บ้านเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระ
บรรยากาศยามเย็นในบ้านเชาฮานเต็มไปด้วยความเงียบงันและอึมครึม หลังจากเหตุการณ์ทะเลาะกันเมื่อช่วงสาย อัมพิกายังคงเป็นกังวลเรื่องอาการของมารดา แม้ว่าแม่ของเธอจะยืนยันว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมาก แต่แววตาที่ดูอ่อนล้าของกาญจีกลับทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ "แม่นั่งพักตรงนี้ก่อนนะคะ" หญิงสาวบอกกับมารดาก่อนจะตัดสินใจโทรหาคุณหมอประจำตระกูล "หมอศานนท์ ปัทมกุล" ชายวัยกลางคนที่มีความรู้และประสบการณ์ในการรักษา และยังเป็นคนที่ครอบครัวเชาฮานไว้ใจมาอย่างยาวนาน ( ฮัลโหล) เสียงแหบทุ้มดังขึ้นจากปลายสาย ( สวัสดีค่ะ คุณลุง หนูเองค่ะ อัมพิกา ) ( คุณลุงคะ คุณลุงช่วยมาตรวจดูคุณแม่ให้หนูหน่อยได้ไหมคะ พอดีว่าคุณแม่ท่านเป็นลมน่ะคะ ) ( ได้สิ เดี๋ยวอีกสักพักลุงเข้าไปนะ ) ( ค่ะคุณลุง ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ) พูดจบเธอก็ตัดสายไป อัมพิกาเดินเข้ามาดูกาญจีที่นั่งอ่อนแรงอยู่ในห้องนั่งเล่น " เป็นยังไงบ้างคะแม่ " " แม่ไม่เป็นอะไร อีกสักพักแม่ก็หาย" เสียงอ่อนแรงของมารดาทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น กาญจีเอามือไปแตะมือลูกสาวเบาๆ เธอไม่อยากให้ลูกสาวต้องเป็นกังวลเพราะเธอ " อามิ เชื่อแม่นะลูก " " ไม่เชื่อได้ไหมคะ" หญิงสาวพูดขึ้นอย่างดื้อรั้น ทำเอาคนเป็นมารดาต้องระบายยิ้มด้วยความเอ็นดู "ดื้อจริงๆ" "แม่คะ เดี๋ยวอีกสักพัก คุณลุงหมอจะมาตรวจร่างกายแม่นะคะ ช่วงนี้แม่ดูซูบไปเยอะมากเลยนะคะ " ดวงตาสีน้ำผึ้งสวยมองไปตามร่างกายของคนตรงหน้า แม่ของเธอซูบผอมลงไปเยอะจริงๆ ดูสิ ... แก้มตอบลงไปตั้งเยอะ " เด็กคนนี้..แม่บอกว่าไม่เป็นอะไรไงจ๊ะ " " อย่าดื้อนะคะแม่ " หญิงสาวล้อเลียนเสียงของมารดาตอนที่ดุเธอเป็นประจำ ร่างบางลุกขึ้นไปหยิบยาสมุนไพรมาทาแก้มให้แม่ของเธอ รอยแดงซ้ำเริ่มขึ้นสีชัดทำให้อัมพิกาเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว ผ่านไปสักพัก คุณหมอชายวัยกลางคนก็เดินเข้ามาในบ้าน พร้อมกับกระเป๋าสัมภาระ หญิงสาวก็เดินเข้ามาต้อนรับคุณหมอศานนท์ด้วยความยินดี "สวัสดีค่ะคุณลุงหมอ ไม่เจอกันนานเลยนะคะ " ร่างบางยกมือไหว้คนตรงหน้าด้วยความเคารพ พร้อมกับคำทักทายที่สนิทสนม " สวัสดีจ้ะ ไม่เจอกันนานเหมือนกันนะ โตเป็นสาวแล้วหลานลุง " " ขอบคุณค่ะ " " แล้วนี่แม่ของเธอเป็นอะไร ทำไมถึงได้เรียกลุงมากระทันหันแบบนี่ " คำถามของคนตรงหน้าทำให้อัมพิกาอ้ำอึ้ง ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้กับศานนท์ฟัง หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดคุณหมอหนุ่มใหญ่ก็ยกมือขึ้นกุมขมับทันที เขาไม่คิดเลยว่าเพื่อนสนิทของตัวเองจะเลือดร้อนเหมือนตอนหนุ่มๆไม่มีผิด