แสงดวงอาทิตย์สาดส่องลงมากระทบพื้นผิวน้ำทะเล เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งช่างเงียบสงบและไพเราะ สายลมพัดเข้ามากระทบผ้าม่านสีขาวผื่นบางพริ้วไสวตามสายลม ทว่า....มันไม่ได้ช่วยดับแรงโทสะของเจ้าบ้านเลยสักนิด
เพี๊ยะ! ฝ่ามือใหญ่ของเจ้าบ้านฟาดลงไปบนแก้มภรรยาอย่างแรง "แม่!!" " คุณสั่งสอนลูกยังไง ให้มันหลงผู้ชายขนาดนี้!! " เสียงกัมปนาทราวกับพายุตลาดลั่นใส่ภรรยา เหล่าคนงานในบ้านต่างแตกตื่นตกใจเมื่อคุณผู้หญิงของบ้านถูกทำร้าย "มันไม่แหกตาดูหน่อยเหรอ! ว่าผู้ชายคนนั้นมันคนละศาสนากับเรา!!" อัมพิกาก้าวออกจากห้องของตนหลังได้ยินเสียงโต้เถียงดังมาจากห้องโถง เธอสวมชุดส่าหรีสีขาวงาช้างลวดลายปักด้วยดิ้นทองละเอียดอ่อน ชายส่าหรีพลิ้วไหวตามจังหวะก้าวเดิน ผมสีดำขลับถูกรวบไว้หลวมๆ มีปอยผมเล็กๆร่วงหล่นคลอเคลียกับแก้มสีชมพูอ่อนที่ถูกแต่งแต้มด้วยบลัชออน มือเรียวยกชายส่าหรีขึ้นเล็กน้อยก่อนเร่งฝีเท้า หัวใจเต้นระรัวเต็มไปด้วยความตื่นตระหนัก ดวงตาสีน้ำผึ้งจับจ้องไปยังภาพตรงหน้าราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนเมื่อ ปราโมทย์ เชาฮาน บิดาของเธอกำลังตะคอกใส่มารดาเธออย่างรุนแรง มือหนาของเขาตบลงโต๊ะด้านหน้าเสียงดังสนั่น ตรงพวงแก้มของ กาญจี แต่งแต้มด้วยรอยเปื้อนแดงขนาดใหญ่ รางบอบบางในชุดส่าหรีสีชมพูสั่นสะท้านไปทั้งตัว ดวงตาสีน้ำผึ้งคู่สวยวาวโรจน์ จับแก้มแดงด้วยรอยฝ่ามืออย่างเบามือ "พอเถอะค่ะ พ่อ" ร่างเพรียวบางในชุดสีอ่อนหันไปสบตาคนเป็นพ่อ เสียงหวานกล่าวขึ้นมาอย่างโกรธเคือง เลือดในกายของเธอเย็นเฉียบ สายลมที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดกว้างไม่อาจบรรเทาความเพลิงโทสะในใจเธอได้ สายตาที่มองคนตรงหน้าดูแข็งกร้าวและเปี่ยมไปด้วยไฟโทสะ " นี่คือวิธีที่พ่อใช้แก้ปัญหาหรอคะ!! " "อามิ นี่มันไม่ใช่เรื่องของลูก กลับเข้าห้องไปซะ!!" เสียงตะคอกจากคุณปราโมทย์ ไม่สามารถทำให้อัมพิกาหวาดกลัวได้ "ทำไมจะไม่ใช่คะ นี่มันครอบครัวของหนู และหนูจะไม่ยอมให้พ่อทำร้ายแม่เป็นอันขาด!! " สองพ่อลูกจ้องตากันอย่างไม่ลดละ เธอยืนนิ่งไม่ไหวติง สองมือกำหมัดแน่นใต้ชายส่าหรีที่พริ้วไหวตามสายลมช่วยโหมกระพือเพลิงโทสะให้ลุกโชน " อัมพิกา เชาฮาน!!" " อย่ามาเรียกชื่อหนูแบบนั้นนะคะพ่อ!!..พ่อไม่มีสิทธิ์พูดกับหนูด้วยน้ำเสียงแบบนี้นะคะ!! " เธอพูดกับพ่อด้วยเสียงเย็นชา แล้วหันมาคุยกับมารดาด้วยเสียงที่อ่อนลง "แม่คะ เป็นยังไงบ่างคะ? เจ็บรึเปล่า" " แม่ไม่เป็นไรจ้ะลูก" เสียงอ่อนหวานของกาญจีตอบบุตรสาวด้วยเสียงสั่นเครือ ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยทว่ายังคงความสวยงามเอาไว้พยายามฝืนยิ้มให้บุตรสาว ทว่าในใจยังคงเจ็บปวดกับความกระทำของสามี "อย่ากังวลไปเลย แม่ไหวจ้ะ" "โอ๋กันเข้าไป! " ภาพสองแม่ลูกปลอบโยนกันช่างเป็นภาพที่บาดตาบาดใจเขาเหลือเกิน ภาพบุตรสาวประคองมารดาเอาไว้อย่างอ่อนโยน