Masuk
ชิงช้าสวรรค์ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของหญิงสาว ดวงตาคู่กลมโตของสุรางค์รัตน์เบิกกว้างยามเมื่อเห็นเครื่องจักรหมุนด้วยแรงของมือมนุษย์กำลังหมุนอย่างเชื่องช้า
“ออยดูอะไรอยู่ลูก” อมรเดช เอ่ยถามบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขา
“เปล่าค่ะพ่อ…ออยว่าจะไปดูร้านกิ๊บติดผมค่ะ” สุรางค์รัตน์เอ่ยบอกบิดาของตนเอง
“งั้นเดี๋ยวพ่อเดินไปเป็นเพื่อน” อมรเดชกล่าวพลางเดินจูงมือบุตรสาวไปยังร้านขายอุปกรณ์ทำผมที่สุรางค์รัตน์ชอบไป
“ได้มาเดินงานวัดแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะออย” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นพลางหันมามองบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนเอง
เด็กสาวตากลมโตแป๋วในวันวานถูกกาลเวลาเปลี่ยนผ่านให้เป็นหญิงสาวอายุครบยี่สิบสองปีบริบูรณ์ ผู้เป็นพ่อได้แต่ปลื้มใจอยู่ไม่น้อยที่เขาสามารถเลี้ยงสุรางค์รัตน์ให้เติบใหญ่มาได้คนเดียว
ภรรยาของเขาจากไปตั้งแต่ลูกสาวของเขาเพิ่งเข้าโรงเรียนไปได้ไม่นาน แม้กระนั้นเขาจำได้ดี สุรางค์รัตน์มักถูกล้ออยู่เป็นประจำที่ไม่มีมารดาเหมือนคนอื่นเขา
สองข้างทางเป็นร้านค้าขายหอยทอดกลิ่นควันหอมคลุ้งของอาหารจานโปรดลอยมาแตะจมูกของอมรเดช
“ออยกินหอยทอดไหมลูก” อมรเดชเสนอ
“เอาสองห่อค่ะ” สุรางค์รัตน์เอ่ยขึ้น
ไม่นานนักก็มีรถมาจอดข้างหลังของสองพ่อลูก รถยนต์สีดำคันหรูทว่าอมรเดชที่หันไปเห็นทะเบียนของรถยนต์คันนั้นพอดี ทำให้เขาตัดสินใจจับมือบุตรสาววิ่งหนีฝ่าฝูงชนเข้าไปทันที
อากัปกิริยาเมื่อครู่ทำให้ร่างสูงโปร่งที่ลอบมองกิริยาของสองพ่อลูกผ่านแว่นกันแดดสีดำยกยิ้มที่มุมปากบางอย่างสมใจ
“มันหนีไปแล้วครับนาย” เสียงเข้มของบุรุษหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างกังวลใจ
มือหนาของธนนนท์ยกขึ้นปรามลูกน้องด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก เรียวปากบางขยับเป็นคำพูดสองคำ
“จับมัน” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น
สุรางค์รัตน์กวาดสายตาไปมองรอบด้านอย่างหวาดกลัว เวลานี้เธอและพ่อของเธอถูกโจรชั่วจับตัวมา
บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับ หญิงสาวได้กลิ่นสีที่ทายังไม่เสร็จดีลอยปะทะจมูก บนฝ้าเพดานห้องมีโคมไฟเก่าคร่ำคร่าที่ปลายโคมไฟมีหยากไย่เกาะเสียจนรกรุงรัง
“ปล่อยผมนะ ผมไม่รู้เรื่อง” เสียงเข้มของอมรเดช ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นอย่างโวยวายขณะนั่งอยู่อีกฟากของฝาห้องเดียวกันกับสุรางค์รัตน์
หากสุรางค์รัตน์คาดคะเนไม่ผิดเธอเชื่อว่ากลุ่มชายฉกรรจ์ที่สวมหมวกคลุมหน้าที่จับพวกเธอมาคงเป็นผู้ทรงอิทธิพลของบิดาของเธอเป็นแน่
