กลับมาที่ปัจจุบัน
หญิงสาวในชุดส่าหรีสีฟ้ากลับเข้ามาในบ้าน ร่างเพรียวเดินเข้ามาในบ้านอย่างช้าๆ ในใจมีแต่ความรู้สึกผิด ที่เธอได้ทำผิดต่อคนรัก " พี่อามู พี่เป็นอะไร" "อามิ...พี่" อัมมาวดีลังเลที่จะพูดเพราะเธอรู้ว่าน้องสาวของเธอนั้นเคารพศิวะเหมือนดั่งพี่ชายแท้ๆ "คะ?." "พี่กับศิวะเราเลิกกันแล้ว" "ฮะ.." ในที่สุดอัมมาวดีก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้น้องสาวฟังรวมไปถึงเรื่องที่เธอแอบคบหาราฟีตอนที่ยังคบกับศิวะอยู่ด้วย "พี่อามู! พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง...พี่บอกเลิกพี่ศิวะเพื่อไปคบกับผู้ชายที่เพิ่งเจอได้ยังไง" อัมพิกาโวยวายเสียงดัง "อามิ ฟังพี่ก่อน พี่ไม่ได้ทำอะไรผิด ราฟีไม่ใช่คนเลว เขาทำให้พี่รู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย" "แล้วพี่ศิวะล่ะคะ" "พี่ไม่ได้รักเขาแล้ว อีกอย่างพวกเราก็ไม่เหมาะสมกัน" อัมพิกายืนนิ่งไปชั่วขณะหลังจากได้ยินคำพูดของพี่สาว น้ำเสียงที่แฝงความแน่วแน่ของอัมมาวดีสะท้อนถึงการตัดสินใจที่ชัดเจน ทว่าในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง “พี่อามู...พี่เคยคิดถึงความรู้สึกของพี่ศิวะบ้างไหมคะ? ผู้ชายที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อพี่...”น้ำเสียงของอัมพิกาแผ่วลง ดวงตาคู่สวยฉายแววผิดหวัง หญิงสาวไม่เคยเลยว่าพี่สาวของเธอจะลุ่มหลงชายที่พึ่งเจอได้ไม่นาน อัมมาวดีเบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่าง เธอไม่กล้าสบตาน้องสาวที่กำลังตัดพ้อต่อว่าเธอ “พี่คิดถึง...แต่คนเราจะฝืนความรู้สึกตัวเองไปได้นานแค่ไหนล่ะอามิ? ถ้าพี่ไม่มีความสุข การอยู่กับเขาก็ไม่ต่างจากการหลอกตัวเอง” อัมมาวดีแย้งในมุมของเธอ “แต่พี่ศิวะ...เขารักพี่มากนะคะ เขาไม่สมควรได้รับการทรยศแบบนี้” คำว่า ทรยศ ทำให้หญิงสาวชะงัก เธอรู้ดีว่าสิ่งที่เธอทำผิด แต่จะให้เธอทำยังไงในเมื่อเธอหมดรักศิวะแล้ว “อามิ... พี่ขอโทษ แต่พี่ก็ต้องเลือกชีวิตของตัวเองเหมือนกัน ศิวะเขาเป็นคนดี แน่นอนว่ามีผู้หญิงที่ดีกว่าพี่มากมายรอที่จะรักเขาอยู่” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ อัมพิกาถอนหายใจหนัก เธอกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าฝ่ามือ “งั้นพี่ก็เลือกไปเลยค่ะ” อัมพิกาหันหลังให้พี่สาว ดวงตาของเธอเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา “แต่อย่าคิดว่าพี่จะไม่ต้องรับผลของการเลือกครั้งนี้นะคะ ผู้ชายคนนั้นเพิ่งเข้ามาในชีวิตพี่ได้ไม่นานพี่ก็ตัดสินใจทิ้งผู้ชายที่ดีที่สุดที่อยู่กับพี่มาตั้งห้าปี