ไป๋ถังและลู่หยางเดินควงแขนกันลงมาตามทางลาด จนเมื่อพ้นจากบริเวณสายตาของพวกป้าสะใภ้ ท่าทีที่สนิทสนมคลอเคลียกันเมื่อสักครู่ของพวกเขาก็หยุดชะงัก ทั้งสองต่างรีบแยกตัวออกจากกันอย่างรวดเร็ว
ลู่หยางกระแอมในลำคอ ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “ผมขอโทษที่สัมผัสตัวคุณ เมื่อสักครู่มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ “
ไป๋ถังโบกมืออย่างโดยไม่ถือสาอะไร “ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ”
เธอมองกลับไปที่บ้านลุงของลู่หยางแล้วจีบปากจีบคอพูดด้วยท่าทางเสียใจ “แน่นอนว่าความสัมพันธ์พวกเราไม่ดี เรายืมอาหารใครไม่ได้เลย ตอนนี้คุณเป็นหัวหน้าครอบครัวคนใหม่นะ คุณมีแผนที่จะเลี้ยงดูฉันและลูกๆ ยังไงคะ”
ลู่หยางมองเธอด้วยสายตาเหลือเชื่อ “คุณดูจะยอมรับเรื่องนี้ได้รวดเร็วจังเลยนะครับ”
ไป๋ถังยิ้มอย่างไร้เดียงสาตอบกลับมา “สถานการณ์ตอนนี้มันบังคับให้ฉันต้องปรับตัวนี่คะ แล้วตอนนี้ฉันก็หิวมากด้วย”ไป๋ถังกุมท้องแล้วนั่งยอง ๆ ลงกับพื้นถนน หญิงสาวเงยหน้ามองไปที่ลู่หยางด้วยท่าทางน่าสงสาร “สามีคะ โปรดหาอาหารมาเติมกระเพาะให้ฉันด้วย”
“คุณเรียกผมว่าสามีได้คล่องปากเชียวนะ”ลู่หยางรู้สึกว่ายิ่งเขารู้จักกับผู้หญิงคนนี้มากเท่าไหร่ เขาก็คิดว่าเธอเป็นคนที่มีอารมณ์ซับซ้อน บางครั้งก็โหดเหี้ยมจนแทบจะผ่าเขาเป็นชิ้นๆ บางครั้งก็ดูน่ารักน่าเอ็นดู ชายหนุ่มคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่แปลกดี
ลู่หยางไม่เคยมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นมาก่อน เนื่องจากในกองทัพฝึกหนักมาก เขาจึงไม่มีเวลาที่จะสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่น ชายหนุ่มจึงเป็นหนุ่มโสดมาจนถึงทุกวันนี้ ครั้งนี้เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกทีก็ไม่คาดคิดเลยว่าตนเองจะข้ามขั้นจากการมีแฟน กลายเป็นมีภรรยาและลูกฝาแฝดอีกสองคนแทน
“ผมจะไปหาอาหารมาให้คุณ ตอนนี้บ่ายแก่มากแล้ว คุณกลับไปที่บ้านอยู่เป็นเพื่อนเด็กๆ เถอะ”
“ตกลง คุณไปเร็วเข้า”ไป๋ถังพยักหน้าแล้วเร่งให้เขาไป
ลู่หยางหันหลังและเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว ชายหนุ่มก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้เขาจึงหันกลับมาถามเธอ “คือว่า...เธอน่าจะได้รับความทรงจำเกี่ยวกับร่างเดิมมาอย่างสมบูรณ์แล้วใช่ไหม”
ไป๋ถังพยักหน้า “ใช่ คุณต้องการถามอะไรคะ”
ลู่หยางมองไปรอบ ๆ และไม่เห็นชาวบ้านผ่านไปมา เขาจึงกระซิบว่า “แล้วร่างกายของคุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับเยาวชนที่มีการศึกษาคนนั้นหรือเปล่า”
แต่เมื่อเขาพูดออกไปก็กลัวว่าไป๋ถังจะเข้าใจผิด ชายหนุ่มจึงรีบอธิบาย “อย่าเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องที่
