กลางวันแสก ๆ โรงทานหลวงชั่วคราวที่ริมคลองนอกเมืองหลวงเริ่มคึกคัก ชายหญิงผลัดกันหาบน้ำ ต้มน้ำแกง หุงข้าว กลิ่นควันผสมกลิ่นน้ำอย่างนุ่มนวล ไม่นาน ริมฝั่งก็เต็มไปด้วยชาวบ้านที่บ้านพังจากน้ำกัดเซาะ อวิ๋นเอ๋อร์พับแขนเสื้อ ขยับปิ่นผมให้แน่น เข้าไปยืนข้างกระทะใบใหญ่
“น้ำเดือดหรือยัง อย่าเพิ่งใส่โสมแรงนักนะ เดี๋ยวคนแก่จะจุกเอาได้”
แม่ครัวเฒ่าหัวเราะ “จำขึ้นใจแล้วเพคะ”
ไป๋เยี่ยนหรงมาถึงพร้อมสาวใช้สองคนในชุดที่งดงามเกินกว่าที่จะมาอยู่ในครัวที่เต็มไปด้วยควัน
“ข้านำผอบสมุนไพรมาช่วยดับกลิ่นควัน และมีตำรับน้ำแกงที่หมอประจำบ้านข้าสอนไว้”
นางยิ้มพลางแจกยาหอมให้แม่เฒ่าที่ไออยู่สองสามคน แววตาชาวบ้านละลายไปครึ่งหนึ่ง ต่างยื่นมือมารับของจากนางอย่างซาบซึ้ง
ก็ได้ ต้องยอมรับว่านางเก่ง เอ็นเกจเมนต์!
“ดีมาก” อวิ๋นเอ๋อร์ตอบรับอย่างไม่หวง
“มุมโน้น คนชรา รสไม่แรง มุมนี้ เด็ก ๆ น้ำแกงหวานนิดหน่อย มุมโน้น คนใช้แรงงานแบกหาม เพิ่มข้าวอีกครึ่งทัพพี”
นางหยิบกระดานบาง ๆ ขึ้นมาเขียนลำดับด้วยตัวอักษรตัวใหญ่ และรูปสัญลักษณ์เงอะงะสองสามรูปให้คนอ่านไม่ออกเข้าใจ
“ใครช่วยตักมาต่อคิวฝั่งนี้ ใครล้างมาฝั่งนี้ ใครหั่นไปหลังกระโจมโน้น ห้ามใช้ช้อนงัด ห้ามให้สัดส่วนเพี้ยน เข้าใจหรือไม่”
ดวงตาของชาวบ้านเป็นประกาย เพราะการจัดลำดับของนางทำให้ทุกอย่างลื่นไหลเหมือนน้ำในราง เยี่ยนหรงมองภาพนั้นเงียบ ๆ บางแววตาเหมือนอยากจะบอกว่า ก็ได้ เห็นด้วยก็ได้! แต่อีกใจหนึ่งนางกลับกำลังมองหาช่องที่จะสอดหมาก
ไม่นาน ชายวัยกลางคนก็ถือบัตรไม้ที่อวิ๋นเอ๋อร์เพิ่งแจกเป็นบัตรคิวเดินโซเซมาจะเอาอีกถ้วย ทั้งที่หลังบัตรยังไม่ถูกประทับตรา นางเหลือบมองสายตาเนียน ๆ ของเสมียนในชุดพลเรือนที่ยืนห่างออกไปหนึ่งช่วงเสา ทำท่าทีเป็นว่าไม่เห็น แต่ตาไหววาบอย่างคุ้นหน้าคุ้นตา
ความคิดในหัวของนางดังติ๊ง! เสมียนกรมกิจการพลเรือน สายเดียวกับชื่อที่หลุดในคลัง ยืนแฝงอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร?