ฉันไม่เชื่อเด็ดขาดค่ะว่าผู้ชายคนนั้นเป็นผู้ชายที่ดี” อัมมาวดีมองตามแผ่นหลังของน้องสาวที่เดินห่างออกไป น้ำตาไหลรินอาบแก้ม เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอทำกำลังทำลายความเชื่อใจและความสัมพันธ์กับน้องสาวที่รักเธอมากที่สุด หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ในห้องโถง ความเงียบงันค่อยๆโอบล้อมตัวเธอท่ามกลางแสงอาทิตย์ค่อยๆลอยลับขอบฟ้า “ฉันเลือกทางเดินนี้เอง... แต่ทำไมมันถึงเจ็บปวดนักล่ะ” จากที่เธอคิดว่าอัมพิกาจะเป็นคนที่เข้าใจเธอมากที่สุด ว่าทำไมเธอถึงเลือกราฟีมากกว่าที่จะเป็นศิวะ เธอไม่เข้าใจทำไมน้องสาวของเธอถึงคิดว่าเธอตัดสินใจเลือกสิ่งที่ผิดพลาดให้กับตัวเองล่ะ.. น้ำตารินไหลออกจากดวงตาคู่สวย ที่ตอนนี้บอบช้ำอย่างน่าสงสาร เธอยกมือกุมขมับอย่างคิดไม่ตกพลางร้องไห้ออกมาเสียงดัง เสียงร้องไห้ของเธอดังไปถึงหูของคนที่พึ่งหันหลังเดินจากมา อัมพิกาเดินออกมาได้ไม่ไกลก็ทรุดลงทันที หญิงสาวรู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้พี่สาวเลย อัมมาวดีกับศิวะเป็นคนที่เธอรักและเคารพมากที่สุด เธอไม่นึกเลยว่าวันนึงทั้งสองจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเพราะพี่สาวของเธอเปลี่ยนใจไปชอบคนอื่นอย่าง ราฟี เชค เธอนั่งอยู่ที่โซฟาไม่ไกลจากพี่สาวนัก ดวงตากลมโตที่เคยเปล่งประกายสดใสตอนนี้กลับหม่นหมองอย่างน่าใจหาย ร่างอรชรจมอยู่ในเกลียวคลื่นแห่งความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาในใจ น้ำตาเอ่อคลอเบ้าตา อัมพิการักศิวะเหมือนพี่ชายของเธอคนนึง เขาเป็นคนที่คอยดูแลและปกป้องเธอ ให้คำปรึกษา ปลอบโยนเธอในวันที่เธอต้องการกำลังใจ ขณะเดียวกันเธอก็รักพี่สาวมาก พี่สาวเป็นคนสมบูรณ์แบบสำหรับเธอ เป็นคนที่มั่นคง และเชื่อในความรัก ทั้งสองคนรักกันมากราวกับว่าทั้งคู่ใช้หัวใจดวงเดียวกัน "ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้..?" หญิงสาวตั้งคำถามกับตัวเอง พลางมองไปทางอัมมาวดี พี่สาวที่เธอรักมากที่สุด เสียงร้องไห้ของพี่สาวเสียดแทงหัวใจเธอ ไหล่ที่บอบบางสั่นไหว พี่สาวแสนสวยของเธอกำลังร้องไห้อย่างหนัก "ทำไมพี่ถึงรักเขาล่ะ..ฮึก!...ทำไมถึงเปลี่ยนใจ" ราฟี...เชค ชื่อนี้แค่ได้ยินอัมพิกาก็เบือนหน้าหนี นักธุรกิจหนุ่มชื่อดังจากเมืองมุมไบ แล้วว่าที่นักการเมือง หนุ่มหล่อเจ้าเสน่ห์ ไม่สิ...เขามันเจ้าชู้ตัวพ่อ ราฟีเป็นเสือผู้หญิง พี่สาวของเธอจะต้องตกหลุมพรางของเขาแน่ เขาอาจจะดูดี เจ้าเสน่ห์ มีฐานะและอำนาจ ที่สำคัญแววตาของเขาที่มองพี่สาวเธอในวันนั้น เธอไม่เคยลืม “พี่อามู...” อัมพิกาเดินเข้าไปหาพี่สาว ยิ่นจับไหล่บอบบางของเธออย่างแผ่วเบา "พี่...