“เอาตัวมันมา” เสียงเข้มดังขึ้นนอกห้องของที่หญิงสาวอยู่
ประตูบานใหญ่เปิดผาง ไม่นานนักกลุ่มชายสวมโม่งก็กรูกันเข้ามาจับชายวัยกลางคนและบุตรสาวของเขา
“คุณพ่อ” เสียงของหญิงสาวเอ่ยด้วยความหวาดกลัว เวลาในหัวใจของสุรางค์รัตน์หล่นวูบไปถึงตาตุ่ม ความเย็นเหยียบแทรกผ่านหัวใจของเธอยามเมื่อได้ยินเสียงของบิดาเธอ
“ออย” อมรเดชเอ่ยเรียกชื่อหญิงสาวที่ร้องเรียกหาเขาด้วยความตกใจ
กลุ่มชายสวมโม่งสวมชุดสีดำสนิทจับสุรางค์รัตน์แยกออกจากอมรเดชได้สำเร็จ
“เดินไป” เสียงของชายในชุดสีดำสนิทเอ่ยขึ้นพลางดันหลังให้ชายวัยกลางคนเดินไปก่อน
ชายวัยกลางคนจำต้องเดินไปอย่างเสียไม่ได้ อีกใจของเขาเป็นห่วงบุตรสาวเพียงคนเดียวไม่น้อย
สุรางค์รัตน์เดินตามหลังบิดาอย่างห่าง ๆ ไปตามทางแคบเล็กอย่างจำนน ด้วยความหวาดกลัวในปืนของชายสวมโม่งที่จ่อด้านหลังของเธอ
“นั่งลง” เสียงเข้มเอ่ยบอกชายวัยกลางคนพลางหันมาทางสุรางค์รัตน์อย่างพยักพเยิดให้หญิงสาวรับรู้
หญิงสาวจำต้องนั่งลงอย่างเสียไม่ได้ สุรางค์รัตน์มองบรรยากาศรอบ ๆ ห้องอย่างตื่นตะลึง
โซฟาสีแดงขนสัตว์นุ่มฟูที่เธอกำลังนั่งอยู่นี้ หากหญิงสาวคะเนไม่ผิดนัก โซฟาตัวนี้น่าจะทำจากขนสัตว์ทั้งตัว ใครหนอช่างใจร้ายอำมหิตใจดำกับเหล่าสัตว์ที่แสนน่ารักได้มากถึงเพียงนี้
เธอชักอยากเห็นใบหน้าของคนสั่งซื้อเสียแล้วซิยังไม่ทันที่ สุรางค์รัตน์จะได้คิดอะไรต่อ ประตูบานใหญ่สลักลายวิจิตรพลันเปิดออกกว้างตามด้วยร่างสูงโปร่งที่สาวเท้าเข้ามาแล้วนั่งลงตรงหน้าอมรเดชเละสุรางค์รัตน์
สุรางค์รัตน์เงยหน้ามองไปรอบ ๆห้องที่ใหญ่โตโอ่งโถงด้วยอารมณ์สงสัยใคร่รู้ไปเสียหมด
“อะเเฮ่ม” ชายหนุ่มกระเเอมไอเพื่อเรียกสติของหญิงสาวตรงหน้าให้หันมาสบสายตาของเขา
หญิงสาวเบือนหน้ากลับมาทางเดิมพลันต้องตกใจสุดขีด ยามเมื่อเวลานี้ใบหน้าของเทพบุตรหนุ่มอยู่ใกล้เธอแค่คืบ
“ว้าย” สุรางค์รัตน์กรีดเสียงดังลั่นพลางถอยกรูดจนไปชิดพนักของโซฟาสีแดงหนานุ่มที่เธอนั่งอยู่
“นี่นะเหรอลูกสาวนาย” เสียงเข้มของชายหนุ่มหันมามองดวงหน้าหวานของหญิงสาวอย่างพินิจพิเคราะห์
“ฉันเป็นลูกสาวของเขาแล้วยังไงล่ะลุง” สุรางค์รัตน์เหลืออดในการกระทำของชายหนุ่มตรงหน้าเธอ หญิงสาวเลิกคิ้วตามประสาคนเลือดร้อนอย่างยียวน
ตั้งแต่เกิดมาธนนนท์ไม่เคยเห็นสตรีคนไหนมีกิริยาหยาบกระด้างเช่นเธอมาก่อน แม้แต่เส้นผมของหญิงสาวยังยุ่งเหยิงฟูฟ่องเสียจนธนนนท์แอบถอนหายใจ
“เธอเรียกใครว่าลุงหะ” เสียงเข้มของธนนนท์เอ่ยขึ้นอย่างฉุนเฉียว
“หมาละมั้ง” สุรางค์รัตน์เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหวว
“ไหนหมา” ธนนนท์เหลืออด ชายหนุ่มเถียงหญิงสาวกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“ก็นายไง” หญิงสาวยกมือเท้าสะเอวพลางพยักเพยิกดวงหน้าง้ำไปทางชายหนุ่ม
