย
มุมปากของลี่จูโค้งลงอย่างดูถูก ก่อนหน้านี้เธอเคยชอบใบหน้าของลู่หยางมากแค่ไหน แต่ตอนนี้เธอดูถูกเขามากยิ่งกว่าเดิม ผู้ชายที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ ไม่คู่ควรกับเธอเลยสักนิด เธอคิดถูกแล้วที่ไม่ได้แย่งชิงผู้ชายคนนี้กับไป๋ถัง
ลี่จูมองเขาอย่างเหยียดหยามแล้วพูดเป็นนัยๆ “แทนที่จะขอยืมอาหารจากครอบครัวของเรา ทำไมไม่ให้ไป๋ถังไปขอยืมสวีจ้าวล่ะ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันย่อมต้องแบ่งอาหารให้กับพวกเธออย่างแน่นอน”
เมื่อหลี่กุ้ยหลันได้ยินสิ่งที่ลูกสะใภ้ของตนพูด หญิงวัยกลางคนก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร นี่เป็นการยั่วยุให้ลู่หยางแตกคอกับภรรยา เพราะโดยปกติผู้ชายที่ไหนจะทนให้ภรรยาของตน สนิทสนมกับผู้ชายคนอื่นได้
หลี่กุ้ยหลันเองก็อยากเห็นทั้งสองสามีภรรยาอายุน้อยแตกคอกัน หญิงวัยกลางคนอย่างเธอชื่นชอบเรื่องสนุกของชาวบ้านเช่นนี้นัก จึงรีบยุยงช่วยลูกสะใภ้อีกแรง “ใช่ เสี่ยวจูพูดถูก ให้เมียแกไปขอสวีจ้าวสิ สองคนนั้นสนิทกันดีจะตาย” หลังจากพูดจบทั้ง หลี่กุ้ยหลันและลี่จูมองหน้ากันอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็เฝ้ารอให้ลู่หยางโกรธ
อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาตอบสนองของลู่หยางนั้นสงบ และเขาตอบกลับทั้งสองด้วยใบหน้าเย็นชา “หากว่าป้าสะใภ้กับพี่สะใภ้ ไม่อยากให้ยืมอาหารก็ไม่เป็นไร แต่อย่ามาพูดจาพล่อยๆ ใส่ร้ายเมียของผมถ้าไม่มีหลักฐาน”
“อะไรนะ”ลี่จูหัวเราะอย่างเหลือเชื่อ “มันไม่ใช่เรื่องที่ฉันพูดพล่อยๆ ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็รู้เรื่องนี้!”
หรือว่าลู่หยางไม่เคยรู้เรื่องนี้กันนะ
เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้เรื่องราวฉาวโฉ่ของภรรยา ลี่จูก็รีบเล่าเรื่องเสริมเติมแต่งเข้าไปอีก “พวกเขาสนิทกันมาเกือบครึ่งปีแล้ว และทุกครั้งที่ไป๋ถังไปหาสวีจ้าว หล่อนจะทาปากเขียนคิ้ว เดินนวยนาดไปคุยกับสวีจ้าวอยู่ทุกเย็น ชุนเหยียนและเสี่ยวฮัวก็เคยเห็น ถ้าเธอไม่เชื่อก็ลองไปถามพวกเขาดูสิ”
“แล้วมีหลักฐานอย่างอื่นอีกไหม”ลู่หยางมองอย่างเย็นชา “พี่สะใภ้เคยเห็นพวกเขากอดกัน จูบกัน หรือนอนด้วยกันบนเตียงด้วยงั้นเหรอ”
“ไม่เคย แต่.. “ลี่จูต้องการที่จะเถียงต่อไป
ลู่หยางพลันขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน “ในเมื่อไม่เห็นอะไรเลย แล้วทำไมถึงได้ใส่ร้ายเมียของผม พวกเขาอาจจะแค่พูดคุยกันเท่านั้น หรือเพราะพี่สะใภ้มีความคิดสกปรก เลยคิดว่าพวกเขาทำเรื่องอย่างนั้นกันแน่ วันนี้ผมขอพูดเลยว่าถ้าพี่สะใภ้ใส่ร้ายเมียผมอีก ต่อให้พวกเราสองครอบครัวจะเป็นญาติกัน ผมก็จะไม่เกรงใจอีกต่อไป!”
