รุ่งเช้า ผ้าม่านเนื้อบางสะบัดไหวตามแรงลม กลิ่นหอมของชาขิงอุ่น ๆ คลอกับเสียงนกที่เกาะชายคา ม่ออี๋ยืนง่วนติดเครื่องประดับผมให้นายหญิงของตนด้วยมือที่เบาจนแทบไม่รู้สึก
“พระชายาเพคะ วันนี้ท่านจะทรงลุยศึกที่ไม่ใช่ศึกอย่างเช่นการฟันดาบแต่เป็นศึกทางฝีปาก”
ม่ออี๋กระซิบ ดวงตาใสเป็นประกาย “หม่อมฉันติดปิ่นหยกเม็ดเล็กให้นะเพคะ จะได้ดูไม่เยอะเกิน”
อวิ๋นเอ๋อร์หัวเราะนิดเดียว “ดีแล้วดูแพงแต่ไม่แย่งซีนคือโจทย์ในวันนี้”
“ซีน? คืออะไรหรือเพคะ” ม่ออี๋ทำหน้างุนงง
“เอาเถอะน่า เจ้าอย่าถามมาก”
พระชายาหลินซินอวิ๋นสวมชุดแพรสีงาแบบเรียบ ๆ ขลิบไหมเงินบางราวลมหายใจช่างปัก นางไม่ได้ต้องการโดดเด่นเหนือใคร แต่เพราะอยากให้คนมองแล้วรู้สึกสบายตา ก่อนก้าวลงเรือน นางหันไปหยิบถุงผ้าใบเล็กที่วางอยู่ตรงโต๊ะ
“อันนี้ให้ทหารเวรยามที่ประตูตะวันตก ขนมกับยาหอมกลิ่นเบา ๆ บอกว่าข้าขอขอบใจเรื่องเมื่อคืน”
ม่ออี๋รับถุงตาลุกวาว “เพคะ!”
ตำหนักฮองเฮาในยามสายสว่างด้วยแถบริบบิ้นไหมและดอกไม้น้ำค้าง เสียงพิณแผ่วเบาราวกับลมหายใจของหงส์ หญิงสาวฝ่ายในยืนเรียงลำดับอย่างพอดิบพอดี และทุกคนในที่นี้ย่อมรู้ดีว่าผู้ที่ต้องยืนด้านหน้าสุดคือใคร
ไป๋เยี่ยนหรงในชุดผ้าแพรสีครามอ่อนยืนตรงตำแหน่งชัดเจน รอยยิ้มละมุน ร่างกายแนบกิริยามารยาทอย่างพอเหมาะพอดี
“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ เยี่ยนหรงมีเรื่องเล็กน้อยอยากทูลฮองเฮาเพคะ”
ฮองเฮาแห่งแคว้น สตรีผู้งามสง่าสายตาคมที่ซ่อนเมตตาไว้ใต้ความนิ่งพยักหน้าเบา ๆ
“พูดมา”
“หม่อมฉันคิดถึงท่านอ๋องห้าที่ทรงงานหนักอยู่ตลอด มิได้มีสตรีคอยแบ่งเบาภาระ...” ไป๋เยี่ยนหรงคลี่ยิ้มพองาม
“ดังนั้นหม่อมฉันจึงอยากกราบทูลเรื่องการตั้งชายารอง เพื่อช่วยดูแลข้างกายท่านอ๋องให้สมเกียรติของท่านอ๋องเองและสมพระเกียรติของราชวงศ์เพคะ”
ถ้อยคำสะอาดงามจนบ่าวไพร่ข้างฝาแอบพยักหน้าตาม บางคนถึงกับคิดว่าคำพูดของนางก็ฟังดูดีมิใช่หรือ
อวิ๋นเอ๋อร์คุกเข่าคารวะ “หลินซินอวิ๋น ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ”
น้ำเสียงของนางเรียบง่าย ไม่สูง ไม่ต่ำ จังหวะพอดีกับจังหวะหายใจของทั้งห้อง
ฮองเฮาหันสายตามาที่นาง “พระชายาหลิน เจ้าคิดอย่างไร”
อวิ๋นเอ๋อร์ยิ้มบาง “หม่อมฉันเห็นด้วยว่าคนที่ทรงงานหนักอย่างเช่นท่านอ๋ฮงควรมีคนแบ่งเบาเพคะ แต่ในวังการช่วยก็ต้องชี้ชัดด้วยว่าช่วยเรื่องใดมิใช่หรือเพคะ”
ไป๋เยี่ยนหรงชำเลืองมองนางวูบหนึ่ง รอยยิ้มไม่เลือนหายจากใบหน้า
“เรื่องดูแลทุกข์สุข กิจน้อยใหญ่ ย่อมเป็นเรื่องเล่านี้แน่นอนเพคะ”
อวิ๋นเอ๋อร์ค้อมศีรษะ “ถ้าเช่นนั้น หม่อมฉันขอทูลเสนอกระบวนการให้ชัดขึ้นเพื่อรักษาเกียรติของราชวงศ์”
นางหันไปบอกนางกำนัลเบา ๆ “ขอถาดไม้น้อยกับป้ายสามแผ่นให้ข้าด้วย”
เสียงซุบซิบเล็กน้อยลอยขึ้นในห้อง ถาดไม้? แล้วยังมีป้ายอะไรกันอีก?
