กลับมาที่ปัจจุบัน
หญิงสาวในชุดส่าหรีสีฟ้ากลับเข้ามาในบ้าน ร่างเพรียวเดินเข้ามาในบ้านอย่างช้าๆ ในใจมีแต่ความรู้สึกผิด ที่เธอได้ทำผิดต่อคนรัก " พี่อามู พี่เป็นอะไร" "อามิ...พี่" อัมมาวดีลังเลที่จะพูดเพราะเธอรู้ว่าน้องสาวของเธอนั้นเคารพศิวะเหมือนดั่งพี่ชายแท้ๆ "คะ?." "พี่กับศิวะเราเลิกกันแล้ว" "ฮะ.." ในที่สุดอัมมาวดีก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้น้องสาวฟังรวมไปถึงเรื่องที่เธอแอบคบหาราฟีตอนที่ยังคบกับศิวะอยู่ด้วย "พี่อามู! พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง...พี่บอกเลิกพี่ศิวะเพื่อไปคบกับผู้ชายที่เพิ่งเจอได้ยังไง" อัมพิกาโวยวายเสียงดัง "อามิ ฟังพี่ก่อน พี่ไม่ได้ทำอะไรผิด ราฟีไม่ใช่คนเลว เขาทำให้พี่รู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย" "แล้วพี่ศิวะล่ะคะ" "พี่ไม่ได้รักเขาแล้ว อีกอย่างพวกเราก็ไม่เหมาะสมกัน" อัมพิกายืนนิ่งไปชั่วขณะหลังจากได้ยินคำพูดของพี่สาว น้ำเสียงที่แฝงความแน่วแน่ของอัมมาวดีสะท้อนถึงการตัดสินใจที่ชัดเจน ทว่าในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง “พี่อามู...พี่เคยคิดถึงความรู้สึกของพี่ศิวะบ้างไหมคะ? ผู้ชายที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อพี่...”น้ำเสียงของอัมพิกาแผ่วลง ดวงตาคู่สวยฉายแววผิดหวัง หญิงสาวไม่เคยเลยว่าพี่สาวของเธอจะลุ่มหลงชายที่พึ่งเจอได้ไม่นาน อัมมาวดีเบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่าง เธอไม่กล้าสบตาน้องสาวที่กำลังตัดพ้อต่อว่าเธอ “พี่คิดถึง...แต่คนเราจะฝืนความรู้สึกตัวเองไปได้นานแค่ไหนล่ะอามิ? ถ้าพี่ไม่มีความสุข การอยู่กับเขาก็ไม่ต่างจากการหลอกตัวเอง” อัมมาวดีแย้งในมุมของเธอ “แต่พี่ศิวะ...เขารักพี่มากนะคะ เขาไม่สมควรได้รับการทรยศแบบนี้” คำว่า ทรยศ ทำให้หญิงสาวชะงัก เธอรู้ดีว่าสิ่งที่เธอทำผิด แต่จะให้เธอทำยังไงในเมื่อเธอหมดรักศิวะแล้ว “อามิ... พี่ขอโทษ แต่พี่ก็ต้องเลือกชีวิตของตัวเองเหมือนกัน ศิวะเขาเป็นคนดี แน่นอนว่ามีผู้หญิงที่ดีกว่าพี่มากมายรอที่จะรักเขาอยู่” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ อัมพิกาถอนหายใจหนัก เธอกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าฝ่ามือ “งั้นพี่ก็เลือกไปเลยค่ะ” อัมพิกาหันหลังให้พี่สาว ดวงตาของเธอเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา “แต่อย่าคิดว่าพี่จะไม่ต้องรับผลของการเลือกครั้งนี้นะคะ ผู้ชายคนนั้นเพิ่งเข้ามาในชีวิตพี่ได้ไม่นานพี่ก็ตัดสินใจทิ้งผู้ชายที่ดีที่สุดที่อยู่กับพี่มาตั้งห้าปี ฉันไม่เชื่อเด็ดขาดค่ะว่าผู้ชายคนนั้นเป็นผู้ชายที่ดี” อัมมาวดีมองตามแผ่นหลังของน้องสาวที่เดินห่างออกไป น้ำตาไหลรินอาบแก้ม เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอทำกำลังทำลายความเชื่อใจและความสัมพันธ์กับน้องสาวที่รักเธอมากที่สุด หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ในห้องโถง ความเงียบงันค่อยๆโอบล้อมตัวเธอท่ามกลางแสงอาทิตย์ค่อยๆลอยลับขอบฟ้า “ฉันเลือกทางเดินนี้เอง... แต่ทำไมมันถึงเจ็บปวดนักล่ะ” จากที่เธอคิดว่าอัมพิกาจะเป็นคนที่เข้าใจเธอมากที่สุด ว่าทำไมเธอถึงเลือกราฟีมากกว่าที่จะเป็นศิวะ เธอไม่เข้าใจทำไมน้องสาวของเธอถึงคิดว่าเธอตัดสินใจเลือกสิ่งที่ผิดพลาดให้กับตัวเองล่ะ.. น้ำตารินไหลออกจากดวงตาคู่สวย ที่ตอนนี้บอบช้ำอย่างน่าสงสาร เธอยกมือกุมขมับอย่างคิดไม่ตกพลางร้องไห้ออกมาเสียงดัง เสียงร้องไห้ของเธอดังไปถึงหูของคนที่พึ่งหันหลังเดินจากมา อัมพิกาเดินออกมาได้ไม่ไกลก็ทรุดลงทันที หญิงสาวรู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้พี่สาวเลย อัมมาวดีกับศิวะเป็นคนที่เธอรักและเคารพมากที่สุด