ในโลกเดิมลู่หยางถูกสั่งสอนมาว่าให้ปกป้องคุ้มครองคนในครอบครัว
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะไม่คุ้นเคยกับไป๋ถังคนใหม่ แต่สำหรับสายตาของคนภายนอก พวกเขาคือคนในครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นชายหนุ่มจะไม่มีวันยอมให้ครอบครัวของเขาโดนถูกดูถูกหรือรังแก
ในยุคสมัยนี้จิตใจคนยังไม่เปิดกว้างและบางครั้งคำพูดก็สามารถฆ่าคนได้เช่นกัน
ลู่หยางไม่รู้ว่า ไป๋ถังสนใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่ แต่เขาสนใจ!
ลี่จูไม่คาดคิดว่าจะถูกเขาตะคอกใส่ หญิงสาวมองเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวของลู่หยาง เขาดูไม่เหมือนชายหนุ่มที่แสนเกียจคร้านคนเดิม ผู้ชายตรงหน้าในเวลานี้ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรง
ลู่หยางสูงมาก สูงประมาณ 188 เซนติเมตร ในบรรดาผู้ชายในหมู่บ้านเขาน่าจะเป็นคนที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ขนาดสามีของเธอยังสูงเพียงแค่ 170 เซนติเมตรเท่านั้น
แต่เนื่องจากบิดาเสียชีวิต เขาจึงมีชีวิตแร้นแค้น จากนั้นก็ชอบเดินหลังค่อมจึงทำให้เสียบุคลิก
แต่ในขณะนี้ ลู่หยางที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขายืนด้วยแผ่นหลังที่ตั้งตรง มีดวงตาที่แน่วแน่ รูปร่างของเขาดูดีกว่าตอนที่พบกันครั้งแรกเมื่อห้าปีที่แล้วเสียอีก
แก้มของลี่จูร้อนผ่าวโดยไม่รู้ตัว เธอเม้มปากลงด้วยความเขินอายและต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
ในเวลานี้ ไป๋ถังก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน เธอเดินเข้ามาคล้องแขนสามีของตน แล้วพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ทำไมคุณมายืมอาหารนานขนาดนี้คะ”
ไป๋ถังเห็นลู่หยางยืนอยู่ที่ประตูเป็นเวลานาน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอจึงเดินเข้ามาใกล้ๆ และได้ยินในสิ่งที่เขาพูดเพื่อปกป้องเธอ หญิงสาวคิดว่าเขาดูเท่มาก คำพูดของชายหนุ่มทำให้หัวใจของสาวน้อยอย่างเธอเต้นระรัว
แต่เมื่อไป๋ถังเห็นสายตาของลี่จู ที่มองชายหนุ่มด้วยความเปล่งประกายผิดปกติ เธอจึงรีบเดินเข้ามาแทรกกลาง
“พวกเขาไม่ต้องการให้ยืม ลืมมันไปเถอะ!”ลู่หยางไม่สะบัดมือของไป๋ถังออก เขาจะไม่ดูหมิ่นภรรยาของเขาต่อหน้าคนนอก
เขาโอบเอวเธอด้วยความรักใคร่และเตือนผู้หญิงสองคนที่ประตูอีกครั้ง “ดูสิ ผมกับภรรยามีความสัมพันธ์ที่ดี อย่าให้ผมต้องได้ยินว่าพวกป้าสะใภ้ใส่ร้ายเธออีก!”
หลังจากพูดจบเขาพี่เป็นฝ่ายมาขอยืมอาหารจากไปอย่างกล้าหาญ
แต่หลี่กุ้ยหลันที่เป็นฝ่ายถูกขอยืมกลับโกรธมากแทนเสียอย่างนั้น
เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้ เมื่อเธอได้สบตาของลู่หยางที่ดูน่ากลัวเช่นนั้น เธอก็ไม่กล้าที่จะด่าอะไรเขาออกไป
“เสี่ยวจู ต่อไปอย่าได้คุยกับพวกเขาอีก ผัวร้ายเมียเลว! อัปมงคลจริงๆ!”
หลี่กุ้ยหลันกระแทกประตูปิดโมโหปากก็สบถด่าไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ลี่จูไม่ได้ยินคำพูดของเธอเลย แต่จิตใจของเธอเต็มไปด้วยภาพของ ไป๋ถังที่คลอเคลียอยู่ในอ้อมแขนของชายร่างสูง โดยที่เขาโอบเอวของเธอไว้
ยิ่งลี่จูนึกถึงภาพนั้น ก็ยิ่งรู้สึกอิจฉา!