ไม่นาน ถาดไม้เล็กก็ถูกวางลงตรงหน้า อวิ๋นเอ๋อร์หยิบพู่กันขึ้นมา เขียนอักษรสามคำลงบนป้ายเล็ก ๆ ทีละแผ่น
“เมตตา ราชกิจ วางตน”
หมึกดำตัดกับแผ่นไม้สวยคมจนแม้แต่คนอ่านไม่ออกยังรู้สึกได้ว่ามันสำคัญ
“หม่อมฉันขอทูลว่า หากจะตั้งผู้ช่วยข้างกายท่านอ๋อง ควรให้ชัดว่าช่วยด้วยเมตตาไม่ใช่หวังในอำนาจ มีความรู้เรื่องราชกิจพอประมาณ ไม่เป็นภาระแก้งาน และสุดท้ายต้องรู้จักวางตนอย่างเหมาะสม”
คำสามคำวางเรียงบนถาด ดูเรียบง่ายแต่นิ่งสนิทเหมือนหมากที่ถูกวางลงกลางกระดาน
ไป๋เยี่ยนหรงยังคงยิ้มอ่อนหวาน “ข้อกำหนดชัดเจนกเพคะ เช่นนั้นจะให้พิสูจน์อย่างไรดี”
อวิ๋นเอ๋อร์ยกมือ “วันนี้มีประกาศจากฝ่ายราชกิจให้ทางวังหลังช่วยส่งคนไปเปิดโรงครัวหลวงเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านริมแม่น้ำที่บ้านเรือนเสียหาย หม่อมฉันขอทูลให้ผู้ที่ประสงค์เป็นผู้ช่วยของท่านอ๋องไปทำงานนี้ร่วมกันสามวันเพคะ”
นางแตะป้ายคำว่าเมตตาเบา ๆ “เมตตา วัดจากการปฏิบัติจริง วางตน รู้จักต่อแถว ล้างหม้อ หั่นผัก ช่วยงานเล็กงานน้อย พูดให้น้อยทำให้มาก ราชกิจ จัดคน จัดลำดับ จัดของ ไม่ให้มีสูญหาย”
เสียงอุทานเบา ๆ ดังเป็นลูกระนาด สิ่งที่นางจะสื่อก็คือไม่ใช่แค่พูดสวย ๆ แต่ต้องลงมือจริง แถมลงมือในที่ที่ทุกคนมองเห็น
ฮองเฮาชำเลืองสายตาไปทั่วห้องเห็นความลังเลและความฮือฮาในแววตาหลายคู่จึงยิ้มบางที่มุมปาก
“ข้อเสนอฟังดูยุติธรรมและยังมีประโยชน์ต่อราษฎรด้วย”
นางวางถ้วยชาลง “ข้าเห็นชอบกับข้อเสนอนี้ เลื่อนการพิจารณาตำแหน่งออกไปสามวัน ให้ดูการกระทำเสียก่อน”
พู่ไหมปลายมู่ลี่ไหวคล้ายกระพือปีกหงส์ไปหนึ่งครั้ง หญิงสาวหลายคนที่ตั้งใจจะพูดถ้อยคำไหลลื่นต้องกลืนน้ำลายเงียบ ๆ
ไป๋เยี่ยนหรงยังยิ้มละมุน สมเป็นลูกสาวเจ้ากรมกิจการพลเรือนที่วางตัวเก่ง
“เป็นเกียรติของเยี่ยนหรงยิ่งนักที่จะได้ทำความดีเพื่อราชสำนักเพคะ”
