หลังจากที่ไท่อีหมอหลวงเข้ามาทำแผลให้หวังหยู่เสร็จเรียบร้อยแล้ว บรรยากาศในห้องก็ตกอยู่ในเงียบ หลี่หยางยืนอยู่ข้างเตียงของหวังหยู่ มองดูใบหน้างดงามที่ยังไร้สติที่เต็มไปด้วยความซีดจาง และผ้าพันแผลที่พันรอบศีรษะทุยอย่างแน่นหนาเพื่อห้ามเลือด
“พระชายาได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ กระหม่อมได้ทำการรักษาและห้ามเลือดเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บลึกถึงกะโหลก ประเดี๋ยวกระหม่อมจะคอยเฝ้าดูอาการของพระชายาอย่างใกล้ชิดเองพะยะค่ะ หากพบว่าหลังจากตื่นขึ้นมามีอาการไม่ปกติ เช่น อาเจียน หน้ามืด หรือสลบไปอีกครั้งโดยเฉพาะคืนนี้ กระหม่อมจะรีบแจ้งในทันที” หมอหลวงกล่าวด้วยความกังวล
หลี่หยางพยักหน้ารับเบา ๆ ใบหน้าอันเย็นชาไร้ความรู้สึกของเขา ตอนนี้กลับแสดงถึงความกังวลที่แผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ
“ข้าจะเฝ้าดูอาการเอง” หลี่หยางกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ท่าทีที่เคยแข็งกร้าวกลับกลายเป็นความอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด
หมอหลวงมองดูองค์รัชทายาทอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะค้อมศีรษะแล้วกล่าวลา “ถ้าเช่นนั้นแล้ว หากมีสิ่งใดพระองค์ได้โปรดรีบแจ้งกระหม่อม กระหม่อมจะอยู่ใกล้ ๆ สำนักไท่อีหย่วนตลอดคืนนี้” จากนั้นก็เดินออกจากห้อง ปล่อยให้หลี่หยางอยู่ตามลำพังกับหวังหยู่
เมื่อหมอหลวงจากไป ความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้ง หลี่หยางนั่งลงข้างเตียงของหวังหยู่ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าอันงดงามของคนเจ็บอย่างละเอียด พลางถอนหายใจลึก
“ข้าไม่น่าทำแบบนี้...” หลี่หยางพึมพำกับตัวเอง ความรู้สึกผิดที่ท่วมท้นทำให้เขาไม่สามารถละสายตาจากหวังหยู่ได้
หลี่หยางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แม้แต่ในการรบที่ต้องต่อสู้กับศัตรู การตัดสินใจที่รวดเร็วและเฉียบขาดคือจุดแข็งของเขา แต่ครั้งนี้ การกระทำที่เกิดจากความโกรธและไม่ได้ไตร่ตรองกลับทำให้เขารู้สึกผิดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
หวังหยู่ยังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าของเขาดูอ่อนแอราวกับจะแตกสลายได้ง่าย ร่างกายที่บอบบางเปราะง่ายและท่าทางสงบนิ่งทำให้หลี่หยางต้องสะท้อนกลับมาคิดถึงคำพูดที่หวังหยู่เคยกล่าวไว้
“ข้าอาจดูเปราะบางในสายตาของท่าน แต่ข้าไม่ได้อ่อนแออย่างที่ท่านคิด...”
คำพูดนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวใจของหลี่หยาง เขาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าแท้จริงแล้วเขาเข้าใจองค์ชายผู้นี้มากน้อยเพียงใด แม้จะถูกส่งมาเป็นบรรณาการ แต่หวังหยู่ก็ดูมีความเข้มแข็งในแบบของตัวเอง และบางทีเขาอาจต้องการเพียงโอกาสในการพิสูจน์ตัวเอง
หลี่หยางลูบหน้าผากของหวังหยู่อย่างแผ่วเบา ความอ่อนโยนที่ไม่เคยแสดงออกให้ใครเห็นมาก่อนเริ่มปรากฏออกมา “เจ้าต้องฟื้นนะ ข้าไม่ต้องการให้สิ่งที่ข้าทำพลาด... ทำร้ายเจ้าไปตลอดชีวิต”
คืนนั้น หลี่หยางนั่งอยู่ข้างเตียงไม่ยอมลุกไปไหน เขาเฝ้าดูหวังหยู่ตลอดทั้งคืน สายตาของเขาไม่เคยละจากร่างที่นอนนิ่งอยู่ในความมืด แม้จะเต็มไปด้วยความกังวล แต่ก็แฝงไปด้วยความหวังว่า เมื่อแสงอรุณรุ่งขึ้น หวังหยู่จะฟื้นขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เขายังไม่เคยเห็นมาก่อน
ท่ามกลางความเงียบสงัดของรุ่งอรุณ ภายในห้องหอที่อบอวลไปด้วยกลิ่นธูปอันหอมหวาน และแสงอ่อนของดวงอาทิตย์ที่ลอดผ่านผ้าม่านบาง ๆ ส่องลงมาบนร่างขององค์ชายหวังหยู่ซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง จู่ ๆ การเคลื่อนไหวที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น... ร่างของหวังหยู่ที่ดูเหมือนจะหมดสติกลับเริ่มขยับตัวอย่างช้า ๆ
ท่ามกลางความมืดและความเงียบ ร่างกายขององค์ชายกระตุกเล็กน้อย เปลือกตาที่เคยปิดสนิทค่อย ๆ เปิดขึ้น ดวงตาสวยที่เบิกขึ้นมาไม่ใช่สายตาที่เคยชินกับโลกใบนี้ แต่เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและงุนงง
ในช่วงวินาทีก่อนหน้านี้ วายุ หมอหนุ่มฝีมือดีในโลกปัจจุบัน ยังคงอยู่ในห้วงความมืดมิด สติของเขาพร่ามัว เสียงของรถชนและการกระแทกยังคงดังก้องในหัว เขาจำได้เพียงว่าร่างกายของเขาหมุนเคว้งท่ามกลางความว่างเปล่าเหมือนถูกดึงดูดเข้าสู่กระแสน้ำวนที่ไม่รู้จุดหมาย
เขารู้สึกเหมือนกำลังตกลงสู่ห้วงลึกของบางสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ ความรู้สึกของการล่องลอยนั้นเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที แต่เหมือนใช้เวลายาวนานนับชั่วโมง และทันใดนั้น ทุกอย่างก็ดับวูบ
วายุลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกงุนงง ความรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยที่ศีรษะทำให้เขานิ่วหน้า สัมผัสของเนื้อผ้าที่นุ่มลื่นเหมือนผ้าไหมสัมผัสกับผิวกาย ความรู้สึกเย็นสบายจากสายลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่เขาคุ้นเคย
“ที่นี่ที่ไหนกัน” วายุพึมพำเบา ๆ เขามองไปรอบ ๆ ห้อง ดวงตาของเขาปรับเข้ากับความมืดและภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำให้เขาตกตะลึง ภายในห้องนั้นตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้โบราณ ผ้าม่านสีแดงสดที่มีลวดลายมังกรและหงส์ประดับอยู่ และชุดเครื่องนอนที่ปูด้วยผ้าไหมอย่างประณีต ไม่ใช่สถานที่ที่เขาเคยรู้จักมาก่อนแน่นอน
ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นคือความสับสน วายุพยายามยกมือขึ้นจับศีรษะที่ยังคงรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่ทว่า มือที่เขายกขึ้นมาไม่ใช่มือที่เขาคุ้นเคย มือเรียวยาวที่ดูบอบบางและขาวซีดนั้นช่างแตกต่างจากมือที่เคยจับมีดผ่าตัดของเขาอย่างสิ้นเชิง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” วายุร้องออกมาด้วยความตระหนก ใจของเขาเต้นระรัว
เขาลุกขึ้นจากเตียงและมองร่างกายของตนเองอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เขาเห็นคือร่างของชายหนุ่มที่ดูบอบบางกว่าปกติ สวมชุดคลุมยาวที่ทำจากผ้าไหมเนื้อละเอียดราวกับเสื้อผ้าของคนในยุคโบราณ เขารีบวิ่งไปที่กระจกซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ และสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าในกระจกทำให้เขาตกใจจนแทบหยุดหายใจ
ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกนั้นไม่ใช่ใบหน้าของวายุที่เขาคุ้นเคย แต่กลับเป็นใบหน้าของชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง ที่ดูอ่อนเยาว์และงดงามกว่ามาก ราวกับเป็นบุรุษผู้สูงศักดิ์ในราชวงศ์จีนโบราณ
“นี่มัน ร่างใคร” วายุกลั้นหายใจ ความจริงที่ว่าเขาไม่ใช่ตัวเองและไม่ใช่โลกที่เขารู้จักเริ่มเข้าครอบงำจิตใจ
ขณะที่วายุกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จู่ๆประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับเสียงฝีเท้าหนักแน่น ชายร่างสูงโปร่งในชุดเครื่องแบบเต็มยศโบราณก้าวเข้ามาในห้อง ดวงตาคมดุจพญาเหยี่ยวจ้องตรงไปที่วายุด้วยความเย็นชา
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” น้ำเสียงแฝงด้วยความเรียบนิ่งและห่างเหินเอ่ยขึ้นมา ทันทีที่วายุหันไปมองก็พบกับสายตาเย็นชาของชายหนุ่มที่สง่างามแต่เต็มไปด้วยความเข้มแข็ง เขารู้ในทันทีว่านี่คือคนที่มีอำนาจในที่แห่งนี้
“คุณคือ” วายุเอ่ยถามด้วยความสับสน
ชายคนนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าเป็นอะไร เจ้าไม่ควรมีอาการสับสนเช่นนี้”
วายุสับสนยิ่งขึ้น เขาพยายามจะทำความเข้าใจกับสถานการณ์แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะหลุดจากการควบคุมของเขา เขาถามตัวเองว่าทำไมเขาถึงอยู่ในร่างนี้ และเหตุใดจึงอยู่ในห้องของชายคนนี้
“ท่าน ท่านเป็นใคร” วายุถามซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่สิ่งที่หลุดออกมาจากปากของเขาคือภาษาที่ไม่คุ้นเคย มันเป็นภาษาจีนโบราณ ที่เขาไม่เคยเรียนรู้มาก่อน แต่กลับพูดได้อย่างลื่นไหลเหมือนเป็นเจ้าของภาษา
ชายคนนั้นมองวายุด้วยสายตาแข็งกร้าว “ข้าคือองค์รัชทายาทหลี่หยางแห่งแคว้นเจียง และเจ้าคือพระชายาของข้า องค์ชายหวังหยู่แห่งแคว้นหลง”