ลู่ซีซีโทรกลับไปหาที่บ้านและบอกว่าตอนนี้เธอได้อยู่กับพี่ชายคนรองเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อคือคนที่มารับสาย“ลูกดูแลตัวเองดีๆ นะ รีบพักผ่อนเถอะ”ลู่หยางวางสายแล้วถอนหายใจออกมาไป๋ถังที่นั่งอยู่ด้านข้างยิ้มอย่างเข้าใจ “เริ่มคิดถึงลูกสาวแล้วใช่ไหมคะ” เธอจับมือของสามีเอาไว้และพูดปลอบใจ “ลูกๆ ของเราทุกคนโตขึ้นทุกวัน พวกเขาย่อมต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง”ลู่หยางเข้าใจในข้อนี้ดี แต่เขาก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ “ซีซีเป็นเด็กผู้หญิง เธอไม่เคยออกจากบ้านไปอยู่ในที่ไกลๆ นานแบบนี้”“ตอนนี้คุณต้องทำใจไว้ให้ชินเถอะค่ะ ในอนาคตลูกสาวของเราก็จะต้องแต่งงาน” ไป๋ถังพูดแกล้งอีกฝ่าย“ลูกเขยในอนาคตของผมต้องสามารถดูแลซีซีของเราได้ ถ้าหาลูกเขยไม่ได้จริงๆ พวกเราก็แค่เลี้ยงดูเธอไปตลอดเท่านั้น”“ช่างเถอะค่ะ ฉันไม่คุยกับคุณเรื่องนี้แล้ว ยิ่งแก่คุณก็ยิ่งเรื่องมากนะคะ” ไป๋ถังบ่นแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องลู่หยางได้ยินเธอบ่นว่าตนเองแก่ เขาก็รีบตามเข้าไปในห้องเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้แก่อย่างที่เธอคิด“ผมแก่อย่างที่คุณว่าอยู่หรือเปล่าครับ” ลู่หยางถามขณะทาบทับอยู่บนหลังของเธอไป๋ถังส่งเสียงครางในลำคอ มือทั้งสองกุมผ้าห่มใต้ร่
ในปี 1999 ไป๋ถังได้นำเข้าคอมพิวเตอร์มาจากต่างประเทศ เธอเปิดร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่หลายสาขาแม้จำนวนเกมส์ในเครื่องจะมีไม่มากแต่พวกเด็กวัยรุ่นก็นิยมเข้ามาเล่นเป็นจำนวนมากเพราะว่ารู้สึกว่ามันแปลกใหม่ กิจการนี้เฟื่องฟูจนทำให้ครอบครัวของเธอยิ่งร่ำรวยมากขึ้นกว่าเดิม เรียกได้ว่าเหลือกินเหลือใช้จนถึงรุ่นเหลนฝาแฝดทั้งสองในปีนี้มีอายุได้ยี่สิบสองปี ลู่เจี้ยนลูกชายคนโตชอบเรียนหนังสือ ตอนนี้เขากำลังจะเรียนต่อปริญญาโทและในอนาคตอาจจะเรียนต่อปริญญาเอกต่อไป ซึ่งลู่หยางและไป๋ถังสนับสนุนลูกทุกคนให้ทำตามสิ่งที่ชอบอย่างเต็มที่โดยไม่บังคับใดๆส่วนลู่จวิ้นลูกชายคนรองชอบทำธุรกิจ เขาชื่นชอบธุรกิจสื่อบันเทิง จึงตั้งบริษัทเพื่อซื้อภาพยนตร์ในวงการฮอลลีวูดมาฉายภายในประเทศ ซึ่งธุรกิจนี้สร้างเม็ดเงินให้กับเขาเป็นจำนวนมาก ชายหนุ่มจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ต่างประเทศ เพื่อสรรหาภาพยนตร์ที่น่าสนใจเข้ามาฉายและปีนี้ลู่ซีซีลูกสาวคนเล็กอายุสิบเจ็ด เพราะเข้าเรียนเร็ว เธอจึงจบระดับมัธยมปลายตั้งแต่ต้นปี ตอนนี้หญิงสาวตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ โดยมีลู่จวิ้นที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศนั้นคอยดูแลวันนี้ลู่หยาง ไป๋ถังและลู่