คิดว่ามันหมดไฟไปแล้ว แต่ถึงขั้นต้องทำร้ายร่างกายภรรยาตัวเองแบบนี้เขาคงต้องเรียกเพื่อนมาปรับทัศนคติกันใหม่ " ไอ้เพื่อนเวร!! " เสียงสบถจากศานนท์ ทำให้หญิงสาวที่อยู่ข้างๆถึงกับสะดุ้ง แต่ก็รีบนำทางคุณลุงหมอไปตรวจอาการแม่เธอทันที หลังจากตรวจเช็คร่างกายของกาญจีอย่างละเอียด หมอศานนท์มองกาญจีอย่างครุ่นคิด ก่อนจะโพล่งออกไปอย่างไม่คิด "กาญจี เธอกับหมอนั่นมีอะไรกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่" " เอ่อ...." สองแม่ลูกเชาฮานมองหน้ากันเลิ่กลั่ก โดยเฉพาะ อัมพิกา ความร้อนเห่อขึ้นใบหน้าสวยทันที " ขอโทษทีที่ฉันไปละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว แต่ฉันต้องการคำตอบ " "ส...สองเดือนที่แล้ว " เมื่อได้ฟังคำตอบจากเมียเพื่อน ศานนท์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปคุยกับอัมพิกาที่รอฟังผลตรวจอย่างใจจดใจจ่อ “เธอไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงหรอก อ่อนเพลียเล็กน้อย แต่อาจจะต้องพักผ่อนให้มากขึ้น...” หมอหนุ่มหยุดพูดไปพักนึง ก่อนจะหันไปพูดกับเมียเพื่อนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “และอีกเรื่อง...เธอกำลังตั้งครรภ์นะกาญจี” คำพูดของหมอทำให้หญิงสาวชะงัก ดวงตาสีน้ำผึ้งเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะหันไปมองมารดาที่ตกอยู่ในอาการเช่นเดียวกันกับเธอ “แม่...ตั้งครรภ์? เดี๋ยวนะ!” อัมพิกาพึมพำออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ดวงตาคู่สวยหลับตาลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดานอย่างเหม่อลอย ซึ่งไม่ต่างจากผู้เป็นมารดาเลยสักนิด “แม่เองก็ไม่คิดว่าจะมีลูกอีกในวัยนี้...แต่แม่...” เสียงของกาญจีสั่นเครือ เห็นได้ชัดว่าเธอยังคงช็อกกับข่าวนี้ "...." หญิงสาวยังคงนิ่งเงียบ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด สายตาเหลือบมองสาวใช้ที่ยืนอยู่ไม่ไกล “ไปตามคุณพ่อมาที บอกว่าฉันมีเรื่องสำคัญจะพูดด้วย” "ค่ะคุณหนู" สาวใช้รีบพยักหน้าและเดินออกไป อัมพิกาหันกลับมามองมารดาที่นั่งอยู่บนเตียง เธอค่อย ๆ บีบมือมารดาเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ “แม่ไม่ต้องกังวลนะคะ หนูจะอยู่ข้างแม่เสมอ” แววตาสีน้ำผึ้งจ้องมองมารดาที่เธอรักมากที่สุดด้วยความหนักแน่น " แม่รู้จ้ะ... พี่ศานนท์พอจะทราบอายุครรภ์ไหมคะ" กาญจีหันไปถามเพื่อนสนิทของสามีด้วยความเป็นกังวล " จากคำบอกเล่าของเธอ ตอนนี้อายุครรภ์ก็จะประมาณ 7-8 สัปดาห์ ยังไงก็ไปตรวจรายละเอียดที่โรงพยาบาลอีกทีแล้วกันนะ" ศานนท์ระบุอายุครรภ์ที่แน่นอนไม่ได้ จึงแนะนำให้เธอไปตรวจที่โรงพยาบาลอย่างละเอียดอีกที " แล้วนี่สามีเธอยังไม่มาอีกหรอ" " เขาคงอยู่ที่วิหารมหาเทพน่ะคะ " " มันก็เป็นแบบนี้ทุกที