แสงแดดอ่อนในยามเช้าสาดส่องผ่านผ้าม่านแพรสีครีมที่พริ้วไหวทางสายลม ภายในห้องสีขาวมุกที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเครื่องไม้แกะสลักลวดลายสวยงาม พื้นกระเบื้องลายหินอ่อนถูกปูด้วยพรหมทอมือลวดลายวิจิตรบรรจงสร้างบรรยากาศให้ดูอ่อนหวานและสวยงาม เตียงคิงไซส์ถูกคลุมด้วยผ้าปูที่นอนสีชมพูอ่อนที่ปักลวดลายดอกไม้ด้วยด้ายสีทองเข้ากันกับบรรยากาศห้องอย่างลงตัว หญิงสาวเจ้าของห้องยืนอยู่ตรงกระจกบานใหญ่ พลางยกมือขึ้นหวีผมยาวสลวยจนถึงบั้นเอว สวมใส่ชุดอานาร์กาลีสีฟ้าอ่อนประดับด้วยลูกปัดสีน้ำเงิน ที่ทำมาจากผ้าไหมเนื้อบางพริ้วไหวเวลาขยับตัว ตัวชุดคลุมไปถึงข้อเท้า ด้านในสวมใส่เลกกิ้งเพื่อความเรียบร้อย ทับด้วยส่าหรีสีขาวปักด้วยดิ้นทองอ่อนๆบางๆ คลุมพาดบนไหล่ ทำให้เธองดงามราวกับเทพธิดา หญิงสาวหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อเช็คความเรียบร้อย ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เสียงกระพรวนที่ข้อเท้าดังกระทบกันอย่างไพเราะ เดินผ่านห้องโถงไปยังห้องรับประทานอาหารของครอบครัว ห้องกว้างขวางถูกตกแต่งด้วยกระจกเงาแกะสลักสวยงาม โต๊ะไม้สักยาวถูกปูด้วยค่าปักลายสีทอง บนโต๊ะถูกวางด้วยชุดเครื่องถ้วยที่ทำมาจากกระเบื้องเคลือบ และประดับด้วยแจกันหินอ่อนที่มีดอกกุหลาบสีสดเสียบไว้ในแจกัน ที่หัวโต๊ะ มีหญิงสาวสวมใส่ส่าหรีสีแดงสดปักลายทอง ผมยาวดำขัดถูกรวบอย่างปราณีตเผยให้เห็นต่างหูทับทิมขนาดเล็ก ริมฝีปากแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีแดงระเรื่อรับกับดวงตาคมสวยเหลือบมองน้องสาวที่เดินมาหาด้วยรอยยิ้ม
" อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่" " อรุณสวัสดิ์อามิ วันนี้ตื่นเช้าจังเลยนะ" อัมมาวดีทักทายน้องสาวอย่างอารมณ์ดี พลางยกถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบอย่างแผ่วเบา " เมื่อคืนค่อนข้างฝันดีค่ะ แล้วพ่อแม่ล่ะคะ" " พ่อพาแม่ไปโรงพยาบาล ไปตรวจน้องในท้องน่ะ" เธอบอกน้องสาวอย่างซุกซน อัมพิกาส่งยิ้มให้พี่สาวอย่างอารมณ์ดี " ว้าว...ดีจัง" "แล้วก็..พี่เห็นว่าแม่ใส่สร้อยมงคลสูตรเส้นใหม่" อัมพิกาเอามือปิดปากอย่างความตกใจ ดวงตาสีน้ำผึ้งเบิกกว้างสร้างความขบขันให้พี่สาว เธอมองท่าทางของน้องสาวด้วยความเอ็นดู ตั้งแต่เล็กจนโตอันพิกาสร้างความสดใสให้กับเธอมาก เธอจึงรักน้องสาวคนนี้มากที่สุดในชีวิต "อืม...ก็เป็นเรื่องที่ดีนะคะ บางทีพ่อที่เย็นชาอาจจะถูกแม่ละลายน้ำแข็งพันปีลงก็ได้นะคะ " " เพ้อเจ้อ" อัมมาวดีส่ายหัวให้กับคำเพ้อเจ้อของน้องสาว แล้ววางถ้วยกาแฟเปล่าลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา " ถ้างั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ " "เดี๋ยวสิคะพี่" ร่างบางจับแขนของพี่สาวเอาไว้พลางทำหน้าตาออดอ้อน " ให้หนูไปด้วยได้ไหมคะ " " ไม่ได้ " น้ำเสียงเด็ดขาดของเธอทำให้อัมพิกาทำหน้าเศร้า ดวงตาสีน้ำผึ้งสวยคลอน้ำตา จนคนเป็นพี่สาวใจอ่อน อัมมาวดีถอนหายใจเบาๆก่อนจะบอกว่า " ก็ได้...