น้ำตาที่เอ่อคลอดวงตาของภรรยามันเสียดแทงหัวใจแกร่งจนย่อยยับ เสียงของเขาเป็นไปด้วยความขุ่นเคืองจนแทบระเบิดออกมา "พวกเธอสองคนจะทำเหมือนพ่อเป็นคนร้ายไปถึงไหน" ใบหน้าสวยอ่อนเยาว์ค่อยๆหันมาพลางสบตาคมกริบของคุณปราโมทย์ เสียงหวานเอ่ยขึ้นมาอย่างประชดประชัน "ที่พ่อรู้สึกแบบนี้ก็เพราะว่าพ่อทำตัวเองต่างหากค่ะ พ่อเลือกที่จะใช้ความรุนแรงแทนเหตุผล แล้วพ่อหวังอะไรล่ะคะ? คิดว่าทุกคนต้องเข้าใจพ่องั้นหรอ" ความเงียบงันเข้ามาปกคลุมทั่วทั้งห้องสิ้นเสียงของอัมพิกา คำพูดของเธอราวกับใบมีดทิ่มแทงหัวใจของปราโมทย์ สายตาคมกริบเลื่อนไปหาภรรยาที่อยู่ด้านหลังบุตรสาว จ้องมองไปยังรอยแดงตรงแก้มแววตาก็พลันวูบไหว ฝ่ามือแกร่งกำหมัดแน่นก่อนจะเดินหนีไปอีกทาง "คุณคะ...!" กาญจีร้องเรียกสามีด้วยเสียงอ่อนล้า เมื่อเห็นเขาหันหลังเดินหนีไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมามอง เสียงของเธอแฝงไปด้วยความเจ็บปวดและอ้อนวอน ทว่าคุณปราโมทย์กลับไม่ฟังอะไรเลย ร่างของเขาเดินออกไปจนแผ่นหลังกว้างลับสายตา ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนกลับคลอด้วยน้ำตาที่พรั่งพรูอย่างไม่อาจควบคุมได้ หัวใจของเธอเหมือนถูกบีบรัด น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบแก้ม ความกังวลต่อสามีและครอบครัวทำให้เธอเริ่มหน้ามืด ร่างบอบบางโอนเอนราวกับไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไป "แม่!!!" เสียงร้องของอัมพิกาดังขึ้นพร้อมกับร่างเพรียวของเธอที่พุ่งเข้ามาประคองมารดาไว้ได้ทัน ก่อนที่กาญจีจะร่วงลงไปกองกับพื้น "แม่คะ! แม่ได้ยินหนูไหม!" หญิงสาวกอดร่างของมารดาไว้แน่น ดวงตาสั่นระริกด้วยความตกใจและเป็นห่วง เธอใช้มือปัดปอยผมที่ปรกหน้ามารดาออกเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสที่แก้มซีดขาวของกาญจี กาญจีค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำมองหน้าลูกสาวด้วยความอ่อนล้า "แม่ไม่เป็นไรจ้ะลูก...แม่ไหว..." เสียงของเธอเอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ทว่าแผ่วจนแทบไม่ได้ยินเสียงของเธอเลย "แม่ไม่ต้องพูดอะไรแล้วนะคะ หนูจะพาแม่ไปพักก่อน" เธอประคองร่างของมารดาขึ้นช้า ๆ และพาเดินไปยังโซฟาใกล้ ๆ แม้มือที่ประคองร่างจะสั่นอยู่ก็ตาม ในขณะเดียวกันที่ ย่านธุรกิจ C Scheme, เมืองชัยปุระ สำนักงานใหญ่ของบริษัท Agraral Industries. ตั้งอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองใหญ่ ภายในห้องของผู้บริหารตั้งอยู่บนชั้นสูงสุดของอาคาร ตกแต่งภายในด้วยโทนสีเข้ม แบบภาพวาดศิลปะอินเดียโบราณ ผนังห้องถูกติดด้วยกระจกทำให้มองเห็นทิวทัศน์ภายนอก โต๊ะทำงานสุดหรูตั้งอยู่ตรงกลางห้อง มีชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าของห้องอยู่ในชุดสูทผูกเนคไทอย่างเนี้ยยืนมองทิวทัศน์ภายนอกด้วยสายตาเรียบนิ่ง ขณะเดียวกันความคิดของเขากลับเต็มไปด้วยแผนการบางอย่าง " เปิดตัวซะเอิกเกริกเลยนะ อัมมาวดี " ฝ่ามือแกร่งกำหนังสือพิมพ์ไว้แน่นก่อนจะฉีกมันออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ในใจของเขารู้สึกแค้นเคืองปนไปด้วยความเจ็บปวดที่อดีตคนรักทำกับเขาไว้เจ็บแสบ น้ำตาหยดนึงไหลออกมาจากดวงตาคมกริบก่อนจะถูกเจ้าของปัดออกไป ชายหนุ่มถูกคนรักหักหลัง นอกใจ จนในใจเกิดบาดแผลฉกรรจ์จนไม่สามารถรักษามันให้หายได้ ความแค้นเคืองภายในจิตใจเพิ่มขึ้นเท่าทวีเมื่อได้เห็นว่าอดีตคนรักเปิดตัวผู้ชายคนใหม่อย่างเอิกเกริก " เธอทำฉันเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส อัมมาวดี เธอก็ต้องรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน " เขาพูดกับตัวเองเสียงต่ำ การพยายามจะลืมเธอและปล่อยวางจากความแค้นที่ยังคงติดอยู่ในใจเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้ ตอนนี้เขาไม่ต้องการแค่การแก้แค้น เขาต้องการให้เธอรู้สึกถึงความสูญเสียที่เขารู้สึกเหมือนกัน "มันถึงเวลาแล้ว... อัมมาวดี" เสียงเขาพึมพำด้วยความมั่นใจ รอยยิ้มเย็นชาเริ่มปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา แผนการที่เขาวางไว้ ในที่สุดก็ได้เอาออกมาใช้เสียที เธอรักน้องสาวของเธอมากใช่ไหม.... งั้นฉันจะทำให้น้องสาวของเธอตกหลุมรักฉัน หลงฉัน เชื่อฟังฉัน และเจ็บปวดเพราะฉันบ้านเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระสายลมเย็นพัดผ่านร่างของหญิงสาวที่ออกมารับลมเล่นที่ระเบียงห้อง ดวงตาสีน้ำผึ้งทอดมองไปยังพื้นผิวของน้ำทะเลสาบที่เป็นประกายระยิบระยับใต้แสงแดด เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งเป็นจังหวะ บรรยากาศดูสงบร่มเย็น ทว่า...หัวใจของเธอกลับไม่ได้สงบเช่นบรรยากาศ นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วนับแต่วันที่เธอออกจากโรงพยาบาล ศิวะไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย จะมีเพียงแค่ส่งข้อความมากวนประสาทเป็นบางวัน เธอละสายตาจากวิวทะเลมาที่โทรศัพท์เครื่องหรูในมือ ปลายนิ้วเลื่อนปลดล็อคหน้าจอ เธอเปิดค้างอยู่ที่รายชื่อติดต่อ เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงเปิดหน้านี้ค้างไว้ แต่... อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานหมั้นของพี่สาวของเธอ และปราโมทย์พ่อของเธอก็เชิญเขามางานนี้ด้วย ซึ่งเธอไม่มั่นใจเลยว่าชายหนุ่มจะทำอะไรที่เหนือความคาดหมายหรือเปล่า"เลิกคิดเถอะ..." เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง ปลายนิ้วของเธอลูบคลำบนหน้าจอโทรศัพท์ไปมา ก่อนจะปิดหน้าจอลง หญิงสาวพยายามทำให้ใจสงบ ทว่า... ยิ่งพยายามสงบใจมากขึ้นเท่าไหร่ ความรุ่มร้อนภายในจิตใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น...ความคิดมากมายทะลักเข้ามาในหัว มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ถ้าเกิดว่า...