นางหันมายิ้มกับอวิ๋นเอ๋อร์ “สามวัน หวังว่าเราจะได้สนุกด้วยกันนะเพคะ พระชายาหลิน”
อวิ๋นเอ๋อร์ยิ้มกลับ “สนุกแน่นอน แต่สนุกแบบที่ผู้คนได้กินอิ่มนอนหลับน่ะนะ”
น้ำเสียงของนางนุ่มพอให้คนฟังยิ้มได้ ทั้งห้องคลายความเกร็งไปครึ่งส่วนอย่างน่าแปลกประหลาด
หลังถวายคำนับและออกจากตักหนักฮองเฮา ลมสายพัดผ่านมาแตะแก้มเย็นนิด ๆ เว่ยหลางเดินชิดด้านหลังอย่างไม่ห่าง ระยะพอให้เห็นแต่ไม่ล้ำเส้นจนเกินไป
“พระชายาคิดไว้อยู่แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เขาถามเรียบ ๆ
“คิดตั้งแต่เมื่อคืน” อวิ๋นเอ๋อร์ตอบ “ข่าวลือวิ่งเร็ว เราก็ต้องทำให้ความจริงวิ่งเร็วกว่าดูสนุกกว่า คนจะได้อยากเล่า”
เว่ยหลางขยับคิ้วน้อย ๆ คล้ายจะหัวเราะ แต่ความเป็นองครักษ์ทำให้มันออกมาเหมือนลมหายใจแทน
“ท่านอ๋องจะเสด็จตรวจคลังอีกครึ่งชั่วยาม ให้ข้าน้อยส่งข่าวหรือไม่”
“อย่าเลย” นางส่ายหน้า “เดี๋ยวเขาก็รู้เองแหละ”
จริงอย่างนางว่า จ้าวเยี่ยนฝูก้าวจากเงาเสาไม้มาตามเวลาไม่มีพลาด ใบหน้าสงบเหมือนคนไม่เคยรีบในชีวิต
“เงียบเสียงคนได้ครึ่งห้องด้วยคำสามคำ” เขาเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรก
อวิ๋นเอ๋อร์ยกคางนิด ๆ “หม่อมฉันไม่ได้หวังให้เงียบเพคะ แต่อยากให้พูดต่อ แต่พูดเรื่องเดียวกัน”
“เรื่องเดียวกัน?”
“เมตตา ราชกิจ วางตน” นางแตะแผ่นอกเบา ๆ ราวกับแตะกระดานในใจ
“ถ้าทุกคนพูดเรื่องเดียวกันซ้ำ ๆ คนก็เลิกพูดเรื่องแต่งตั้งชายารองไปเองแหละเพคะ”
เขามองนางในเงาโคม สายตาคมที่มักเฉียดผ่านคราวนี้หยุดนิ่งชั่วลมหายใจ
“เจ้าชอบทำให้อะไรที่เหมือนยากก็ดูไม่ยาก”
“ถ้ายาก คนก็ไม่อยากแตะสิเพคะ” นางยิ้มก่อนจะเอ่ยต่อ
“แต่ถ้าง่ายเกิน ก็อาจถูกเล่นงานได้ ฉะนั้นพอดีที่สุดก็คือ ง่ายพอทำตาม ยากพอน่าเคารพ”
มุมปากของท่านอ๋องห้ายกขึ้นเพียงนิดเดียว เร็วมากเหมือนดาวตกที่มองแทบไม่ทัน
“อืม”
เพียงหนึ่งพยางค์ที่เปล่งออกมาจากลำคอ แต่ร้อนกว่าชาในมือเสียอีก...