ชอบหนีปัญหา " คุณหมอหนุ่มพูดออกมาด้วยความเหนื่อยใจ วิหารพระศิวะประจำตระกูลเชาฮานตั้งตระหง่านกลางสวนกว้าง บรรยากาศรอบข้างสงบร่มรื่น รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ทอดเงาปกคลุมพื้นที่โดยรอบ แสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดกระทบยอดโดมสีทองสว่างไสวราวกับประกายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วแว่วมากับสายลมเย็น กลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้บูชาพระศิวะอบอวลไปทั่วบริเวณ ปราโมทย์ เชาฮาน ในชุดโจฎปุรีสีขาวสะอาดตา ยืนอย่างสง่าหน้าศิวลึงค์ที่ประดิษฐานอยู่กลางวิหาร ร่างสูงสงบนิ่ง ดวงตาคมเข้มจับจ้องไปยังศิวลึงค์สีดำมันเงาที่ประดับด้วยพวงมาลัยดอกดาวเรืองและดอกชบาสีสด เขายกมือขึ้นพนม ก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์พระศิวะที่แกะสลักไว้เหนือศิวลึงค์ สายลมอ่อนพัดผ่านเข้ามาภายในวิหารจนเสียงกระดิ่งลมที่แขวนอยู่ส่งเสียงดังกังวาน เขายืนครุ่นคิดถึงคำอธิษฐานที่เคยเอ่ยขอไว้ต่อพระศิวะเมื่อหลายปีก่อน ความคิดของเขาย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่ครอบครัวของเขาต้องการลูกชายอีกคนเพื่อสืบทอดนามสกุลเชาฮาน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความหวังนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไปตามอายุของภรรยา "คุณท่านคะ" เสียงแผ่วเบาของสาวใช้ทำลายความเงียบสงบ ร่างสูงหันไปมองเธอด้วยสายตาเรียบนิ่ง "มีอะไร?" เขาถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความสงสัย "คุณหนูให้มาตามค่ะ เธอบอกว่ามีเรื่องอยากจะพูดกับคุณท่านค่ะ" สาวใช้ตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม "เดี๋ยวฉันตามไป"ชายหนุ่มพยักหน้า ยกมือไหว้ศิวลิงค์ก่อนจะเดินออกจากวิหารไปยังห้องโถงใหญ่ เมื่อมาถึง เขาเห็นศานนท์ เพื่อนสนิทที่เป็นหมอประจำตระกูล นั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์อยู่ในห้องนั่งเล่น มือเรียวสวยของคุณหมอหนุ่มยกถ้วยชาขึ้นจิบด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนที่เดินเข้ามาด้วยแววตาเชือดเฉือน "ศานนท์...มาทำอะไรที่นี่?" ปราโมทย์ถามเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงราบเรียบเมินแววตาอาฆาตของเพื่อนสนิท " ฉันมาเยี่ยมเมียเพื่อนผิดตรงไหน.. " คุณหมอหนุ่มตอบอย่างไม่สนสายตาเย็นชาของเจ้าบ้านเลย " แกมีธุระอะไร" " คุณลุงหมอมาตรวจร่างกายแม่ค่ะ หนูเป็นคนโทรเรียกท่านมาเอง" อัมพิกาอธิบายให้คนเป็นพ่อเข้าใจ " หมดธุระแล้วก็กลับไปสิ" " เฮ้ย!....