แต่อย่าซน เข้าใจไหม" อัมมาวดีสร้างข้อตกลงกับน้องสาวราวกับเธอเป็นเด็ก แต่เชื่อเถอะ...ว่าอามิไม่ได้เป็นเด็กเรียบร้อย อ่อนหวานกับคนในครอบครัวอย่างเดียว " รับทราบค่ะ" ย่าน Hathipole Market, เมืองอุทัยปุระ ย่านการค้าสุดหรูถูกตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของอินเดีย มีร้านค้าและบริษัทระดับไฮเอนด์ตั้งอยู่ที่นี่ หนึ่งในนั้นมีร้านเสื้อผ้าและเครื่องประดับของอัมมาวดี มีชื่อว่า Elegant Threads. ร้านของเธอเอาแบบมางานสไตล์โมเดิร์นอินเดียผสมผสานกับการตกแต่งของย่านสุดหรูแห่งนี้ จำหน่ายเสื้อผ้าดั้งเดิมผสมผสานกับแฟชั่นร่วมสมัย หญิงสาวทำหน้าที่บริหารจัดการเองทั้งหมดและมักจะออกไปพบปะลูกค้าชั้นสูง และให้บริการตัดเย็บเสื้อผ้ากับบุคคลโด่งดังในวงการบันเทิงอินเดีย " สวยจัง" หญิงสาวเดินตามพี่สาวเข้ามาในร้าน สายตากวาดมองรอบๆอย่างตื่นเต้น บรรยากาศภายในร้านเงียบสงบ มีพนักงานอยู่ประมาณหกคน สวมใส่ยูนิฟอร์มของร้ายอย่างสวยงาม "พี่คัดพนักงานยังไงคะ มีแต่คนสวยๆทั้งนั้นเลย" " พี่ไม่ได้เลือกพนักงานที่ความสวยหรอก แต่ว่าจะต้องมีความสามารถ บุคลิกต้องดี มีความรู้ แล้วก็ต้องมีใจรักบริการ พี่ถึงจะรับเข้าทำงาน" หญิงสาวบอกออกไป ขณะนั้นมีหญิงสาวในชุดส่าหรีสีทองเดินเข้ามาหาเธอด้วยรอยยิ้ม "อัมมาวดีจ๋า ฉันรอชุดพิเศษที่เธอตัดให้ฉันอยู่นะ" " รอสักครู่นะคะคุณกีตา ชุดของคุณออกมาสวยแน่นอนค่ะ" หญิงสาวหัวเราะเบาๆแล้วตอบกลับลูกค้าคนสำคัญของเธอไป น้ำเสียงตอบกลับอย่างมั่นใจของอัมมาวดีทำให้น้องสาวอย่างอัมพิการู้สึกชื่นชมในตัวของเธอเป็นอย่างมาก ร่างบางมองพี่สาวด้วยสายตาชื่นชมและภูมิใจ เธอโชคดีที่มีพี่สาวที่เก่งและมีความสามารถ ห้องทำงานของอัมมาวดีถูกตกแต่งด้วยกระจกใสมองเห็นภายในร้าน มีโซฟาวางอยู่ข้างผนัง กลางห้องทำงานมีโต๊ะขนาดใหญ่วางเรียงรายไปด้วยผ้าสีต่างๆและข้างๆกันก็มีหุ่นจำลองที่สวมชุดที่พี่สาวของเธอออกแบบ ร่างบางเดินมานั่งที่โซฟาก่อนมองพี่สาวทำงานอย่างเพลิดเพลิน "พี่ทำงานเก่งจัง" " พี่ไม่ได้ทำงานเก่งหรอก พี่แค่รักในงานนี้ เป็นงานที่รักก็เลยทำออกมาได้ดีไม่ได้เก่งอะไร" หญิงสาวในชุดส่าหรีสีแดงเงยหน้าขึ้นมาตอบน้องสาว เธอจบแฟชั่นดีไซน์จากปารีส กว่าจะได้เรียนด้านนี้ คุณปราโมทย์อาละวาดบ้านแตกไม่รู้เท่าไหร่ " แต่ก็ยังดีนะคะที่พี่ออกมาเปิดร้านของตัวเองได้ หนูนี่สิ โดนพ่อกีดกัน" หญิงสาวหน้ามุ่ยลง เมื่อคิดถึงเรื่องที่พ่อกีดกันไม่ให้เธอไปสอนที่ชนบท อัมพิกาเรียนจบครุศาสตร์ ความฝันของเธอคือการไปเป็นครูสอนนักเรียนที่ชนบทให้เข้าถึงการศึกษา แต่..