ร่างกายคุณจะได้กับเขาหรือเปล่า แต่ที่ผมอยากรู้ก็เพราะว่าตอนนี้พวกเราถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ต่อไปถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือผู้ชายคนนั้นมาแสดงตัว ผมจะได้หาวิธีรับมือไว้”
ไป๋ถังเองก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ต้องกังวล ตอนนี้ร่างกายของฉันยังบริสุทธิ์ นอกจากสามีก็ไม่เคยมีใครแตะต้องมาก่อน ดูเหมือนว่ากับสวีจ้าวคนนั้น ช่วงนี้พวกเขากำลังหยั่งเชิงกันและกันอยู่ ฝ่ายหนึ่งต้องการให้อีกฝ่ายสัญญาว่าจะแต่งงานด้วย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งหวังแค่อยากหลับนอนชั่วคราว พวกเขายังไม่ได้จับมือกันด้วยซ้ำ”
“งั้นเหรอ...”ลู่หยางได้คำตอบแล้วก็รู้สึกว่าสามารถตัดปัญหาเรื่องของสวีจ้าวออกไปได้ “คุณรีบกลับบ้านก่อนเถอะ”
เขาหยุดพูดเรื่องไร้สาระและเดินลงเนินแยกไปอีกทาง ถนนฝั่งนั้นคือทางเดินขึ้นไปบนภูเขา ชายหนุ่มหวังจะไปเสี่ยงโชคที่นั่น
ลู่หยางคิดว่าคนในหมู่บ้านคงจะไม่มีใครยอมให้เขายืมอาหารได้อย่างง่ายๆ ในยุคนี้อาหารเป็นของมีค่ามันขาดแคลนมาก แม้แต่บนเขาก็โล่งเตียน พืชผักที่กินได้บนภูเขาล้วนถูกชาวบ้านขุดไปจนหมดแล้ว ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาจะโชคดีเจอสัตว์ป่าสักตัวหรือไม่
ชายหนุ่มเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ก็พบว่าไม่มีอะไรที่พอจะกินได้เลย แต่เมื่อนึกถึงเด็กน้อยฝาแฝดและภรรยาที่ยังคงรออาหารอยู่ที่บ้าน เขาก็ฮึดสู้เดินขึ้นเขาต่อไป!
ลู่หยางเดินไปนั่งพักตรงริมลำธารเล็กๆ แห่งหนึ่ง น้ำในลำธารใสมาก จนมองเห็นก้อนหินที่อยู่ใต้น้ำ ชายหนุ่มมองเห็นปลาตัวอ้วนว่ายอยู่ในน้ำหลายตัว
“มีปลาด้วยเว้ย!”ลู่หยางตะโกนออกมาด้วยความดีใจ ชายหนุ่มเลียริมฝีปาก เพราะตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา เขายังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะมีโชคอยู่บ้างที่ได้เจอกับปลาตัวอ้วนในน้ำ
โดยปกติชาวบ้านมักจะจับปลาไม่ได้เพราะมันว่ายน้ำหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่เรื่องนี้มันไม่เกินความสามารถของลู่หยาง เขาหักกิ่งไม้ตรงริมลำธาร มาฝนกับหินจนปลายไม้แหลมคม จากนั้นก็เริ่มลงมือแทงปลาตัวอ้วนที่ว่ายน้ำอย่างอ้อยอิ่ง
ลู่หยางแทงปลาด้วยความรวดเร็ว ภายในระยะเวลาไม่นาน เขาจับปลาได้มากกว่าห้าตัว ซึ่งชายหนุ่มคิดว่ามันเพียงพอสำหรับจะเป็นอาหารในอีกสองวัน เขาไม่กล้าจับไปมากกว่านี้ในคราวเดียว เพราะกลัวว่าชาวบ้านจะสังเกตเห็น
“เท่านี้คงพอแล้วละ”ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง จากนั้นจัดการเอาหญ้ามาร้อยเป็นเชือกผูกตัวปลาเอาไว้ แล้วรีบเดินลงจากภูเขาเพราะกลัวว่าจะมืดค่ำเสียก่อน