แกจะไม่รอฟังข่าวดีจากปากฉันเลยหรอ" "ข่าวดี?" ปราโมทย์เลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย พลางเพื่อนสนิทที่นั่งดื่มชาอย่างละเมียดละไมไม่ยอมตอบคำถามของตนสักที "ใช่" " เรื่องอะไร?" "ภรรยานายกำลังตั้งครรภ์ ทั้งๆ ที่อายุของเธอเข้าเลขสี่แล้ว ฉันต้องบอกว่ามหัศจรรย์สุดๆ " คุณหมอหนุ่มพูดด้วยความตื่นเต้น สายตาจ้องมองเพื่อนสนิทที่นิ่งค้างไป ความรู้สึกทั้งตื่นเต้นและประหลาดใจปรากฏขึ้นในใจ ดวงตาคมกริบวูบไหวเสี้ยววินาที แต่เขากลับเลือกที่จะเก็บอาการเอาไว้ " นิ่งเป็นท่อนไม้เลยนะแก" ศานนท์พูดอย่างประชดประชันพลางหันไปหาภรรยาเพื่อนอยากให้กำลังใจ ที่ได้สามีไม่ต่างจากท่อนไม้ กาญจีที่ยืนมองเขาอยู่ใกล้ๆ รู้สึกถึงระยะห่างที่มองไม่เห็นระหว่างเธอและสามี หญิงสาวที่กำลังจะได้เป็นแม่อีกครั้งลูบท้องตัวเองเบาๆ ด้วยความรู้สึกอ่อนไหวและน้อยใจ แต่เธอไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงแค่ยิ้มจางๆ อย่างฝืนทน อัมพิกายืนมองทั้งสองคนก่อนจะส่ายหัวเบาๆ คนนึงเย็นชาเก็บความรู้สึก อีกคนนึงพูดน้อยอ่อนหวานเก็บทุกอย่างไว้ในใจ... คิดแล้วก็กลุ้มใจจริงๆ สายลมพัดผ้าม่านสีขาวบางให้พริ้วไหว ร่างสูงยกถ้วยชาขึ้นจิบเงียบๆ ขณะที่ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความคิดหลากหลาย "ขอบใจมาก ศานนท์..." เขาเอ่ยขึ้นเรียบๆ ก่อนจะเหลือบมองภรรยาของเขา "เธอพักผ่อนเถอะ อย่าหักโหม" คำพูดเพียงสั้นๆ ที่ไม่ได้แสดงความอ่อนโยนทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ท่ามกลางความว่างเปล่า เธอหันไปสบตาศานนท์ที่พยักหน้าอย่างให้กำลังใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทว่า...ภายในใจของปราโมทย์เองก็ไม่ได้สงบนิ่งอย่างที่ภรรยาเข้าใจ เขาแอบยิ้มเล็กๆ ขณะที่คิดถึงเด็กน้อยในครรภ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นมา แล้วก็เป็นห่วงสุขภาพของภรรยาที่ตั้งครรภ์ตอนอายุมาก ทั้งแอบรู้สึกผิดที่ทำร้ายร่างกายภรรยาด้วยความโมโห คิดถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกอยากชกหน้าตัวเองหนักๆสักที " พ่อคะ " เสียงของลูกสาวทำเอาคนเป็นพ่อหลุดออกจากภวังค์ความคิด " มีอะไร? " "เรื่องที่แม่กำลังจะมีน้องอีกคน พ่อดีใจไหมคะ" หญิงสาวถามคนตรงหน้าด้วยความสงสัย " ดีใจสิ " เขาตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทำเอาอัมพิกาพูดไม่ออก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียงดัง "เฮ้อ!...พ่อคะ บางทีหนูก็อยากให้พ่อแสดงความรู้สึกออกไปให้แม่รู้บ้าง แม่เขาจะได้มีกำลังใจไงคะ" นิ่งเป็นท่อนไม้เหมือนที่คุณลุงหมอพูดไปไม่มีผิด " พ่อจะพยายาม " ดวงตาคมเข้มหลุบต่ำลงอย่างใช้ความคิด บ้านอัคราวัล, เมืองชัยปุระ เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านม่านบางในห้องนั่งเล่นอันโอ่อ่าของตระกูลอัคราวัล ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรด จิบกาแฟร้อนที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นเคล้ากับเสียงนกร้องเบาๆ ด้านนอกหน้าต่าง หนังสือพิมพ์ฉบับเช้าถูกเปิดอ่านอย่างตั้งใจ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นขัดจังหวะความสงบ กริ่ง~ ศิวะวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์ น้ำเสียงเรียบนิ่งถูกกรอกลงในสาย (ฮัลโหล ) (สวัสดี ศิวะหรอ) (ครับคุณลุง) (ขอโทษที่รบกวนนะ แต่ลุงมีเรื่องสำคัญจะบอก) (เรื่องสำคัญอะไรหรือครับ?) ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม (ภรรยาของลุงกำลังตั้งครรภ์ ลุงตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงฉลองต้อนรับเด็กในครรภ์ตามธรรมเนียม ลุงเลยอยากชวนเธอมางานด้วย) ปลายสายตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งทว่าแฝงไปด้วยความสุขเล็กๆ (ขอแสดงความยินดีด้วยครับ เป็นข่าวที่น่ายินดีจริงๆ แล้วงานเลี้ยงจัดขึ้นเมื่อไหร่?) ดวงตาคมกริบของชายหนุ่มเป็นประกายวูบหนึ่ง (อีกสองวัน อีกเดี๋ยวลุงจะพาเธอไปหาหมอด้วย ตั้งครรภ์ทั้งๆที่อายุขนาดนี้ มีความเสี่ยงไม่น้อยเลย ) (ฝากความเป็นห่วงถึงคุณป้าด้วยนะครับคุณลุง ยังไงผมจะไปร่วมงานแน่นอนครับ) ชายหนุ่มตอบกลับก่อนจะวางสายไป งานเลี้ยงในอีกสองวันนี้เป็นโอกาสที่ดีในการเริ่มแผนการของเขา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ถูกจุดขึ้นบนริมฝีปาก " อัมมาวดี ผมอยากจะรู้นัก ว่าคุณจะทำยังไงตอนที่เห็นหน้าผม" ความเจ็บปวดสายนึงแล่นเข้ามาในหัวใจทว่า...เขากลับไม่ได้สนใจมันเลย ความรักที่มีต่อหญิงสาวช่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่าเธอจะปันใจให้ชายอื่นและเลิกทิ้งเขาไป มันน่าขำตรงที่..เขาไม่สามารถเลือกรักเธอได้เลย แต่ก็ไม่สามารถปล่อยวางความแค้นเพราะเธอได้เช่นกัน งานเลี้ยงที่ปราโมทย์กล่าวถึงเรียกว่า "สรีมันทาน" (Seemantha) ซึ่งเป็นธรรมเนียมโบราณของอินเดียในการเฉลิมฉลองการตั้งครรภ์ครั้งแรกของสตรี ช่วงเวลานี้มักจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพื่ออวยพรให้แม่และเด็กในครรภ์แข็งแรง แขกเหรื่อมารวมตัวกันเพื่อมอบคำอวยพรและของขวัญอันเป็นมงคลแก่ครอบครัว ในวันงาน ร่างสูงใหญ่ของศิวะในชุดโจฎปุรีประดับลายทองอันสง่างาม เขาเตรียมของขวัญสำหรับเด็กในครรภ์อย่างพิถีพิถัน เดินก้าวเข้ามาในงานบรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก เสียงดนตรีพื้นเมืองดังคลอไปทั่วงาน ตกแต่งด้วยดอกไม้สีสดที่พาดระโยงระยาง แขกจากทุกสารทิศล้วนแต่งกายอย่างหรูหราบ้านเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระสายลมเย็นพัดผ่านร่างของหญิงสาวที่ออกมารับลมเล่นที่ระเบียงห้อง ดวงตาสีน้ำผึ้งทอดมองไปยังพื้นผิวของน้ำทะเลสาบที่เป็นประกายระยิบระยับใต้แสงแดด เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งเป็นจังหวะ บรรยากาศดูสงบร่มเย็น ทว่า...