อวิ๋นเอ๋อร์ยิ้มอ่อนพร้อมโบกมือ “ท่านลุง ตรงนี้ก่อน”
นางรับถ้วยจากมือชายคนนั้นเอง “กินให้อิ่มนะ แต่ต่อไปทุกคนต้องประทับบัตรก่อนตักถ้วยใหม่ จะได้ไม่ต้องยืนรอเก้อ”
ถ้อยคำไม่มีพิษ แต่ยังคงหลักเมตตาและยังคงความมีระเบียบ ชายผู้นั้นหัวเราะบาง ๆ จากนั้นแถวก็ไหลต่ออย่างเป็นระเบียบ นางสบตาเว่ยหลางวูบหนึ่ง เขาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเลือนหายไปด้านหลังกระโจมอย่างเงียบกริบ
ช่วงบ่ายคล้อย ชาวบ้านต่างได้กินอิ่ม เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ดังเหมือนลมพัดระฆังใบเล็ก ๆ ไป๋เยี่ยนหรงถือทัพพีเองจนเหงื่อผุดตรงขมับ สวยอย่างมีประโยชน์ นั่นคือความจริงที่ต้องยอมรับ
“เหนื่อยไหม” อวิ๋นเอ๋อร์ยื่นผ้าซับเหงื่อให้
ไป๋เยี่ยนหรงรับและยิ้ม “นิดหน่อย แต่ถ้าทำให้ชาวบ้านอิ่มท้องก็พอแล้ว”
นางหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “อย่างไรก็ดี หม่อมฉันหวังว่าสามวันจะไม่ใช่ข้ออ้างให้เลื่อนไปเรื่อยละเพคะพระชายาหลิน...”
ถ้อยคำของนางยังคงละมุน แต่เติมคมบาง ๆ พอให้รู้สึกได้
“ไม่เลื่อนหรอก” อวิ๋นเอ๋อร์ยิ้มตาหยี “เพราะเมื่อครบสามวัน ฮองเฮาจะเห็นทั้งเมตตา ทั้งราชกิจ ทั้งการวางตนของทุกคนอย่างชัดเจนเอง”
ไป๋เยี่ยนหรงสบตานางเพียงวูบเดียวแล้วเป็นฝ่ายหลบก่อน เพียงแค่มองแวบเดียวก็รู้สึกว่าถ้ามองนานกว่านั้น จะหลุดบรรทัดฐานของตัวเอง
ยามเย็น พระจันทร์ยังไม่ขึ้น เว่ยหลางกลับเข้ามาอย่างเงียบกริบเมื่อคนสุดท้ายรับข้าวถ้วยสุดท้ายไปแล้ว
“เจอร่องรอยหรือ?” อวิ๋นเอ๋อร์ถามเสียงต่ำ ๆ
เขาพยักหน้า “เส้นทางเดียวกับคลังพ่ะย่ะค่ะ ส่งถุงเล็ก ๆ ออกข้างกำแพงผ่านคนสวมชุดชาวบ้าน สุดสายไปโผล่ที่โรงเตี๊ยมใกล้ท่าน้ำ เจ้าของคือเสมียนกรมกิจการพลเรือนพ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นเอ๋อร์ค่อย ๆ วางทัพพีลง ความร้อนจากกระทะเริ่มเบาลงเหลือเพียงไอจาง ๆ
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เราแบ่งงานกัน ข้าจะดูโรงครัวหลวงต่อให้เรียบร้อย ส่วนเจ้าขีดเส้นร่องรอยให้ชัดขึ้นอีกหน่อย”
เว่ยหลางก้มรับ “ท่านอ๋องทรงให้สัญญาณแล้ว ข้าน้อยจัดการตามขั้นตอน”
“ดี” นางยิ้มแบบคนที่เริ่มเห็นโครงเรื่องชัดขึ้นทีละช่อง
“คืนนี้ ขอให้ทุกคนได้นอนหลับ โดยไม่ต้องคิดว่าจะมีใครมาหยิบถ้วยจากมือในช่วงกลางดึก”
เว่ยหลางตั้งใจฟังประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ นั้น เพราะมันคือหัวใจของสิ่งที่นางเรียกว่าความยุติธรรมที่ทำให้ผู้คนยิ้มได้
ค่ำคืนนั้น ลมพัดกลีบเหมยหล่นใส่ชายเสื้อ เงาโคมสะท้อนบนพื้นเหมือนดวงไฟเดินตามเท้า อวิ๋นเอ๋อร์เดินกลับเรือนด้วยความเมื่อยล้า แต่ความเมื่อยในวันนี้แม้จะเมื่อยล้าก็ทำให้สุขใจ