หัวใจของวายุหยุดเต้นไปชั่วขณะ คำว่า “พระชายา” ดังก้องในหัวของเขา นี่หมายความว่า... เขาอยู่ในร่างของชายผู้เป็นภรรยาขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นโบราณอย่างนั้นหรือ
ความจริงที่ถาโถมเข้ามาทำให้วายุไม่สามารถตั้งสติได้ทัน เขาหายใจไม่ทั่วท้อง และทุกอย่างรอบตัวดูเหมือนจะกลายเป็นภาพเบลอ
“ข้าคงจะฝันไปแน่ ๆ” วายุพึมพำกับตัวเอง แต่ความจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้เขาตระหนักว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน มันคือชีวิตใหม่ที่เขาต้องเผชิญ
วันหนึ่งในขณะที่หลี่หยางและหวังหยู่อยู่ด้วยกันในสวน ทั้งคู่นั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ ท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นสบาย หลี่หยางคอยดูแลหวังหยู่อย่างใกล้ชิด หวังหยู่กล่าวขึ้นด้วยความอบอุ่นในใจ “ข้ารู้ว่าการที่ท่านปฏิเสธการมีสนมทุกคนที่เข้ามา ข้ารู้สึกขอบคุณที่ท่านยังคงยืนหยัดในความรักเดียวใจเดียวที่มีต่อข้า ท่านทำให้ข้ารู้สึกว่าข้ามีค่าสำหรับท่าน” หลี่หยางยิ้มก่อนที่จะดึงหวังหยู่เข้ามาในอ้อมกอด “ข้าจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ ข้ารักเจ้าเพราะเจ้าคือคนที่ข้าต้องการเพียงคนเดียว ไม่มีใครในแผ่นดินนี้ที่สามารถแทนที่เจ้าได้” คำพูดหวานซึ้งของหลี่หยางทำเอาหวังหยู่ถึงกับเขินอาย หลี่หยางมองหน้าฮองเฮาด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความรัก “เจ้าช่างอายได้อย่างน่ารัก ยามอยู่ในสวนเจ้าสวยกว่าดอกไม้พวกนี้เสียอีก ข้าอยากให้เรามีเวลามากขึ้นเช่นนี้ทุกวัน และที่สำคัญข้าอยากพาเจ้ามาชมสวนตอนกลางคืนจังเลย อ๊าาา แค่คิดดาบของข้าก็รู้สึกแข็งตัวพร้อมรบแล้ว” หวังหยู่ที่กำลังมองดอกไม้หันกลับมาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อยิ่งกว่าเดิม เขาหัวเราะเบา ๆ ให้กับคำพูดของพระสวามี “ท่านก็รู้ว่าข้าเขินเมื่อท่านพูดเช่นนี้ ท่านชอบแกล้งข้าอยู่เรื่อย คนหื่น”
หลังจากที่ทุกอย่างในราชสำนักเริ่มกลับเข้าสู่ความสงบสุขและฮ่องเต้หลี่หยางกับฮองเฮาหวังหยู่มีความสุขกับการเลี้ยงดูพระโอรสน้อย ความท้าทายใหม่ก็เกิดขึ้นในราชสำนัก เมื่อวันหนึ่งมีขุนนางท่านหนึ่งนำธิดาของตัวเองเข้ามาถวายตัวให้กับฮ่องเต้ ด้วยความหวังจะได้เข้าไปเป็นสนมในราชสำนัก การถวายตัวในครั้งนี้สร้างความอึดอัดใจให้กับหลี่หยางเป็นอย่างมาก เพราะแม้เขาจะเป็นฮ่องเต้ แต่เขามีหวังหยู่เป็นที่รักเพียงคนเดียว และไม่เคยต้องการสนมเพิ่มเติมเลย เขารู้สึกไม่สบายใจที่มีคนเข้ามาถวายตัวเช่นนี้ แต่เนื่องจากเป็นธรรมเนียมในราชสำนัก เขาจึงไม่สามารถปฏิเสธได้อย่างตรงไปตรงมา ในท้องพระโรงขณะที่ขุนนางผู้ได้ทูลเสนอให้ธิดาของเขาเข้าถวายตัวเป็นสนม หลี่หยางรู้สึกอึดอัดแต่พยายามรักษาท่าทีที่สง่างาม เขาตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ “ข้าขอบใจในความหวังดีของเจ้า แต่ข้ามีฮองเฮาที่คอยเคียงข้างกายและร่วมสร้างอนาคตกับข้าอยู่แล้ว ข้าไม่คิดจะรับสนมเพิ่มอีกในตอนนี้” แต่ข่าวการถวายตัวของธิดาขุนนางก็มาถึงหูของหวังหยู่อย่างรวดเร็ว เมื่อหวังหยู่ได้ยินข่าวนี้ เขาไม่อาจซ่อนความรู้สึกไม่พอใจได้ แม้จะรู้ว่าหลี่หยางรักและภักดีต่อเขา แต่การท