แม้ว่าลู่หยางและลูกชายทั้งสองจะพยายามขัดขวาง ไม่ให้ลู่ซีซีได้เข้าใกล้กับผู้ชายมากเกินไป แต่ไป๋ถังค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องนี้และต้องการให้ลูกสาวมีเพื่อนเพิ่มหลายๆ คนไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ในปี 1985 ลู่ซีซีมีอายุได้สามขวบ ขณะที่เธอกำลังขี่จักรยานอยู่ในสนามเด็กเล่น ก็มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ วิ่งเข้ามาหาและชวนเธอพูดคุยด้วย “น้องสาว หยุดจักรยานก่อน ฉันขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” ซีซีหยุดและหันหน้าไปหาเขา ดวงตากลมโตฉายแววสงสัย “พี่ชาย มีอะไรจะคุยกับซีซีเหรอคะ” เด็กน้อยมีท่าทีเขินอาย “ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ” “ได้สิค่ะ” ซีซีตอบด้วยรอยยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มของเธอ เด็กชายเมื่อเห็นลักยิ้มของซีซี เขาก็คิดว่าเธอน่ารักมาก เขารีบแนะนำตัวเองให้เด็กหญิงรู้จักทันที “ฉันชื่อสือหยง ปีนี้อายุ 6 ขวบ กำลังจะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา แล้วเธอล่ะ?” ลู่ซีซีตอบกลับด้วยเสียงเล็กๆ “หนูชื่อลู่ซีซี ปีนี้อายุสามขวบ ปีหน้าจะเข้าเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง” เธอยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อจับมือกับอีกฝ่าย เพราะผู้เป็นแม่บอกว่าเวลามีเพื่อนใหม่ต้องจับมือกันเพื่อแสดงความเป็นมิตรที่ดี แต่มือของเด็กน้อยทั้งสองยังไม่ทันจะได้สัมผัสกัน
ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ภายใต้การดูแลของลู่หยาง ทำให้ไป๋ถังมีความสุขมาก และตอนนี้เธออยู่ในช่วงใกล้คลอด วันนี้เธอจึงไปเดินเที่ยวที่สวนสาธารณะเพื่อที่จะได้คลอดง่ายๆลู่หยางซื้อกล้องถ่ายรูปมาถ่ายภรรยาและลูกๆ เก็บไว้เป็นความทรงจำ ลู่เจี้ยนและลู่จวิ้นวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาวิ่งกันไปรอบๆ และขอให้ผู้เป็นพ่อถ่ายรูปของพวกเขา“พ่อ ถ่ายรูปผมหน่อย”“พ่อ ผมอยู่นี่”“พ่อ ทำไมพ่อไม่ถ่ายรูปผมเลย”“พ่อ!”เด็กน้อยวิ่งกันวุ่นวาย ลู่หยางที่กำลังจดจ่ออยู่กับการถ่ายภาพของไป๋ถัง บางครั้งก็หันไปถ่ายลูกชายทั้งสองที่วิ่งไปวิ่งมา เด็กน้อยทั้งคู่ดูสดใสร่าเริงมากขึ้นตามวัยของพวกเขาไป๋ถังหัวเราะกับท่าทางถ่ายรูปของเด็กน้อยทั้งสองที่กำลังทำท่าตลกๆ แต่ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกปวดท้อง หญิงสาวรีบตะโกนเรียกสามี “เสี่ยวหยาง”เมื่อลู่หยางได้ยิน เขาก็วิ่งไปหาเธอแทบจะทันที “เสี่ยวไป๋!”“ฉันปวดท้อง ตอนนี้รู้สึกเหมือนกับว่าจะคลอดเลยค่ะ” ไป๋ถังพูดพร้อมกุมท้องของเธอ ที่ส่วนล่างก็รู้สึกเหมือนกับมีน้ำไหลออกมาลู่หยางอุ้มเธอขึ้นมาในทันที แล้วหันไปบอกลูกๆ ทั้งสอง “อาเจี้ยนจูงมือน้องตามพ่อมา”ลู่เจี้ยนและลู่จวิ้นตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จ