ลู่ซีซีโทรกลับไปหาที่บ้านและบอกว่าตอนนี้เธอได้อยู่กับพี่ชายคนรองเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อคือคนที่มารับสาย“ลูกดูแลตัวเองดีๆ นะ รีบพักผ่อนเถอะ”ลู่หยางวางสายแล้วถอนหายใจออกมาไป๋ถังที่นั่งอยู่ด้านข้างยิ้มอย่างเข้าใจ “เริ่มคิดถึงลูกสาวแล้วใช่ไหมคะ” เธอจับมือของสามีเอาไว้และพูดปลอบใจ “ลูกๆ ของเราทุกคนโตขึ้นทุกวัน พวกเขาย่อมต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง”ลู่หยางเข้าใจในข้อนี้ดี แต่เขาก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ “ซีซีเป็นเด็กผู้หญิง เธอไม่เคยออกจากบ้านไปอยู่ในที่ไกลๆ นานแบบนี้”“ตอนนี้คุณต้องทำใจไว้ให้ชินเถอะค่ะ ในอนาคตลูกสาวของเราก็จะต้องแต่งงาน” ไป๋ถังพูดแกล้งอีกฝ่าย“ลูกเขยในอนาคตของผมต้องสามารถดูแลซีซีของเราได้ ถ้าหาลูกเขยไม่ได้จริงๆ พวกเราก็แค่เลี้ยงดูเธอไปตลอดเท่านั้น”“ช่างเถอะค่ะ ฉันไม่คุยกับคุณเรื่องนี้แล้ว ยิ่งแก่คุณก็ยิ่งเรื่องมากนะคะ” ไป๋ถังบ่นแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องลู่หยางได้ยินเธอบ่นว่าตนเองแก่ เขาก็รีบตามเข้าไปในห้องเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้แก่อย่างที่เธอคิด“ผมแก่อย่างที่คุณว่าอยู่หรือเปล่าครับ” ลู่หยางถามขณะทาบทับอยู่บนหลังของเธอไป๋ถังส่งเสียงครางในลำคอ มือทั้งสองกุมผ้าห่มใต้ร่
ในปี 1999 ไป๋ถังได้นำเข้าคอมพิวเตอร์มาจากต่างประเทศ เธอเปิดร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่หลายสาขาแม้จำนวนเกมส์ในเครื่องจะมีไม่มากแต่พวกเด็กวัยรุ่นก็นิยมเข้ามาเล่นเป็นจำนวนมากเพราะว่ารู้สึกว่ามันแปลกใหม่ กิจการนี้เฟื่องฟูจนทำให้ครอบครัวของเธอยิ่งร่ำรวยมากขึ้นกว่าเดิม เรียกได้ว่าเหลือกินเหลือใช้จนถึงรุ่นเหลนฝาแฝดทั้งสองในปีนี้มีอายุได้ยี่สิบสองปี ลู่เจี้ยนลูกชายคนโตชอบเรียนหนังสือ ตอนนี้เขากำลังจะเรียนต่อปริญญาโทและในอนาคตอาจจะเรียนต่อปริญญาเอกต่อไป ซึ่งลู่หยางและไป๋ถังสนับสนุนลูกทุกคนให้ทำตามสิ่งที่ชอบอย่างเต็มที่โดยไม่บังคับใดๆส่วนลู่จวิ้นลูกชายคนรองชอบทำธุรกิจ เขาชื่นชอบธุรกิจสื่อบันเทิง จึงตั้งบริษัทเพื่อซื้อภาพยนตร์ในวงการฮอลลีวูดมาฉายภายในประเทศ ซึ่งธุรกิจนี้สร้างเม็ดเงินให้กับเขาเป็นจำนวนมาก ชายหนุ่มจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ต่างประเทศ เพื่อสรรหาภาพยนตร์ที่น่าสนใจเข้ามาฉายและปีนี้ลู่ซีซีลูกสาวคนเล็กอายุสิบเจ็ด เพราะเข้าเรียนเร็ว เธอจึงจบระดับมัธยมปลายตั้งแต่ต้นปี ตอนนี้หญิงสาวตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ โดยมีลู่จวิ้นที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศนั้นคอยดูแลวันนี้ลู่หยาง ไป๋ถังและลู่