เช้าวันนัด บนท้องฟ้ามีเมฆบาง ๆ เคลื่อนช้าเหมือนใครตั้งใจยืดเวลาออกให้นานที่สุด ลมหลังฝนพัดเย็นจนใส่สูทแล้วพอดี หลินอวิ๋นเอ๋อร์ยืนหน้ากระจกในห้อง ทำผมหางม้าสูงเรียบร้อย ลองยิ้มเบา ๆ ที่ไม่ตึงเกินและไม่อ่อนปวกเปียกเกินไป จากนั้นสูดลมหายใจยาว ครั้งหนึ่งเพื่อบอกหัวใจว่า นี่คือโลกของความจริง ไม่ใช่วังหลังที่เธอเคยไปอยู่เธอสวมต่างหูมุกเม็ดเล็ก เหลือบมองสมุดไดอารี่ปกผ้าลินินบนโต๊ะ“ไปด้วยกันนะ”เธอเอ่ยกับสมุดเหมือนคุยกับเพื่อนทั้งที่รู้ว่ามันเป็นแค่สมุด ก่อนจะหยิบแล็ปท็อปสีน้ำตาลเข้ม กอดแฟ้มเอกสารไว้แน่น เธอพร้อมแล้วสำหรับวันนี้...ย่านธุรกิจยังไม่ถึงชั่วโมงเร่งด่วนเต็มกำลัง รถยังไหล เธอลงจากแท็กซี่หน้าตึกบริษัท อินฟินิตี้ เกม สตูดิโอ จำกัด ตึกกระจกสูงสะท้อนเมฆสีเทาอ่อนเหมือนผืนไหมแผ่ปกท้องฟ้า เสี้ยววินาทีที่ยกหน้าเงย เธอได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังเหมือนเสียงกลองยามล็อบบี้หินอ่อนกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ให้ความมั่นใจแปลก ๆ เสียงรองเท้าหนังของผู้คนจังหวะต่างกันสับสน แต่ทุกคนมีทิศทางของตัวเอง บนผนังหน้าจอแอลอีดีฉายฉากไฮไลต์จากเกมดัง“คุณหลินอวิ๋นเอ๋อร์ใช่ไหมคะ” เลขาหน้าตาคมในชุดสูทครีมก้าวเข้ามาหา ยิ้
เช้าวันฝนตก เมฆครึ้มเหนือเมืองหลวงทอเงาหนาแน่นไปทั่วตึกสูงเรียงราย ถนนใหญ่เต็มไปด้วยรถที่เคลื่อนช้า ๆ ฝนโปรยละอองบางจนกระจกแท็กซี่พราวน้ำ หลินอวิ๋นเอ๋อร์นั่งเบาะหลัง กำเอกสารแฟ้มสีน้ำเงินแน่น แล็ปท็อปถูกเก็บอยู่ในกระเป๋าหนังสีน้ำตาลเรียบหรูที่เธอเพิ่งซื้อเพื่อโอกาสนี้โดยเฉพาะหัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่รถเคลื่อนผ่านตึกสูง จนกระทั่งแท็กซี่หยุดหน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัท อินฟินิตี้ เกม สตูดิโอ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาเกมระดับท็อปของภูมิภาค ตึกกระจกสูงกว่าสี่สิบชั้นสะท้อนท้องฟ้าสีหม่น แต่โลโก้สีทองรูปมังกรพันวงล้อเกมกลับเปล่งประกายชัดเจนเหนือประตูใหญ่ เธอลงจากรถ สูดลมหายใจลึก พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็น ๆ“หลินอวิ๋นเอ๋อร์ วันนี้ไม่ใช่แค่วันธรรมดา แต่คือวันที่อาจเปลี่ยนชีวิตเธอไปทั้งชีวิต สู้ ๆ นะ”โถงล็อบบี้โอ่อ่าตกแต่งด้วยหินอ่อน เงากระจกใสสะท้อนภาพพนักงานในชุดสูทยุคใหม่สลับกับจอแอลอีดีขนาดใหญ่ที่ฉายตัวอย่างเกมดัง ๆ ของบริษัท เสียงพนักงานต้อนรับเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม“คุณหลินอวิ๋นเอ๋อร์ใช่ไหมคะ? เชิญที่ชั้น 15 ห้องประชุมใหญ่เลยค่ะ ทีมพัฒนารออยู่”“ขอบคุณค่ะ”เธอยกมือไหว้เล็กน้อยก่อนก้าวเข้าสู่ล