“กลับมาแล้วหรือ”
เสียงทุ้มเรียบดังขึ้นก่อนที่นางจะก้าวถึงบันได เจ้าของเสียงนั้นยืนอยู่ตรงมุมเสา จ้าวเยี่ยนฝูอยู่ในชุดคลุมสีเรียบกว่ากลางวันเล็กน้อย ดวงตาคมมองนางอย่างเงียบ ๆ
“เพคะ” อวิ๋นเอ๋อร์ค้อมตัว “วันนี้ชาวบ้านได้กินอิ่มกันดีเพคะ”
เขาพยักหน้าช้า ๆ “ข้ารู้แล้ว ได้ข่าวว่าพวกชาวบ้านได้หัวเราะขบขันเพราะเจ้าหลายครั้ง”
นางหลุดหัวเราะเบา “เสียงหัวเราะทั้งท้องพระโรงยังดีไม่สู้เสียงหัวเราะของพวกชาวบ้านเพคะ”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง “สามวัน หากยังมีคนใช้ความเมตตาเป็นข้ออ้างเพื่อเอื้อมมือให้ยาวกว่าเดิม เจ้าจะทำอย่างไร”
อวิ๋นเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น สบตาเขาตรง ๆ “ก็จะจับความเมตตานั้นให้แสดงตัวจนหมดทางซ่อน แล้วให้ราชกิจและการวางตนเป็นสิ่งชี้คำตอบสุดท้ายเพคะ”
นางยกยิ้มบาง “คนที่อยากได้ตำแหน่งมากกว่าทำหน้าที่ สุดท้ายก็จะเผลอประกาศเอง ว่าตนอยากได้อะไร ท่านอ๋องคิดเหมือนหม่อมฉันหรือไม่เพคะ”
เกิดความเงียบสั้น ๆ ที่ไม่อึดอัด เหมือนลมหายใจหนึ่งที่ตกลงกันได้โดยไม่ต้องพูดถ้อยคำใดออกมา
“อืม” เขาตอบรับ แต่คราวนี้ไม่ซ่อนรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากเหมือนคราวก่อน ๆ
“ไปพักเถอะ”
“เพคะ”
เขากำลังจะผละไปแต่กลับชะงัก นิ้วมือยกขึ้นเล็กน้อย เหมือนจะทำอะไรสักอย่างแล้วเปลี่ยนใจ
“พรุ่งนี้…อย่าลืมเอาผ้าคลุมไปด้วย ริมแม่น้ำลมแรง”
อวิ๋นเอ๋อร์นิ่งไป วูบหนึ่งหัวใจเหมือนหลุดขั้นบันไดแล้วขึ้นกลับมาใหม่ นางตอบอย่างตะกุกตะกัก
“พะ...เพคะ”
เขาหันหลังเดินออกไปอย่างสงบแบบคนที่ไม่เคยวุ่นวาย แต่วุ่นหัวใจใครคนหนึ่งไปเรียบร้อยแล้ว
ม่ออี๋แอบยื่นหน้าออกมาจากเสาเบื้องหลัง พูดเสียงเบาเหมือนยุง
“พระชายาเพคะ ท่านอ๋องอ่อนโยนอีกแล้วนะเพคะ หม่อมฉันไม่เคยเห็นท่านอ๋องเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย”
อวิ๋นเอ๋อร์หลุดยิ้มจนกดไม่อยู่นางรีบกลบเกลื่อนทันที
“ม่ออี๋ เจ้าเลิกพูดมากแล้วไปต้มชาขิงให้ข้าสักแก้วเถอะ”
ม่ออี๋ทำตาวาว “เพคะ!”
ลมค่ำพัดผ่านเหมือนมือใครสักคนมาลูบหลังเบา ๆ สามวันนับจากนี้คงไม่เงียบแน่ แต่ถ้าความยุติธรรมมันสนุกพอ ผู้คนก็จะยืนข้างเราเองโดยไม่ต้องร้องขอ
และที่มุมมืดมุมหนึ่ง คนผู้หนึ่งที่มีกลิ่นหอมของดอกไม้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวยืนมองแผ่นหลังนั้นอย่างเงียบ ๆ ไป๋เยี่ยนหรงขยับปลายพัดช้าและแน่น
“อย่าคิดว่าเจ้าจะชนะได้ไปตลอด! สามวัน ก็พอแล้วที่จะให้รู้ว่าใครกันแน่ที่เหนือกว่า!”