หัวใจของเธอกลับไม่ได้สงบเช่นบรรยากาศ นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วนับแต่วันที่เธอออกจากโรงพยาบาล ศิวะไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย จะมีเพียงแค่ส่งข้อความมากวนประสาทเป็นบางวัน เธอละสายตาจากวิวทะเลมาที่โทรศัพท์เครื่องหรูในมือ ปลายนิ้วเลื่อนปลดล็อคหน้าจอ เธอเปิดค้างอยู่ที่รายชื่อติดต่อ เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงเปิดหน้านี้ค้างไว้ แต่... อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานหมั้นของพี่สาวของเธอ และปราโมทย์พ่อของเธอก็เชิญเขามางานนี้ด้วย ซึ่งเธอไม่มั่นใจเลยว่าชายหนุ่มจะทำอะไรที่เหนือความคาดหมายหรือเปล่า"เลิกคิดเถอะ..." เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง ปลายนิ้วของเธอลูบคลำบนหน้าจอโทรศัพท์ไปมา ก่อนจะปิดหน้าจอลง หญิงสาวพยายามทำให้ใจสงบ ทว่า... ยิ่งพยายามสงบใจมากขึ้นเท่าไหร่ ความรุ่มร้อนภายในจิตใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น...ความคิดมากมายทะลักเข้ามาในหัว มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ถ้าเกิดว่า...
เมื่อชายหนุ่มออกไปแล้ว ปราโมทย์ก็อยู่เป็นเพื่อนลูกสาวอย่างเงียบๆ เขานั่งปอกผลไม้อย่างชำนาญ เก็บแอปเปิ้ลที่ถูกหั่นชิ้นอย่างสวยงามยื่นไปที่ปากของอัมพิกาอัมพิกาอ้าปากรับผลไม้ที่คนเป็นพ่อส่งให้ด้วยรอยยิ้ม หญิงสาวปิดปากเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย การที่พ่อของเธอมานั่งปอกผลไม้และป้อนเธอนั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก เพราะปกติแล้วปราโมทย์จะนั่งอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน ยกเว้นเวลาทานอาหาร "ขอบคุณนะคะพ่อ" "ขอบคุณอะไร?" น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบเฉย มือที่กำลังปอกผลไม้อยู่ถึงกับชะงัก "ก็... ขอบคุณที่ดูแลหนู แล้วก็เข้าไปช่วยหนูไงคะ" หญิงสาวเอนตัวไปซบที่แขนแกร่งอย่างออดอ้อน รู้สึกถึงฝ่ามือที่กำลังลูบผมเธออย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยหลับพริ้มรับรู้ถึงความรักของพ่อที่มีต่อเธอ "ลูกสาวตกอยู่ในอันตรายทั้งที พ่อจะอยู่เฉยได้ยังไง" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พลางดันตัวลูกสาวออกมาเบาๆ "ค่า...แล้วแม่เป็นยังไงบ้างคะ?" "ก็เรื่อยๆ... ปกติดี ไม่ได้แพ้อะไร" อัมพิกาพยักหน้า มารดาของเธออายุก็มากแล้ว แต่ดันมาตั้งครรภ์อีก ไม่รู้ว่า... น้องในครรภ์จะเป็นผู้หญิงหรือ ผู้ชายกันนะ หญิงสาวคิดขึ้นมาด้วยความสงสัย มือบางหยิบแอป