หลังจากที่ตัดสินใจอยู่นาน ในที่สุดหลินอวิ๋นเอ๋อร์ก็ตัดสินใจยื่นใบลาออก เธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะลืมเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เธอได้เผชิญมา แต่ก็ไม่สามารถทำได้เลย การลาออกไปพักกายพักใจ อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ บางทีการได้ไปสถานที่ใหม่ ๆ ทำสิ่งใหม่ ๆ อาจจะช่วยให้หายเศร้าไก้บ้าง ถึงแม้ว่าหัวหน้าของเธอจะพยายามบอกให้เธอตัดสินใจใหม่ แต่หลินอวิ๋นเอ๋อรก็ยังคงยืนกรานคำเดิม“ฉันตัดสินใจดีแล้วค่ะหัวหน้า ฉันจะอยู่ทำงานต่ออีก 2 สัปดาห์ เคลียร์งานที่ค้างอยู่ให้เสร็จค่ะ”“ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้ว งั้นก็โชคดีนะอวิ๋นเอ๋อร์ เธอเป็นคนเก่ง ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ต้องสำเร็จแน่”“ขอบคุณนะคะหัวหน้าที่เข้าใจฉัน และก็ขอบคุณที่ดูแลอย่างดีมาตลอดค่ะ”เวลา 2 สัปดาห์มาถึงอย่างรวดเร็ว โต๊ะทำงานถูกเก็บอย่างเรียบร้อย เธอเอ่ยลาเพื่อนร่วมทีมทีละคน“ไว้เจอกันนะ”“ไปพักให้เต็มที่ อย่าคิดถึงที่นี่ก็กลับมาได้เสมอ” หัวหน้าเอ่ยกับเธออีกครั้ง“ส่งรูปทะเลมาอวดด้วยนะ” เพื่อนอีกคนเอ่ยแซวหลังจากกอดลาทุกคนเสร็จแล้ว เธอก็เดินไปยังหน้าลิฟต์ได้อย่างไม่โหวกเหวก แต่พอประตูลิฟต์ปิดลง เธอก็เห็นภาพสะท้อนของตัวเอง หญิงสาวร่างบางเล็กที่กำล
ค่ำคืนที่ออฟฟิศปิดไฟหมดแล้ว มีเพียงแสงจากจอมอนิเตอร์สาดลงบนใบหน้าซีดของเธอ นิ้วพิมพ์ไปเรื่อย ๆ น้ำตาก็หยดลงบนคีย์บอร์ด เธอหัวเราะทั้งน้ำตา“หลินอวิ๋นเอ๋อร์ เธอนี่บ้าจริง ๆ ถึงขนาดคิดถึงคนที่ไม่มีอยู่จริงไปซะได้”เช้าวันจันทร์ฝนพรำ รถไฟฟ้าแน่นขนัดจนเธอต้องขยับเท้าตามแรงเบียด เหงื่อคนอื่นผสมกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ลอยปะทะ เธอตรึงสายตาไว้กับประกาศสีฟ้า “สถานีถัดไป” เหมือนตั้งใจจ้องอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้ใจหลุดไปไกลกว่านี้ แต่ระหว่างเสียงรถลากรางโลหะ เธอกลับได้ยินเสียงกลองยามเสียดขึ้นแทรกมาในหัวอย่างดื้อดึง จังหวะนั้นเองที่เธอก้มลงมองมือขวาของตัวเอง มือที่ครั้งหนึ่งเคยถูกกุมแน่นไว้ใต้ศาลาดอกเหมย แล้วรีบชักสายตาหนี ราวกับการมองนานจะทำให้ความทรงจำกลายเป็นจริงขึ้นมาอีกประตูรถเปิด ชุดทำงานพรืดไหลลงชานชาลา เธอก้าวเร็ว ๆ ฝนเม็ดเล็กกระทบแก้ม เธอแอบขำกับตัวเอง ฝนในโลกนี้ก็เย็นเหมือนฝนในโลกนั้น แต่ทันทีที่วูบนึกถึงคำว่า “โลกนั้น” หัวใจเธอก็ร่วงวูบเหมือนยืนอยู่บนโถงหินว่างเปล่าทันทีออฟฟิศกระจกสูงสะท้อนท้องฟ้า บัตรแตะประตูดังติ๊ด ไฟสีเขียวสว่างขึ้น เธอฝืนยิ้มทักทีม“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”เธอกล่าวทักทายเพื่อนร่