เมื่อชายหนุ่มออกไปแล้ว ปราโมทย์ก็อยู่เป็นเพื่อนลูกสาวอย่างเงียบๆ เขานั่งปอกผลไม้อย่างชำนาญ เก็บแอปเปิ้ลที่ถูกหั่นชิ้นอย่างสวยงามยื่นไปที่ปากของอัมพิกาอัมพิกาอ้าปากรับผลไม้ที่คนเป็นพ่อส่งให้ด้วยรอยยิ้ม หญิงสาวปิดปากเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย การที่พ่อของเธอมานั่งปอกผลไม้และป้อนเธอนั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก เพราะปกติแล้วปราโมทย์จะนั่งอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน ยกเว้นเวลาทานอาหาร "ขอบคุณนะคะพ่อ" "ขอบคุณอะไร?" น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบเฉย มือที่กำลังปอกผลไม้อยู่ถึงกับชะงัก "ก็... ขอบคุณที่ดูแลหนู แล้วก็เข้าไปช่วยหนูไงคะ" หญิงสาวเอนตัวไปซบที่แขนแกร่งอย่างออดอ้อน รู้สึกถึงฝ่ามือที่กำลังลูบผมเธออย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยหลับพริ้มรับรู้ถึงความรักของพ่อที่มีต่อเธอ "ลูกสาวตกอยู่ในอันตรายทั้งที พ่อจะอยู่เฉยได้ยังไง" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พลางดันตัวลูกสาวออกมาเบาๆ "ค่า...แล้วแม่เป็นยังไงบ้างคะ?" "ก็เรื่อยๆ... ปกติดี ไม่ได้แพ้อะไร" อัมพิกาพยักหน้า มารดาของเธออายุก็มากแล้ว แต่ดันมาตั้งครรภ์อีก ไม่รู้ว่า... น้องในครรภ์จะเป็นผู้หญิงหรือ ผู้ชายกันนะ หญิงสาวคิดขึ้นมาด้วยความสงสัย มือบางหยิบแอป
อีกด้านหนึ่งของป่า ราฟีและปราโมทย์พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เดินแกะรอยทั้งสามคนเข้ามาในป่า ที่นี่เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ทำให้ป่าที่นี่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ และมีสัตว์ร้ายชุกชุม พวกเขาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง จนกระทั่ง...ปัง! ปัง! มีเสียงปืนดังขึ้นในอีกด้านหนึ่งของป่า ทำให้พวกเขาหยุดชะงัก หัวใจของคนเป็นพ่ออย่างปราโมทย์เต้นรัวด้วยความหวาดกลัวและเป็นห่วงลูกสาวคนเล็กอย่างสุดซึ้ง เขาภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าให้พระองค์คุ้มครองลูกสาวของเขาด้วย "เร็วเข้า!" ปราโมทย์คำรามใส่เจ้าหน้าที่เสียงดังลั่น คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน เขาเดินไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ราฟีและเจ้าหน้าที่เร่งเดิมตามหลังชายหนุ่มใหญ่อย่างเร่งรีบ นักการเมืองหนุ่มรับรู้ถึงความเป็นห่วงพี่มีต่อลูกสาวคนเล็กของปราโมทย์ได้เป็นอย่างดี ทว่า...เสียงปืนที่ดังใกล้ขนาดนี้ บางทีพวกเขาอาจจะอยู่ใกล้ๆแถวนี้ก็ได้ "เดี๋ยวก่อน" ชายหนุ่มหยุดว่าที่พ่อตาเอาไว้ ใบหน้าเคร่งเครียดของเขาทำให้ปราโมทย์ถึงกับหยุดชะงัก"มีอะไร?" "เสียงปืนดังใกล้ขนาดนี้ พวกคุณคิดว่าจะเป็นพวกไหน?" น้ำเสียงเรียกเฉยของเขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเนิบนาบ ราฟีประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ หากว
"บ้าเอ๊ย!" อาร์มันสบถในลำคอ ก่อนจะพุ่งเข้าเข้าไปตวัดขาใส่คนพูดเป็นแรก ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีอาวุธครบมือ ปัง! ปัง! เสียงปืนดังก้องไปทั่วป่า กระสุนวิ่งผ่านหูในระยะประชิดจนทำให้อาร์มันเบี่ยงตัวหลบหลังต้นไม้แทบไม่ทัน เปลือกไม้แตกตามแรงปะทะ ท่อนไม้ในมือศิวะถูกเหวี่ยงออกไปผัวะ! กระทบกับร่างกายของกลุ่มชายในเครื่องแบบอย่างรุนแรง จนเซถอยไปหลายก้าว ฮาร์มันสบโอกาสก็พุ่งเข้าไปตวัดเท้ากระแทกปืนในมือศัตรูจนมันหลุดกระเด็นไป