เช้าวันนัด บนท้องฟ้ามีเมฆบาง ๆ เคลื่อนช้าเหมือนใครตั้งใจยืดเวลาออกให้นานที่สุด ลมหลังฝนพัดเย็นจนใส่สูทแล้วพอดี หลินอวิ๋นเอ๋อร์ยืนหน้ากระจกในห้อง ทำผมหางม้าสูงเรียบร้อย ลองยิ้มเบา ๆ ที่ไม่ตึงเกินและไม่อ่อนปวกเปียกเกินไป จากนั้นสูดลมหายใจยาว ครั้งหนึ่งเพื่อบอกหัวใจว่า นี่คือโลกของความจริง ไม่ใช่วังหลังที่เธอเคยไปอยู่เธอสวมต่างหูมุกเม็ดเล็ก เหลือบมองสมุดไดอารี่ปกผ้าลินินบนโต๊ะ“ไปด้วยกันนะ”เธอเอ่ยกับสมุดเหมือนคุยกับเพื่อนทั้งที่รู้ว่ามันเป็นแค่สมุด ก่อนจะหยิบแล็ปท็อปสีน้ำตาลเข้ม กอดแฟ้มเอกสารไว้แน่น เธอพร้อมแล้วสำหรับวันนี้...ย่านธุรกิจยังไม่ถึงชั่วโมงเร่งด่วนเต็มกำลัง รถยังไหล เธอลงจากแท็กซี่หน้าตึกบริษัท อินฟินิตี้ เกม สตูดิโอ จำกัด ตึกกระจกสูงสะท้อนเมฆสีเทาอ่อนเหมือนผืนไหมแผ่ปกท้องฟ้า เสี้ยววินาทีที่ยกหน้าเงย เธอได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังเหมือนเสียงกลองยามล็อบบี้หินอ่อนกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ให้ความมั่นใจแปลก ๆ เสียงรองเท้าหนังของผู้คนจังหวะต่างกันสับสน แต่ทุกคนมีทิศทางของตัวเอง บนผนังหน้าจอแอลอีดีฉายฉากไฮไลต์จากเกมดัง“คุณหลินอวิ๋นเอ๋อร์ใช่ไหมคะ” เลขาหน้าตาคมในชุดสูทครีมก้าวเข้ามาหา ยิ้
เช้าวันฝนตก เมฆครึ้มเหนือเมืองหลวงทอเงาหนาแน่นไปทั่วตึกสูงเรียงราย ถนนใหญ่เต็มไปด้วยรถที่เคลื่อนช้า ๆ ฝนโปรยละอองบางจนกระจกแท็กซี่พราวน้ำ หลินอวิ๋นเอ๋อร์นั่งเบาะหลัง กำเอกสารแฟ้มสีน้ำเงินแน่น แล็ปท็อปถูกเก็บอยู่ในกระเป๋าหนังสีน้ำตาลเรียบหรูที่เธอเพิ่งซื้อเพื่อโอกาสนี้โดยเฉพาะหัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่รถเคลื่อนผ่านตึกสูง จนกระทั่งแท็กซี่หยุดหน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัท อินฟินิตี้ เกม สตูดิโอ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาเกมระดับท็อปของภูมิภาค ตึกกระจกสูงกว่าสี่สิบชั้นสะท้อนท้องฟ้าสีหม่น แต่โลโก้สีทองรูปมังกรพันวงล้อเกมกลับเปล่งประกายชัดเจนเหนือประตูใหญ่ เธอลงจากรถ สูดลมหายใจลึก พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็น ๆ“หลินอวิ๋นเอ๋อร์ วันนี้ไม่ใช่แค่วันธรรมดา แต่คือวันที่อาจเปลี่ยนชีวิตเธอไปทั้งชีวิต สู้ ๆ นะ”โถงล็อบบี้โอ่อ่าตกแต่งด้วยหินอ่อน เงากระจกใสสะท้อนภาพพนักงานในชุดสูทยุคใหม่สลับกับจอแอลอีดีขนาดใหญ่ที่ฉายตัวอย่างเกมดัง ๆ ของบริษัท เสียงพนักงานต้อนรับเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม“คุณหลินอวิ๋นเอ๋อร์ใช่ไหมคะ? เชิญที่ชั้น 15 ห้องประชุมใหญ่เลยค่ะ ทีมพัฒนารออยู่”“ขอบคุณค่ะ”เธอยกมือไหว้เล็กน้อยก่อนก้าวเข้าสู่ล