เธอไม่นึกเลยว่าวันนึงทั้งสองจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเพราะพี่สาวของเธอเปลี่ยนใจไปชอบคนอื่นอย่าง ราฟี เชค เธอนั่งอยู่ที่โซฟาไม่ไกลจากพี่สาวนัก ดวงตากลมโตที่เคยเปล่งประกายสดใสตอนนี้กลับหม่นหมองอย่างน่าใจหาย ร่างอรชรจมอยู่ในเกลียวคลื่นแห่งความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาในใจ น้ำตาเอ่อคลอเบ้าตา อัมพิการักศิวะเหมือนพี่ชายของเธอคนนึง เขาเป็นคนที่คอยดูแลและปกป้องเธอ ให้คำปรึกษา ปลอบโยนเธอในวันที่เธอต้องการกำลังใจ ขณะเดียวกันเธอก็รักพี่สาวมาก พี่สาวเป็นคนสมบูรณ์แบบสำหรับเธอ เป็นคนที่มั่นคง และเชื่อในความรัก ทั้งสองคนรักกันมากราวกับว่าทั้งคู่ใช้หัวใจดวงเดียวกัน "ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้..?" หญิงสาวตั้งคำถามกับตัวเอง พลางมองไปทางอัมมาวดี พี่สาวที่เธอรักมากที่สุด เสียงร้องไห้ของพี่สาวเสียดแทงหัวใจเธอ ไหล่ที่บอบบางสั่นไหว พี่สาวแสนสวยของเธอกำลังร้องไห้อย่างหนัก "ทำไมพี่ถึงรักเขาล่ะ..ฮึก!...ทำไมถึงเปลี่ยนใจ" ราฟี...เชค ชื่อนี้แค่ได้ยินอัมพิกาก็เบือนหน้าหนี นักธุรกิจหนุ่มชื่อดังจากเมืองมุมไบ แล้วว่าที่นักการเมือง หนุ่มหล่อเจ้าเสน่ห์ ไม่สิ...เขามันเจ้าชู้ตัวพ่อ ราฟีเป็นเสือผู้หญิง พี่สาวของเธอจะต้องตกหลุมพรางของเขาแน่ เขาอาจจะดูดี เจ้าเสน่ห์ มีฐานะและอำนาจ ที่สำคัญแววตาของเขาที่มองพี่สาวเธอในวันนั้น เธอไม่เคยลืม “พี่อามู...” อัมพิกาเดินเข้าไปหาพี่สาว ยิ่นจับไหล่บอบบางของเธออย่างแผ่วเบา "พี่...ช่วยตอบคำถามฉันซักหน่อยได้ไหม" "ได้สิ..เธอจะถามอะไร" อัมมาวดียกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลนองหน้า "พี่รักเขาอย่างนั้นหรอคะ ผู้ชายคนนั้น" หญิงสาวถามคำถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ใช่..พี่รักเขา...มันไม่เหมือนความรักที่ผ่านมาของพี่" อัมมาวดีชะงักไปครู่นึงก่อนจะตอบออกไป เมื่อพูดถึง ราฟี เชค สายตาของเธอเต็มไปด้วยความรักและความหลงใหล "เธอ...เชื่อพี่สักครั้ง ขอแค่เธอเชื่อพี่ พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ตัดสินใจผิดพลาด ราฟีคือคนที่พี่อยากใช้ชีวิตร่วมกับเขาไปชั่วชีวิต ชื่อพี่สักครั้งเถอะนะอามิ" ดวงตาคู่สวยมองใบหน้าน้องสาวด้วยสายตาเว้าวอน น้ำเสียงปริ่มจะขาดใจของพี่สาวทำให้อัมพิกาค่อยๆทำจะยอมรับ "ค่ะ ฉันจะเชื่อพี่สักครั้ง " "ขอบคุณนะ! ขอบคุณจริงๆ! " อัมมาวดีโผเข้ากอดน้องสาวด้วยความโล่งใจและดีใจ รอยยิ้มหวานชวนใจสั่นไหวของพี่สาวทำให้อัมพิกาใจอ่อนยวบยาบก่อนจะเผลอยิ้มออกมายังอ่อนโยน หวังว่า...การตัดสินใจของพี่สาวของเธอในครั้งนี้แต่เป็นการสินใจที่ถูกต้องนะ....แสงดวงอาทิตย์สาดส่องลงมากระทบพื้นผิวน้ำทะเล เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งช่างเงียบสงบและไพเราะ สายลมพัดเข้ามากระทบผ้าม่านสีขาวผื่นบางพริ้วไสวตามสายลม ทว่า....มันไม่ได้ช่วยดับแรงโทสะของเจ้าบ้านเลยสักนิด เพี๊ยะ! ฝ่ามือใหญ่ของเจ้าบ้านฟาดลงไปบนแก้มภรรยาอย่างแรง "แม่!!" " คุณสั่งสอนลูกยังไง ให้มันหลงผู้ชายขนาดนี้!! " เสียงกัมปนาทราวกับพายุตลาดลั่นใส่ภรรยา เหล่าคนงานในบ้านต่างแตกตื่นตกใจเมื่อคุณผู้หญิงของบ้านถูกทำร้าย "มันไม่แหกตาดูหน่อยเหรอ! ว่าผู้ชายคนนั้นมันคนละศาสนากับเรา!!" อัมพิกาก้าวออกจากห้องของตนหลังได้ยินเสียงโต้เถียงดังมาจากห้องโถง เธอสวมชุดส่าหรีสีขาวงาช้างลวดลายปักด้วยดิ้นทองละเอียดอ่อน ชายส่าหรีพลิ้วไหวตามจังหวะก้าวเดิน ผมสีดำขลับถูกรวบไว้หลวมๆ มีปอยผมเล็กๆร่วงหล่นคลอเคลียกับแก้มสีชมพูอ่อนที่ถูกแต่งแต้มด้วยบลัชออน มือเรียวยกชายส่าหรีขึ้นเล็กน้อยก่อนเร่งฝีเท้า หัวใจเต้นระรัวเต็มไปด้วยความตื่นตระหนัก ดวงตาสีน้ำผึ้งจับจ้องไปยังภาพตรงหน้าราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนเมื่อ ปราโมทย์ เชาฮาน บิดาของเธอกำลังตะคอกใส่มารดาเธออย่างรุนแรง มือหนาของเขาตบลงโต๊ะด้านหน้าเสียงดังสนั่น ตรงพวงแก