ธนนนท์ ชายวัยกลางคนก้มลงมองตนเองอย่างไม่เชื่อสายตาว่าลูกสาวของลูกหนี้จะปากคอเราะร้ายได้มากมายขนาดนี้ เขากัดฟันกรอดอย่างลืมตัว
ดวงหน้าของหญิงสาวในเวลานี้ไร้ซึ่งการแต่งแต้มสีสันฉูดฉาดเสมือนสตรีคนอื่น ๆ ที่เขาเคยได้เจอ
ธนนนท์ลอบมองริมฝีปากของหญิงสาวชวนหลงใหลอย่างกรุ่นไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด
08.00 น.แสงแดดยามเช้าสาดท้องเวหาให้กลายเป็นสีฟ้าสดใส ท้องฟ้าโปร่งโล่งจนเห็นมวลหมู่เมฆที่ต่างลอยต่อแถวกันเป็นพรวน“ก๊อกๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นในขณะที่สุรางค์รัตน์หลับใหลอยู่จนแสงแดดเล็ดลอดหน้าต่างบานกว้างเข้ามาในห้องหับโอ่งโถงของหญิงสาว“คุณผู้หญิงครับ” เสียงเข้มของชายหนุ่มเอ่ยปลุกสุรางค์รัตน์ออกจากห้วงภวังค์นิทรา“ฮ้าว ตื่นแล้วๆ” สุรางค์รัตน์เอ่ยร้องตะโกนบอกเสียงที่มาปลุกเรียกหล่อนด้วยกิริยาหาวฟอด ๆ มือเรียวบางของหญิงสาวเอื้อมหมุนประตูลูกบิดออกเผยให้เห็นร่างของบอดี้การ์ดร่างกำยำยืนจังก้า ในมือของเขาถือตะกร้าใบโตอยู่ สุรางค์รัตน์ผงะ หญิงสาวเอื้อมมือมาตบหน้าตัวเองเรียกสติตนเองให้กลับมาอย่างรวดเร็ว “อะไรเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยถาม“นายให้เอามาให้คุณผู้หญิงครับ” ลูกน้องเอ่ยตอบคำถามสรรพนามคำเรียกหญิงสาวทำให้สุราค์รัตน์อดรู้สึกเก้อเขินไม่ได้ หญิงสาวแย้มรอยยิ้มละไมส่งให้บอดี้การ์ดหนุ่มคนนั้นอย่างอารมณ์ดี“เรียกออยก็ได้ค่ะ” สุรางค์รัตน์เอ่ยพลางสังเกตสีหน้าเรียบเฉยของบอดี้การ์ดหนุ่มคนนั้นอย่างแปลกใจ“นี่ครับคุณผู้หญิง” ราวกับคำพูดของสุรางค์รัตน์เป็นธาตุอากาศ บอดี้การ์ดคนนั้นยังคงเรียกเธอแบบเ
“ฉันไม่ลืมหรอก ว่าแต่นายจะให้ฉันทำอะไรบ้าง” สุรางค์รัคน์เอ่ยถามพลางลุกขึ้นยืนเท้าสะเอวใกล้เขาอย่างลืมตัวชายหนุ่มยืนขึ้นตามสุรางค์รัตน์ มือหนารั้งเอวอรชรเข้ามาใกล้ร่างสูงโปร่งพลางก้มลงกระซิบข้างหู“จะทำอะไรฉัน” สุรางค์รัตน์ร้องเสียงหลง“พูดกับผู้ใหญ่พูดให้มันน่ารักหน่อยซิคะ” ธนนนท์เอ่ยเสียงทุ้มพลางก้มลงใกล้ใบหูของหญิงสาวพวงแก้มแดงของสุรางค์รัตน์ขึ้นสีชมพูระเรื่อเจือจาง ยามเมื่อเธอได้ยินคำพูดของเจ้าหนี้หนุ่มของหล่อน“ถ้าออยพูดไม่เพราะๆนายจะทำอะไรฉัน” สุรางค์รัตน์เอ่ยถามชายหนุ่มพลางยักคิ้วให้อย่างยียวน“เด็กไม่ดีก็จะโดนตบปากค่ะ” ธนนนท์เอ่ยขึ้นพลางเชยคางมนของสุรางค์รัตน์อย่างกลั่นแกล้งนิ้วเรียวของชายหนุ่มจับคางมนเงยขึ้นแล้วประกบริมฝีปากของตนเองลงไปทันทีสัมผัสอันรุกล้ำรุนแรงของธนนนท์ไม่อาจทำให้แข้งขาของสุรางค์รัตน์ยืนได้อีกต่อไปขาของหญิงสาวอ่อนยวบ สุรางค์รัตน์อดรู้สึกตกใจราวกับคนไม่มีแรงไม่ได้ ธนนนท์ช้อนร่างของหญิงสาวขึ้นมาท่ามกลางบอดี้การ์ดลูกน้องนับสิบของเขาสุรางค์รัตน์ปล่อยให้ชายหนุ่มอุ้มหล่อนขึ้นไปยังห้องนอนชั้นบนอย่างระทดระทวย ร่างกายของหญิงร้อนระอุราวกับเวลานี้สาวเจ้าอยู่กลางทะ