หลังจากที่ตัดสินใจอยู่นาน ในที่สุดหลินอวิ๋นเอ๋อร์ก็ตัดสินใจยื่นใบลาออก เธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะลืมเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เธอได้เผชิญมา แต่ก็ไม่สามารถทำได้เลย การลาออกไปพักกายพักใจ อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ บางทีการได้ไปสถานที่ใหม่ ๆ ทำสิ่งใหม่ ๆ อาจจะช่วยให้หายเศร้าไก้บ้าง ถึงแม้ว่าหัวหน้าของเธอจะพยายามบอกให้เธอตัดสินใจใหม่ แต่หลินอวิ๋นเอ๋อรก็ยังคงยืนกรานคำเดิม“ฉันตัดสินใจดีแล้วค่ะหัวหน้า ฉันจะอยู่ทำงานต่ออีก 2 สัปดาห์ เคลียร์งานที่ค้างอยู่ให้เสร็จค่ะ”“ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้ว งั้นก็โชคดีนะอวิ๋นเอ๋อร์ เธอเป็นคนเก่ง ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ต้องสำเร็จแน่”“ขอบคุณนะคะหัวหน้าที่เข้าใจฉัน และก็ขอบคุณที่ดูแลอย่างดีมาตลอดค่ะ”เวลา 2 สัปดาห์มาถึงอย่างรวดเร็ว โต๊ะทำงานถูกเก็บอย่างเรียบร้อย เธอเอ่ยลาเพื่อนร่วมทีมทีละคน“ไว้เจอกันนะ”“ไปพักให้เต็มที่ อย่าคิดถึงที่นี่ก็กลับมาได้เสมอ” หัวหน้าเอ่ยกับเธออีกครั้ง“ส่งรูปทะเลมาอวดด้วยนะ” เพื่อนอีกคนเอ่ยแซวหลังจากกอดลาทุกคนเสร็จแล้ว เธอก็เดินไปยังหน้าลิฟต์ได้อย่างไม่โหวกเหวก แต่พอประตูลิฟต์ปิดลง เธอก็เห็นภาพสะท้อนของตัวเอง หญิงสาวร่างบางเล็กที่กำล
ค่ำคืนที่ออฟฟิศปิดไฟหมดแล้ว มีเพียงแสงจากจอมอนิเตอร์สาดลงบนใบหน้าซีดของเธอ นิ้วพิมพ์ไปเรื่อย ๆ น้ำตาก็หยดลงบนคีย์บอร์ด เธอหัวเราะทั้งน้ำตา“หลินอวิ๋นเอ๋อร์ เธอนี่บ้าจริง ๆ ถึงขนาดคิดถึงคนที่ไม่มีอยู่จริงไปซะได้”เช้าวันจันทร์ฝนพรำ รถไฟฟ้าแน่นขนัดจนเธอต้องขยับเท้าตามแรงเบียด เหงื่อคนอื่นผสมกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ลอยปะทะ เธอตรึงสายตาไว้กับประกาศสีฟ้า “สถานีถัดไป” เหมือนตั้งใจจ้องอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้ใจหลุดไปไกลกว่านี้ แต่ระหว่างเสียงรถลากรางโลหะ เธอกลับได้ยินเสียงกลองยามเสียดขึ้นแทรกมาในหัวอย่างดื้อดึง จังหวะนั้นเองที่เธอก้มลงมองมือขวาของตัวเอง มือที่ครั้งหนึ่งเคยถูกกุมแน่นไว้ใต้ศาลาดอกเหมย แล้วรีบชักสายตาหนี ราวกับการมองนานจะทำให้ความทรงจำกลายเป็นจริงขึ้นมาอีกประตูรถเปิด ชุดทำงานพรืดไหลลงชานชาลา เธอก้าวเร็ว ๆ ฝนเม็ดเล็กกระทบแก้ม เธอแอบขำกับตัวเอง ฝนในโลกนี้ก็เย็นเหมือนฝนในโลกนั้น แต่ทันทีที่วูบนึกถึงคำว่า “โลกนั้น” หัวใจเธอก็ร่วงวูบเหมือนยืนอยู่บนโถงหินว่างเปล่าทันทีออฟฟิศกระจกสูงสะท้อนท้องฟ้า บัตรแตะประตูดังติ๊ด ไฟสีเขียวสว่างขึ้น เธอฝืนยิ้มทักทีม“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”เธอกล่าวทักทายเพื่อนร่