เช้าวันหนึ่งในท้องพระโรงใหญ่ ฮ่องเต้ประทับบนราชบัลลังก์ด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยความสง่างาม แต่หากสังเกตลึกลงไป จะเห็นถึงความมุ่งมั่นที่ฉายชัดในพระเนตร ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่นั่งเรียงรายตามลำดับขั้น “วันนี้ ข้ามีเรื่องสำคัญจะประกาศแก่ทุกคน” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะวางมือจากภาระอันใหญ่หลวงนี้ และส่งมอบแผ่นดินให้กับผู้ที่คู่ควร เพื่อให้แผ่นดินนี้มีผู้นำรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยความเข้มแข็ง” เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในหมู่ขุนนาง ฮองเฮาที่ยืนเคียงข้างมองไปยังหลี่หยาง ผู้ซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งขององค์รัชทายาท “องค์รัชทายาทหลี่หยาง ข้าตัดสินใจแล้วที่จะสละราชบัลลังก์ให้เจ้า เจ้าจงขึ้นครองราชย์ในฐานะฮ่องเต้คนต่อไป เจ้าคือผู้ที่ข้าฝากความหวังไว้ ให้นำพาแผ่นดินนี้สู่ความเจริญรุ่งเรืองต่อไป” หลี่หยางที่ได้ฟังถึงกับชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและประสานมือคำนับ ท่ามกลางขุนนางและราชวงศ์ทั้งหมด “เสด็จพ่อ ข้าซาบซึ้งในพระเมตตา แต่ข้ายังเกรงว่าข้าอาจไม่พร้อมสำหรับหน้าที่นี้” ฮ่องเต้ยิ้มบาง “หลี่หยาง เจ้าแสดงให้ข้าเห็นแล้วว่าเจ้ามีคุณสมบัติครบถ้วน เจ้าผ่านบททดสอบมากมาย ทั้งการรั
“พระชายาเจ็บครรภ์เพคะ เรียกหมอหลวงด่วน” ความสงบสุขในยามราตรีของตำหนักถูกทำลาย เมื่อเสียงนางกำนัลร้องเรียกด้วยความตื่นตระหนก เพราะหวังหยู่ที่กำลังพักผ่อน จู่ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บท้องขึ้นมาอย่างรุนแรง อาการเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เขามั่นใจว่าการคลอดกำลังจะเริ่มต้นขึ้น หลี่หยางที่กำลังตรวจราชกิจในห้องทรงงานได้ยินเสียงรีบลุกพรวดทันที เขาทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้ววิ่งตรงมายังพระชายาทันที ใบหน้าเปี่ยมด้วยความวิตกกังวลและตื่นเต้น แต่ก็พยายามควบคุมสติให้นิ่งที่สุดเพื่อให้หวังหยู่ไม่เครียด “เกิดอะไรขึ้น อาการของพระชายาเป็นอย่างไร” หลี่หยางถามพลางมองนางกำนัลที่กำลังช่วยพยุงหวังหยู่ไปยังห้องที่เตรียมประสูติ หวังหยู่ที่ทรุดตัวลงบนเตียงหายใจแรง ใบหน้าซีดเซียว แต่ยังคงพยายามส่งยิ้มให้หลี่หยาง "ข้าไม่เป็นไร ท่านอย่ากังวลไปเลย" “เจ้าจะไม่เป็นอะไร ข้าอยู่ตรงนี้ ข้าจะดูแลเจ้าและลูกของเรา” หลี่หยางจับมือหวังหยู่แน่น พูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน ฮองเฮาทรงเข้ามาช่วยจัดการทุกอย่าง พระนางเรียก.ให้หมอหลวงรีบเร่งเข้ามาเตรียมการ ทุกคนในตำหนักวุ่นวายกันไปหมด ขณะที่หลี่หยางทั้งผุดลุกผุดนั่งสสลับกับเดินวนไปมาอย