ความฝันของเธอก็สลายเพราะบิดาของเธอไม่เห็นด้วย " พี่ไม่ได้โชคดีหรอก ตอนแรกอ่ะนะพ่อก็กีดกันพี่เหมือนกัน... กว่าพี่จะมาเปิดร้านกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ก็ลำบาก เพราะไม่มีใครเห็นด้วยในสิ่งที่พี่กำลังจะทำ ทั้งเพื่อน ครอบครัว แต่โชคดีที่ตอนนั้นน่ะพี่มีศิวะ คอยช่วยเหลือดูแลแล้วก็ให้คำปรึกษา พี่ติดหนี้บุญคุณเขามากเลย..แต่พี่ก็ทำกับเขาไว้เยอะมาก " อัมมาวดียิ้มเจื่อนลง เมื่อนึกถึงสิ่งที่เธอทำกับชายหนุ่มไว้ ในใจของเธอมีความรู้สึกผิดลึกๆอยู่ข้างในที่นอกใจอดีตคนรัก " พี่..ยังรักพี่ศิวะอยู่ไหมคะ" อัมพิกาถามเพื่อความแน่ใจ เพราะเธอรู้สึกสงสารชายหนุ่มอยู่ลึกๆพี่ต้องมาเจ็บช้ำเพราะพี่สาวของเธอ " ไม่ได้รักแล้วล่ะ ถ้าพี่รักศิวะอยู่พี่คงไม่มีคนอื่นหรอก แล้วที่สำคัญพี่ก็เป็นคนผิด ต่อให้รักหรือไม่รักมันก็เป็นอะไรไม่ได้อยู่ดี" ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ในระหว่างที่สองพี่น้องกำลังพูดคุยอยู่นั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น "เอ่อ...ขอโทษนะคะ พอดีว่ามีแขกเข้ามาขอพบค่ะคุณอัมมาวดี" "ใคร ได้นัดไว้หรือเปล่า" อัมมาวดีถามเสียงเข้ม " คุณศิวะค่ะ ไม่ได้นัดเอาไว้ค่ะ" สองสาวมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่คนเป็นพี่สาวจะตอบกลับไป " บอกให้เขารอก่อนเดี๋ยวฉันตามไป " หญิงสาววางงานทุกอย่างลง แล้วเดินออกไปจากห้องทำงานเพื่อที่จะไปพบอดีตคนรัก ทว่า.. " เดี๋ยวก่อนค่ะพี่ " อัมพิการีบลุกขึ้นมาฉุดรั้งแขนพี่สาวเธอเอาไว้ " มีอะไร...อามิ" ร่างบางเม้มปากแน่น ไม่รู้ว่าจะบอกพี่สาวอย่างไรดี เหตุการณ์วันนั้นผุดเข้ามาในหัวของเธอราวกับฉายภาพยนตร์ " หนู..ขอไปด้วยนะคะ" ถึงแม้ว่าจะกลัวชายหนุ่มมากแค่ไหน แต่เธอก็เป็นห่วงพี่สามารถเช่นกัน ศิวะ อัคราวัล คนนี้ไม่ใช่คนที่เธอรู้จักอีกต่อไป " ไม่ได้พี่ไปคุยงาน " "แต่ว่า.." " อามิ เชื่อพี่ ศิวะเขาไม่ทำอะไรพี่หรอก เขาเป็นคนดี" เธอจะบอกได้อย่างไร... ว่าเขาไม่ใช่คนดีอีกแล้ว ศิวะกลายเป็นอีกคน ที่เธอไม่คุ้นเคย ทั้งปากร้าย เย็นชา แข็งกระด้าง อัมพิกาไม่รู้ว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง แต่เมื่อเห็นสายตาจริงจังของพี่สาวเธอก็อ่อนลง " ก็ได้ค่ะ ถ้างั้นหนูจะออกไปข้างนอกแป๊บนึงนะคะ" "ได้สิ "บ้านเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระสายลมเย็นพัดผ่านร่างของหญิงสาวที่ออกมารับลมเล่นที่ระเบียงห้อง ดวงตาสีน้ำผึ้งทอดมองไปยังพื้นผิวของน้ำทะเลสาบที่เป็นประกายระยิบระยับใต้แสงแดด เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งเป็นจังหวะ บรรยากาศดูสงบร่มเย็น ทว่า...