แม้ว่าลู่หยางและลูกชายทั้งสองจะพยายามขัดขวาง ไม่ให้ลู่ซีซีได้เข้าใกล้กับผู้ชายมากเกินไป แต่ไป๋ถังค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องนี้และต้องการให้ลูกสาวมีเพื่อนเพิ่มหลายๆ คนไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ในปี 1985 ลู่ซีซีมีอายุได้สามขวบ ขณะที่เธอกำลังขี่จักรยานอยู่ในสนามเด็กเล่น ก็มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ วิ่งเข้ามาหาและชวนเธอพูดคุยด้วย “น้องสาว หยุดจักรยานก่อน ฉันขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” ซีซีหยุดและหันหน้าไปหาเขา ดวงตากลมโตฉายแววสงสัย “พี่ชาย มีอะไรจะคุยกับซีซีเหรอคะ” เด็กน้อยมีท่าทีเขินอาย “ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ” “ได้สิค่ะ” ซีซีตอบด้วยรอยยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มของเธอ เด็กชายเมื่อเห็นลักยิ้มของซีซี เขาก็คิดว่าเธอน่ารักมาก เขารีบแนะนำตัวเองให้เด็กหญิงรู้จักทันที “ฉันชื่อสือหยง ปีนี้อายุ 6 ขวบ กำลังจะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา แล้วเธอล่ะ?” ลู่ซีซีตอบกลับด้วยเสียงเล็กๆ “หนูชื่อลู่ซีซี ปีนี้อายุสามขวบ ปีหน้าจะเข้าเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง” เธอยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อจับมือกับอีกฝ่าย เพราะผู้เป็นแม่บอกว่าเวลามีเพื่อนใหม่ต้องจับมือกันเพื่อแสดงความเป็นมิตรที่ดี แต่มือของเด็กน้อยทั้งสองยังไม่ทันจะได้สัมผัสกัน
ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ภายใต้การดูแลของลู่หยาง ทำให้ไป๋ถังมีความสุขมาก และตอนนี้เธออยู่ในช่วงใกล้คลอด วันนี้เธอจึงไปเดินเที่ยวที่สวนสาธารณะเพื่อที่จะได้คลอดง่ายๆลู่หยางซื้อกล้องถ่ายรูปมาถ่ายภรรยาและลูกๆ เก็บไว้เป็นความทรงจำ ลู่เจี้ยนและลู่จวิ้นวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาวิ่งกันไปรอบๆ และขอให้ผู้เป็นพ่อถ่ายรูปของพวกเขา“พ่อ ถ่ายรูปผมหน่อย”“พ่อ ผมอยู่นี่”“พ่อ ทำไมพ่อไม่ถ่ายรูปผมเลย”“พ่อ!”เด็กน้อยวิ่งกันวุ่นวาย ลู่หยางที่กำลังจดจ่ออยู่กับการถ่ายภาพของไป๋ถัง บางครั้งก็หันไปถ่ายลูกชายทั้งสองที่วิ่งไปวิ่งมา เด็กน้อยทั้งคู่ดูสดใสร่าเริงมากขึ้นตามวัยของพวกเขาไป๋ถังหัวเราะกับท่าทางถ่ายรูปของเด็กน้อยทั้งสองที่กำลังทำท่าตลกๆ แต่ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกปวดท้อง หญิงสาวรีบตะโกนเรียกสามี “เสี่ยวหยาง”เมื่อลู่หยางได้ยิน เขาก็วิ่งไปหาเธอแทบจะทันที “เสี่ยวไป๋!”“ฉันปวดท้อง ตอนนี้รู้สึกเหมือนกับว่าจะคลอดเลยค่ะ” ไป๋ถังพูดพร้อมกุมท้องของเธอ ที่ส่วนล่างก็รู้สึกเหมือนกับมีน้ำไหลออกมาลู่หยางอุ้มเธอขึ้นมาในทันที แล้วหันไปบอกลูกๆ ทั้งสอง “อาเจี้ยนจูงมือน้องตามพ่อมา”ลู่เจี้ยนและลู่จวิ้นตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จ