บ้านเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระ บรรยากาศยามเย็นในบ้านเชาฮานเต็มไปด้วยความเงียบงันและอึมครึม หลังจากเหตุการณ์ทะเลาะกันเมื่อช่วงสาย อัมพิกายังคงเป็นกังวลเรื่องอาการของมารดา แม้ว่าแม่ของเธอจะยืนยันว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมาก แต่แววตาที่ดูอ่อนล้าของกาญจีกลับทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ"แม่นั่งพักตรงนี้ก่อนนะคะ" หญิงสาวบอกกับมารดาก่อนจะตัดสินใจโทรหาคุณหมอประจำตระกูล "หมอศานนท์ ปัทมกุล" ชายวัยกลางคนที่มีความรู้และประสบการณ์ในการรักษา และยังเป็นคนที่ครอบครัวเชาฮานไว้ใจมาอย่างยาวนาน( ฮัลโหล) เสียงแหบทุ้มดังขึ้นจากปลายสาย ( สวัสดีค่ะ คุณลุง หนูเองค่ะ อัมพิกา ) ( คุณลุงคะ คุณลุงช่วยมาตรวจดูคุณแม่ให้หนูหน่อยได้ไหมคะ พอดีว่าคุณแม่ท่านเป็นลมน่ะคะ ) ( ได้สิ เดี๋ยวอีกสักพักลุงเข้าไปนะ ) ( ค่ะคุณลุง ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ) พูดจบเธอก็ตัดสายไป อัมพิกาเดินเข้ามาดูกาญจีที่นั่งอ่อนแรงอยู่ในห้องนั่งเล่น" เป็นยังไงบ้างคะแม่ " " แม่ไม่เป็นอะไร อีกสักพักแม่ก็หาย" เสียงอ่อนแรงของมารดาทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น กาญจีเอามือไปแตะมือลูกสาวเบาๆ เธอไม่อยากให้ลูกสาวต้องเป็นกังวลเพราะเธอ " อามิ เชื่อแม่นะลูก " " ไม่เชื่อได
ภายในคฤหาสน์ตระกูลเชาฮาน ที่ตกแต่งด้วยผ้าไหมสีทองและแดงเข้ม ประดับด้วยดอกไม้หลากสีเรียงรายตลอดแนวระเบียง กลิ่นกำยานอ่อนๆ หอมอบอวลทั่วงานโถงใหญ่ แสงไฟจากโคมระย้ากระทบกับเครื่องประดับอันหรูหรา สร้างบรรยากาศอันโอ่อ่าศิวะปรากฏตัวในชุดโจฎปุรีประดับลวดลายทองอันวิจิตร บ่งบอกถึงความสง่างามและฐานะที่น่าเกรงขาม เสื้อคลุมของเขาถักทอด้วยผ้าชั้นดีตัดเย็บอย่างประณีต มีลวดลายราชสีห์อันทรงอำนาจ เขาก้าวเข้ามาในงานอย่างสง่าผ่าเผย ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาที่หน้าทางเข้างาน อัมมาวดีและอัมพิกา ลูกสาวทั้งสองของตระกูลเชาฮาน ยืนต้อนรับแขกด้วยรอยยิ้มอัมมาวดีอยู่ในชุดส่าหรีสีแดงเข้มปักลายทองละเอียดอ่อน ผ้าอาภรณ์สะท้อนแสงไฟระยิบระยับ ทรงผมเกล้ามวยสูง ตกแต่งด้วยดอกมะลิสดและจิวเวลรีที่ทำจากเพชรน้ำงาม ดูงดงามราวกับนางพญาอัมพิกาแต่งกายในชุดเลเฮนกาสีชมพูพีชประดับด้วยงานปักสีเงิน เสื้อครอปเข้ารูปเผยให้เห็นความอ่อนหวานของวัยสาว เธอประดับสร้อยคอพลอยสีชมพูเข้ากับต่างหูระย้าเข้ากับดวงตาสีน้ำผึ้งประกายสดใสของเธอ สองพี่น้องยืนเคียงกันเป็นภาพที่งดงามประหนึ่งนางเทพีแห่งความงามประจำค่ำคืน สร้างความประทับใจให้แขกเหรื่อที่เ
ชายวัยกลางคนในชุดชุดเชอร์วานีสีดำประดับลวดลายปักทองสะท้อนแสงไฟระยิบระยับจากโคมระย้าขนาดใหญ่กลางงาน ปราโมทย์ยิ้มทักทายแขกในงานอย่างเป็นมิตร " ยินดีนะคะคุณปราโมทย์ " "ขอบคุณครับ ขอบคุณที่มางาน" เขายกมือไหว้แขกทุกคนอย่างให้เกียรติ ปรายตามองงานที่ตกแต่งด้วยมาลัยดอกมะลิและกุหลาบสีแดงสด เสียงดนตรีแบบคลาสสิกอินเดียจากวงดนตรีสดช่วยสร้างบรรยากาศให้รื่นเริง ของทุกชิ้นในงานเขาเป็นคนเลือกเองกับมือ แสงไฟสาดส่องลงมาบนทางเดิน ร่างบอบบางในชุดเลห์งาร์สีทองประดับด้วยดอกไม้มุกสีขาวนวล สวมใส่เครื่องประดับสีทองตัดกับชุด เข็มขัดประดับเพชรสวยงามคาดอยู่ที่เอวส่งเสริมให้เธอดูโดดเด่น กาญจีเดินมาพร้อมลูกสาวทั้งสองคอยประคองเดินลงบันไดมาอย่างช้าๆ เดินย่างกรายมายังเก้าอี้ตัวยาวประดับด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ชนิดอย่างสวยงาม ร่างงามหย่อนตัวลงนั่งโดยมีลูกสาวประคองเอาไว้ แขกที่รอมอบของขวัญต่างมองด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะทยอยเดินเข้ามามอบของขวัญและคำอวยพรให้เธอ เสียงของดนตรีพื้นเมืองดังขึ้นเป็นระยะสร้างบรรยากาศให้รื่นเริงและอบอุ่น " คุณนาย ขอให้มีความสุขนะคะ " รอยยิ้มสวยปรากฏบนใบหน้า " คุณกาญจี ขอให้เด็กคนนี้เกิด