หัวใจของเธอกลับไม่ได้สงบเช่นบรรยากาศ นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วนับแต่วันที่เธอออกจากโรงพยาบาล ศิวะไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย จะมีเพียงแค่ส่งข้อความมากวนประสาทเป็นบางวัน เธอละสายตาจากวิวทะเลมาที่โทรศัพท์เครื่องหรูในมือ ปลายนิ้วเลื่อนปลดล็อคหน้าจอ เธอเปิดค้างอยู่ที่รายชื่อติดต่อ เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงเปิดหน้านี้ค้างไว้ แต่... อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานหมั้นของพี่สาวของเธอ และปราโมทย์พ่อของเธอก็เชิญเขามางานนี้ด้วย ซึ่งเธอไม่มั่นใจเลยว่าชายหนุ่มจะทำอะไรที่เหนือความคาดหมายหรือเปล่า"เลิกคิดเถอะ..." เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง ปลายนิ้วของเธอลูบคลำบนหน้าจอโทรศัพท์ไปมา ก่อนจะปิดหน้าจอลง หญิงสาวพยายามทำให้ใจสงบ ทว่า... ยิ่งพยายามสงบใจมากขึ้นเท่าไหร่ ความรุ่มร้อนภายในจิตใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น...ความคิดมากมายทะลักเข้ามาในหัว มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ถ้าเกิดว่า...
เมื่อชายหนุ่มออกไปแล้ว ปราโมทย์ก็อยู่เป็นเพื่อนลูกสาวอย่างเงียบๆ เขานั่งปอกผลไม้อย่างชำนาญ เก็บแอปเปิ้ลที่ถูกหั่นชิ้นอย่างสวยงามยื่นไปที่ปากของอัมพิกาอัมพิกาอ้าปากรับผลไม้ที่คนเป็นพ่อส่งให้ด้วยรอยยิ้ม หญิงสาวปิดปากเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย การที่พ่อของเธอมานั่งปอกผลไม้และป้อนเธอนั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก เพราะปกติแล้วปราโมทย์จะนั่งอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน ยกเว้นเวลาทานอาหาร "ขอบคุณนะคะพ่อ" "ขอบคุณอะไร?" น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบเฉย มือที่กำลังปอกผลไม้อยู่ถึงกับชะงัก "ก็... ขอบคุณที่ดูแลหนู แล้วก็เข้าไปช่วยหนูไงคะ" หญิงสาวเอนตัวไปซบที่แขนแกร่งอย่างออดอ้อน รู้สึกถึงฝ่ามือที่กำลังลูบผมเธออย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยหลับพริ้มรับรู้ถึงความรักของพ่อที่มีต่อเธอ "ลูกสาวตกอยู่ในอันตรายทั้งที พ่อจะอยู่เฉยได้ยังไง" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พลางดันตัวลูกสาวออกมาเบาๆ "ค่า...แล้วแม่เป็นยังไงบ้างคะ?" "ก็เรื่อยๆ... ปกติดี ไม่ได้แพ้อะไร" อัมพิกาพยักหน้า มารดาของเธออายุก็มากแล้ว แต่ดันมาตั้งครรภ์อีก ไม่รู้ว่า... น้องในครรภ์จะเป็นผู้หญิงหรือ ผู้ชายกันนะ หญิงสาวคิดขึ้นมาด้วยความสงสัย มือบางหยิบแอป