ช่วยตอบคำถามฉันซักหน่อยได้ไหม" "ได้สิ..เธอจะถามอะไร" อัมมาวดียกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลนองหน้า "พี่รักเขาอย่างนั้นหรอคะ ผู้ชายคนนั้น" หญิงสาวถามคำถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ใช่..พี่รักเขา...มันไม่เหมือนความรักที่ผ่านมาของพี่" อัมมาวดีชะงักไปครู่นึงก่อนจะตอบออกไป เมื่อพูดถึง ราฟี เชค สายตาของเธอเต็มไปด้วยความรักและความหลงใหล "เธอ...เชื่อพี่สักครั้ง ขอแค่เธอเชื่อพี่ พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ตัดสินใจผิดพลาด ราฟีคือคนที่พี่อยากใช้ชีวิตร่วมกับเขาไปชั่วชีวิต ชื่อพี่สักครั้งเถอะนะอามิ" ดวงตาคู่สวยมองใบหน้าน้องสาวด้วยสายตาเว้าวอน น้ำเสียงปริ่มจะขาดใจของพี่สาวทำให้อัมพิกาค่อยๆทำจะยอมรับ "ค่ะ ฉันจะเชื่อพี่สักครั้ง " "ขอบคุณนะ! ขอบคุณจริงๆ! " อัมมาวดีโผเข้ากอดน้องสาวด้วยความโล่งใจและดีใจ รอยยิ้มหวานชวนใจสั่นไหวของพี่สาวทำให้อัมพิกาใจอ่อนยวบยาบก่อนจะเผลอยิ้มออกมายังอ่อนโยน หวังว่า...การตัดสินใจของพี่สาวของเธอในครั้งนี้แต่เป็นการสินใจที่ถูกต้องนะ....บ้านเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระสายลมเย็นพัดผ่านร่างของหญิงสาวที่ออกมารับลมเล่นที่ระเบียงห้อง ดวงตาสีน้ำผึ้งทอดมองไปยังพื้นผิวของน้ำทะเลสาบที่เป็นประกายระยิบระยับใต้แสงแดด เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งเป็นจังหวะ บรรยากาศดูสงบร่มเย็น ทว่า...หัวใจของเธอกลับไม่ได้สงบเช่นบรรยากาศ นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วนับแต่วันที่เธอออกจากโรงพยาบาล ศิวะไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย จะมีเพียงแค่ส่งข้อความมากวนประสาทเป็นบางวัน เธอละสายตาจากวิวทะเลมาที่โทรศัพท์เครื่องหรูในมือ ปลายนิ้วเลื่อนปลดล็อคหน้าจอ เธอเปิดค้างอยู่ที่รายชื่อติดต่อ เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงเปิดหน้านี้ค้างไว้ แต่... อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานหมั้นของพี่สาวของเธอ และปราโมทย์พ่อของเธอก็เชิญเขามางานนี้ด้วย ซึ่งเธอไม่มั่นใจเลยว่าชายหนุ่มจะทำอะไรที่เหนือความคาดหมายหรือเปล่า"เลิกคิดเถอะ..." เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง ปลายนิ้วของเธอลูบคลำบนหน้าจอโทรศัพท์ไปมา ก่อนจะปิดหน้าจอลง หญิงสาวพยายามทำให้ใจสงบ ทว่า... ยิ่งพยายามสงบใจมากขึ้นเท่าไหร่ ความรุ่มร้อนภายในจิตใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น...ความคิดมากมายทะลักเข้ามาในหัว มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ถ้าเกิดว่า...