ใบหน้าคมคายราวเทพบุตรมาจุติเคลื่อนเข้าใกล้ใบหน้าสวยคม ทว่าหญิงสาวที่ได้สติก่อนดันหัวชายหนุ่มออกไปอย่างแรง“ยัยออย ยัยบื้อใครอยากได้เธอกัน” ธนนนท์เอ่ยขึ้นอย่างหลุดปาก“ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มีคนแถวนี้อยากจูบออย” สุรางค์รัตน์กล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสกว่าเดิม“ยัยบ้า…ใครชอบเธอกัน” ธนนนท์เอ่ยถามหญิงสาวแล้วเขกหัวหญิงสาววัยยี่สิบสองเสียหนึ่งที“นายสิบ้า” หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปด“แล้วนี่นายมาทำไม” หญิงสาวเอ่ยถาม“เข้าบ้านได้ละ ฉันหิวแล้ว” ธนนท์เอ่ยเสียงเข้มชายหนุ่มแสร้งตีสีหน้าบึ้งตึงพลางเดินนำหญิงสาวเข้าบ้าน“อะไรของเขา” สุรางค์รัตน์บ่นอุบอิบ หากคนตัวเล็กก็ยอมตาม ‘เฮียนนท์’ ของเธอเข้าบ้านหลังโตทันทีสุรางค์รัตน์สาวเท้าก้าวฉับ ๆ ตามชายหนุ่มไปยังห้องนอนของเธอห้องโถงโอ่อ่าประดับประดาไปด้วยเครื่องเรือนสไตล์โมเดิร์นหลายหลายชิ้น หญิงสาวตาเป็นประกายยามเมื่อได้เห็นกระจกขาวบานสวยบานกว้างสลักเสลาลวดลายผีเสื้อดอมดมกุหลาบ“ต่อไปนี้ห้องนี้คือห้องนอนของเธอและฉัน” ธนนนท์กล่าวพลางเหลียวมองดูสุรางค์รัตน์ที่เอาแต่จ้องมองลวดลายของกระจกธนนนท์คลี่ยิ้มจางๆ ในท่าทีไร้เดียงสาของสุรางค์รัตน์ที่กลายมาเป็นภรรยาข้ามวันของ
สุรางค์รัตน์นั่งเงียบไปตลอดทาง รถยนต์คันหรูแล่นผ่านเข้าไปในรั้วบ้านใหม่หลังโตอย่างรวดเร็วกระจกของรถยนต์คันหนึ่งกดลงโดยนิ้วเรียวของหญิงสาว ใบหน้าสวยยื่นหน้าออกไปมองทิวทัศน์รอบบ้านอย่างตื่นตะลึงดวงตากลมโตแป๋วของหญิงสาวจับจ้องมองไปยังลานกว้างที่มีบ่อน้ำพุตั้งอยู่ เสียงน้ำซ่านกระเซ็นไม่อาจทำให้สุรางค์รัตน์ละสายตาจากลานกว้างใหญ่ได้เลย “ถึงแล้ว” ธนนนท์เอ่ยขึ้นเพื่อเรียกสติของหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลงจากรถยนต์คันหรูของเขาซะที“ที่นี่เหรอ” สุรางค์รัตน์เอ่ยถามมาเฟียหนุ่มหล่อด้วยสีหน้าตื่นตะลึง“ใช่นี่แหละบ้านใหม่ของเธอ” มาเฟียหนุ่มกล่าวพลางลอบมองอากัปกิริยาของหญิงสาวอย่างนึกขันในใจบรรยากาศรอบบ้านน่ารื่นรมย์เกินไปสำหรับสุรางค์รัตน์ เธอเพิ่งสังเกตว่าบ้านหลังนี้ใหญ่เกินกว่าจะอยู่คนเดียวได้“นี่บ้านหรือสวนสนุกนะ” สุรางค์รัตน์อดประชดประชันไม่ได้ หญิงสาวเดินไปรอบ ๆ บ้านหลังโตอย่างประหลาดใจตั้งแต่เกิดมาหญิงสาวไม่เคยเห็นบ้านรูปทรงลักษณะประหลาดตาแบบนี้ที่ไหนมาก่อน สุรางค์รัตน์อดมองบ้านทรงสี่เหลี่ยมด้วยความประหลาดใจไม่ได้อาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมคล้ายกล่องลูกบาศก์ หากแต่ขนาดยาวกว่ามากถึงเท่าตัวตั้งตระหง่