อีกด้านหนึ่งของป่า ราฟีและปราโมทย์พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เดินแกะรอยทั้งสามคนเข้ามาในป่า ที่นี่เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ทำให้ป่าที่นี่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ และมีสัตว์ร้ายชุกชุม พวกเขาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง จนกระทั่ง...ปัง! ปัง! มีเสียงปืนดังขึ้นในอีกด้านหนึ่งของป่า ทำให้พวกเขาหยุดชะงัก หัวใจของคนเป็นพ่ออย่างปราโมทย์เต้นรัวด้วยความหวาดกลัวและเป็นห่วงลูกสาวคนเล็กอย่างสุดซึ้ง เขาภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าให้พระองค์คุ้มครองลูกสาวของเขาด้วย "เร็วเข้า!" ปราโมทย์คำรามใส่เจ้าหน้าที่เสียงดังลั่น คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน เขาเดินไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ราฟีและเจ้าหน้าที่เร่งเดิมตามหลังชายหนุ่มใหญ่อย่างเร่งรีบ นักการเมืองหนุ่มรับรู้ถึงความเป็นห่วงพี่มีต่อลูกสาวคนเล็กของปราโมทย์ได้เป็นอย่างดี ทว่า...เสียงปืนที่ดังใกล้ขนาดนี้ บางทีพวกเขาอาจจะอยู่ใกล้ๆแถวนี้ก็ได้ "เดี๋ยวก่อน" ชายหนุ่มหยุดว่าที่พ่อตาเอาไว้ ใบหน้าเคร่งเครียดของเขาทำให้ปราโมทย์ถึงกับหยุดชะงัก"มีอะไร?" "เสียงปืนดังใกล้ขนาดนี้ พวกคุณคิดว่าจะเป็นพวกไหน?" น้ำเสียงเรียกเฉยของเขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเนิบนาบ ราฟีประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ หากว
"บ้าเอ๊ย!" อาร์มันสบถในลำคอ ก่อนจะพุ่งเข้าเข้าไปตวัดขาใส่คนพูดเป็นแรก ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีอาวุธครบมือ ปัง! ปัง! เสียงปืนดังก้องไปทั่วป่า กระสุนวิ่งผ่านหูในระยะประชิดจนทำให้อาร์มันเบี่ยงตัวหลบหลังต้นไม้แทบไม่ทัน เปลือกไม้แตกตามแรงปะทะ ท่อนไม้ในมือศิวะถูกเหวี่ยงออกไปผัวะ! กระทบกับร่างกายของกลุ่มชายในเครื่องแบบอย่างรุนแรง จนเซถอยไปหลายก้าว ฮาร์มันสบโอกาสก็พุ่งเข้าไปตวัดเท้ากระแทกปืนในมือศัตรูจนมันหลุดกระเด็นไป ด้านศิวะก็ไม่น้อยหนาใช้เท้าเตะเสยคางหนึ่งในนั้นจนสลบเหมือดอึก! อาร์มันรีบเข้าเตะซ้ำจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดสภาพแล้ว ก่อนจะหันหลังเข้าหากันเมื่อคนที่เหลือกระจายตัวมาล้อมพวกเขาเอาไว้ "คุณเคยแสดงละครไหม?" อาร์มันหอบหายใจหนัก พลางพูดหยอกเย้าอีกฝ่ายอย่างขี้เล่น"หึ!" ใบหน้าคมเข้มกระตุกรอยยิ้มมุมปากก่อนจะพุ่งเข้าหักแขนศัตรูไปด้านหลัง พร้อมกับรับปืนมาอยู่ในมือ ปัง! เสียงลั่นไกกระทบไหล่ของชายอีกคนดังลั่น แล้วเอี้ยวตัวไปยิงเข้าที่ลำตัวของเขาทันทีโดยใช้ร่างของเพื่อนศัตรูเป็นเกราะกำบัง "เวรเอ๊ย!... ฉันไม่ใช่นักแสดงหนังบู๊นะ" อาร์มันพึมพำเสียงเบาๆ ในใจนึกถึงหน้าลูกเมียเอาไว้เพื่อเป
หญิงสาวขยับตัวเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกถึงความฟกช้ำตามร่างกาย ดวงตาคู่สวยค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น สายตากวาดไปรอบๆด้วยความมึนงง ร่างเล็กยันตัวลุกขึ้นช้าๆ การกระทำของเธออยู่ในสายตาของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล"ตื่นแล้วสินะ" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างเนิบนาบ อัมพิกาหันไปมองทางต้นเสียง ศิวะกำลังยืนกอดอกมองหน้าเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก "..." เธอไม่ได้ตอบเขา หญิงสาวเคลื่อนตัวออกมาจากเพิง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน ทว่า... ขาทั้งสองกลับอ่อนแรงจนเธอเกือบจะล้มลง "อ๊ะ!" แต่...วงแขนแกร่งเข้ามาโอบร่างของเธอเอาไว้ก่อนที่เธอจะล้มลงกับพื้น "ระวังหน่อย" ร่างสูงเอ่ยขึ้นมาเสียงดุ ใบหน้าเคร่งขรึมของเขามองเธออย่างคาดโทษ หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น พยายามดันตัวออกมาจากอ้อมกอดของเขา แต่เรี่ยวแรงของเธอก็ช่างมีน้อยเหลือเกิน "อยู่เฉยๆ " เสียงทุ้มดุของเขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะช้อนตัวเธอขึ้นมาแนบอก ซึ่งบุคคลที่สามอย่างอาร์มันก็มองภาพตรงหน้าด้วยสายตายิ้มๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ "ไหนบอกเป็นแค่เครื่องมือไง" ผู้ช่วยหนุ่มพึมพำเสียงเบา ก่อนจะเดินเข้าหาทั้งสองคน " ให้ผมช่วยไหมครับ?" ศิวะปรายตามองอาร์มันอย่าง
"หนูผิดเอง...หนูผิดเองค่ะ" เสียงสั่นเครือของเธอเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา หญิงสาวกล่าวโทษตัวเองที่เธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวตกอยู่ในอันตราย ถ้าเธอ...ไม่เข้าไปช่วยแม่ค้าคนนั้น น้องสาวของเธอคงจะยืนอยู่ตรงนี้"มันไม่ใช่ความผิดของคุณ อามู" ราฟีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่า...คำอธิบายของชายหนุ่มกลับทำให้อีกคนเดือดดาล และรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเมื่อเรื่องที่ทำให้ลูกสาวของเขาถูกตามล่ามันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง"เพราะแค่เรื่องหยุมหยิมพวกนี้ พวกมันถึงกับตามล่าลูกสาวฉันเลยหรอ" ปราโมทย์แทบสบถออกมา เสียงเย็นเยียบของเขากล่าวออกมาจนราฟีเองก็สัมผัสได้ถึงแรงโทสะที่กำลังปะทุอยู่ในใจของชายสูงวัย "ใช่ครับ" ชายหนุ่มตอบสั้นๆ "พวกมันไม่ใช่แค่เป็นพ่อค้าคนกลางธรรมดา แต่ว่าพวกมันมีเบื้องลึกมากกว่านั้น พวกมันมีเส้นสายกับนักการเมืองท้องถิ่นบางคนและจ่ายส่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เลยไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เท่าไหร่" "แล้วไอ้คนที่ถูกคุมตัวอยู่มันพูดว่าอะไรบ้าง?" เขาถามกลับ "ตอนแรกก็ไม่ยอมพูดอะไรครับ แต่ว่าพอใช้วิธีนิดหน่อย พวกมันก็เลยยอมพูด" ราฟีหรี่ตามองบิดาของคนรัก พลางยิ้มมุมปากเล็