เมื่อชายหนุ่มออกไปแล้ว ปราโมทย์ก็อยู่เป็นเพื่อนลูกสาวอย่างเงียบๆ เขานั่งปอกผลไม้อย่างชำนาญ เก็บแอปเปิ้ลที่ถูกหั่นชิ้นอย่างสวยงามยื่นไปที่ปากของอัมพิกาอัมพิกาอ้าปากรับผลไม้ที่คนเป็นพ่อส่งให้ด้วยรอยยิ้ม หญิงสาวปิดปากเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย การที่พ่อของเธอมานั่งปอกผลไม้และป้อนเธอนั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก เพราะปกติแล้วปราโมทย์จะนั่งอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน ยกเว้นเวลาทานอาหาร "ขอบคุณนะคะพ่อ" "ขอบคุณอะไร?" น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบเฉย มือที่กำลังปอกผลไม้อยู่ถึงกับชะงัก "ก็... ขอบคุณที่ดูแลหนู แล้วก็เข้าไปช่วยหนูไงคะ" หญิงสาวเอนตัวไปซบที่แขนแกร่งอย่างออดอ้อน รู้สึกถึงฝ่ามือที่กำลังลูบผมเธออย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยหลับพริ้มรับรู้ถึงความรักของพ่อที่มีต่อเธอ "ลูกสาวตกอยู่ในอันตรายทั้งที พ่อจะอยู่เฉยได้ยังไง" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พลางดันตัวลูกสาวออกมาเบาๆ "ค่า...แล้วแม่เป็นยังไงบ้างคะ?" "ก็เรื่อยๆ... ปกติดี ไม่ได้แพ้อะไร" อัมพิกาพยักหน้า มารดาของเธออายุก็มากแล้ว แต่ดันมาตั้งครรภ์อีก ไม่รู้ว่า... น้องในครรภ์จะเป็นผู้หญิงหรือ ผู้ชายกันนะ หญิงสาวคิดขึ้นมาด้วยความสงสัย มือบางหยิบแอป
อีกด้านหนึ่งของป่า ราฟีและปราโมทย์พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เดินแกะรอยทั้งสามคนเข้ามาในป่า ที่นี่เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ทำให้ป่าที่นี่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ และมีสัตว์ร้ายชุกชุม พวกเขาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง จนกระทั่ง...ปัง! ปัง! มีเสียงปืนดังขึ้นในอีกด้านหนึ่งของป่า ทำให้พวกเขาหยุดชะงัก หัวใจของคนเป็นพ่ออย่างปราโมทย์เต้นรัวด้วยความหวาดกลัวและเป็นห่วงลูกสาวคนเล็กอย่างสุดซึ้ง เขาภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าให้พระองค์คุ้มครองลูกสาวของเขาด้วย "เร็วเข้า!" ปราโมทย์คำรามใส่เจ้าหน้าที่เสียงดังลั่น คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน เขาเดินไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ราฟีและเจ้าหน้าที่เร่งเดิมตามหลังชายหนุ่มใหญ่อย่างเร่งรีบ นักการเมืองหนุ่มรับรู้ถึงความเป็นห่วงพี่มีต่อลูกสาวคนเล็กของปราโมทย์ได้เป็นอย่างดี ทว่า...เสียงปืนที่ดังใกล้ขนาดนี้ บางทีพวกเขาอาจจะอยู่ใกล้ๆแถวนี้ก็ได้ "เดี๋ยวก่อน" ชายหนุ่มหยุดว่าที่พ่อตาเอาไว้ ใบหน้าเคร่งเครียดของเขาทำให้ปราโมทย์ถึงกับหยุดชะงัก"มีอะไร?" "เสียงปืนดังใกล้ขนาดนี้ พวกคุณคิดว่าจะเป็นพวกไหน?" น้ำเสียงเรียกเฉยของเขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเนิบนาบ ราฟีประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ หากว
"บ้าเอ๊ย!" อาร์มันสบถในลำคอ ก่อนจะพุ่งเข้าเข้าไปตวัดขาใส่คนพูดเป็นแรก ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีอาวุธครบมือ ปัง! ปัง! เสียงปืนดังก้องไปทั่วป่า กระสุนวิ่งผ่านหูในระยะประชิดจนทำให้อาร์มันเบี่ยงตัวหลบหลังต้นไม้แทบไม่ทัน เปลือกไม้แตกตามแรงปะทะ ท่อนไม้ในมือศิวะถูกเหวี่ยงออกไปผัวะ! กระทบกับร่างกายของกลุ่มชายในเครื่องแบบอย่างรุนแรง จนเซถอยไปหลายก้าว ฮาร์มันสบโอกาสก็พุ่งเข้าไปตวัดเท้ากระแทกปืนในมือศัตรูจนมันหลุดกระเด็นไป