สุรางค์รัตน์อดรู้สึกร้อนวูบไปตามแขนของเธอไม่ได้ หญิงสาวรู้สึกราวกับกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านไปทั่วเรือนร่างของหล่อนสุรางค์รัตน์คลี่ยิ้มและยอมให้ชายหนุ่มพาออกมาด้านนอกแต่โดยดีราวกับเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามัน ทิ้งให้เจ้าหน้าที่ยืนมองความรักหวานชื่นของหนุ่มสาวอย่างอิจฉาตาร้อนอากาศร้อนระอุหากแต่สุรางค์รัตน์ยังอยู่ในอากัปกิริยายืนนิ่งท่ามกลางแสงแดดที่เริ่มตกกระทบหมวกของหล่อนธนนนท์กระแอมไอเล็กน้อยอย่างยั่วประสาทหญิงสาว เรียวปากบางของชายหนุ่มขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว“เซ็นสัญญาแล้วก็ขึ้นรถซิ เดี๋ยวผมไปส่ง” เสียงเข้มของชายหนุ่มเอ่ยกำชับแกมสั่ง“ไม่เป็นไรค่ะ ออยกลับเองได้” สุรงค์รัตน์เอ่ยด้วยสีหน้ามุ่ยดวงหน้าหวานงอง้ำกว่าเดิมอากัปกิริยาเมื่อครู่ของสุรางค์รัตน์ทำให้ชายหนุ่มคนที่แอบลอบมองยกยิ้มอย่างขำขัน ทว่าเวลานี้ธนนนท์จำเป็นต้องแสร้งตีหน้าบึ้งใส่หญิงสาว“เป็นสามีภรรยากันแล้วคนอื่นจะว่าไม่ดีเอาได้” เสียงเข้มเอ่ยปรามอารมณ์สุรางค์รัตน์ที่เอาแต่ใจในเวลานี้“ขึ้นรถซิ” คนร่างยักษ์เอ่ยพลางเปิดประตูรถให้สุรางค์รัตน์ด้วยสีหน้าบึ้งตึง“ก็ได้” สุรางค์รัตน์ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม หญิงสาวสาวเท้าขวาพลางก้าวขึ้นรถยนต์
“หนี้ที่คุณติดผมไว้ คุณยังไม่จ่ายผม” เสียงเข้มของชายหนุ่มตรงหน้ากดลงต่ำสุด ดวงตาของเขาทอดมองไปยังชายวัยกลางคนอย่างเหี้ยมหญิงสาวอดรู้สึกถึงรังสีอำมหิตของเขาแผ่ซ่านออกมาไม่ได้ ทว่าเขาไม่ได้มีควันสีดำเหมือนในภาพยนตร์ สุรางค์รัตน์กลับจับ ออร่าของชายหนุ่มผู้นี้ได้สีหน้าของหญิงสาวเมื่อครู่ไม่อาจทำให้เขาสงบลงได้เลย แววตาของสุรางค์รัตน์บ่งบอกว่าหวาดกลัวเขาถึงที่สุด“ส่วนหนี้ที่ก่อเพิ่มก็ยังไม่ได้ชำระ” ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าเป็นเรื่องปกติท้ายประโยคเขาเน้นเสียงต่ำกว่าเดิม“ผมเคยให้เวลาคุณมานานแล้วนะอมรเดช” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางโบกมือขึ้นเป็นสัญญาณบางอย่างภาพที่ปรากฏตรงหน้าสุรางค์รัตน์ชวนให้อารมณ์ของหญิงสาวเกรี้ยวกราดถึงขีดสุด หญิงสาวกระโดดพรวดเข้าขวางการกระทำของชายหนุ่มที่จะเดินมาถึงบิดาของเธอพอดิบพอดี“หยุดถ้านายแตะต้องพ่อฉัน ฉันจะเรียกตำรวจ” สุรางค์รัตน์เอ่ยขึ้นอย่างไม่รอรีร่างสูงโปร่งเหลียวมองสตรีร่างเล็กที่เข้าขวางทางกระสุนอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเกรงกลัวในอิทธิพลของเขาเลยสักนิดปืนกระบอกหนึ่งถูกดึงขึ้นจากด้านหลังเล็งมายังศีรษะของสุรางค์รัตน์อย่างรวดเร็ว บอดี้