ด้านศิวะก็ไม่น้อยหนาใช้เท้าเตะเสยคางหนึ่งในนั้นจนสลบเหมือดอึก! อาร์มันรีบเข้าเตะซ้ำจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดสภาพแล้ว ก่อนจะหันหลังเข้าหากันเมื่อคนที่เหลือกระจายตัวมาล้อมพวกเขาเอาไว้ "คุณเคยแสดงละครไหม?" อาร์มันหอบหายใจหนัก พลางพูดหยอกเย้าอีกฝ่ายอย่างขี้เล่น"หึ!" ใบหน้าคมเข้มกระตุกรอยยิ้มมุมปากก่อนจะพุ่งเข้าหักแขนศัตรูไปด้านหลัง พร้อมกับรับปืนมาอยู่ในมือ ปัง! เสียงลั่นไกกระทบไหล่ของชายอีกคนดังลั่น แล้วเอี้ยวตัวไปยิงเข้าที่ลำตัวของเขาทันทีโดยใช้ร่างของเพื่อนศัตรูเป็นเกราะกำบัง "เวรเอ๊ย!... ฉันไม่ใช่นักแสดงหนังบู๊นะ" อาร์มันพึมพำเสียงเบาๆ ในใจนึกถึงหน้าลูกเมียเอาไว้เพื่อเป
หญิงสาวขยับตัวเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกถึงความฟกช้ำตามร่างกาย ดวงตาคู่สวยค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น สายตากวาดไปรอบๆด้วยความมึนงง ร่างเล็กยันตัวลุกขึ้นช้าๆ การกระทำของเธออยู่ในสายตาของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล"ตื่นแล้วสินะ" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างเนิบนาบ อัมพิกาหันไปมองทางต้นเสียง ศิวะกำลังยืนกอดอกมองหน้าเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก "..." เธอไม่ได้ตอบเขา หญิงสาวเคลื่อนตัวออกมาจากเพิง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน ทว่า... ขาทั้งสองกลับอ่อนแรงจนเธอเกือบจะล้มลง "อ๊ะ!" แต่...วงแขนแกร่งเข้ามาโอบร่างของเธอเอาไว้ก่อนที่เธอจะล้มลงกับพื้น "ระวังหน่อย" ร่างสูงเอ่ยขึ้นมาเสียงดุ ใบหน้าเคร่งขรึมของเขามองเธออย่างคาดโทษ หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น พยายามดันตัวออกมาจากอ้อมกอดของเขา แต่เรี่ยวแรงของเธอก็ช่างมีน้อยเหลือเกิน "อยู่เฉยๆ " เสียงทุ้มดุของเขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะช้อนตัวเธอขึ้นมาแนบอก ซึ่งบุคคลที่สามอย่างอาร์มันก็มองภาพตรงหน้าด้วยสายตายิ้มๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ "ไหนบอกเป็นแค่เครื่องมือไง" ผู้ช่วยหนุ่มพึมพำเสียงเบา ก่อนจะเดินเข้าหาทั้งสองคน " ให้ผมช่วยไหมครับ?" ศิวะปรายตามองอาร์มันอย่าง
"หนูผิดเอง...หนูผิดเองค่ะ" เสียงสั่นเครือของเธอเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา หญิงสาวกล่าวโทษตัวเองที่เธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวตกอยู่ในอันตราย ถ้าเธอ...ไม่เข้าไปช่วยแม่ค้าคนนั้น น้องสาวของเธอคงจะยืนอยู่ตรงนี้"มันไม่ใช่ความผิดของคุณ อามู" ราฟีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่า...คำอธิบายของชายหนุ่มกลับทำให้อีกคนเดือดดาล และรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเมื่อเรื่องที่ทำให้ลูกสาวของเขาถูกตามล่ามันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง"เพราะแค่เรื่องหยุมหยิมพวกนี้ พวกมันถึงกับตามล่าลูกสาวฉันเลยหรอ" ปราโมทย์แทบสบถออกมา เสียงเย็นเยียบของเขากล่าวออกมาจนราฟีเองก็สัมผัสได้ถึงแรงโทสะที่กำลังปะทุอยู่ในใจของชายสูงวัย "ใช่ครับ" ชายหนุ่มตอบสั้นๆ "พวกมันไม่ใช่แค่เป็นพ่อค้าคนกลางธรรมดา แต่ว่าพวกมันมีเบื้องลึกมากกว่านั้น พวกมันมีเส้นสายกับนักการเมืองท้องถิ่นบางคนและจ่ายส่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เลยไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เท่าไหร่" "แล้วไอ้คนที่ถูกคุมตัวอยู่มันพูดว่าอะไรบ้าง?" เขาถามกลับ "ตอนแรกก็ไม่ยอมพูดอะไรครับ แต่ว่าพอใช้วิธีนิดหน่อย พวกมันก็เลยยอมพูด" ราฟีหรี่ตามองบิดาของคนรัก พลางยิ้มมุมปากเล็