เสียงพัดลมคอมหมุนเบา ๆ ภายในห้องเงียบงัน ต่างกับเมื่อครู่ที่ยังเต็มไปด้วยเสียงกลองและเสียงเอ่ยถวายบังคม เธอก้มลงกอดเข่า น้ำตาไหลพรั่งพรู“นี่มันแค่ความฝันจริง ๆ หรือว่า ข้าจะไม่ได้เจอท่านอีกแล้วใช่ไหม ท่านอ๋อง...”หน้าจอสี่เหลี่ยมวาวแสงสีฟ้าจาง ๆ สะท้อนเงาใบหน้าซีดของหลินอวิ๋นเอ๋อร์ ดวงตาแดงฉ่ำชื้นด้วยน้ำตา ขนตาเปียกชิดกันเป็นแพ เธอยังนั่งท่าเดิม มือซ้ายคาเหนือแป้นพิมพ์ มือขวาวางทับเมาส์ เหมือนโลกทั้งใบเพิ่งถูกหยุดเวลาไว้ตอนที่เธอยังหายใจเข้าไม่สุดเธอเหลือบสายตาไปมุมจอ นาฬิกาดิจิทัลบอกเวลา 03:17 น. ตัวเลขนิ่งสนิทจนทำให้หัวใจเจ็บยิ่งขึ้น เพราะเวลาตี 3 ของโลกนี้ ไม่ใช่ยามสามของวังหลังที่เธอเคยได้ยินเสียงฆ้องยามจากหอระฆังดังกังวานก้องบนหน้าจอเกมเล่ห์รักวังบุปผาค้างอยู่ที่ฉากสุดท้าย กล่องข้อความกรอบทองหม่นกึ่งโปร่งปรากฏอยู่กลางจอ ปุ่มยืนยันกะพริบเป็นจังหวะช้า ๆ เหมือนจงใจกลั่นแกล้ง สายตาเธอถูกตรึงด้วยบรรทัดเดียวที่เย็นชากว่าดาบ“จบสิ้นแล้ว”เธอขยับนิ้วโป้งไถแป้นเมาส์เล็กน้อย ความเคยชินบอกให้ลองคลิก คลิกเพื่อย้อน คลิกเพื่อหาเส้นทางลับ คลิกเพื่อเปิดอะไรสักอย่างที่พาเธอกลับไป แต่หน้าจอกลับ
ท้องพระโรงวันนี้แตกต่างจากทุกครั้ง เสียงกลองดังขึ้นสามครั้ง ฮ่องเต้เสด็จมาประทับบนบัลลังก์ ขุนนางน้อยใหญ่เรียงรายตามลำดับชั้น จ้าวเยี่ยนฝูและหลินอวิ๋นเอ๋อร์ยืนเคียงกันต่อหน้าพระพักตร์ สายตาผู้คนจับจ้องพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหมายเว่ยหลางก้าวออกมากลางลาน ก้มคำนับแล้วรายงาน“กระหม่อมได้หลักฐานยืนยันจากกรมอาญาและหมอหลวง ว่ากระปุกยาที่พบในเรือนของพระชายา ไม่ใช่ยาพิษร้ายแรง หากแต่เป็นเพียงยาล่อให้คนเข้าใจผิด อีกทั้งพบปิ่นปักผมของสาวใช้สกุลไป๋ ที่กำแพงฝั่งตะวันตก นอกจากนี้ เซวียนเอ๋อร์สาวใช้คนสนิทของคุณหนูไป๋ก็ได้สารภาพแล้วว่าทุกสิ่งที่ทำเป็นคำสั่งของนาง”เสียงฮือฮาดังก้องไปทั่วท้องพระโรง ประตูด้านข้างถูกเปิดออก ไป๋เยี่ยนหรงถูกนำตัวเข้ามา นางยังคงแต่งกายงดงามแต่ใบหน้าเคร่งเครียด สายตาแดงกร้าวจ้องหลินอวิ๋นเอ๋อร์อย่างไม่ปิดบัง“เป็นเจ้า! นังสารเลว! นังคนชั่วที่มาแย่งสิ่งที่ควรเป็นของข้า!” เสียงของนางก้องสะท้อน สั่นไปทั่วท้องพระโรงหลินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่หวั่นไหว นางก้าวออกมายืนกลางลาน ใบหน้าอ่อนโยนแต่สายตาแน่วแน่“สิ่งที่เจ้าพยายามไขว่คว้ามาแต่ต้นคือหัวใจของเขา แต่หัวใจไม่ใช่สิ่งที่จะปล้นหรือบังคั