เสียงพัดลมคอมหมุนเบา ๆ ภายในห้องเงียบงัน ต่างกับเมื่อครู่ที่ยังเต็มไปด้วยเสียงกลองและเสียงเอ่ยถวายบังคม เธอก้มลงกอดเข่า น้ำตาไหลพรั่งพรู“นี่มันแค่ความฝันจริง ๆ หรือว่า ข้าจะไม่ได้เจอท่านอีกแล้วใช่ไหม ท่านอ๋อง...”หน้าจอสี่เหลี่ยมวาวแสงสีฟ้าจาง ๆ สะท้อนเงาใบหน้าซีดของหลินอวิ๋นเอ๋อร์ ดวงตาแดงฉ่ำชื้นด้วยน้ำตา ขนตาเปียกชิดกันเป็นแพ เธอยังนั่งท่าเดิม มือซ้ายคาเหนือแป้นพิมพ์ มือขวาวางทับเมาส์ เหมือนโลกทั้งใบเพิ่งถูกหยุดเวลาไว้ตอนที่เธอยังหายใจเข้าไม่สุดเธอเหลือบสายตาไปมุมจอ นาฬิกาดิจิทัลบอกเวลา 03:17 น. ตัวเลขนิ่งสนิทจนทำให้หัวใจเจ็บยิ่งขึ้น เพราะเวลาตี 3 ของโลกนี้ ไม่ใช่ยามสามของวังหลังที่เธอเคยได้ยินเสียงฆ้องยามจากหอระฆังดังกังวานก้องบนหน้าจอเกมเล่ห์รักวังบุปผาค้างอยู่ที่ฉากสุดท้าย กล่องข้อความกรอบทองหม่นกึ่งโปร่งปรากฏอยู่กลางจอ ปุ่มยืนยันกะพริบเป็นจังหวะช้า ๆ เหมือนจงใจกลั่นแกล้ง สายตาเธอถูกตรึงด้วยบรรทัดเดียวที่เย็นชากว่าดาบ“จบสิ้นแล้ว”เธอขยับนิ้วโป้งไถแป้นเมาส์เล็กน้อย ความเคยชินบอกให้ลองคลิก คลิกเพื่อย้อน คลิกเพื่อหาเส้นทางลับ คลิกเพื่อเปิดอะไรสักอย่างที่พาเธอกลับไป แต่หน้าจอกลับ
ท้องพระโรงวันนี้แตกต่างจากทุกครั้ง เสียงกลองดังขึ้นสามครั้ง ฮ่องเต้เสด็จมาประทับบนบัลลังก์ ขุนนางน้อยใหญ่เรียงรายตามลำดับชั้น จ้าวเยี่ยนฝูและหลินอวิ๋นเอ๋อร์ยืนเคียงกันต่อหน้าพระพักตร์ สายตาผู้คนจับจ้องพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหมายเว่ยหลางก้าวออกมากลางลาน ก้มคำนับแล้วรายงาน“กระหม่อมได้หลักฐานยืนยันจากกรมอาญาและหมอหลวง ว่ากระปุกยาที่พบในเรือนของพระชายา ไม่ใช่ยาพิษร้ายแรง หากแต่เป็นเพียงยาล่อให้คนเข้าใจผิด อีกทั้งพบปิ่นปักผมของสาวใช้สกุลไป๋ ที่กำแพงฝั่งตะวันตก นอกจากนี้ เซวียนเอ๋อร์สาวใช้คนสนิทของคุณหนูไป๋ก็ได้สารภาพแล้วว่าทุกสิ่งที่ทำเป็นคำสั่งของนาง”เสียงฮือฮาดังก้องไปทั่วท้องพระโรง ประตูด้านข้างถูกเปิดออก ไป๋เยี่ยนหรงถูกนำตัวเข้ามา นางยังคงแต่งกายงดงามแต่ใบหน้าเคร่งเครียด สายตาแดงกร้าวจ้องหลินอวิ๋นเอ๋อร์อย่างไม่ปิดบัง“เป็นเจ้า! นังสารเลว! นังคนชั่วที่มาแย่งสิ่งที่ควรเป็นของข้า!” เสียงของนางก้องสะท้อน สั่นไปทั่วท้องพระโรงหลินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่หวั่นไหว นางก้าวออกมายืนกลางลาน ใบหน้าอ่อนโยนแต่สายตาแน่วแน่“สิ่งที่เจ้าพยายามไขว่คว้ามาแต่ต้นคือหัวใจของเขา แต่หัวใจไม่ใช่สิ่งที่จะปล้นหรือบังคั