เมื่อลู่หยางและไป๋ถังกลับมาถึงบ้าน เด็กน้อยทั้งสองก็รีบวิ่งมาหาพ่อกับแม่ของตนด้วยความดีใจ“พ่อ!” ต้าเป่ากอดต้นขาของลู่หยาง ส่วนเสี่ยวเป่ากอดต้นขาของไป๋ถัง เด็กน้อยทั้งคู่เงยหน้ามองด้วยดวงตาใสแจ๋วทั้งสองสามีภรรยาจึงอุ้มเด็กน้อยเข้าเอว และเช็ดหน้าที่เปื้อนเหงื่อให้กับพวกเขาก่อนจะหัวเราะเสียงดัง“แม่ครับ ซื้อขนมมาให้พวกผมด้วยหรือครับ” เสี่ยวเป่าถามด้วยน้ำเสียงเล็กๆไป๋ถังหัวเราะออกมาและพูดว่า “เจ้าหนูน้อยชอบกิน!”จากนั้นเธอก็ให้ลู่หยางส่งกระเป๋าที่อยู่ด้านข้างมาให้ แล้วหยิบขนมขึ้นชื่อจากเมืองหลวงมาแกะแบ่งให้กับเด็กน้อยทั้งสองได้ชิม“ขอบคุณครับพ่อ!” เด็กแฝดทั้งคู่พูดอย่างมีความสุขและเริ่มกินขนม ลู่หยางและไป๋ถังยิ้มอย่างมีความสุขการมีลูกๆ ตัวน้อยคอยอยู่ที่บ้านมันช่างทำให้พวกเขาอบอุ่นในหัวใจราวกับมีเสื้อบุนวมตัวเล็กๆ ห่อหุ้มอยู่ฝ่ายลี่จูเห็นไป๋ถังกลับมาจากเมืองหลวงพร้อมกับลู่หยาง ดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะมีอนาคตที่ดีขึ้นอีกแล้ว เธอนึกเศร้าใจว่าทำไมตนเองถึงไม่โชคดีแบบนี้บ้าง ตอนนี้คนในครอบครัวของสามีต่างเกลียดเธอ เป็นเพราะว่าเธอแอบนำเงินเก็บในบ้านไปลงทุนและสินค้าก็ขายไม่ออกจนสูญเสียเงินไปเปล่
สองสามีภรรยาวัยชรายิ้มออกมาอย่างมีความสุข เมื่อได้ยินว่าลู่หยางตกลงที่จะซื้อบ้าน“นี่เป็นเงินสองพันหยวนค่ะ คุณลุงลองนับดูอีกครั้งสิคะว่าครบหรือไม่”ไป๋ถังนับเงินสองพันหยวน จากกระเป๋าให้ลุงมู่ เมื่อชายชรารับไปก็นับเงินอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ห่อด้วยผ้าอย่างอย่างระมัดระวัง ส่งให้ภรรยาของตนเป็นคนเก็บไว้เมื่อตกลงซื้อขายบ้านกันได้ลุงมู่ก็เข็นจักรยานออกไปกับกลุ่มของลู่หยาง เพื่อทำการโอนบ้าน ในอนาคตการซื้อทรัพย์สินค่อนข้างยุ่งยาก แต่ว่าในยุคนี้พวกเขาเพียงแค่ไปลงทะเบียนโดยตรงกับสำนักงานการจัดการที่อยู่อาศัยหลังจากจ่ายค่าธรรมเนียม เมื่อเจ้าหน้าที่ประทับตราลงบนหนังสือความเป็นเจ้าของบ้าน มันก็มีผลตามกฎหมายทันที บ้านหลังนี้จึงกลายเป็นของไป๋ถัง พวกเขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง การดำเนินการทุกอย่างก็เสร็จสิ้น และลุงมู่จะย้ายออกจากบ้านไปเซี่ยงไฮ้ในสิ้นเดือนนี้ในเวลานี้พวกเขาได้มีบ้านเป็นของตัวเองอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ต่อไปคือการซื้อโกดังเพื่อก่อตั้งโรงงาน “ผมมีโกดังเก่าอยู่แห่งหนึ่ง คุณลู่อยากลองไปดูไหมครับ” “ไปเลยครับ” เมื่อได้ยินดังนั้นผู้จัดการฟ่านจึงพาเขาและไป๋ถังไปดูโกดังที่อยู่ไม่ไกล เมื่อเห็