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา แขกทุกคนทยอยกลับบ้านจนเกือบหมด อัมพิกายืนส่งแขกคนสุดท้ายด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน " ขอบคุณที่มานะคะ" เสียงนุ่มนวลกล่าวลาแขกคนสุดท้าย ความเหนื่อยล้าแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ งานในวันนี้กินพลังเธอไปหมดสิ้น เสียงดนตรีรื่นเริงที่ได้ยินก่อนหน้าตอนนี้กลับเงียบเชียบ หญิงสาวนั่งลงที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ภาพเหตุการณ์บนระเบียงในตอนนั้นก็กลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง "พี่ศิวะ " อัมพิกาหลับตาลง พลางยกมือนวดขมับเบาๆ ผู้ชายที่เธอเคารพรักเหมือนพี่ชายแท้ๆในตอนนี้กลายเป็นคนที่เธอไม่รู้จัก ทั้งเย็นชา แข็งกระด้าง ปากร้าย ผู้ชายที่อ่อนโยนในตอนนั้นหายไปไหนแล้ว แสงจากโคมไฟระย้าสาดส่องลงมากระทบกับชุดสวยงามของเธอ ร่างอรชรนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องนั่งเล่น สายลมอ่อนๆพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง กลิ่นหอมจากดอกไม้ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย _วันนี้อากาศหนาว อย่าลืมกินน้ำอุ่นด้วยล่ะ_เสียงอ่อนโยนของชายหนุ่มดังขึ้นมาในหัว ศิวะในตอนนั้นช่างดูอบอุ่น ทั้งน้ำเสียง แล้วแววตา อีกทั้งความรักในดวงตาของเขาที่มองพี่สาวของเธอมันช่างมั่นคง อ่อนหวาน พวกเขาเดินเคียงคู่กันมา
แสงแดดอ่อนในยามเช้าสาดส่องผ่านผ้าม่านแพรสีครีมที่พริ้วไหวทางสายลม ภายในห้องสีขาวมุกที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเครื่องไม้แกะสลักลวดลายสวยงาม พื้นกระเบื้องลายหินอ่อนถูกปูด้วยพรหมทอมือลวดลายวิจิตรบรรจงสร้างบรรยากาศให้ดูอ่อนหวานและสวยงาม เตียงคิงไซส์ถูกคลุมด้วยผ้าปูที่นอนสีชมพูอ่อนที่ปักลวดลายดอกไม้ด้วยด้ายสีทองเข้ากันกับบรรยากาศห้องอย่างลงตัว หญิงสาวเจ้าของห้องยืนอยู่ตรงกระจกบานใหญ่ พลางยกมือขึ้นหวีผมยาวสลวยจนถึงบั้นเอว สวมใส่ชุดอานาร์กาลีสีฟ้าอ่อนประดับด้วยลูกปัดสีน้ำเงิน ที่ทำมาจากผ้าไหมเนื้อบางพริ้วไหวเวลาขยับตัว ตัวชุดคลุมไปถึงข้อเท้า ด้านในสวมใส่เลกกิ้งเพื่อความเรียบร้อย ทับด้วยส่าหรีสีขาวปักด้วยดิ้นทองอ่อนๆบางๆ คลุมพาดบนไหล่ ทำให้เธองดงามราวกับเทพธิดา หญิงสาวหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อเช็คความเรียบร้อย ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เสียงกระพรวนที่ข้อเท้าดังกระทบกันอย่างไพเราะ เดินผ่านห้องโถงไปยังห้องรับประทานอาหารของครอบครัว ห้องกว้างขวางถูกตกแต่งด้วยกระจกเงาแกะสลักสวยงาม โต๊ะไม้สักยาวถูกปูด้วยค่าปักลายสีทอง บนโต๊ะถูกวางด้วยชุดเครื่องถ้วยที่ทำมาจากกระเบื้องเคลือบ และประดับด้วยแจกันหินอ่อนท
ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิทเดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสง่างาม ดวงตาสีนิลมองไปรอบๆร้านอย่างคุ้นเคย งานศิลปะของอดีตคนรักถูกออกแบบอย่างปราณีตและถูกสวมใส่โดยหุ่นจำลอง ผ้าไหมและส่าหรีเต็มไปด้วยสีสันงดงามและมีความหรูหรา พลันสายตาก็สะดุดกับหญิงสาวในชุดส่าหรีสีแดงเข้มเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ " คุณมาขอพบฉันมีอะไรหรือเปล่าคะ ศิวะ" ดวงตาสีน้ำผึ้งอ่อนของหญิงสาววูบไหวเล็กน้อย เธอซ่อนความรู้สึกผิดเอาไว้ในใจ น้ำเสียงอ่อนหวานสั่นเครือช่วงท้ายประโยค " ผม...อยากได้ส่าหรีให้แม่สักชุด กำลังจะถึงวันเกิดของท่านแล้วผมก็อยากให้อะไรที่มันพิเศษ " ชายหนุ่มบอกหญิงสาวเสียงนุ่ม พลางมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาคนึงหา ในใจของเขาก็พลันรู้สึกเจ็บปวด คนที่เคยอยู่เคียงข้าง เคยใกล้ชิด เคยได้รัก ตอนนี้เธอก็เดินไปเคียงข้างคนอื่นเสียแล้ว " จริงด้วย ถ้างั้นฉันจะเป็นคนตัดส่าหรีให้คุณป้าเองค่ะ รับรองว่าเสร็จก่อนวันงานแน่ๆ" เสียงหวานกล่าวกับชายหนุ่มอย่างมั่นเหมาะ ถึงอย่างไรมารดาอีกฝ่ายก็ดีกับเธอมาก อัมมาวดีอยากให้ของขวัญชิ้นนี้พิเศษกว่าทุกชิ้น " รบกวนหรือเปล่า" "ไม่หรอกค่ะ วันเกิดคุณป้าทั้งที" รอยยิ้มสดใสปรากฏบนดวงหน้าหวาน ศิว
งานวันเกิดของศุมิตรา อัคราวัล ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมกับเป็นภรรยาของคุณนารายณ์ อดีตประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ก่อนจะวางมือให้ลูกชายมาบริหารแทนทั้งหมด เขากลับไปบริหารโรงงานสินค้าเล็กๆของเขตอุตสาหกรรม งานถูกจัดขึ้นที่ห้องบอลรูมขนาดใหญ่ของโรงแรมหรู ในเมืองชัยปุระ ถูกจัดขึ้นอย่างงดงามและหรูหรา เพดานสูงโปร่งประดับด้วยโคมไฟคริสตัลที่เปล่งประกายสวยงาม ริมกำแพงแต่ละด้านถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาวและสีทอง เป็นดอกไม้ราคาสูงและเป็นที่นิยมสำหรับชนชั้นสูง และมีการจัดโต๊ะเป็นลักษณะวงกลม กลางห้องถูกประดับด้วยพรมแดงและโตขนาดใหญ่ถูกตั้งไว้กลางห้องถูกวางด้วยเค้กวันเกิดขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งมาอย่างสวยงาม แขกทุกคนทยอยกันมาร่วมงานกันอย่างคึกคัก รวมไปถึงครอบครัวเชาฮานที่ส่งลูกสาวทั้งสองมาร่วมงานด้วย "เธอ...คุณอัมมาวดี แฟนเก่าลูกชายเจ้าของงานก็มาร่วมงานด้วยนะ" " จริงหรอ ฉันว่าข่าวลือที่เขาจบกันไม่ดีคงไม่ใช่เรื่องจริงหรอกมั้ง " " ใครบอกกันล่ะเธอ ฉันว่าพวกเขาสร้างภาพกันมากกว่า" เสียงซุบซิบจากแขกรอบด้านดังขึ้นเป็นระยะ ทำให้สองพี่น้องตระกูลเชาฮานรู้สึกไม่ดีอยู่เล็กน้อยที่พวกเธอเป็นที่สนใจสำหรับแขกในงาน"ดีใจที่คุณมา
บ้านเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระสายลมเย็นพัดผ่านร่างของหญิงสาวที่ออกมารับลมเล่นที่ระเบียงห้อง ดวงตาสีน้ำผึ้งทอดมองไปยังพื้นผิวของน้ำทะเลสาบที่เป็นประกายระยิบระยับใต้แสงแดด เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งเป็นจังหวะ บรรยากาศดูสงบร่มเย็น ทว่า...หัวใจของเธอกลับไม่ได้สงบเช่นบรรยากาศ นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วนับแต่วันที่เธอออกจากโรงพยาบาล ศิวะไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย จะมีเพียงแค่ส่งข้อความมากวนประสาทเป็นบางวัน เธอละสายตาจากวิวทะเลมาที่โทรศัพท์เครื่องหรูในมือ ปลายนิ้วเลื่อนปลดล็อคหน้าจอ เธอเปิดค้างอยู่ที่รายชื่อติดต่อ เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงเปิดหน้านี้ค้างไว้ แต่... อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานหมั้นของพี่สาวของเธอ และปราโมทย์พ่อของเธอก็เชิญเขามางานนี้ด้วย ซึ่งเธอไม่มั่นใจเลยว่าชายหนุ่มจะทำอะไรที่เหนือความคาดหมายหรือเปล่า"เลิกคิดเถอะ..." เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง ปลายนิ้วของเธอลูบคลำบนหน้าจอโทรศัพท์ไปมา ก่อนจะปิดหน้าจอลง หญิงสาวพยายามทำให้ใจสงบ ทว่า... ยิ่งพยายามสงบใจมากขึ้นเท่าไหร่ ความรุ่มร้อนภายในจิตใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น...ความคิดมากมายทะลักเข้ามาในหัว มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ถ้าเกิดว่า...