“พระชายา ทรงต้องดื่มน้ำแกงนี้จนหมดเพคะ ฮองเฮาทรงกำชับให้ต้องดูแลพระองค์เป็นพิเศษ” เสียงนางกำนัลกล่าวพลางวางถ้วยน้ำแกงลงอย่างระมัดระวัง ตั้งแต่ข่าวการตั้งครรภ์ของพระชายาหวังหยู่ถูกเผยแพร่ออกไป ฮ่องเต้และฮองเฮารวมทั้งองค์รัชทายาททรงมีพระบัญชาให้ดูแลพระชายาอย่างใกล้ชิด ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของหวังหยู่ต้องดีที่สุดและปราศจากข้อบกพร่อง ทุกเช้า พระชายาจะได้รับน้ำแกงที่เคี่ยวจากกระดูกปลาชั้นดี ใส่สมุนไพรช่วยบำรุงเลือด ข้าวต้มหอมกรุ่นใส่พุทราจีนช่วยบำรุงกำลัง และผลไม้สดที่ถูกเลือกมาเป็นพิเศษในแต่ละฤดูกาล ขันทีและนางกำนัลถูกจัดส่งมาเพิ่มเติมเพื่อช่วยดูแลทุกเรื่อง ตั้งแต่เตรียมอาหารไปจนถึงการดูแลกิจวัตรประจำวัน ทุกมื้ออาหารของหวังหยู่ถูกคัดสรรวัตถุดิบชั้นเลิศ เช่น โสมหายากจากแดนไกล รังนกที่เก็บเกี่ยวอย่างพิถีพิถัน และสมุนไพรบำรุงครรภ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและคุณประโยชน์ “ข้าต้องการให้พระชายาได้รับของที่ดีที่สุด อย่าให้ขาดสิ่งใดแม้แต่น้อย” ฮองเฮาตรัสขณะตรวจดูเมนูอาหารที่ถวายแด่หวังหยู่ หวังหยู่แม้จะรู้สึกเกรงใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการดูแลเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจ ไม่เ
ในเช้าวันหนึ่งหลังจากที่หลี่หยางตื่นขึ้นมา เขารู้สึกเวียนหัวและคลื่นไส้ทันทีที่ลุกจากเตียง ร่างกายที่เคยแข็งแรงกลับอ่อนล้าจนน่าประหลาดใจ ทุกการเคลื่อนไหวเหมือนโลกหมุนเวียนไปมารอบตัว จนไม่สามารถฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นไปว่าราชการได้อย่างเคยหวังหยู่สังเกตเห็นอาการที่ผิดปกติของหลี่หยาง เขารู้ทันทีว่าบางสิ่งไม่ถูกต้อง พระชายารีบเข้ามาตรวจดูอาการของหลี่หยางอย่างใกล้ชิดหวังหยู่พยายามใช้ความรู้ทางการแพทย์ที่เขามีอยู่เพื่อตรวจสอบอาการของหลี่หยาง เขาเริ่มจับชีพจรของหลี่หยางเบื้องต้น ก่อนจะสรุปได้ว่าอาการคลื่นไส้และเวียนหัวนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย แต่เบื้องต้นเขาคิดว่าอาจเป็นผลมาจากความเครียดและการทำงานหนักตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา“หลี่หยาง ท่านต้องพักผ่อนมากกว่านี้ ข้าคิดว่าอาการของท่านน่านี้เกิดจากความเครียดสะสมและการทำงานหนักเกินไปติดต่อกันหลายวัน ท่านไม่ควรฝืนตัวเองไปว่าราชการในวันนี้ ข้าขอร้อง อย่าฝืนอีกเลย” หวังหยู่กล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย หลี่หยางที่ฟังคำแนะนำของหวังหยู่ แม้จะพยายามฝืนตัวเองลุกขึ้น แต่แรงกายกลับไม่เอื้ออำนวย เขารู้สึกอ่อนล้าจนต้องยอมจำนนรับความจริง เขาพยักหน้าช้า ๆ และนอนลงบน