ด้านศิวะก็ไม่น้อยหนาใช้เท้าเตะเสยคางหนึ่งในนั้นจนสลบเหมือดอึก! อาร์มันรีบเข้าเตะซ้ำจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดสภาพแล้ว ก่อนจะหันหลังเข้าหากันเมื่อคนที่เหลือกระจายตัวมาล้อมพวกเขาเอาไว้ "คุณเคยแสดงละครไหม?" อาร์มันหอบหายใจหนัก พลางพูดหยอกเย้าอีกฝ่ายอย่างขี้เล่น"หึ!" ใบหน้าคมเข้มกระตุกรอยยิ้มมุมปากก่อนจะพุ่งเข้าหักแขนศัตรูไปด้านหลัง พร้อมกับรับปืนมาอยู่ในมือ ปัง! เสียงลั่นไกกระทบไหล่ของชายอีกคนดังลั่น แล้วเอี้ยวตัวไปยิงเข้าที่ลำตัวของเขาทันทีโดยใช้ร่างของเพื่อนศัตรูเป็นเกราะกำบัง "เวรเอ๊ย!... ฉันไม่ใช่นักแสดงหนังบู๊นะ" อาร์มันพึมพำเสียงเบาๆ ในใจนึกถึงหน้าลูกเมียเอาไว้เพื่อเป
หญิงสาวขยับตัวเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกถึงความฟกช้ำตามร่างกาย ดวงตาคู่สวยค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น สายตากวาดไปรอบๆด้วยความมึนงง ร่างเล็กยันตัวลุกขึ้นช้าๆ การกระทำของเธออยู่ในสายตาของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล"ตื่นแล้วสินะ" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างเนิบนาบ อัมพิกาหันไปมองทางต้นเสียง ศิวะกำลังยืนกอดอกมองหน้าเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก "..." เธอไม่ได้ตอบเขา หญิงสาวเคลื่อนตัวออกมาจากเพิง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน ทว่า... ขาทั้งสองกลับอ่อนแรงจนเธอเกือบจะล้มลง "อ๊ะ!" แต่...วงแขนแกร่งเข้ามาโอบร่างของเธอเอาไว้ก่อนที่เธอจะล้มลงกับพื้น "ระวังหน่อย" ร่างสูงเอ่ยขึ้นมาเสียงดุ ใบหน้าเคร่งขรึมของเขามองเธออย่างคาดโทษ หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น พยายามดันตัวออกมาจากอ้อมกอดของเขา แต่เรี่ยวแรงของเธอก็ช่างมีน้อยเหลือเกิน "อยู่เฉยๆ " เสียงทุ้มดุของเขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะช้อนตัวเธอขึ้นมาแนบอก ซึ่งบุคคลที่สามอย่างอาร์มันก็มองภาพตรงหน้าด้วยสายตายิ้มๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ "ไหนบอกเป็นแค่เครื่องมือไง" ผู้ช่วยหนุ่มพึมพำเสียงเบา ก่อนจะเดินเข้าหาทั้งสองคน " ให้ผมช่วยไหมครับ?" ศิวะปรายตามองอาร์มันอย่าง
"หนูผิดเอง...หนูผิดเองค่ะ" เสียงสั่นเครือของเธอเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา หญิงสาวกล่าวโทษตัวเองที่เธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวตกอยู่ในอันตราย ถ้าเธอ...ไม่เข้าไปช่วยแม่ค้าคนนั้น น้องสาวของเธอคงจะยืนอยู่ตรงนี้"มันไม่ใช่ความผิดของคุณ อามู" ราฟีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่า...คำอธิบายของชายหนุ่มกลับทำให้อีกคนเดือดดาล และรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเมื่อเรื่องที่ทำให้ลูกสาวของเขาถูกตามล่ามันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง"เพราะแค่เรื่องหยุมหยิมพวกนี้ พวกมันถึงกับตามล่าลูกสาวฉันเลยหรอ" ปราโมทย์แทบสบถออกมา เสียงเย็นเยียบของเขากล่าวออกมาจนราฟีเองก็สัมผัสได้ถึงแรงโทสะที่กำลังปะทุอยู่ในใจของชายสูงวัย "ใช่ครับ" ชายหนุ่มตอบสั้นๆ "พวกมันไม่ใช่แค่เป็นพ่อค้าคนกลางธรรมดา แต่ว่าพวกมันมีเบื้องลึกมากกว่านั้น พวกมันมีเส้นสายกับนักการเมืองท้องถิ่นบางคนและจ่ายส่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เลยไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เท่าไหร่" "แล้วไอ้คนที่ถูกคุมตัวอยู่มันพูดว่าอะไรบ้าง?" เขาถามกลับ "ตอนแรกก็ไม่ยอมพูดอะไรครับ แต่ว่าพอใช้วิธีนิดหน่อย พวกมันก็เลยยอมพูด" ราฟีหรี่ตามองบิดาของคนรัก พลางยิ้มมุมปากเล็