เมื่อชายหนุ่มออกไปแล้ว ปราโมทย์ก็อยู่เป็นเพื่อนลูกสาวอย่างเงียบๆ เขานั่งปอกผลไม้อย่างชำนาญ เก็บแอปเปิ้ลที่ถูกหั่นชิ้นอย่างสวยงามยื่นไปที่ปากของอัมพิกาอัมพิกาอ้าปากรับผลไม้ที่คนเป็นพ่อส่งให้ด้วยรอยยิ้ม หญิงสาวปิดปากเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย การที่พ่อของเธอมานั่งปอกผลไม้และป้อนเธอนั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก เพราะปกติแล้วปราโมทย์จะนั่งอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน ยกเว้นเวลาทานอาหาร "ขอบคุณนะคะพ่อ" "ขอบคุณอะไร?" น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบเฉย มือที่กำลังปอกผลไม้อยู่ถึงกับชะงัก "ก็... ขอบคุณที่ดูแลหนู แล้วก็เข้าไปช่วยหนูไงคะ" หญิงสาวเอนตัวไปซบที่แขนแกร่งอย่างออดอ้อน รู้สึกถึงฝ่ามือที่กำลังลูบผมเธออย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยหลับพริ้มรับรู้ถึงความรักของพ่อที่มีต่อเธอ "ลูกสาวตกอยู่ในอันตรายทั้งที พ่อจะอยู่เฉยได้ยังไง" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พลางดันตัวลูกสาวออกมาเบาๆ "ค่า...แล้วแม่เป็นยังไงบ้างคะ?" "ก็เรื่อยๆ... ปกติดี ไม่ได้แพ้อะไร" อัมพิกาพยักหน้า มารดาของเธออายุก็มากแล้ว แต่ดันมาตั้งครรภ์อีก ไม่รู้ว่า... น้องในครรภ์จะเป็นผู้หญิงหรือ ผู้ชายกันนะ หญิงสาวคิดขึ้นมาด้วยความสงสัย มือบางหยิบแอป
อีกด้านหนึ่งของป่า ราฟีและปราโมทย์พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เดินแกะรอยทั้งสามคนเข้ามาในป่า ที่นี่เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ทำให้ป่าที่นี่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ และมีสัตว์ร้ายชุกชุม พวกเขาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง จนกระทั่ง...ปัง! ปัง! มีเสียงปืนดังขึ้นในอีกด้านหนึ่งของป่า ทำให้พวกเขาหยุดชะงัก หัวใจของคนเป็นพ่ออย่างปราโมทย์เต้นรัวด้วยความหวาดกลัวและเป็นห่วงลูกสาวคนเล็กอย่างสุดซึ้ง เขาภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าให้พระองค์คุ้มครองลูกสาวของเขาด้วย "เร็วเข้า!" ปราโมทย์คำรามใส่เจ้าหน้าที่เสียงดังลั่น คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน เขาเดินไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ราฟีและเจ้าหน้าที่เร่งเดิมตามหลังชายหนุ่มใหญ่อย่างเร่งรีบ นักการเมืองหนุ่มรับรู้ถึงความเป็นห่วงพี่มีต่อลูกสาวคนเล็กของปราโมทย์ได้เป็นอย่างดี ทว่า...เสียงปืนที่ดังใกล้ขนาดนี้ บางทีพวกเขาอาจจะอยู่ใกล้ๆแถวนี้ก็ได้ "เดี๋ยวก่อน" ชายหนุ่มหยุดว่าที่พ่อตาเอาไว้ ใบหน้าเคร่งเครียดของเขาทำให้ปราโมทย์ถึงกับหยุดชะงัก"มีอะไร?" "เสียงปืนดังใกล้ขนาดนี้ พวกคุณคิดว่าจะเป็นพวกไหน?" น้ำเสียงเรียกเฉยของเขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเนิบนาบ ราฟีประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ หากว
"บ้าเอ๊ย!" อาร์มันสบถในลำคอ ก่อนจะพุ่งเข้าเข้าไปตวัดขาใส่คนพูดเป็นแรก ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีอาวุธครบมือ ปัง! ปัง! เสียงปืนดังก้องไปทั่วป่า กระสุนวิ่งผ่านหูในระยะประชิดจนทำให้อาร์มันเบี่ยงตัวหลบหลังต้นไม้แทบไม่ทัน เปลือกไม้แตกตามแรงปะทะ ท่อนไม้ในมือศิวะถูกเหวี่ยงออกไปผัวะ! กระทบกับร่างกายของกลุ่มชายในเครื่องแบบอย่างรุนแรง จนเซถอยไปหลายก้าว ฮาร์มันสบโอกาสก็พุ่งเข้าไปตวัดเท้ากระแทกปืนในมือศัตรูจนมันหลุดกระเด็นไป ด้านศิวะก็ไม่น้อยหนาใช้เท้าเตะเสยคางหนึ่งในนั้นจนสลบเหมือดอึก! อาร์มันรีบเข้าเตะซ้ำจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดสภาพแล้ว ก่อนจะหันหลังเข้าหากันเมื่อคนที่เหลือกระจายตัวมาล้อมพวกเขาเอาไว้ "คุณเคยแสดงละครไหม?" อาร์มันหอบหายใจหนัก พลางพูดหยอกเย้าอีกฝ่ายอย่างขี้เล่น"หึ!" ใบหน้าคมเข้มกระตุกรอยยิ้มมุมปากก่อนจะพุ่งเข้าหักแขนศัตรูไปด้านหลัง พร้อมกับรับปืนมาอยู่ในมือ ปัง! เสียงลั่นไกกระทบไหล่ของชายอีกคนดังลั่น แล้วเอี้ยวตัวไปยิงเข้าที่ลำตัวของเขาทันทีโดยใช้ร่างของเพื่อนศัตรูเป็นเกราะกำบัง "เวรเอ๊ย!... ฉันไม่ใช่นักแสดงหนังบู๊นะ" อาร์มันพึมพำเสียงเบาๆ ในใจนึกถึงหน้าลูกเมียเอาไว้เพื่อเป
หญิงสาวขยับตัวเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกถึงความฟกช้ำตามร่างกาย ดวงตาคู่สวยค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น สายตากวาดไปรอบๆด้วยความมึนงง ร่างเล็กยันตัวลุกขึ้นช้าๆ การกระทำของเธออยู่ในสายตาของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล"ตื่นแล้วสินะ" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างเนิบนาบ อัมพิกาหันไปมองทางต้นเสียง ศิวะกำลังยืนกอดอกมองหน้าเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก "..." เธอไม่ได้ตอบเขา หญิงสาวเคลื่อนตัวออกมาจากเพิง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน ทว่า... ขาทั้งสองกลับอ่อนแรงจนเธอเกือบจะล้มลง "อ๊ะ!" แต่...วงแขนแกร่งเข้ามาโอบร่างของเธอเอาไว้ก่อนที่เธอจะล้มลงกับพื้น "ระวังหน่อย" ร่างสูงเอ่ยขึ้นมาเสียงดุ ใบหน้าเคร่งขรึมของเขามองเธออย่างคาดโทษ หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น พยายามดันตัวออกมาจากอ้อมกอดของเขา แต่เรี่ยวแรงของเธอก็ช่างมีน้อยเหลือเกิน "อยู่เฉยๆ " เสียงทุ้มดุของเขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะช้อนตัวเธอขึ้นมาแนบอก ซึ่งบุคคลที่สามอย่างอาร์มันก็มองภาพตรงหน้าด้วยสายตายิ้มๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ "ไหนบอกเป็นแค่เครื่องมือไง" ผู้ช่วยหนุ่มพึมพำเสียงเบา ก่อนจะเดินเข้าหาทั้งสองคน " ให้ผมช่วยไหมครับ?" ศิวะปรายตามองอาร์มันอย่าง
"หนูผิดเอง...หนูผิดเองค่ะ" เสียงสั่นเครือของเธอเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา หญิงสาวกล่าวโทษตัวเองที่เธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวตกอยู่ในอันตราย ถ้าเธอ...ไม่เข้าไปช่วยแม่ค้าคนนั้น น้องสาวของเธอคงจะยืนอยู่ตรงนี้"มันไม่ใช่ความผิดของคุณ อามู" ราฟีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่า...คำอธิบายของชายหนุ่มกลับทำให้อีกคนเดือดดาล และรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเมื่อเรื่องที่ทำให้ลูกสาวของเขาถูกตามล่ามันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง"เพราะแค่เรื่องหยุมหยิมพวกนี้ พวกมันถึงกับตามล่าลูกสาวฉันเลยหรอ" ปราโมทย์แทบสบถออกมา เสียงเย็นเยียบของเขากล่าวออกมาจนราฟีเองก็สัมผัสได้ถึงแรงโทสะที่กำลังปะทุอยู่ในใจของชายสูงวัย "ใช่ครับ" ชายหนุ่มตอบสั้นๆ "พวกมันไม่ใช่แค่เป็นพ่อค้าคนกลางธรรมดา แต่ว่าพวกมันมีเบื้องลึกมากกว่านั้น พวกมันมีเส้นสายกับนักการเมืองท้องถิ่นบางคนและจ่ายส่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เลยไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เท่าไหร่" "แล้วไอ้คนที่ถูกคุมตัวอยู่มันพูดว่าอะไรบ้าง?" เขาถามกลับ "ตอนแรกก็ไม่ยอมพูดอะไรครับ แต่ว่าพอใช้วิธีนิดหน่อย พวกมันก็เลยยอมพูด" ราฟีหรี่ตามองบิดาของคนรัก พลางยิ้มมุมปากเล็