อีกด้านหนึ่งของป่า ราฟีและปราโมทย์พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เดินแกะรอยทั้งสามคนเข้ามาในป่า ที่นี่เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ทำให้ป่าที่นี่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ และมีสัตว์ร้ายชุกชุม พวกเขาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง จนกระทั่ง...ปัง! ปัง! มีเสียงปืนดังขึ้นในอีกด้านหนึ่งของป่า ทำให้พวกเขาหยุดชะงัก หัวใจของคนเป็นพ่ออย่างปราโมทย์เต้นรัวด้วยความหวาดกลัวและเป็นห่วงลูกสาวคนเล็กอย่างสุดซึ้ง เขาภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าให้พระองค์คุ้มครองลูกสาวของเขาด้วย "เร็วเข้า!" ปราโมทย์คำรามใส่เจ้าหน้าที่เสียงดังลั่น คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน เขาเดินไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ราฟีและเจ้าหน้าที่เร่งเดิมตามหลังชายหนุ่มใหญ่อย่างเร่งรีบ นักการเมืองหนุ่มรับรู้ถึงความเป็นห่วงพี่มีต่อลูกสาวคนเล็กของปราโมทย์ได้เป็นอย่างดี ทว่า...เสียงปืนที่ดังใกล้ขนาดนี้ บางทีพวกเขาอาจจะอยู่ใกล้ๆแถวนี้ก็ได้ "เดี๋ยวก่อน" ชายหนุ่มหยุดว่าที่พ่อตาเอาไว้ ใบหน้าเคร่งเครียดของเขาทำให้ปราโมทย์ถึงกับหยุดชะงัก"มีอะไร?" "เสียงปืนดังใกล้ขนาดนี้ พวกคุณคิดว่าจะเป็นพวกไหน?" น้ำเสียงเรียกเฉยของเขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเนิบนาบ ราฟีประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ หากว
"บ้าเอ๊ย!" อาร์มันสบถในลำคอ ก่อนจะพุ่งเข้าเข้าไปตวัดขาใส่คนพูดเป็นแรก ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีอาวุธครบมือ ปัง! ปัง! เสียงปืนดังก้องไปทั่วป่า กระสุนวิ่งผ่านหูในระยะประชิดจนทำให้อาร์มันเบี่ยงตัวหลบหลังต้นไม้แทบไม่ทัน เปลือกไม้แตกตามแรงปะทะ ท่อนไม้ในมือศิวะถูกเหวี่ยงออกไปผัวะ! กระทบกับร่างกายของกลุ่มชายในเครื่องแบบอย่างรุนแรง จนเซถอยไปหลายก้าว ฮาร์มันสบโอกาสก็พุ่งเข้าไปตวัดเท้ากระแทกปืนในมือศัตรูจนมันหลุดกระเด็นไป ด้านศิวะก็ไม่น้อยหนาใช้เท้าเตะเสยคางหนึ่งในนั้นจนสลบเหมือดอึก! อาร์มันรีบเข้าเตะซ้ำจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดสภาพแล้ว ก่อนจะหันหลังเข้าหากันเมื่อคนที่เหลือกระจายตัวมาล้อมพวกเขาเอาไว้ "คุณเคยแสดงละครไหม?" อาร์มันหอบหายใจหนัก พลางพูดหยอกเย้าอีกฝ่ายอย่างขี้เล่น"หึ!" ใบหน้าคมเข้มกระตุกรอยยิ้มมุมปากก่อนจะพุ่งเข้าหักแขนศัตรูไปด้านหลัง พร้อมกับรับปืนมาอยู่ในมือ ปัง! เสียงลั่นไกกระทบไหล่ของชายอีกคนดังลั่น แล้วเอี้ยวตัวไปยิงเข้าที่ลำตัวของเขาทันทีโดยใช้ร่างของเพื่อนศัตรูเป็นเกราะกำบัง "เวรเอ๊ย!... ฉันไม่ใช่นักแสดงหนังบู๊นะ" อาร์มันพึมพำเสียงเบาๆ ในใจนึกถึงหน้าลูกเมียเอาไว้เพื่อเป
หญิงสาวขยับตัวเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกถึงความฟกช้ำตามร่างกาย ดวงตาคู่สวยค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น สายตากวาดไปรอบๆด้วยความมึนงง ร่างเล็กยันตัวลุกขึ้นช้าๆ การกระทำของเธออยู่ในสายตาของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล"ตื่นแล้วสินะ" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างเนิบนาบ อัมพิกาหันไปมองทางต้นเสียง ศิวะกำลังยืนกอดอกมองหน้าเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก "..." เธอไม่ได้ตอบเขา หญิงสาวเคลื่อนตัวออกมาจากเพิง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน ทว่า... ขาทั้งสองกลับอ่อนแรงจนเธอเกือบจะล้มลง "อ๊ะ!" แต่...วงแขนแกร่งเข้ามาโอบร่างของเธอเอาไว้ก่อนที่เธอจะล้มลงกับพื้น "ระวังหน่อย" ร่างสูงเอ่ยขึ้นมาเสียงดุ ใบหน้าเคร่งขรึมของเขามองเธออย่างคาดโทษ หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น พยายามดันตัวออกมาจากอ้อมกอดของเขา แต่เรี่ยวแรงของเธอก็ช่างมีน้อยเหลือเกิน "อยู่เฉยๆ " เสียงทุ้มดุของเขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะช้อนตัวเธอขึ้นมาแนบอก ซึ่งบุคคลที่สามอย่างอาร์มันก็มองภาพตรงหน้าด้วยสายตายิ้มๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ "ไหนบอกเป็นแค่เครื่องมือไง" ผู้ช่วยหนุ่มพึมพำเสียงเบา ก่อนจะเดินเข้าหาทั้งสองคน " ให้ผมช่วยไหมครับ?" ศิวะปรายตามองอาร์มันอย่าง
"หนูผิดเอง...หนูผิดเองค่ะ" เสียงสั่นเครือของเธอเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา หญิงสาวกล่าวโทษตัวเองที่เธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวตกอยู่ในอันตราย ถ้าเธอ...ไม่เข้าไปช่วยแม่ค้าคนนั้น น้องสาวของเธอคงจะยืนอยู่ตรงนี้"มันไม่ใช่ความผิดของคุณ อามู" ราฟีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่า...คำอธิบายของชายหนุ่มกลับทำให้อีกคนเดือดดาล และรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเมื่อเรื่องที่ทำให้ลูกสาวของเขาถูกตามล่ามันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง"เพราะแค่เรื่องหยุมหยิมพวกนี้ พวกมันถึงกับตามล่าลูกสาวฉันเลยหรอ" ปราโมทย์แทบสบถออกมา เสียงเย็นเยียบของเขากล่าวออกมาจนราฟีเองก็สัมผัสได้ถึงแรงโทสะที่กำลังปะทุอยู่ในใจของชายสูงวัย "ใช่ครับ" ชายหนุ่มตอบสั้นๆ "พวกมันไม่ใช่แค่เป็นพ่อค้าคนกลางธรรมดา แต่ว่าพวกมันมีเบื้องลึกมากกว่านั้น พวกมันมีเส้นสายกับนักการเมืองท้องถิ่นบางคนและจ่ายส่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เลยไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เท่าไหร่" "แล้วไอ้คนที่ถูกคุมตัวอยู่มันพูดว่าอะไรบ้าง?" เขาถามกลับ "ตอนแรกก็ไม่ยอมพูดอะไรครับ แต่ว่าพอใช้วิธีนิดหน่อย พวกมันก็เลยยอมพูด" ราฟีหรี่ตามองบิดาของคนรัก พลางยิ้มมุมปากเล็