เมื่อลู่หยางและไป๋ถังกลับมาถึงบ้าน เด็กน้อยทั้งสองก็รีบวิ่งมาหาพ่อกับแม่ของตนด้วยความดีใจ“พ่อ!” ต้าเป่ากอดต้นขาของลู่หยาง ส่วนเสี่ยวเป่ากอดต้นขาของไป๋ถัง เด็กน้อยทั้งคู่เงยหน้ามองด้วยดวงตาใสแจ๋วทั้งสองสามีภรรยาจึงอุ้มเด็กน้อยเข้าเอว และเช็ดหน้าที่เปื้อนเหงื่อให้กับพวกเขาก่อนจะหัวเราะเสียงดัง“แม่ครับ ซื้อขนมมาให้พวกผมด้วยหรือครับ” เสี่ยวเป่าถามด้วยน้ำเสียงเล็กๆไป๋ถังหัวเราะออกมาและพูดว่า “เจ้าหนูน้อยชอบกิน!”จากนั้นเธอก็ให้ลู่หยางส่งกระเป๋าที่อยู่ด้านข้างมาให้ แล้วหยิบขนมขึ้นชื่อจากเมืองหลวงมาแกะแบ่งให้กับเด็กน้อยทั้งสองได้ชิม“ขอบคุณครับพ่อ!” เด็กแฝดทั้งคู่พูดอย่างมีความสุขและเริ่มกินขนม ลู่หยางและไป๋ถังยิ้มอย่างมีความสุขการมีลูกๆ ตัวน้อยคอยอยู่ที่บ้านมันช่างทำให้พวกเขาอบอุ่นในหัวใจราวกับมีเสื้อบุนวมตัวเล็กๆ ห่อหุ้มอยู่ฝ่ายลี่จูเห็นไป๋ถังกลับมาจากเมืองหลวงพร้อมกับลู่หยาง ดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะมีอนาคตที่ดีขึ้นอีกแล้ว เธอนึกเศร้าใจว่าทำไมตนเองถึงไม่โชคดีแบบนี้บ้าง ตอนนี้คนในครอบครัวของสามีต่างเกลียดเธอ เป็นเพราะว่าเธอแอบนำเงินเก็บในบ้านไปลงทุนและสินค้าก็ขายไม่ออกจนสูญเสียเงินไปเปล่
สองสามีภรรยาวัยชรายิ้มออกมาอย่างมีความสุข เมื่อได้ยินว่าลู่หยางตกลงที่จะซื้อบ้าน“นี่เป็นเงินสองพันหยวนค่ะ คุณลุงลองนับดูอีกครั้งสิคะว่าครบหรือไม่”ไป๋ถังนับเงินสองพันหยวน จากกระเป๋าให้ลุงมู่ เมื่อชายชรารับไปก็นับเงินอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ห่อด้วยผ้าอย่างอย่างระมัดระวัง ส่งให้ภรรยาของตนเป็นคนเก็บไว้เมื่อตกลงซื้อขายบ้านกันได้ลุงมู่ก็เข็นจักรยานออกไปกับกลุ่มของลู่หยาง เพื่อทำการโอนบ้าน ในอนาคตการซื้อทรัพย์สินค่อนข้างยุ่งยาก แต่ว่าในยุคนี้พวกเขาเพียงแค่ไปลงทะเบียนโดยตรงกับสำนักงานการจัดการที่อยู่อาศัยหลังจากจ่ายค่าธรรมเนียม เมื่อเจ้าหน้าที่ประทับตราลงบนหนังสือความเป็นเจ้าของบ้าน มันก็มีผลตามกฎหมายทันที บ้านหลังนี้จึงกลายเป็นของไป๋ถัง พวกเขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง การดำเนินการทุกอย่างก็เสร็จสิ้น และลุงมู่จะย้ายออกจากบ้านไปเซี่ยงไฮ้ในสิ้นเดือนนี้ในเวลานี้พวกเขาได้มีบ้านเป็นของตัวเองอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ต่อไปคือการซื้อโกดังเพื่อก่อตั้งโรงงาน “ผมมีโกดังเก่าอยู่แห่งหนึ่ง คุณลู่อยากลองไปดูไหมครับ” “ไปเลยครับ” เมื่อได้ยินดังนั้นผู้จัดการฟ่านจึงพาเขาและไป๋ถังไปดูโกดังที่อยู่ไม่ไกล เมื่อเห็