คำถามนั้นทำให้ศิวะพูดไม่ออก เขาเหมือนถูกค้อนทุบที่หัว ในใจหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก "เธอไม่ควรถามอะไรแบบนี้นะ" "ทำไหมคะ?" อัมพิกามองหน้าเขา น้ำตาคลอเบ้า หญิงสาวพยายามเค้นเสียงของตัวเองออกมาเพื่อถามเขา "ทำไมถึงไม่ตอบล่ะ" ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ดวงตาคมเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนและเจ็บปวด "เพราะพี่...ไม่อยากมีน้องสาว" เขาพูดเสียงเรียบ พลางก้มมองหญิงสาวในอ้อมแขน พร้อมกระชับอ้อมกอดเพื่อส่งความอบอุ่นเข้าไปในร่างกายของเธอมากที่สุด ชายหนุ่มเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม เขากอดเธอนิ่งๆไม่ยอมปล่อยร่างของเธอเป็นอิสระ เขาเองก็ไม่รู้คำตอบเช่นกัน... หรือจริงๆแล้ว... เขาแค่ไม่อยากยอมรับมัน อัมพิกาเงียบไปสักพัก ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงอีกครั้ง ร่างกายของเธออ่อนแอจนเกินรับไหว แต่ก่อนที่เธอจะจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา เสียงแผ่วเบาของเธอก็ดังขึ้น "พี่ไม่อยากตอบ ก็ไม่เป็นไรค่ะ... หนูรู้ตัวเองดี" ว่าเป็นได้แค่เครื่องมือที่เอาไว้ใช้แก้แค้นพี่สาว....ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงบีบรัดที่หัวใจ มันเจ็บจนหายใจไม่ออก ลมหายใจของเขาสะดุดลงเมื่อได้ยินคำพูดตัดพ้อของคนในอ้อมกอดความแค้นที่เขายึดมั่นนักหนา... ตอนนี้กำลังจะทำให้หญิงสาวที่เคยสด
เปลวไฟเต้นเร้าอยู่ในอากาศ เสียงไม้แตกกระทบกันดังสนั่นเพื่อขับไล่ความมืดและสัตว์ป่าที่จะเข้ามาทำร้ายพวกเขา อาร์มันและศิวะช่วยกันสร้างเพิงเล็กๆ 2 หลังเพื่อเป็นที่พักค้างแรมในค่ำคืนนี้ พวกเขาหาใบไม้สดมาปูรองเป็นที่นอน ชายหนุ่มเข้าไปอุ้มอัมพิกาที่นอนพิงต้นไม้ใหญ่เข้ามานอนในเพิงพร้อมจัดท่าทางให้เรียบร้อย ก่อนจะเข้ามานั่งข้างๆกับผู้ช่วยของเขา "ลำบากคุณแล้ว" ชายหนุ่มพูดขึ้นขณะนั่งมองเปลวไฟที่กำลังลุกโชนท่ามกลางความมืด "ผมไม่ได้ลำบากอะไรหรอกครับ... ผมทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของคุณ ก็ต้องช่วยคุณอย่างถึงที่สุดถูกต้องไหมครับ" อาร์มันพูดเย้าแหย่เจ้านายด้วยน้ำเสียงขี้เล่น ชายหนุ่มใบหน้าหล่อคมคายมีหนวดเคราที่ถูกจัดแต่งเป็นอย่างดี ทว่า...เขาเป็นคนอัธยาศัยดี ขี้เล่น และเป็นผู้ช่วยของศิวะมานานถึงสิบสามปี "ผมว่าผมควรจะให้โบนัสคุณเพิ่มแล้วล่ะ" ผู้ช่วยหนุ่มหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ก่อนจะมองเจ้านายด้วยสายตาหยอกเย้า "ผมว่าคุณควรให้พักร้อนกับผมนะ " คราวนี้ถึงตาศิวะเป็นคนหัวเราะบ้างแล้ว แต่ในใจเขาก็เห็นด้วยที่จะให้พักร้อนกับผู้ช่วยของเขา อาร์มัน เขามีภรรยาและลูกๆทั้งห้าคนรออยู่ที่บ้าน "โอเค... แต่ต้อง
วงแขนแกร่งโอบเอวเธอไว้อย่างอ่อนโยน ดวงตาสีนิลเหลือบมองกลุ่มผมสีดำสนิทร่วงลงมาราวกับผ้าม่าน ความห่วงหาสะท้อนชัดอยู่ในแววตาโดยที่เขาไม่รู้ตัว"เป็นอะไรไหม?""ไม่...เป็นไร" อัมพิกาหันมาตอบเขา ทว่า...ใบหน้าหล่อเหลากลับอยู่ใกล้เพียงคืบจนปลายจมูกของทั้งสองแตะกัน ดวงตาสีน้ำผึ้งสบกับดวงตาสีนิลของเขา ความเย็นชาไร้จุดหมาย แต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง ทำให้หัวใจของหญิงสาวเกิดสั่นไหว ร่างบางค่อยๆลงมาจากตักของเขา แล้วกระเถิบไปชิดประตูอีกฝั่ง พลางก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อหลบกระสุนที่สาดเข้ามา อาร์มันพยายามหลบหลีกกระสุนอย่างยากลำบาก เขาส่งสายตาหาเจ้านายเพื่อต้องการความคิดเห็นดวงตาคมกริบมองหน้าของเลขาคนสนิทอย่างเรียบนิ่ง"เปิดระบบขับรถอัตโนมัติ" เขาสั่งการอย่างรวดเร็ว พลางดึงแขนของอัมพิกาเข้ามาใกล้ "มารวมตัวกับฉันเอาไว้" "ได้ครับคุณศิวะ " อาร์มันรีบเปิดระบบขับรถอัตโนมัติ ก่อนจะเข้าไปรวมตัวกับเจ้านายที่เบาะหลัง รถเคลื่อนตัวไปตามความเร็วที่ถูกตั้งไว้ จนมาถึงทางโค้งทางหนึ่ง"เราต้องรีบโดดเดี๋ยวนี้" ชายหนุ่มพูดเสียงเข้มก่อนจะรวบตัวคนตัวเล็กเอาไว้ในอ้อมกอด มืออีกข้างจากที่ประตูรถไว้แน่น เสียงปังยังคงด